ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 784 เซียนครองพิภพ
บทที่ 784 เซียนครองพิภพ
Ink Stone_Fantasy
ณ อวิ๋นโจว เมืองเฉียนหลงซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาภูเขาลึก เหนือทะเลเมฆอันปั่นป่วน เรือขนาดใหญ่มหึมาลำหนึ่งค่อยๆ ลดระดับลงมา
‘ตู้ม!’
ตัวเรือสั่นสะเทือนทันที ราวกับว่าชนแนวโขดหิน
บนท้องฟ้าเหนือเมืองเฉียนหลง มี ‘เปลือก’ ปรากฏขึ้นขวางกั้นแขกไม่ได้รับเชิญที่ร่อนลงมาจากฟ้า
ชั่วขณะที่เรืออวี่เฟิงถูกขวางกั้นโดยค่ายกลป้องกัน ร่างในชุดขาวซึ่งสวมผ้าคลุมศีรษะก็บินขึ้นมาจากเรือ ก้มลงมองทั่วทั้งเมืองเฉียนหลง
“ค่ายกลนี้ประกอบด้วยเจ็ดสิบหกค่ายกลในมหาคัมภีร์ค่ายกลตี้ซ่า จอมยุทธ์ขั้นสี่ก็ไม่อาจทำลายได้ ยุ่งยากพอสมควร”
หยางเชียนฮ่วนกล่าวเสียงเรียบ
หนานกงเชี่ยนโหรวที่อยู่ตรงขอบเรืออวี่เฟิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“แล้วเจ้าสามารถทำได้อย่างนั้นหรือ”
หยางเชียนฮ่วนยืนเอามือไพล่หลังและพูดด้วยน้ำเสียงเยี่ยงผู้ชนะ
“ง่ายนิดเดียว!”
จอมยุทธ์ขั้นสี่ไม่อาจทำลายได้ ไม่ได้หมายความว่าโหรขั้นสี่ทำไม่ได้ เขาจงใจเน้นย้ำ เพื่อแสดงถึงความพิเศษไม่มีใครเหมือนของตัวเอง
พูดจบ เท้าทั้งสองข้างของหยางเชียนฮ่วนก็แตะลงบนค่ายกลป้องกัน ฝ่าเท้าเปล่งแสงเป็นวงกลมหลายวง
ในสายตาของคนนอก ค่ายกลวงกลมเหล่านี้ไม่มีความแตกต่างใดๆ เลย ต่างก็มีสัญลักษณ์แปดทิศเป็นพื้นฐาน ร่างเส้นกากบาทและสัญลักษณ์ลึกลับบิดเบี้ยวออกมา
แต่หลังจากค่ายกลวงกลมที่หยางเชียนฮ่วนแผ่ขยายออกไปรวมเข้ากับค่ายกลป้องกัน ค่ายกลป้องกันที่ปกคลุมเมืองเฉียนหลงแห่งนี้ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เหมือนมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับโครงสร้างของค่ายกล ค่ายกลเล็กๆ เจ็ดสิบหกรูปแบบที่ประกอบเป็นค่ายกลใหญ่สลายไปอย่างรวดเร็ว
ในด้านของค่ายกล ค่ายกลที่แข็งแกร่งเช่นนี้ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย เพราะโครงสร้างของมันถูกแก้ไข เพียงแค่หาจุดอ่อนและทำลายมันโดยตรง
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับระดับขั้นของผู้สร้างค่ายกล ค่ายกลไฟก็คือค่ายกลไฟ ค่ายกลน้ำก็คือค่ายกลน้ำ แม้แต่โหรระดับสูงก็ไม่สามารถเปลี่ยนค่ายกลไฟให้เป็นค่ายกลน้ำได้
อย่างมากก็ทำให้โครงสร้างซับซ้อนเล็กน้อย
ไม่ว่าจะค่ายกลใด ต่างก็มีวิธีทำลายค่ายกลที่สอดคล้องกัน
เช่นเดียวกับที่สวี่ผิงเฟิงสามารถทำลายค่ายกลที่ท่านโหราจารย์สร้างทิ้งไว้ได้ หยางเชียนฮ่วนก็สามารถทำลายค่ายกลที่เจ้าตัวสร้างได้เช่นกัน
เฉินอิงที่ยืนอยู่ข้างหนานกงเชี่ยนโหรวถอนหายใจ หากไม่มีหยางเชียนฮ่วนอยู่ด้วย ลำพังเพียงแค่ค่ายกลป้องกันนี่ก็ทำให้พวกเขาปวดหัวได้แล้ว
เกรงว่ากลยุทธ์สายฟ้าของเว่ยกงอาจจะไม่ได้ผล
เฉินอิงรู้สึกได้ในทันทีว่าเขาคิดผิด การโจมตีแบบสายฟ้าแลบไม่ได้น่าประหลาดใจเลย หยางเชียนฮ่วนเป็นคนที่เว่ยกงเอ่ยชื่อขอให้เข้าร่วมกองทัพบุกอวิ๋นโจว
แสดงให้เห็นว่าเว่ยกงคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีค่ายกลป้องกัน
“หึ หากเว่ยกงฟื้นเร็วกว่านี้ ชิงโจวก็คงไม่ล่มสลาย” เฉินอิงพึมพำ
ขณะที่พูด ค่ายกลป้องกันเบื้องล่างก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
เสียงกลองภายในเมืองเฉียนหลงดังกระหึ่ม หลังจากทหารอารักขาที่อยู่ตรงนั้นตื่นตระหนกไปชั่วขณะ ก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว และรวมพลกันในเมืองโดยแจ้งเตือนผ่านเสียงกลอง
ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองหันปากกระบอกปืนใหญ่ไปทางท้องฟ้า
“ลูกไก่ในกำมือ!”
เฉินอิงยิ้มเยาะและกำลังจะสั่งให้ลงจอด ทันใดนั้นก็เห็นร่างในชุดขาวปรากฏขึ้นนอกเรืออวี่เฟิง
คนในชุดขาวสวมหน้ากากเกราะเหล็ก ใบหน้าที่มองไม่เห็นหน้าตามองมาทางพวกเขาอย่างเงียบเชียบ เหยียดฝ่ามือและผลักออกไปอย่างแรง
ค่ายกลวงกลมแผ่ขยายทันที พุ่งเข้าใส่เรืออวี่เฟิง
ในค่ายกลวงกลม ตัวหนังสือดิน น้ำ ลม ไฟสว่างขึ้นทีละตัว ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ไม่ใช่เพราะพลังโจมตีของค่ายกลสามารถข่มขู่พวกเขาได้ แต่เรืออวี่เฟิงที่อยู่ใต้เท้าไม่สามารถทนรับการโจมตีระดับนี้ได้
หากเรืออวี่เฟิงถูกทำลาย ทหารชุดเกราะบนเรือจะล้มตายกันหมด
เวลานี้ ข้อบกพร่องของทหารถูกเปิดเผย พวกเขาไม่เกรงกลัวพลังทำลายล้างของค่ายกล แต่พวกเขาที่มีอยู่เพียงวิธีเดียวไม่อาจทำลายค่ายกลได้ และยิ่งไม่อาจใช้วรยุทธ์ป้องกันเรืออวี่เฟิงได้
ในช่วงเวลาคับขัน ชายผู้ไขว่คว้าดวงดาราก็มาถึง
หยางเชียนฮ่วนปรากฏตัวขึ้นด้านข้างเรือ เหยียดฝ่ามือออก กดบนค่ายกลวงกลมเบาๆ ค่ายกลที่ถูกผลักมาทางเรืออวี่เฟิงสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ค่ายกลส่งตัวใต้เท้าของหยางเชียนฮ่วนสว่างขึ้น ในชั่วพริบตาเขาก็ไปอยู่ตรงหน้าหุ่นเชิดในชุดขาว จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปคว้าศีรษะของหุ่นเชิด
หุ่นเชิดพยายามเคลื่อนย้ายเพื่อหลบหนี แต่หลังจากหยางเชียนฮ่วนจับใบหน้าไว้ ค่ายกลทั้งหมดก็ไร้ผล
“สวี่ผิงเฟิงหรือ”
เสียงทุ้มต่ำของหยางเชียนฮ่วนเล็ดลอดออกมาจากใต้ริ้วผ้า
“ได้ยินว่าเจ้าผนึกโจรเฒ่าอย่างท่านโหราจารย์แล้ว ทำได้ไม่เลว”
ฝ่ามือควบแน่นค่ายกลไฟ ไฟร้อนแรงพวยพุ่งออกมา ก่อตัวเป็นเปลวไฟยาวสิบกว่าเมตร
เมื่อเปลวไฟดับลง หุ่นเชิดโลหะในมือก็ถูกเผาจนแดงก่ำ ส่วนหัวละลายกลายเป็นเหล็กหลอมเหลวสว่างไสว
หุ่นเชิดตัวนี้เพิ่งเข้าสู่ขั้นสี่เท่านั้น ค่ายกลที่ใช้ได้จึงเป็นเพียงค่ายกลที่สวี่ผิงเฟิงสลักไว้ในนั้นตอนเริ่มต้นหลอมกลั่น จำนวนและพลังยังไม่มาก
แต่หยางเชียนฮ่วนเป็นโหรมากประสบการณ์ที่สามารถสู้กับปรมาจารย์ความลับสวรรค์ขั้นสามได้ แถมในระบบเดียวกันยังมีการกดระดับอีกด้วย
หนานกงเชี่ยนโหรวสั่งให้ลงจอดทันที ทหารชุดเกราะสี่พันนายบนเรือเตรียมพร้อม ทหารม้ายังคงได้เปรียบในการต่อสู้อย่างดุเดือดภายในเมือง ส่วนการสู้รบกันตามถนนและตรอกซอกซอย อย่างเลวร้ายที่สุดก็แค่ทิ้งม้า
แม้จะไม่มีม้าศึก พวกเขาก็ยังเป็นทหารราบชุดเกราะหนักที่ดาบหอกฟันไม่เข้าเช่นเดิม
บนยอดเขา ภายในลานกว้างที่มีศาลาสูงอยู่ทั่ว ชายวัยกลางคนในชุดม่วงปีนขึ้นไปบนศาลาสูงภายใต้การคุ้มกันของนักรบเงา แล้วจ้องมองเรือรบขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ ร่อนลงมาจากฟ้า
“จงส่งข่าวไปยังค่ายที่อยู่รอบๆ ทันทีว่าให้กลับมาช่วยเมืองเฉียนหลง”
ใบหน้าของชายวัยกลางคนในชุดม่วงเคร่งเครียดและเอ่ยเสียงขรึม
เขาไม่ได้ตื่นตระหนกเกินไป เมื่อวาน แนวหน้าส่งข่าวดีกลับมาว่า กองทัพอวิ๋นโจวยึดเมืองยงโจวได้โดยปราศจากการนองเลือด และยึดครองยงโจวได้อย่างสมบูรณ์
กองทัพสามารถรุกไปถึงเมืองหลวงได้ในเวลาไม่นาน และตัดสินแพ้ชนะกับต้าฟ่ง เพื่อยุติการต่อสู้ที่แย่งชิงความเป็นใหญ่นี้
แม้ว่าเวลานี้เมืองเฉียนหลงจะถูกกองทัพของศัตรูบุก แต่ก็อาจเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของต้าฟ่ง
ปีที่แล้ว ต้าฟ่งผ่านสงครามเมืองจิ้งซานในช่วงการเก็บเกี่ยวในสารทฤดูมาก่อน ทหารชั้นยอดนับแสนนายเสียชีวิตทางตอนเหนือ ยังไม่ทันได้พักฟื้น ก็เผชิญกับภัยหนาวอีก จากนั้นเขาก็ตั้งตนเป็นจักรพรรดิที่อวิ๋นโจว ส่งกองทัพขึ้นเหนือไปปราบปรามราชสำนัก
มาถึงวันนี้ ต้าฟ่งจะยังเหลือทหารผู้องอาจและแข็งแกร่งอีกสักกี่คน
ในเมืองเฉียนหลงมีทหารชั้นยอดอยู่ห้าพันนาย บวกกับทหารชั้นยอดในค่ายภูเขาบริเวณรอบๆ รวมแล้วมีทหารมากกว่าหนึ่งหมื่นนาย
เพียงพอที่จะป้องกันศัตรู
“ฮูหยิน ฮูหยิน…”
ภายในลานเล็กอันเงียบสงบ สาวใช้คนหนึ่งวิ่งมาอย่างเร่งรีบ ผลักบานประตูห้องสงบจิต
ภายในห้องมีหญิงงามคนหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ อิริยาบถงดงาม ผิวพรรณผุดผ่อง
“ฮูหยิน รีบตามข้าน้อยไปที่ห้องใต้ดินเพื่อซ่อนตัวเถิดเจ้าค่ะ ศัตรูบุกมาแล้ว”
สาวใช้ตะโกนอย่างตื่นตระหนก
หญิงงามชะงักงัน ตามมาด้วยสีหน้าสับสน แยกไม่ออกว่าดีใจหรือเศร้าเสียใจ
นางอยู่ในห้องหับส่วนตัวมาเป็นเวลานานและถูกห้ามไม่ให้ออกไปจากที่นี่ จึงทำได้เพียงส่งและรับข่าวสารผ่านสาวใช้ข้างกาย จึงรู้เรื่องสงครามในที่ราบภาคกลางบ้าง
เมื่อวานหลังจากมีข่าวส่งกลับมา เมืองเฉียนหลงก็ลุกเป็นไฟ ตั้งแต่ชนชั้นสูงไปจนถึงประชาชน ดื่มสุรากันด้วยความเบิกบานจนรุ่งสาง ตั้งตารอจะออกจากเมืองเฉียนหลงและเข้าสู่เมืองหลวง
เจ้าเมืองเฉียนหลงเคยให้สัญญากับประชาชนในเมืองว่า หลังจากพิชิตใต้หล้าได้ในอนาคต ประชาชนทั้งหมดในเมืองเฉียนหลงจะได้ย้ายกลับไปเมืองหลวง และกลายเป็นประชาชนชั้นสูงใต้เท้าจักรพรรดิ
“รู้หรือไม่ว่าแม่ทัพเป็นใคร” หญิงงามถามอย่างร้อนใจ
“ใช่สวี่ชีอันหรือไม่!”
สาวใช้มีสีหน้าร้อนรน
“ข้าน้อยจะรู้ได้อย่างไร รีบไปซ่อนตัวก่อนเถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นทหารที่บุกเข้ามาเหล่านั้นอาจสังหารฮูหยิน โดยไม่สนใจว่าท่านเป็นใคร”
ขณะพูด นางก็ลากนายหญิงแล้วรีบเดินไปทางห้องใต้ดิน
…
ค่ายภูเขาแต่ละแห่งนอกเมืองเฉียนหลง เวลานี้กำลังตกอยู่ในสงครามอันดุเดือด
ทหารราบเกราะหนักปีนขึ้นไปสู้กับธนูและปืนไฟเป็นกลุ่มๆ กระสุนปืนและลูกธนูพุ่งเข้าใส่ตัวพวกเขา สาดประกายไฟออกมา พวกเขาไม่มีพลังพอจะต่อกรกับทหารชุดเกราะที่แทบจะไม่มีจุดอ่อนหลังสวมชุดเกราะ
หลังจากหยางเชียนฮ่วนสังเกตเห็นตำแหน่งของเมืองเฉียนหลง เขาก็วาดแผนที่แบบง่ายๆ จากการตอบสนองของวิชามองปราณ และทำเครื่องหมายที่ตั้งของเมืองเฉียนหลงกับค่ายบริเวณรอบๆ
หนานกงเชี่ยนโหรววางแผนกับนายพลสองสามนาย แบ่งทหารม้าติดอาวุธออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเคลื่อนพลอย่างเงียบเชียบอยู่รอบๆ จากนั้นก็ซ่อนตัว หลังจากสงครามเริ่มขึ้น พวกเขาก็บุกยึดค่ายต่างๆ ในบริเวณรอบๆ เมืองเฉียนหลงทันที
อีกกลุ่มหนึ่งตามเรืออวี่เฟิงไปรบ ร่อนลงไปยังเมืองเฉียนหลงโดยตรง
นี่เป็นเพราะความจุของเรืออวี่เฟิงมีจำกัด ไม่อาจเคลื่อนทั้งม้าและคนไปยังเมืองเฉียนหลงได้ ความจริงแล้ว แม้แต่กองทัพแนวหน้าที่ร่อนลงมาจากฟ้าก็ต้องแบ่งขนถ่ายเป็นสองกลุ่ม
…
ชายแดนตอนเหนือ
เมฆชะตาก่อตัวเป็นเมฆเพลิงงดงาม จิตอัคคีในอากาศควบแน่นด้วยความเร็วที่น่ากลัว อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าสู่กลางฤดูร้อน และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนโลกนี้เป็นเตาหลอมขนาดยักษ์
‘ชี่ ชี่…’ แอ่งน้ำบนพื้นระเหยอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ยังมีโคลนเกลื่อนอยู่เต็มพื้น ทว่าวินาทีต่อมากลับแห้งกรังและแตกระแหง
ไป๋ตี้หรี่ตา ถอยไปข้างหลังเล็กน้อย อุณหภูมิสูงเช่นนี้ทำให้มันรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย
จิตวารีในอากาศแทบจะสลายหายไป วิชาจิตวารีของมันไม่สามารถใช้ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้ แต่โชคดีที่มันยังสามารถควบคุมสายฟ้าได้
ระหว่างเขา ลูกระเบิดอัสนีที่ยุบเข้าด้านในก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง และเตรียมพร้อม
ลั่วอวี้เหิงเงยหน้า นัยน์ตาที่ราวกับไข่มุกสีดำสะท้อนเมฆสีแดงเรืองรอง ความผิดหวังและความเศร้าโศกฉายในดวงตาของนาง
ผู้นำนิกายมนุษย์รุ่นก่อน พ่อของนางเสียชีวิตในชะตาเพลิงอัสนีบาตครั้งสุดท้าย
ในบรรดาชะตาธรรมทั้งสี่ ชะตาเพลิงอัสนีบาตทรงพลังและน่ากลัวที่สุด มันไม่เหมือนชะตาโอสถสุวรรณ ซึ่งมีแปดสิบเอ็ดวิถี แล้วก็ไม่เหมือนอีกสามชะตาในชะตาธรรมทั้งสี่ ซึ่งอ่อนแอในตอนแรกแข็งแกร่งในตอนหลัง และรุนแรงขึ้นทีละขั้นๆ
มันมีเพียงหนึ่งวิถี
หากผ่านไปได้ จะได้เป็นเซียนครองพิภพ แต่หากผ่านไปไม่ได้ ร่างกายจะอ่อนล้า จิตวิญญาณแตกกระจาย
“ทำข้าเจ็บเจียนตาย…”
เถ้าถ่านบนผิวของสวี่ชีอันหลุดลอกออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียน
ไต้ฝุ่นมังกรน้ำและสายฟ้าฟาดของไป๋ตี้เกือบทำให้เขาตายอยู่ตรงนี้
โชคดีที่ไม่ได้ครอบคลุมความทนทานของจอมยุทธ์ เซลล์ที่ตายแล้วถูกแทนที่ด้วยเซลล์ใหม่ อาการบาดเจ็บฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีปัญหา
เพียงแต่การฟื้นฟูเช่นนี้ต้องใช้พลังกายและพลังปราณของเขา ดังนั้นกลิ่นอายจึงอ่อนลง
จิตวิญญาณที่รวบรวมได้จากการพยายามจัดดอกไม้ยังมีอีกเกือบหนึ่งในสามที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย ไม่ได้เปิดใช้อย่างสมบูรณ์
พลังของเขาไปถึงขั้นสองสูงสุดแล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นประตูสู่ขั้นหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จิตวิญญาณของเทพดอกไม้จะทำได้
สวี่ชีอันเช็ดขี้เถ้าในมือบนเสื้อคลุมขนนกของลั่วอวี้เหิง จากนั้นก็จับมือเล็กๆ ของนางแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“อย่ากลัวไปเลย หลังข้ามผ่านชะตาไปได้ เราก็จะเป็นคู่ครองเทพเซียนในโลกอันไร้พันธนาการ”
ลั่วอวี้เหิงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งมาทางฝ่ามือ เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเขา นางก็ไม่ขุดคุ้ยเรื่องที่เขาทำให้ชุดคลุมของนางสกปรก
“หากล้มเหลวเล่า”
นางยังคงเจ็บปวดกับเรื่องชะตาเพลิงอัสนีบาตอยู่เล็กน้อย ตอนนั้นนางเห็นบิดาของนางกลายเป็นเถ้าถ่านในชะตาเพลิงอัสนีบาตกับตา
“เช่นนั้นก็เป็นคู่บำเพ็ญกันอีกในชาติหน้า” สวี่ชีอันยิ้ม
หากคนหนึ่งตายคนหนึ่งบาดเจ็บ เขาจะกลายเป็นจอมยุทธ์ที่วิญญาณดับสูญ…แต่ในช่วงวิกฤตจิตใจของเขาจะมั่นคงมาก
ทั้งสองคนมองตากัน
ใบหน้าอันงดงามไร้ที่ติของลั่วอวี้เหิงไม่เย็นชาอีกต่อไปและอ่อนโยนมากขึ้น
เวลานี้เอง ภายในเมฆชะตาที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เสาเพลิงหนาเท่าถังเก็บน้ำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
มันทรงพลังมาก ทำให้อากาศรอบๆ บิดเบี้ยว เสื้อผ้าและเส้นผมของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ในที่นี้ก็ติดไฟทีละนิดๆ จากคลื่นความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมา
มันกลืนกิน ‘คู่รักหวานซึ้ง’ ลั่วอวี้เหิงกับสวี่ชีอันในทันที เปลี่ยนพื้นใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาเป็นลาวาที่หลั่งไหลออกมา
ตอนนี้เอง…ระหว่างเขาของไป๋ตี้ ลูกระเบิดอัสนีที่เตรียมพร้อมแล้วก็ถูกยิงออกมาในทันที
สายฟ้าแลบ ลูกระเบิดอัสนีสว่างไสวพุ่งออกไป ทิ้งกระแสไฟฟ้าไว้ตามทาง
‘ตู้ม!’
ลูกระเบิดอัสนีพุ่งชนเสาเพลิงแตกกระจาย เปลวไฟหลายสายพุ่งไปทั่วทุกทิศทุกทาง ในจังหวะที่เสาเพลิงถูกพุ่งชน ไป๋ตี้ก็ไม่เห็นสวี่ชีอันกับลั่วอวี้เหิง ทั้งสองหายตัวไปแล้ว
วินาทีต่อมา เสาเพลิงก็กลับคืนสู่สภาพเดิม แผดเผาปฐพี
ในตอนนั้นเอง เสียงมังกรคำรามก็ดังมาจากบนฟ้า ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ในที่นี้เงยหน้าขึ้นมอง เห็นรางๆ ว่าในเสาเพลิงมีมังกรทองตัวใหญ่พุ่งทะยานสวนเปลวเพลิงขึ้นไป
อยู่บนนั้นหรือ
เขาคิดจะทำอะไรกัน
ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่ขมวดคิ้ว เจียหลัวซู่หยุดนิ่งและให้อภัยอาซูหลัวที่ถูกทุบตีจนแม่ยังจำไม่ได้ชั่วคราว
ในเปลวเพลิง สวี่ชีอันกอดลั่วอวี้เหิง พุ่งทะยานสวนเสาเพลิงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ลั่วอวี้เหิงมีร่างกายที่เป็นอมตะ กายเนื้อดำรงอยู่ในเสาเพลิงได้เป็นอย่างดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะปลอดภัย อันที่จริงนางกำลังอดทนกับความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายได้ ธรรมสี่กับกายเนื้อกำลังจะแตกสลาย
หากทนไม่ไหวก็จะกลายเป็นเถ้าถ่าน
‘อึดอัดมาก อึดอัดมากๆ…’ ผิวขาวนวลของลั่วอวี้เหิงซีดลงเรื่อยๆ ไม่ ไม่ใช่ซีดลง แต่เป็นโปร่งใส ร่างของนางราวกับรูปปั้นที่หล่อขึ้นจากแก้วหลากสี
หากเป็นแบบนี้ต่อไป ปราณชีวิตของนางคงจะมอดดับโดยสมบูรณ์ จากนั้นก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน เหมือนกับพ่อของนาง
“อย่าได้กลัวไป เจ้ามีข้าอยู่!”
เสียงกระซิบของสวี่ชีอันดังขึ้นข้างหู
ทันใดนั้นจิตใจของลั่วอวี้เหิงก็สงบลง เหมือนเรือเล็กในมหาสมุทรคลั่งแล่นเข้าสู่ท่าเรือสำหรับหลบภัย
นางหันไปมองด้านข้างแล้วเห็นร่างที่ไหม้เกรียม
ผิวของสวี่ชีอันไหม้เกรียมอย่างรวดเร็ว พอขี้เถ้าชั้นนอกหลุดลอกออก ก็เผยให้เห็นเนื้อบางสีเลือดแดงฉาน ก่อนเนื้อไหม้เกรียม กลายเป็นขี้เถ้าแล้วก็หลุดลอกออกอีกครั้ง หลังจากวนซ้ำอยู่หลายครั้ง ลั่วอวี้เหิงก็เห็นกะโหลกศีรษะที่ถูกเผาจนแดงของเขา
‘ต่อไปเป็นการแผดเผาจิตเดิม…’ นางกำลังจะประคับประคองร่างธรรม เพื่อต้านไฟชะตากรรมแทนเขา ทว่าจู่ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันเปี่ยมล้นที่เพิ่มขึ้้นภายในร่างของเขา
พลังชีวิตอันบริสุทธิ์และมหาศาลนี้ราวกับน้ำบริสุทธิ์ ซึ่งหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายอันอ่อนล้าของลั่วอวี้เหิงกับสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันหลับตาลง เริ่มจดจ่อกับการขัดเกลากายเนื้อ ปราณโลหิตและจิตใจ
ร่างเนื้อของเขาถูกเผาแล้วก็ฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ระหว่างกระบวนการนี้ แก่นแท้ ลมปราณกับจิตได้รับการผสานซ้ำแล้วซ้ำเล่าและประสมประสานกันอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็ได้เดินบนเส้นทางที่คนอื่นต้องเดินมานานหลายสิบปี
ยุทธการหนีเคราะห์กรรมนี้มีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก ไม่สิ แทบไม่มีโอกาสรอดเลยต่างหาก ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของอวิ๋นโจวและต้าฟ่งต่างก็คิดเช่นนั้น ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
หากไม่มีแผนรับมือ ชะตาเพลิงอัสนีบาตก็คือจุดจบชีวิตของสวี่ชีอัน และหากลั่วอวี้เหิงไม่พาเขาเข้าสู่ขอบเขตที่ชะตากรรมครอบคลุม สวี่ชีอันในตอนนี้ก็คงตายด้วยน้ำมือของไป๋ตี้แล้ว
แถมลั่วอวี้เหิงยังไม่มีโอกาสได้รวบรวมตบะ หลังจากผ่านชะตาโอสถสุวรรณไปได้ นางอาจจะต้องช่วยสวี่ชีอันสกัดศัตรู จากนั้นเมื่อชะตากรรมรอบต่อไปมาถึง นางก็ไม่อาจหนีเคราะห์กรรมได้พ้นเพราะสูญเสียพลังเวทมนตร์ไปมาก
หรือไม่นางก็ไม่ต้องสนใจความเป็นความตายของสวี่ชีอันและคนอื่นๆ ซ่อนตัวเพื่อรวบรวมตบะ ราคาคือสวี่ชีอันและผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์คนอื่นๆ ดับสูญ ต้าฟ่งล่มสลาย
ในทางกลับกันลั่วอวี้เหิงอาจจะอยู่รอดต่อไปได้
ลั่วอวี้เหิงเลือกอย่างแรกแล้ว แต่ก็ยังคงไร้ซึ่งหนทาง
ดังนั้นจงเผชิญความตายอย่างกล้าหาญ
แต่จะเป็นไปได้อย่างไร
ความคิดที่สวี่ชีอันเสนอคือ ใช้การหนีเคราะห์กรรมเลื่อนระดับสู่ขั้นหนึ่ง
เขาเลื่อนระดับสู่ขั้นหนึ่ง
ตอนได้ยินที่เขาเสนอ อาซูหลัว จินเหลียนและจ้าวโส่วเกือบจะคิดว่าเด็กนี่เสียสติไปแล้ว
เพิ่งเลื่อนขั้นสู่ขั้นสองได้ครึ่งเดือน คิดจะก้าวเข้าสู่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้วหรือ
เจ้าดูหมิ่นแนวทางบำเพ็ญ ไม่ให้เกียรติผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ในใต้หล้า ไม่เคารพโค่วหยางโจว
แต่คำพูดต่อมาของสวี่ชีอันโน้มน้าวพวกเขา ทำให้พวกเขาตัดสินใจทุ่มเดิมพัน เสี่ยงดวงกับสวี่ชีอัน
แรงบันดาลใจของสวี่ชีอันที่มุ่งมั่นจะเลื่อนระดับสู่ขั้นหนึ่งนั้นมาจากคืนที่หารือกันในหมู่ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ ลั่วอวี้เหิงอธิบายเกี่ยวกับชะตากรรมอย่างละเอียด ตอนนางเอ่ยถึงชะตาเพลิงอัสนีบาต สวี่ชีอันก็เกิดความคิดอันอุกอาจขึ้น
ก่อนยุทธการหนีเคราะห์กรรม เขาไปที่ซินเจียงตอนใต้เพื่อถามเสินซูว่าจะเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งได้อย่างไร และได้รับคำตอบจากเขาที่นั่น
ตามปกติแล้ว การใช้ร่างกายเป็นเตาหลอมเพื่อผสานแก่นแท้ ลมปราณกับจิตให้เป็นหนึ่งเดียว และทำให้ร่างกายก้าวสู่ขั้นหนึ่งนั้นเป็นกระบวนการที่ยาวนานมาก บนเส้นทางนี้ เต็มไปด้วยอันตรายรอบทิศและถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์ ไม่ใช่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งทุกคนจะสามารถกลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวได้
ในฐานะคนที่มีชะตาบ้านเมืองติดตัว แน่นอนว่าสวี่ชีอันไม่ขาดพรสวรรค์ แต่สิ่งที่ขาดคือเวลา
ไม่ว่าจะเป็นเลื่อนขั้นจากขั้นสองระดับต้นสู่ขั้นสองระดับสูงสุด หรือผสานแก่นแท้ ลมปราณและจิต ล้วนต้องการเวลาทั้งนั้น
แต่เขาที่พยายามจัดดอกไม้ก็ได้รับของขวัญจากเทพดอกไม้ แบกรับจิตวิญญาณ เข้าใจ ‘ทาง’ ที่ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถชดเชยข้อบกพร่องที่ตบะไม่เพียงพอได้พอดี
แม้ว่าขั้นสองสูงสุดจะไม่ใช่สภาวะปกติ แต่ไม่ช้าก็เร็วคงจะกลับสู่สภาวะปกติ
เขาตั้งใจจะคว้าสภาวะชั่วคราวนี้ไว้ ใช้ชะตาเพลิงอัสนีบาตผสานกายเนื้อ ทำให้แก่นแท้ ลมปราณและจิตกลายผสานเป็นหนึ่งเดียว และเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งได้สำเร็จ
กระบวนการนี้เทียบเท่ากับการจบกระบวนการผสานอย่างช้าๆ ในขั้นตอนเดียว โดยพื้นฐานแล้วเทียบเท่ากับการฆ่าตัวตาย
ในเวลานี้เอง ประโยชน์ของการพยายามจัดดอกไม้ก็แสดงผลอีกครั้ง ขอเพียงเขาใช้จิตวิญญาณอย่างประหยัด เก็บส่วนหนึ่งไว้ในร่างกาย เมื่อชะตาเพลิงอัสนีบาตฝึกฝนร่างกาย จิตวิญญาณของเทพดอกไม้ก็จะเป็นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
นี่คือจิตวิญญาณของต้นไม้อมตะ
นอกจากนี้ เขายังมีปราณมังกรอีก ปราณมังกรทั้งหมดที่ได้มาจากการท่องไปในยุทธภพ
เมื่อปราณมังกรเข้าสู่ร่างกาย โชคก็ล้นหลาม!
เมื่อรวมกับชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งที่มีอยู่แล้ว สวี่ชีอันรู้สึกว่าสามารถเดิมพันได้!
เหตุผลที่พวกอาซูหลัวตกลงก็เพราะรู้สึกว่าสามารถเดิมพันได้
ระหว่างที่ถูกเพลิงอัสนีบาตเผาไหม้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มังกรทองที่ราวกับมีอยู่จริงก็พุ่งเข้าไปในร่างของสวี่ชีอัน เขาค่อยๆ ไหม้เกรียม ร่างกายที่ไร้พลังก็เกิดพลังชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้งและทนต่อการผสานของเพลิงอัสนีบาตได้อย่างต่อเนื่อง
ลั่วอวี้เหิงจับมือของสวี่ชีอันไว้แน่น แม้ในช่วงเวลาที่เจ็บปวดมากที่สุด นางก็ไม่เคยปล่อยมือเขา
ผ่านไปสิบกว่าอึดใจ เพลิงอัสนีบาตที่น่าเกรงขามก็เริ่มอ่อนลง เสาเพลิงที่หนาเท่าถังเก็บน้ำหดตัวลงช้าๆ เหลือขนาดเท่าปากชาม แล้วหดลงอย่างต่อเนื่องเหลือขนาดเท่ากำปั้น ตะเกียบและสลายไปในที่สุด
กลางอากาศ ลั่วอวี้เหิงสวมเสื้อคลุมขนนกที่สร้างจากวรยุทธ์ เส้นผมและเสื้อคลุมปลิวไสว มือจูงร่างที่เหมือนกับเถ้าถ่านและไร้ซึ่งความผันผวนใดๆ ของสิ่งมีชีวิต
“ข้าเลื่อนขั้นเป็นเซียนครองพิภพแล้ว” นางกระซิบกับตัวเอง
แกร๊ก! เถ้าถ่านเริ่มปริแตกและค่อยๆ หลุดลอกออก ร่างไร้มลทินที่ขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
สวี่ชีอันก้มมองเจียหลัวซู่ หุ่นเชิดของสวี่ผิงเฟิงและไป๋ตี้ที่อยู่เบื้องล่าง มุมปากยกขึ้น แววตาเยือกเย็น
“ข้าบรรลุสู่ขั้นหนึ่งแล้ว!”
…………………………………………
Comments