ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 817 คำพูดจริงใจเป็นความเสี่ยงภัยใหญ่หลวง
บทที่ 817 คำพูดจริงใจเป็นความเสี่ยงภัยใหญ่หลวง
เมื่อสวี่ชีอันและอารองกลับมา คนรับใช้ในจวนก็เริ่มเก็บกวาดทำความสะอาดพื้นที่จัดเลี้ยงงานแต่งแล้ว
บ่าวผู้หญิงมีหน้าที่เก็บล้างจานชาม ส่วนบ่าวรับใช้ก็ยกถังไม้มาเทเศษอาหารลงไป และจัดการแยกของที่กินเหลือตามคำสั่งของอาสะใภ้ อาหารที่พวกแขกเหรื่อกินเหลือจะถูกส่งไปนอกเมืองเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
สวี่ชีอันรู้สึกว่าวิธีคิดของอาสะใภ้ช่างดีนัก เขาเองก็ไม่อยากถูกคนอื่นกระแนะกระแหนว่า ‘สุราและเนื้อในครอบครัวของผู้ลากมากดีมีมากจนส่งกลิ่นโชยถึงหน้าบ้าน แต่ท้องถนนกลับมีคนจนที่แข็งตายด้วยความอดอยาก’
“หนิงเยี่ยนเอ๋ย วันนี้ข้ากับอาสะใภ้ของเจ้าจะไปพักผ่อนก่อนแล้ว”
เมื่อใกล้ถึงด้านในลานบ้าน จู่ๆ ลุงรองสวี่ก็เอ่ยขึ้น
จากนั้น เขาก็หมุนตัวกลับแล้วทำท่าจะจากไป แต่ยังไม่ทันก้าวเดิน เขาก็ก้มหน้าเหลือบมองหลานชายที่คว้าแขนเสื้อตัวเองแล้วเอ่ยขึ้นอย่างแสร้งโง่ว่า
“หนิงเยี่ยน เจ้าดึงข้าทำไม”
สวี่ชีอันมองเขาเงียบๆ
“อารองเอ๋ย วันนี้ท่านกับอาสะใภ้ล้วนอย่าได้คิดจะจากไปเชียว คนพวกนั้นยังอยู่ที่จวน ชัดเจนเลยว่าพวกเขาจะก่อเรื่องสร้างปัญหา ท่านกับอาสะใภ้อยู่ด้วย พวกเขาน่าจะสงบเสงี่ยมลงบ้าง
“ไม่มีผู้อาวุโสคุมเชิง พวกเขาอาจทลายหลังคาห้องหอของข้าก็ได้”
แม้จะมีผู้พิทักษ์หยวน ทว่าสวี่ชีอันก็รู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัยพอ
“คุมเชิงอะไร คุมเชิงอะไรกัน!” อารองสวี่ดึงแขนเสื้อพลางพ่นน้ำลายเต็มหน้าหลานชาย แล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาก่อนตำหนิว่า
“เจ้าหนีกรรมตัวเองไม่พ้นหรอก ใครให้เจ้าไปหว่านเสน่ห์ผู้หญิงไปทั่วเล่า ยังจะมาคุมเชิง เจ้าเด็กไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่เห็นหรือว่าที่นั่งอยู่ในนั้นเป็นใครบ้าง ทั้งฝ่าบาท ราชครู เทพธิดานิกายสวรรค์ ยังมีเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจอะไรนั่นอีก
“อารองเป็นแค่ระดับหลอมวิญญาณขั้นเจ็ดตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ข้าจะไปกำราบใครได้ แค่พวกนางคนใดคนหนึ่งเหยียดนิ้วออกมาก็ขยี้ข้าตายได้แล้ว”
พูดจบ เขาก็ยกนิ้วก้อยขึ้นมาแสดงท่าทีเปรียบเปรย
“ดีชั่วอย่างไรข้าก็เลี้ยงเจ้ามาจนโต แต่ไม่ได้ตกทอดข้อดีของอารองมาแม้แต่น้อย นิสัยเจ้าชู้มากตัณหานี้เหมือนใครกันนะ” อารองสวี่สะบัดแขนแล้วจากไป “ปล่อย ปล่อย หากยังดึงอีกข้าจะใช้กฎของจวนจัดการ”
สวี่ชีอันปล่อยมือดังคาด พลางเฝ้ามองแผ่นหลังของอารองแล้วตะโกนว่า
“จริงอยู่ที่ข้าไม่ได้สืบทอดข้อดีของอารองมาเลย แต่ก็สืบทอดวิธีใช้ส้มเขียวหวานของอารองมาได้ ข้าไปหาอาสะใภ้ละ”
อารองสวี่หันกลับมาด้วยรอยยิ้มอาบหน้า
“หนิงเยี่ยนเอ๋ย วันนี้เป็นวันแต่งงานของเจ้า การส่งตัวเจ้าสาวจะขาดอารองไปได้อย่างไร ไป พวกเราอาหลานเคียงข้างกันทุกเมื่อ”
ใบหน้าของสวี่หนิงเยี่ยนก็อาบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“อารองช่างดีจริงๆ!”
…
ในห้องโถงด้านใน อาสะใภ้สั่งให้ลวี่เอ๋อและสาวใช้คนอื่นๆ ยกชาดอกไม้ที่ตนตากด้วยตัวเองให้เหล่าแขกผู้มีเกียรติดื่มเพื่อช่วยย่อยอาหารและแก้เลี่ยน
จงหลีเปลี่ยนเสื้อคลุมสะอาดเอี่ยม ปล่อยผมยาวสยาย และนั่งอย่างว่าง่ายอยู่ข้างกายนักบวชเต๋าจินเหลียน
ภายหลังความอลหม่านก่อนหน้านี้ นักบวชเต๋าจินเหลียนได้เอ่ยอย่าง ‘พลันตระหนักรู้’ ว่า
“แม่นางจง มาอยู่ข้างอาตมาเร็ว พลังแห่งบุญกุศลของอาตมาสามารถระงับเคราะห์ร้ายของท่านได้ชั่วคราว”
แน่นอนว่าหลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก
หลี่หลิงซู่ซึ่งมีผ้าพันแผลพันศีรษะจิบชาดอกไม้อึกหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย
“ชาดี รสหวานติดปาก กลิ่นขจรหอมกรุ่น ขับลมไม่ดีในท้องได้ นี่ไม่ใช่ชาดอกไม้ธรรมดาเลยนะ”
“หากนักบวชเต๋าหลี่ชื่นชอบ ข้าจะยกให้ท่านสองสามตำลึง” อาสะใภ้ได้ฟังก็ยินดียิ่งนัก และคิดในใจว่าหนุ่มหล่อผู้นี้ช่างเจรจาเสียจริง
อาสะใภ้ชอบที่สุดเมื่อคนอื่นชมว่านางดูแลดอกไม้ได้ดี การชื่นชมชาดอกไม้ว่าอร่อยก็เช่นกัน
คนอื่นๆ ก็เผยอารมณ์สุขใจ
คนส่วนใหญ่รู้แก่ใจดีว่าชาดอกไม้นี้ต้องเป็นฝีมือของมู่หนานจือแน่ นอกจากนางแล้วไม่มีใครสามารถปลูกชาคุณภาพสูงเช่นนี้ออกมาได้
หลี่หลิงซู่อาศัยจังหวะที่ก้มหน้าดื่มชา ส่งกระแสจิตให้หยางเชียนฮ่วน (บนหัวไม่มีต้นแมงมุม) ที่ยืนอยู่มุมห้อง
“พี่หยาง จะป่วนเรือนหอแล้ว โอกาสที่พวกเราจะล้างความอัปยศอยู่ตรงหน้านี้แล้วนะ”
งานเลี้ยงแต่งงานมิอาจก่อกวนได้มากนัก เพราะอย่างไรเสียในงานก็ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา ดังนั้นหลี่หลิงซู่และหยางเชียนฮ่วนจึงค่อนข้างสงวนท่าที
ต่างจากการป่วนเรือนหอ ซึ่งสามารถก่อกวนได้จนกว่าจะพอใจ
หยางเชียนฮ่วนส่งกระแสจิตตอบด้วยความตื่นเต้นว่า
“ข้ารอวันนี้มานานเหลือเกินแล้ว สวี่หนิงเยี่ยนคือศัตรูทั้งชีวิตของข้า เขามักทำสิ่งที่ข้าทำไม่ได้
“สิ่งที่ข้าเฝ้าฝันหาแม้ยามนิทรา สิ่งที่ข้าใช้ทุกอย่างเพื่อต่อสู้แย่งมา สำหรับเขากลับได้มาอย่างง่ายดาย เมื่อก่อนท่านโหราจารย์…อาจารย์แอบยกย่องเขาด้วยความเข้าใจผิดบ่อยๆ บัดนี้ท่านอาจารย์โหรไม่อยู่แล้ว เขากลับเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งไปเสียได้…”
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ!” หลี่หลิงซู่ส่งกระแสจิตปลอบใจ
“แม้เขตแดนของพวกเราจะแตกต่าง ทว่าหัวใจที่เกลียดชังสวี่หนิงเยี่ยนนั้นเหมือนกัน”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจึงส่งเสียงฮึดฮัดว่า
“คืนนี้ ข้าจะทำให้สวี่หนิงเยี่ยนเสียหน้า ทำให้เขาเสียใจที่ยั่วยุข้า”
บุญคุณความแค้นระหว่างหลี่หลิงซู่และสวี่ชีอันซับซ้อนกว่าของหยางเชียนฮ่วนมากนัก ความริษยาของหยางเชียนฮ่วนทำให้เขาแยกตัวออกมา ทว่าเทพบุตร ความถี่ที่สุนัขชั่วสวี่หนิงเยี่ยนกลั่นแกล้งเขาไม่ได้มากมายนัก
แต่ทำให้เขาประสบกับความอัปยศอดสูในสังคมครั้งแล้วครั้งเล่า และเกือบจะเกิดคลื่นอารมณ์ในช่วงเวลานี้เสียแล้ว
มู่หนานจือ ฮว๋ายชิ่ง และคนอื่นๆ ก้มหน้าดื่มชาอย่างเงียบๆ ขณะที่สั่งสมความเคลื่อนไหวและอารมณ์ไว้ท่ามกลางความเงียบงัน
เพราะเรื่องของจางเซิ่น พวกนางจึงค่อนข้างเก้อกระดาก แม้คนอื่นจะไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อย่างเป็นอันรู้กัน ทว่าวิญญาณร้ายในใจก็คล้อยลงต่ำไปชั่วขณะ
ฉู่หยวนเจิ่น นักบวชเต๋าจินเหลียน และอาซูหลัวนั่งอยู่ด้วยกัน สองคนแรกจมอยู่กับการลับริมฝีปากของเหล่านกกระจอกตรงหน้า และรู้สึกเพียงว่าคำพูดของพวกนางเหมือนเข็มที่ซ่อนอยู่ในสำลี กระทบกระเทียบเสียดสี บางครั้งรวมหัวกันหันคมหอกไปทางสวี่หนิงเยี่ยน บางครั้งก็ขัดแย้งและโจมตีกันเอง
เรื่องนี้ไม่น่าสนใจกว่าการต่อสู้ทางการเมืองในราชสำนักมากหรอกหรือ
แน่นอนว่าหากเป็นเพียงการวางอุบายลับฝีปากของเหล่าสตรีก็คงไม่น่าสนใจพอ
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของการแสดงชั้นยอดฉากนี้ก็คือ ตัวเอกซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง สวี่ชีอัน
สำหรับอาซูหลัว เหตุผลที่เขาอยู่ป่วนเรือนหอเพราะทุกคนต่างเป็นสมาชิกพรรคฟ้าดิน เขากังวลว่าสวี่ชีอันจะรักษาสมดุลของสถานการณ์ไม่ได้ ดังนั้นจึงรั้งอยู่ควบคุมสถานการณ์ ไม่ได้อยากเห็นการฟาดฟันของสตรีเพื่อสร้างความอับอายให้สวี่ชีอันแต่อย่างใด
ซึ่งแน่นอนว่าการปรามสถานการณ์จะได้ผลหรือไม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องของเขา
ในฐานะพี่น้อง ความคิดของซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวนั้นเรียบง่ายกว่ามาก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าสวี่ชีอันพี่น้องผู้แสนดีจะไม่เพียงเชิญพวกเขาไปฟังดนตรีที่หอคณิกาบ่อยๆ แต่ยังจัดเวทีการแสดงไว้ที่จวนด้วย…
นี่น่าสนใจกว่าการฟังดนตรีที่หอคณิกาเป็นไหนๆ
‘เย่จี’ อุ้มลูกสุนัขจิ้งจอกไว้ในอ้อมแขน มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาอันมีชีวิตชีวาขยับเป็นครั้งคราว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรแผลงๆ อยู่
จีไป๋ฉิงก็รั้งอยู่เช่นกัน การป่วนเรือนหอเป็นเรื่องที่ทำได้ทุกวัย ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยง นางวางแผนจะปกป้องบุตรชายคนโตจากลมและฝน อย่างอื่นไม่กล้าเอ่ยถึงหรอก แต่การรับมือกับหญิงสาวไม่กี่คนนี้ มารดาผู้ให้กำเนิดคิดว่าไม่น่าเป็นปัญหา
ในบรรดาผู้มีเจตนาแอบแฝงกลุ่มนี้ เจ้าลัทธิเหล่าหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์นั้นมีความคิดที่เรียบง่ายกว่ามาก พวกเขารั้งอยู่เพื่อต้องการป่วนเรือนหอเท่านั้น
ชาวยุทธภพรักความครึกครื้น
ในเวลานั้น เมื่อพวกเขาเห็นเจ้าบ่าวสวี่ชีอันและสวี่ผิงจื้อกลับมา ก็พากันลุกขึ้นทันที
หลี่หลิงซู่ระงับความตื่นเต้นแล้วยิ้มพลางว่า
“ค่ำคืนวสันต์เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็มีค่าดั่งทองพันชั่ง ถึงเวลาที่พวกเราจะส่งตัวเจ้าบ่าวเข้าห้องหอแล้ว”
“พี่ใหญ่!”
สวี่หลิงอินวิ่งเข้ามาด้วยขาสั้นๆ ก่อนประกาศเสียงดังว่า “ข้าเกือบสำลักกระดูกไก่ตายแล้ว”
พูดจบ นางก็มองสวี่ชีอันอย่างตั้งใจ คาดหวังจะเห็นปฏิกิริยาของเขา
ไม่น่ากระมัง เจ้าดวงแข็งจะตาย…สวี่ชีอันกำลังจะไถ่ถาม ก็ได้ยินอาสะใภ้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“อย่าได้ฟังอารองของเจ้าพูดเกินจริง ก็แค่สำลักนิดหน่อยเท่านั้น ล้วนเป็นความผิดของลี่น่าที่จะแย่งน่องไก่กับนางให้ได้ หลิงอินจึงยัดไก่ทั้งน่องเข้าปาก”
…
ในห้องหอ นางกำนัลอาวุโสที่มากับของหมั้นมองผ่านช่องหน้าต่าง และเห็นฆ้องเงินสวี่นำคนกลุ่มหนึ่งเดินมาอย่างเอิกเกริก
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท คนเยอะมากเลยเพคะ…”
นางกำนัลอาวุโสเห็นรูปการณ์เช่นนี้จึงวิตกอยู่บ้าง
หลินอันเป็นไปตามมาตรฐานของหญิงสาวที่ได้นั่งเกี้ยวดอกไม้เป็นครั้งแรก
ทว่าในใจของนางกลับไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย กลับฮึกเหิมเสียด้วยซ้ำ เพราะหลินอันรู้ว่า ฮว๋ายชิ่งเอย ราชครูเอย หลี่เมี่ยวเจินเอย สตรีที่เอาแต่คิดถึงสุนัขรับใช้บ้านตนเหล่านี้ คงไม่ให้นางผ่านไปโดยดีแน่
องค์หญิงรองใช้สติปัญญาและความกล้าหาญต่อสู้กับองค์หญิงใหญ่มาตั้งแต่เด็ก สู้แล้วแพ้ แพ้แล้วก็ลุกขึ้นสู้หลายต่อหลายครั้ง ความสามารถอื่นไม่ได้ใช้ แต่จิตวิญญาณในการต่อสู้นั้นไม่ได้ขาด
‘ปัง!’
ประตูห้องนอนถูกผลักเปิดออกด้วยเสียงที่ไม่ดังไม่เบา คนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามาอย่าง ‘ครึกโครม’
พื้นที่ของห้องหอกว้างขวางมาก แบ่งเป็นห้องด้านในและห้องด้านนอก ห้องด้านนอกมีห้องโถงหนึ่งห้องและห้องแยกสองห้อง เป็นที่อยู่ของนางกำนัลอาวุโสสองคน
ห้องด้านในมีโถงสองห้องคือห้องโถงเล็กและห้องโถงใหญ่ คั่นกลางด้วยฉากบังลมซ้อนหกบานงดงามหรูหรา ห้องโถงใหญ่ใช้พบปะแขกคนสนิท ห้องโถงเล็กวางโต๊ะหนังสือและชั้นวางของ
พื้นที่ทั้งห้องหอมีมากกว่าสองร้อยผิง ซึ่งรองรับกลุ่มคนที่ ‘ซ่อนความคิดชั่วร้าย’ เหล่านี้ได้อย่างเกินพอ
ยามนี้หลินอันได้สวมมงกุฎหงส์อีกครั้งเรียบร้อยแล้ว พร้อมสวมชุดแต่งงานสีแดงปักดิ้นหงส์สีทองอันงดงามประณีต ไม่ต้องพูดถึงนางที่ ‘เตรียมการเป็นอย่างดี’ หรอก แม้เผชิญหน้ากับหญิงงามเพริศพริ้งอย่างพวกลั่วอวี้เหิงหรือฮว๋ายชิ่ง นางก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัว
อย่างน้อยที่สุดในด้านภาพลักษณ์และอุปนิสัย หลินอันก็มั่นคงทีเดียว
“ขอแสดงความยินดีกับการอภิเษกสมรสของฝ่าบาท!”
หวางซือมู่เอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อน
คนอื่นๆ ต่างคำนับทักทาย ซึ่งไม่นับรวมเหล่าปลาน้อยในบ่อปลา
หลังจากหลินอันลุกขึ้นรับการคำนับ หยางเชียนฮ่วนผู้สวมหมวกคลุมศีรษะก็เดินไปที่ข้างหน้าต่าง หันหลังให้ฝูงชน แล้วเอ่ยอย่างทนรอไม่ไหวว่า
“ท่านทั้งหลาย ข้ามีความคิดน่าสนใจอยู่อย่างหนึ่ง”
ขณะรอสายตาของทุกคน หยางเชียนฮ่วนก็เอ่ยเสียงเข้ม
“คำพังเพยว่าไว้ สมบัติล้ำค่าหาง่าย แต่คู่รักนั้นหายาก
“ฝ่าบาทหลินอันเป็นผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ฐานะสูงส่ง นางแต่งให้สวี่หนิงเยี่ยน ผู้แซ่หยางปวดใจนัก…เอาเถอะ ดังนั้นจึงตัดสินใจถามสวี่หนิงเยี่ยนคำถามหนึ่ง ระหว่างขั้นตอนนี้ ข้าจะใช้วิชามองปราณเพ่งมองเจ้า หากเจ้าโกหกข้าย่อมรู้ได้”
หลี่หลิงซู่ปรบมือโห่ร้องประหนึ่งตัวประกอบ
“ประเสริฐ ประเสริฐนัก
“ความคิดนี้ไม่เลว อาตมาคิดว่าทุกคนควรถามเจ้าบ่าวคนละหนึ่งคำถามนะ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา สายตาทุกคนก็วูบไหว ทุกคนต่างมีความคิดของตัวเอง
การละเล่นนี้น่าสนใจเกินไปแล้ว
ตรงเข้าโจมตีหัวใจ!
“เราคิดว่า จะถามแต่เจ้าบ่าวไม่ได้” ฮว๋ายชิ่งเป็นผู้นำในการเหวี่ยงมีดเล่มแรกเพื่อฆ่าฟันคนกันเอง นางเอ่ยเรียบๆ ว่า
“หลินอันก็ต้องได้คำถามเช่นกัน”
ข้อเสนอนี้ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ
หลินอันในยามนี้หาได้ทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงยืดอกผึ่งผายโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว
มู่หนานจือที่ดูไม่สะดุดตาขมวดคิ้วพลางว่า
“ช้าก่อน ข้าจำได้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนมีวิชาอำพรางกลิ่นอายนี่”
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยอย่างใจเย็นว่า
“ไม่ใช่ปัญหา หากเขาปิดบังกลิ่นอาย แม้วิชาเพ่งปราณจะมองไม่ขาดแต่ก็สามารถดูออก ทว่าสวี่หนิงเยี่ยนต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเก็บกลิ่นอาย”
ความหมายคือ หยางเชียนฮ่วนสามารถใช้วิชาเพ่งปราณมองออกว่าสวี่ชีอันปกปิดกลิ่นอายตัวเอง และรู้ว่าเขากำลังโกง
ชะตากรรมเป็นสิ่งที่ได้แต่ปกปิดมิอาจเปลี่ยนแปลง การเก็บกลิ่นอายสำหรับหยางเชียนฮ่วนก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิต
“ไร้สาระ ไร้สาระ เปลี่ยนวิธีเล่นเถอะ” สวี่ชีอันรีบปฏิเสธ
“หากท่านไม่รับปาก วันนี้พวกเราจะไม่ไปไหน จะนอนอยู่ในห้องท่านนี่ละ” หลี่หลิงซู่เอ่ยเสียงดัง
ทุกคนหัวเราะและคล้อยตาม
สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ได้ แต่ข้ามีคำขอหนึ่ง พวกเจ้าจะถามฝ่ายเดียวไม่ได้ ข้าและหลินอันก็จะเป็นฝ่ายถามด้วย”
ฉู่หยวนเจิ่นผู้เป็นปัญญาชนให้ตรรกะชัดแจ้ง “คืนนี้ท่านเป็นเจ้าบ่าวนะ พวกเราถามได้ แต่ท่านทำไม่ได้”
พวกเจ้ารนหาที่ตายเองนะ เช่นนั้นอย่ามาโทษข้าแล้วกัน…สวี่ชีอันถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“ได้!”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนา อาสะใภ้ก็ถอดรองเท้าของเสี่ยวโต้วติง แล้วผลักนางขึ้นเตียงใหญ่กลิ้งไปบนผ้าปูที่นอน
ตามธรรมเนียมของเมืองหลวง การกลิ้งเด็กบนเตียงของคู่แต่งงานใหม่สามารถขับไล่วิญญาณร้ายและขอพรได้ ขณะเดียวกันยังมีความหมายว่า ‘ให้กำเนิดบุตรอันล้ำค่าโดยเร็ว’ ด้วย
โดยทั่วไปแล้วจะให้เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายขึ้นไปกลิ้ง สื่อความหมายให้มีทั้งบุตรและธิดาเป็นคู่กัน
เมื่อเห็นสวี่หลิงอินกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง จีไป๋ฉิงก็พลันหน้าดำคล้ำ ในใจก็พูดว่า ดีเหลือเกินนี่ เสี่ยวหรู เจ้านี่ละเป็นคนเลวทรามที่สุด
นางไม่ได้อยากให้หลานสาวหรือหลานชายคนโตเป็นเด็กเช่นหลิงอิน แม้เด็กคนนี้จะมีพรสวรรค์อย่างมากในการบำเพ็ญด้านลี่กู่ก็ตาม
การเล่นดำเนินด้วยการจับสลาก ผู้ที่จับโดนอักษร ‘ถาม’ จะสามารถสั่งให้เจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวตอบได้หนึ่งคำถาม
โดยมีสวี่ชีอันผู้เป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งคอยกำกับดูแลความยุติธรรมของการจับสลาก
ผลการจับสลากครั้งแรกออกมาด้วยความรวดเร็ว ผู้โชคดีคืออาซูหลัว
ส่วนผู้ที่ไม่ได้จับโดนกระดาษที่มีอักษร ‘ถาม’ ก็พากันผิดหวัง
หยางเชียนฮ่วนส่งกระแสจิตเอ่ยว่า
“ถามเร็วว่าเขามีผู้หญิงอยู่ข้างนอกกี่คนกันแน่”
อาซูหลัวเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยว่า
“เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก แต่ว่า ข้าปฏิเสธ!”
เมื่อครู่เขาส่งกระแสจิตว่าอะไรนะ…ทุกคนมองหยางเชียนฮ่วน แล้วมองอาซูหลัวซึ่งร่างสูงเก้าฉื่อ และมีรูปร่างกำยำเกินจริง
อาซูหลัวยังเมตตามากนัก เหตุใดผู้พิทักษ์หยวนยังไม่มาอีก ศิษย์พี่ซุนอ้อยอิ่งอะไรอยู่…สวี่ชีอันพึมพำในใจ
“ท่านจะถามข้า หรือถามหลินอัน”
อาซูหลัวไม่สนใจหยางเชียนฮ่วนอีก เขามองสวี่หนิงเยี่ยนแล้วเอ่ยว่า
“ข้าสุ่มเอาสักคำถามแล้วกัน ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก”
สวี่ชีอันเพิ่งจะปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าก็ได้ยินอาซูหลัวเอ่ยว่า
“เจ้าทะลวงขั้นสองได้อย่างไร”
รอยยิ้มของสวี่ชีอันพลันแข็งค้าง
สีหน้าของมู่หนานจือเปลี่ยนทันที
จู่ๆ ในห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบงันอย่างประหลาด พวกคนที่รู้ความจริงพลันรู้สึกเลือดสูบฉีดอย่างกะทันหัน ในใจก็คิดว่า ความเร้าใจของกิจกรรมนี้ได้เปิดฉากแล้ว
หลี่เมี่ยวเจิน ลั่วอวี้เหิง และฮว๋ายชิ่งลอบเหลือบมองมู่หนานจือซึ่งหน้าซีดเผือด
ไม่เลว กำจัดไปก่อนคนหนึ่ง
ด้านหลี่หลิงซู่และฉู่หยวนเจิ่นก็เหลือบมองอาซูหลัวแวบหนึ่ง
และได้รู้ว่าชายผู้นี้คือภิกษุใจดำคนหนึ่ง
ผู้ที่ออกบวชเหมือนกัน ไต้ซือเหิงหย่วนยังเรียกได้ว่าเป็นมโนธรรมแห่งสำนักพุทธ
สวี่หลิงเยวี่ย จีไป๋ฉิง รวมถึงเซียวเยว่หนู คนเหล่านี้ไม่รู้เรื่องภายใน แต่พวกนางต่างจับสังเกตได้ดียิ่ง เมื่อเห็นรอยยิ้มแข็งค้างของสวี่ชีอัน เห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงราวคลื่นใต้น้ำและการสบตากันระหว่างสมาชิกพรรคฟ้าดิน ก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ดูทั้งหมด
สวี่ชีอันสูดหายใจลึก
“จัดดอกไม้!”
………………………………………….
Comments