ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 782 ยกทัพประชิดกำแพงเมือง
บทที่ 782 ยกทัพประชิดกำแพงเมือง
เมื่อสวี่ผิงเฟิงเห็นลูกชายคนโต เขานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ถ้าตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว เขาไม่คิดว่าตนเองจะให้กำเนิดสัตว์ประหลาดเช่นนี้ นี่ไม่ใช่สายเลือดของเขาอย่างแน่นอน
สิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ที่ต่อสู้กับไป๋ตี้ บนศีรษะมีช่อดอกไม้เพริศแพร้ว ร่างกายปกคลุมด้วยเปลือกไม้แตกร้าวดำขลับ แขนขาทั้งสี่พัวพันด้วยเถาวัลย์ บนเถาวัลย์เต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวอ่อน
นี่มีที่ใดเป็นคน
เป็นปีศาจพฤกษาชัดๆ!
ถ้าไม่ใช่เพราะเจดีย์พุทธะที่ลอยอยู่บนฟ้า ดาบสยบดินแดนที่ถืออยู่ในมือ รวมทั้งพลังแห่งเวไนยสัตว์ที่แข็งแกร่ง สวี่ผิงเฟิงไม่เชื่อแน่ว่าสัตว์ประหลาดตรงหน้าคือสวี่ชีอัน
ยังมีอีกหนึ่งข้อ กลิ่นอายที่เขาเผยออกมาให้เห็นถึงจุดสูงสุดขั้นสองแล้ว
นี่คือสถานการณ์ที่ยกเว้นการคุ้มครองของพลังแห่งเวไนยสัตว์ เฉพาะกลิ่นอายส่วนตัวก็ถึงจุดสูงสุดขั้นสองแล้ว แตกต่างกับอาซูหลัวเล็กน้อย
แน่นอน ความต่างระหว่างจุดสูงสุดขั้นสองกับขั้นหนึ่งยังคงมหาศาล แต่มีดาบสยบดินแดน เจดีย์พุทธะ พลังแห่งเวไนยสัตว์ รวมทั้งไสยศาสตร์กู่สนับสนุน สวี่ชีอันฝืน ‘เอาตัวรอดไปเรื่อยๆ’ ใต้เงื้อมมือของไป๋ตี้
ในที่สุดสวี่ผิงเฟิงก็เข้าใจว่าเหตุใดศึกหนีเคราะห์กรรมไม่จบสิ้นเสียที
ลูกชายคนโตผู้นี้ของเขา เคียงบ่าเคียงไหล่อาซูหลัว จินเหลียน และจ้าวโส่วด้วยกำลังของตนเอง เติมเต็มข้อบกพร่องที่พลังต่อสู้ไม่เพียงพอ
ด้วยความแข็งแกร่งและความทนทานของจอมยุทธ์ แม้เจียหลัวซู่กับไป๋ตี้มีพลังมากกว่าคู่ต่อสู้ แต่ยากที่จะฆ่าพวกเขาในระยะเวลาอันสั้น
ไม่ใช่พวกเขาแข็งแกร่งไม่พอ แต่เป็นปัญหาเอกลักษณ์ของระบบ
“แหม รีบเร่งรีบร้อนแจ้นมาฉู่โจว ดูท่าสงครามยงโจวคงไม่น่าพึงพอใจ”
ปีศาจพฤกษาสวี่ชีอัน สังเกตเห็นการปรากฏของหุ่นเชิด หลังจากที่ฟันดาบทำลายลูกระเบิดอัสนีวารี เขายิ้มแย้มมองมา
ไป๋ตี้หยุดนิ่ง หันหน้ามองสวี่ผิงเฟิง
เช่นเดียวกับที่สวี่ผิงเฟิงรีบร้อนอยากรู้สถานการณ์สงครามชายแดนเหนือ พวกเขาก็กังวลสถานการณ์สนามรบที่ราบลุ่มภาคกลาง
อย่าว่าแต่ทางนี้สู้เป็นสู้ตาย ทางนั้นก็เมืองแตกคนตายแล้ว
สวี่ผิงเฟิงไม่สนใจคำพูดยั่วยุของลูกชายคนโต ส่งกระแสจิตให้ทุกคนว่า
“ยึดยงโจวได้แล้ว ยามนี้ทัพอวิ๋นโจวกำลังเคลื่อนพลสู่เมืองหลวง”
หุ่นเชิดไม่อาจเปิดปากพูด ได้แต่ส่งกระแสจิต นอกจากนี้ เขาจงใจเลือกส่งกระแสจิตให้ทุกคน สร้างความกดดันทางจิตใจให้อาซูหลัวและคนอื่นๆ
ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจจะส่งผลกระทบต่อสภาพการรับศึก สำหรับระดับเหนือมนุษย์ฝ่ายต้าฟ่ง ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจเป็นความแตกต่างระหว่างความเป็นความตาย
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พ่นลมหายใจพูดว่า
“ดี!”
ไป๋ตี้หัวเราะเยาะ พึงพอใจกับความคืบหน้าของทัพอวิ๋นโจวอย่างยิ่ง ยึดต้าฟ่งได้ โหราจารย์ต้องตาย เขาก็กลั่นหลอมพลังปราณผู้เฝ้าประตูได้อย่างราบรื่น เตรียมพร้อมสำหรับเคราะห์ใหญ่ในภายภาคหน้า
อาซูหลัวกับนักบวชเต๋าจินเหลียนหนักใจ เป็นผลลัพธ์สุดท้ายที่ไม่อยากเห็นเลยจริงๆ
พวกเขาพบว่าสวี่ชีอันกับจ้าวโส่วมีสีหน้าผ่อนคลายทันที ไม่ได้เคร่งเครียดแม้แต่น้อย
จ้าวโส่วยิ้มแย้ม พูดว่า
“เว่ยเยวียนคืนชีพแล้ว”
อาซูหลัวไม่รู้ว่าเว่ยเยวียนคือผู้ใด ความหนักอึ้งในใจไม่ลดลง นักบวชเต๋าจินเหลียนกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย เผยยิ้มออกมา
“ดีมาก!”
บนสนามรบที่ราบลุ่มภาคกลางที่พลังต่อสู้ระดับเหนือมนุษย์แทบเสมอกัน มีเว่ยเยวียนรักษาการณ์ภาพรวม วางแผนกลยุทธ์ในกระโจมค่าย ต้าฟ่งแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแพ้ แม้นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่รู้ว่าเว่ยเยวียนจะมีไพ่ตายอะไร แต่เขามั่นใจในตัวเว่ยเยวียนอย่างยิ่ง
ชื่อเสียงคนเราเหมือนเงาตามตัว
อาซูหลัวสังเกตคู่ต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ก่อนหลังของเจียหลัวซู่ ถามอย่างแปลกใจอยู่บ้าง
“เว่ยเยวียนคือผู้ใด”
เขาถามจ้าวโส่วกับนักบวชเต๋าจินเหลียน
นักบวชเต๋าจินเหลียนให้ความเห็น
“เชี่ยวชาญวางแผน บัญชากองทัพ พรสวรรค์บำเพ็ญตบะก็ไม่เลว”
อาซูหลัวขมวดคิ้ว พูดในใจ ‘แค่นี้?’
จ้าวโส่วพูดเสริม
“เขากับโหราจารย์ประลองหมาก ไม่เคยพ่ายแพ้”
…อาซูหลัวนิ่งเงียบชั่วครู่ ค่อยๆ เผยยิ้ม
“ดีมาก!”
เขาขจัดความวิตกกังวลในใจจนหมดสิ้น
อีกฝั่งหนึ่ง สวี่ผิงเฟิงพินิจลูกชายคนโต ส่งกระแสจิตถามไป๋ตี้ “เขาเป็นอะไรไป”
ไป๋ตี้เลียมุมปากโดยไม่รู้ตัว แววตาเปล่งประกายความตะกละและความหิวกระหาย “ในร่างเขามีแหล่งพลังปราณของต้นไม้อมตะ ต้นไม้อมตะคือหนึ่งในเทพกู่บรรพกาล มีพลังชีวิตโดดเด่นแห่งยุค เป็นอมตะชั่วนิรันดร์ แม้เป็นความวุ่นวายครั้งใหญ่ในยามนั้น ก็ไม่อาจทำลายต้นไม้อมตะได้อย่างแท้จริง เทียบกันแล้ว ร่างอมตะของจอมยุทธ์อยู่ตรงหน้าแหล่งพลังปราณของต้นไม้อมตะ เป็นเพียงทักษะเล็กๆ”
มู่หนานจือคือเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิด แหล่งพลังปราณคงอยู่ตลอดไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาติก่อนของเทพดอกไม้คือต้นไม้อมตะ สวี่ชีอันบำเพ็ญคู่กับนาง ฉกฉวยแหล่งพลังปราณของต้นไม้อมตะ มิน่าล่ะเขาถึงยิ่งต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่ง…สวี่ผิงเฟิงเข้าใจจุดสำคัญในนั้นทันที
ปรากฏการณ์ยิ่งต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งขัดกับสามัญสำนึก ตั้งแต่ขั้นสองระดับต้นก้าวสู่จุดสูงสุดขั้นสอง ก็เกินขอบเขตการระเบิดพลังแฝงแล้ว
แต่ถ้าในร่างสวี่ชีอันมีแหล่งพลังปราณของต้นไม้อมตะ ผ่าน ‘จิต’ พิเศษของเขา ค่อยๆ ซึมซับและกลั่นหลอมในการต่อสู้ ก็อธิบายปรากฏการณ์ยิ่งต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งได้
ไป๋ตี้ยิ้มพลางกล่าว
“ไม่ต้องกังวล แหล่งพลังปราณในร่างเขาเหลือไม่มาก นอกจากตัวต้นไม้อมตะเอง ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ตามล้วนทำได้เพียงซึมซับแหล่งพลังปราณส่วนหนึ่ง ยิ่งใช้ยิ่งลด ก่อนที่ลั่วอวี้เหิงจะพ้นเคราะห์ชะตาร่างธรรมทั้งสี่ ข้ามั่นใจว่าฆ่าเขาได้”
ในด้านนี้ มันผู้ซึ่งเคยกลืนกินลำต้นส่วนหนึ่งของต้นไม้อมตะ มีสิทธิ์ในการออกความเห็นอย่างยิ่ง
นี่สวี่ผิงเฟิงถึงโล่งอก’หัวใจ’กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม ไป๋ตี้ในฐานะเทพมารที่มีอายุยืนยาว ซ้ำยังเคยสัมผัสต้นไม้อมตะ การตัดสินของมันย่อมต้องไม่ผิดพลาด
ทุกคนยุติการวิพากษ์วิจารณ์ ช่วงที่หยุดนิ่ง ไม่รู้ฝุ่นทรายที่ฟุ้งตลบอบอวลสงบลงตั้งแต่ยามใด
พ้นเคราะห์อัสนีปฐพีอย่างปลอดภัย
วินาทีต่อมา เมฆดำที่โหมกระหน่ำในท้องฟ้าสูงรุนแรงขึ้น ‘ครืน’ สายฟ้าแลบพาดผ่านขอบฟ้า จากนั้นพายุฝนตกหนัก หยาดฝนหนาเท่านิ้วเทลงมา กลางฟ้าดินเต็มไปด้วยหมอกฝนมัวสลัว
คลุมเครือไปหมด
ไป๋ตี้มองเงาร่างที่ถูกม่านฝนปกคลุมข้างหน้า ยิ้มราบเรียบพูดว่า
“เจ้าคิดว่าเหตุใดข้ามั่นใจว่าจะฆ่าเจ้าได้ก่อนที่ชะตาร่างธรรมทั้งสี่จบสิ้น ข้ารอเคราะห์อัสนีวารี ที่นี่ จะเป็นสนามเหย้าของข้า!”
เพิ่งสิ้นเสียงพูด ในชั้นเมฆโหมกระหน่ำเกิดฟ้าแลบ ผ่าลงมาตรงจุดเขาหักบนศีรษะมัน
นี่ไม่ใช่เคราะห์สวรรค์ เป็นฟ้าแลบทั่วไป แต่ปนเปื้อนกลิ่นอายเคราะห์สวรรค์ส่วนหนึ่ง
ท่ามกลางหมอกฝนมัวสลัว ฟ้าแลบคดเคี้ยวแต่ละสายมีศูนย์กลางอยู่ที่มุมแหลม กระจายไปข้างนอกอย่างต่อเนื่อง ราวกับรยางค์หมึกกระดอง
ไป๋ตี้ในม่านฝน ราวกับราชาผู้ซึ่งปกครองโลกใบนี้
…
เมืองหลวง
ประตูเมืองเปิดกว้าง ขบวนรถหลายสายเลียบตามทางหลวงเข้าสู่เมืองหลวง พร้อมด้วยคนเดินเท้าแบกสัมภาระ รวมทั้งครอบครัวเศรษฐีที่โดยสารรถม้า
บนประตูเมือง โหรจากสำนักโหราจารย์ร่วมมือกับทหารปกป้องเมืองซักถาม จำแนกแยกแยะสายลับ
ในงานจัดวางกำลังป้องกัน กลยุทธ์ผลาญภพเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญ
ฉางเล่อกับไท่กังต่างมีทหารอารักขาสามพันนาย ปืนใหญ่หน้าไม้ใหญ่ครบถ้วนสมบูรณ์ สองอำเภอร่วมมือกับเมืองหลวง เมื่อสู้รบก็เป็นทหารกองหนุนของกันและกัน เฝ้าสังเกตการณ์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
แต่หมู่บ้านตำบลไม่มีปัจจัยในการป้องกัน
เพื่อไม่ให้ทัพกบฏขูดรีดได้เสบียงอาหาร ราชสำนักตัดสินใจให้ครอบครัวเศรษฐีกับเจ้าของที่ดินในหมู่บ้านตำบลเข้าสู่เมืองหลวง เก็บภาษีเข้าเมืองอย่างเหมาะสม สำหรับพวกเจ้าของที่ดิน นี่คือเรื่องดีที่สองฝ่ายเห็นด้วย
จ่ายค่าภาษีที่นาส่วนหนึ่งก็ได้รับการคุ้มครอง ย่อมต้องดีกว่าถูกทัพกบฏแย่งชิง ข้อแรกเพียงต้องจ่ายค่าตอบแทนส่วนหนึ่ง ข้อหลังอาจถูกฆ่า
บนกำแพงเมือง กรรมกรชาวบ้านจำนวนมากงานยุ่งจนหัวหมุน บ้างก็เสริมความแข็งแรงของกำแพงเมือง บ้างก็ขนย้ายอาวุธปกป้องเมืองเช่นหินยักษ์และท่อนไม้หนาม
พลปืนใหญ่ตรวจสอบหน้าไม้ใหญ่และปืนใหญ่ว่าใช้ได้ปกติหรือไม่ เหล่าทัพแตกต่างกัน ตรวจสอบยุทโธปกรณ์แตกต่างกัน
เหล่าทหารราบตะบึงบนทางฝึกม้าเป็นกลุ่มเป็นก้อน ทำการฝึกซ้อมที่ดูเหมือนไม่มีความหมายเช่น ‘ถึงเขตปฏิบัติหน้าที่ในเวลาสั้นที่สุด’ และ ‘รีบทำความคุ้นเคยกับตำแหน่งอาวุธที่แตกต่างกัน’
ภายใต้การร่วมมืออย่างกระตือรือร้นของขุนนาง งานจัดวางกำลังป้องกันเป็นไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
สำนักโหราจารย์
ซุนเสวียนจีพาผู้พิทักษ์หยวนมาถึงฐานที่มั่น ‘พรรคซ่ง’…ห้องกลั่นโอสถ โหรชุดขาวยี่สิบถึงสามสิบคนกำลังยุ่งจนหัวหมุน บ้างก็หลอมเหล็ก บ้างก็ตีเหล็ก บ้างก็…สร้างดินปืน
ซุนเสวียนจีเหลียวซ้ายแลขวาทันที จากนั้นสีหน้าผ่อนคลายขึ้นบ้าง
ผู้พิทักษ์หยวนเจอโอกาสดีที่จะพูดเสียงในใจแทนเขา
“โชคดีที่ศิษย์น้องหญิงจงไม่อยู่ คนโง่ที่รู้เพียงเล่นแร่แปรธาตุพวกนี้ จะกล้าสร้างดินระเบิดในหอได้อย่างไร”
ราวกับกดปุ่มปิดเสียง ห้องกลั่นโอสถเงียบกริบทันที พวกโหรชุดขาวหยุดงานในมือเงียบๆ มองมาด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ซุนเสวียนจีมุมปากกระตุกเล็กน้อย
ซ่งชิงข้างๆ ยักไหล่
ซุนเสวียนจีพยักหน้า แกล้งทำเป็นว่าเรื่องเมื่อครู่จบลงเท่านี้
ผู้พิทักษ์หยวนจ้องซ่งชิงแวบหนึ่ง พูดโดยไม่ได้ตั้งใจ
“คนใบ้ผู้นี้ ที่แท้ตำหนิพวกเราในใจทุกวัน ถุย!”
ซ่งชิงมีสีหน้าแข็งทื่อทันที
ศิษย์พี่น้องซุนเสวียนจีกับซ่งชิงจ้องมองซึ่งกันและกันเงียบๆ ไม่กี่วินาที คนหนึ่งหยิบแอกไม้ อีกคนหยิบมีดตัดฟืน…
ผู้พิทักษ์หยวนที่สวมแอกไม้ถูกไล่ไปรับโทษยืนที่ทางเดิน ซ่งชิงหยิบแผ่นจานโลหะสูงสองนิ้วออกมา พูดว่า
“นี่คืออาวุธที่ข้าเพิ่งทำขึ้น”
ซุนเสวียนจีไม่พูด พินิจแผ่นจานโลหะ รอซ่งชิงอธิบาย
“อานุภาพของมันไม่น้อยกว่ากระสุนปืนใหญ่ แต่ไม่ใช่ใช้ยิง ใช้ฝังไว้ใต้ดิน” ซ่งชิงชี้ที่ซึ่งนูนขึ้นมาบนแผ่นจานโลหะ พูดว่า
“ตรงนี้ใส่หินเหล็กไฟ ขอเพียงเหยียบลงไป หินเหล็กไฟก็จะเสียดสี จุดชนวน เสียงดัง ‘ตูม’ ย่อยยับทั้งคนทั้งม้า กระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหกทนได้มากที่สุดเพียงสองครั้ง ถ้าจอมยุทธ์ขั้นสี่กล้าเหยียบลงไปตลอดทาง ก็ต้องระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
“จริงสิ ข้ายังเติมไป๋หลิน[1]จำนวนมากไว้ข้างใน เมื่อแตะตัวคน ก็ดุจพิษในกระดูก ไม่อาจกำจัด ไม่ตายไม่เลิกรา
“ที่น่าเสียดายคือไป๋หลินใช้ได้เพียงในฤดูหนาว ยามนี้อากาศหนาวเย็น ไม่ต้องกังวลว่ามันจะเผาไหม้เอง
“ของสิ่งนี้เรียกว่า ‘ทุ่นระเบิด’ คุณชายสวี่เป็นคนตั้งชื่อ”
หมู่นี้เขาค้นคว้ามาโดยตลอดว่าจะสร้างทุ่นระเบิดอย่างไร แรงบันดาลใจมาจากหนังสือชื่อ ‘สารานุกรมยุทโธปกรณ์’ ที่สวี่ชีอันมอบให้
ตามคำพูดของฆ้องเงินสวี่ นี่คือสิ่งที่เขาทุ่มเททั้งกายและใจเขียนขึ้น (ถูกนักเล่นแร่แปรธาตุกลุ่มหนึ่งตามตื๊อจนหมดหนทาง ถือโอกาสเขียนมั่วอย่างขอไปที) ข้างในบันทึกอาวุธต่างๆ ที่เรียกได้ว่าดุเดือดเลือดพล่าน เช่น รถถัง เครื่องบินขับไล่ ระเบิดมือ ทุ่นระเบิด และระเบิดนิวเคลียร์ เป็นต้น
ซ่งชิงตกตะลึงกับความคิดอัศจรรย์ของคุณชายสวี่ แต่คำอธิบายเกี่ยวกับอาวุธข้างในเรียบง่ายเกินไป
รถถัง…รถม้าเกราะเหล็ก ข้างในติดตั้งปืนใหญ่
ระเบิดมือ…กระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ขว้างได้
ทุ่นระเบิด…ดินระเบิดที่ฝังไว้ใต้ดิน
ระเบิดนิวเคลียร์…ศิลปะการต้มน้ำ
ซ่งชิงค้นคว้าไปค้นคว้ามา พบว่าทุ่นระเบิดคืออาวุธที่เข้าท่าและคุ้มค่ากับการค้นคว้าที่สุด เหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันของต้าฟ่ง…สงครามปกป้องเมือง
รถถังไม่ค่อยมีความหมาย เห็นแล้วก็รู้ว่าค่าสร้างแพงลิ่ว อีกทั้งเมื่อเจอยอดฝีมือ น่าจะพังทลายในดาบเดียว
ถ้าเป็นระเบิดมือ ใช้ปืนใหญ่ยิงได้ เหตุใดต้องใช้มือขว้าง
ส่วนระเบิดนิวเคลียร์อะไรนั่น ซ่งชิงไม่เข้าใจว่าอาวุธกับการต้มน้ำมีอะไรเกี่ยวข้องกัน
ซุนเสวียนจีฟังแล้วตาเป็นประกาย พูดสั้นกระชับ
“จำนวน!”
“ยามนี้มีเพียงแปดพันชิ้น อยู่ในโกดังสุดทางเดิน รบกวนศิษย์พี่ซุนนำพวกมันไปให้กองทัพป้องกันเมือง” ซ่งชิงพูด
นี่คือขีดจำกัดที่เขาทำได้ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุ และคือการแก้แค้นของเขาต่อทัพอวิ๋นโจว
…
ชานเมืองที่ราบเรียบกว้างขวาง กองทัพเจ็ดหมื่นนายเดินหน้าสู่เมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ธงอวิ๋นโจวโบกสะบัดพัดพลิ้วท่ามกลางลมแรง
ในกองทัพเจ็ดหมื่นนายนี้ ทหารสวมเกราะที่แท้จริงมีเพียงประมาณสามหมื่นนาย ที่เหลือประกอบด้วยทหารอาสาและกองทัพท้องถิ่น
ทั้งสองทัพนี้ประกอบด้วยชาวบ้านเชลยศึกยงโจว ทหารอาสารับผิดชอบงานซับซ้อน เช่น การคุ้มกันเสบียงอาหาร ปืนใหญ่อาวุธยุทโธปกรณ์ ซ้ำยังต้องถมถนน และก่อไฟทำอาหาร
กองทัพท้องถิ่นคัดเลือกจากหนุ่มน้อยกำยำในหมู่ทหารอาสา แต่ละคนพกดาบหนึ่งเล่ม รีบร้อนเข้าสู่สนามรบ
เหล่าทัพเช่นนี้ ไม่ว่าทัพอวิ๋นโจวหรือทัพต้าฟ่งก็ไม่ขาดแคลน
เพียงแต่กองกำลังเกรียงไกร สองฝ่ายยิ่งสู้ยิ่งน้อย
ชีก่วงป๋อนั่งบนหลังม้า มองเมืองสูงตระหง่านน่าเกรงขามตรงจุดสิ้นสุดเส้นขอบฟ้า พ่นลมหายใจช้าๆ
“เมืองหลวง ในที่สุดก็มาถึง!”
ข้างหลังเขาคือแม่ทัพผู้เก่งกล้า เช่น จีเสวียน หยางชวนหนาน และเก่อเหวินเซวียน
ได้ยินคำพูดนี้ จีเสวียนและคนอื่นๆ รู้สึกใจหายเหลือเกิน
ตั้งแต่ก่อกบฏ จนบัดนี้เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้ว ทัพอวิ๋นโจวขยายแนวรบจากใต้สู่เหนือ ระหว่างทางทิ้งศพสหายร่วมรบและศัตรูนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่สมัยโบราณใต้บัลลังก์ล้วนเป็นกระดูกขาวกองพะเนิน เส้นทางสู่จักรพรรดิแต่งแต้มบรรจบด้วยโลหิตแดงฉานของราษฎร
ชีก่วงป๋อกระทุ้งท้องม้า ให้ม้าศึกวิ่งไปข้างหน้าระยะสั้นๆ จากนั้นหันหัวม้า เผชิญหน้ากองทัพใหญ่ พูดเสียงดัง
“กองทัพบุตรแห่งสวรรค์ออกจากอวิ๋นโจวสามเดือนกว่า เหล่าทหารติดตามข้าผู้นี้ออกศึก ม้าเหยียบย่ำที่ราบลุ่มภาคกลาง ยึดครองชิงโจวและยงโจวตามลำดับ บัดนี้กองทัพยกทัพประชิดเมืองหลวง มุ่งหวังชัยชนะ ยึดครองเมืองนี้ ที่ราบลุ่มภาคกลางก็จะกลายเป็นของพวกเรา
“แต่งตั้งอ๋องและเสนาบดีก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ ผู้ใดขึ้นบนกำแพงเมืองคนแรก ให้รางวัลเป็นทองพันตำลึง แต่งตั้งเป็นว่านฮู่โหว[2]”
“เฮ!”
หลายหมื่นคนเปล่งเสียงตะโกนพร้อมกัน คลื่นเสียงราวกับกระแสน้ำทะเล เกริกก้องกังวาน
‘ตึงๆๆ!’
เสียงกลองดุจฟ้าร้อง กองทัพออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
…
ครึ่งชั่วยามก่อน หอเฮ่าชี่
หอสังเกตการณ์เจ็ดชั้น เว่ยเยวียนที่ชุดเขียวพัดพลิ้วและจอนผมสีดอกเลายืนมือไพล่หลัง ก้มมองฆ้องทองคำ ฆ้องเงิน รวมทั้งฆ้องทองแดงสี่ตำแหน่งข้างล่าง
ทั้งหมดสามร้อยกว่าคน
เว่ยเยวียนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราบเรียบ
“นับแต่วันนี้ ผู้ที่รอดชีวิต เลื่อนตำแหน่งหนึ่งขั้น ให้รางวัลเป็นทองพันตำลึง
“ถ้าผู้ใดตาย ข้าแบกโลงศพด้วยตนเอง!”
เจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกระเหี้ยนกระหือรือ แววตาร้อนแรง ตะโกนว่า
“ยอมลงน้ำเดือดลุยกองเพลิงเพื่อเว่ยกง ตายหมื่นครั้งก็ไม่ย่อท้อ!”
…
‘เปรี๊ยะๆ!’
ฟ้าแลบขนาดใหญ่เท่าแขนคดเคี้ยวพาดผ่านบนท้องฟ้า สร้างสองรอยไหม้เกรียมบนพื้น น้ำฝนในบริเวณนั้นระเหยจนแห้งทันที
เงาร่างของสวี่ชีอันโผล่ออกมาจากเงาหินที่ห่างออกไปหกสิบกว่าเมตรทางด้านขวา
‘ซ่าๆๆ’…เขาเพิ่งปรากฏตัว น้ำฝนบนศีรษะก็กลายเป็นฝนลูกธนูและม่านระเบิดปกคลุมเขาทันที ทิ้งหลุมตื้นๆ ไว้บนร่างกายของเขา
ในฐานะจิตวารีโดยกำเนิด ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมหาสมุทรและพายุฝน พลังของไป๋ตี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือมันไม่ต้องสำแดงพลังเวทมนตร์ ซึมซับจิตวารีจากอากาศ
น้ำฝนมืดฟ้ามัวดินราวกับการแผ่ขยายแขนขาของมัน เปลี่ยนเป็นของตนเองและลงมือจัดการศัตรูได้ทุกเมื่อ
เจ็บมาก…สวี่ชีอันแยกเขี้ยวยิงฟัน เขาไม่ได้แบ่งความสนใจต่อต้านการโจมตีมืดฟ้ามัวดิน หลอมรวมกับเงามืดหายไปอีกครั้ง
‘ตูม!’
หินก้อนนั้นที่เขาใช้วิชากระโดดสู่เงา ครู่ต่อมาก็ถูกฟ้าแลบคดเคี้ยวไปทั่วบดขยี้
เขาแหลมสองข้างบนศีรษะไป๋ตี้ปลดปล่อยฟ้าแลบที่ดุร้ายน่ากลัวและดุเดือดเลือดพล่านแต่ละสายอย่างต่อเนื่อง เสียง ‘เปรี๊ยะๆ’ ทำให้ขนหัวลุกชัน
สวี่ชีอันใช้วิชากระโดดสู่เงา ใช้ความเร็วสูงตะบึง พุ่งไปด้านข้าง และเกลือกกลิ้ง เพื่อหลบฟ้าผ่าน่าหวาดกลัว
แต่ม่านฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นสิ่งที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยากที่จะหลบเลี่ยง ม่านพลังปราณไม่อาจต้านทานเจดีย์พุทธะระบบวารีของไป๋ตี้ อัญเชิญเจดีย์พุทธะ อาศัยความแข็งแกร่งตามธรรมชาติของของวิเศษ กลับต้านพลังฝนได้หลายระลอก
ในระหว่างนี้ ไป๋ตี้ไล่กัดสวี่ชีอัน ให้เขาตกอยู่ในสภาพแวดล้อมราวกับ ‘ทุกสิ่งเป็นศัตรู’
ทุกวินาทีทุกนาทีผ่านไป บาดแผลบนร่างของสวี่ชีอันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เขาถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงหลบ คล้ายว่าไม่มีแรงแม้แต่จะตอบโต้
‘ซ่า’…น้ำนิ่งหมุนวนขึ้นมา พัดพาโคลนและกรวด ก่อตัวเป็นพวยน้ำขนาดใหญ่
ไป๋ตี้หลับตา เลิกไล่ตามสถานการณ์ ใบหูกระดิก จับเสียงทั้งหมดรอบตัว
ในการรับรู้สัมผัสของมัน โลกนั้นดำขลับ ในความมืดหยาดฝนนำมาซึ่งระลอกคลื่น ระลอกคลื่นแต่ละแห่งวาดเค้าโครงที่มาของเสียง สุดท้ายสะท้อนโลกที่แท้จริงกลับสู่สมองของมัน
ในโลกเช่นนี้ ไม่ว่าลมพัดใบหญ้าไหวใดก็ตามล้วนถูกขยายใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
นี่คือพลังวิเศษพรสวรรค์ในตัวของไป๋ตี้
หาเจอแล้ว…ไป๋ตี้ลืมตาทันที นัยน์ตาสีครามเข้มจ้องที่ใดที่หนึ่งเขม็ง พวยน้ำพุ่งเข้าไปอย่างรุนแรง
ที่ซึ่งถูกไป๋ตี้จ้องเขม็ง ปรากฏเงาร่างของสวี่ชีอันพอดี
สวี่ชีอันเพิ่งโผล่มาจากสภาวะวิชากระโดดสู่เงา รู้สึกว่าสองเท้าแข็งทื่อกะทันหัน ข้อเท้าถูกพันด้วยรยางค์สองเส้นที่เกิดจากน้ำฝน สิ่งที่เผชิญหน้าคือพวยน้ำที่มีโคลนและกรวดปะปน ถาโถมเข้ามาด้วยพลังสายฟ้าหนักหน่วง
แย่แล้ว…ใจเขาจมดิ่ง
สวี่ผิงเฟิงที่มองอยู่ไกลๆ ยืนมือไพล่หลัง ท่าทางสบายใจ
………………………………………………………
[1] ไป๋หลิน 白磷 หมายถึง ฟอสฟอรัสขาว
[2] ว่านฮู่โหว 万户侯 คือบรรดาศักดิ์โหวในสมัยโบราณ กินศักดินาหมื่นครัวเรือน
Comments