ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 847 สัตว์ประหลาด
บทที่ 847 สัตว์ประหลาด
……….
สวี่ชีอันโบกมือ แล้วร่างของมนุษย์เงือกหญิงที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในเกลียวคลื่นสีขาวก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ไปหยุดตรงหน้าคนทั้งสอง
“ไม่มีรอยฟันชัดเจน ร่างกายของผู้โจมตีน่าจะมีขนาดมหึมา กัดขาดในคราเดียว…”
สวี่ชีอันตรวจสอบบริเวณบาดแผลของมนุษย์เงือกที่ ‘ขาดครึ่ง’ และทำการวิเคราะห์
“เป็นการเผชิญหน้ากับนักล่าขนาดยักษ์”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรอจนเขาเอ่ยจบ จึงเข้าประเด็นด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“เท่าที่ข้ารู้ อาณาเขตทะเลแถบนี้ไม่มีนักล่าขนาดใหญ่ยึดครองหรืออาศัยอยู่ หากมนุษย์เงือกผู้นี้มิใช่องครักษ์ประจำกายของราชินีเงือก หากเป็นมนุษย์เงือกธรรมดา ก็อาจเป็นไปได้ว่าบังเอิญไปเจอนักล่าที่หลงเข้ามาในอาณาเขตของมนุษย์เงือก
“สำหรับตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเกาะมนุษย์เงือกแล้ว เพราะองครักษ์ประจำกายราชินีไม่มีทางอยู่ห่างกายราชินีเงือกแน่”
สวี่ชีอันพยักหน้า
“ดังนั้นเมื่อองครักษ์ประจำกายเผชิญหน้ากับนักล่า ก็เท่ากับว่าราชินีต้องเจอนักล่าด้วย และราชินีเงือกซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ แต่องครักษ์ประจำกายกลับถูกสังหาร…”
เหตุผลนั้นชัดเจนในตัวเอง ว่าศัตรูก็เป็นขั้นเหนือมนุษย์เช่นกัน
“ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ในโพ้นทะเลเยอะเพียงนี้เลยรึ ออกทะเลมาก็เจอสองคนแล้ว” ใบหน้าของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
สถานที่ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของกลุ่มเผ่าพันธุ์หลายชั่วอายุเช่นเกาะเงือกนี้ ก็เหมือนกับกลุ่มอำนาจเล็กๆ ที่รวบรวมอิทธิพลโดยทายาทเทพมาร การจะมีผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์นั่งรักษาการณ์ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือเกาะหนอนไหมซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของไหมอเวจี
แต่การพบขั้นเหนือมนุษย์ได้สุ่มสี่สุ่มห้าทุกที่เช่นนี้ ก็ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย
นางปีศาจผมขาวเบ้ปาก
“ครั้งก่อนที่ข้าออกทะเล นอกจากผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เหล่านั้นซึ่งมีถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว ก็แทบไม่เจอเทพมารสภาวะเหนือมนุษย์ระหว่างทางเลย”
ความหมายก็คือ สถานการณ์เช่นนี้นับเป็นเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ต่ำ
อาจเป็นได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกไปยั่วยุอะไรศัตรูผู้แข็งแกร่ง หรือทายาทเทพมารจากที่อื่นเตร็ดเตร่มาที่นี่พอดี
สวี่ชีอันสำรวจศพต่อไป แล้วจู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้วและเอ่ยว่า
“หรือบางที คนเดือดร้อนจะเป็นพวกเรา!”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองเขาพลางส่งเสียง ‘หืม’ ด้วยเสียงงุนงง
“ศพของมนุษย์เงือกผู้นี้แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานกว่าสิบชั่วยาม แต่พวกมนุษย์เงือกกลับไม่มานำร่างของสหายกลับไป และไม่มีร่องรอยของการถูกกุ้งปลาในทะเลกัดกินด้วย” สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นี่หมายความว่าอย่างไร”
นางปีศาจผมขาวฉลาดเป็นกรด ชั่วเวลาเพียงดีดนิ้ว นางก็เข้าใจได้ทันที
นางขมวดคิ้วพลางว่า
“นักล่าทรงพลังนั่นยังคงว่ายวนอยู่ในเขตน่านน้ำใกล้ๆ!”
ดังนั้นมนุษย์เงือกจึงไม่กล้าออกจากเกาะ สิ่งมีชีวิตในเขตน่านน้ำใกล้เคียงบ้างก็ถูกกิน บ้างหนีไปด้วยความตกใจ ร่างนี้จึงรักษาสภาพไว้ได้ค่อนข้างดี ไม่ถูกปลาถูกกุ้งในทะเลกัดกิน
ระลอกคลื่นสีฟ้าคราม เรือเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ โดยกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ตามแรงคลื่น
สวี่ชีอันและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกำลังเฝ้ารอบางอย่างเงียบๆ ในระหว่างการเดินทางนับจากนี้
แสงอาทิตย์เจิดจ้า ท้องฟ้าสีครามสดใส ไอเค็มของลมทะเลพัดเส้นผมและชายผ้า ทันใดนั้น ใบหูของสวี่ชีอันก็พลันขยับ เขาได้ยินเสียงคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างกะทันหันอยู่ไม่ไกล และมีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
และเวลาเดียวกันนั้น สัญชาตญาณอันตรายของจอมยุทธ์ก็เริ่มเตือน
ไอสังหารและแรงอาฆาตโจ่งแจ้งไม่มีปิดบัง…สวี่ชีอันเหลือบมองนางปีศาจผมขาว จิ้งจอกจำแลงเดินไปยังกราบเรือด้วยสองขาเรียวยาวมีพลัง
นางบิดเอวเล็กน้อย แล้วหางจิ้งจอกขนฟูฟ่องหางหนึ่งก็พลันชูขึ้นและทิ่มลงไปยังผิวน้ำ
ส่วนอีกแปดหางนั้นยกขึ้นอย่างช้าๆ ประหนึ่งนกยูงรำแพนเตรียมพร้อมการโจมตี
สวี่ชีอันนิ่งตั้งใจฟัง เสียงคำราม ‘ครั่นครืน’ ที่ข้างหูและกระแสคลื่นใต้น้ำพลันรุนแรงขึ้นหลายเท่าในพริบตา
กินเหยื่อแล้ว…เขาเอ่ยในใจเงียบๆ
เวลานี้เอง ขาเรียวยาวแน่นกระชับของจิ้งจอกเก้าหางก็ตึงขึ้นอย่างกะทันหัน เข่าสองข้างทรุดลงเล็กน้อย หางทั้งแปดที่อยู่ด้านหลังยืดตรงในพริบตา
เอวเล็กๆ บิดดึง ราวกับชาวประมงกำลังออกแรง
เวลาต่อมา ผิวน้ำก็ผุดขึ้น พร้อมละอองน้ำพวยพุ่ง
‘ครืน!’
คลื่นสีฟ้าครามและฟองสีขาวพุ่งสูงสิบกว่าจั้ง ท่ามกลาง ‘หยาดฝนที่ตกหนัก’ เงาขนาดมหึมาทะยานขึ้นจากผิวน้ำทะเล สะท้อนเข้าในแววตาของสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหาง
นี่คือมังกรน้ำ ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดดำสนิท ส่วนหัวดุร้ายอัปลักษณ์ มีเดือยกระดูกงอกเป็นแถวที่หลัง ตรงหน้าผากมีเขางอกหนึ่งเขาคล้ายกับหอกยาว
แขนขาของมันหนามากต่างจากมังกรน้ำทั่วไป ระหว่างกรงเล็บมีเนื้อเป็นพังผืดหนา
ภาพลักษณ์โดยรวมดูคล้ายตะกวดมากกว่า
นอกจากนี้ ร่างกายของมันยังเต็มไปด้วยรอยย่นบิดเบี้ยวยุ่งเหยิง เพียงได้มองก็ทำให้คนเวียนหัวตาลาย แน่นหน้าอกและอาเจียนแล้ว
ปราณโลหิตเข้มข้น พละกำลังแข็งแกร่งมาก เป็นลักษณะของขั้นสามช่วงกลาง…สวี่ชีอันเหลือบมองแวบหนึ่ง พลางประเมินตบะของอีกฝ่าย
นี่ไม่ใช่เพราะแววตาของเขามีความดุร้ายยิ่งนัก แต่เพราะมังกรน้ำไม่ได้เก็บงำกลิ่นอาย ทั้งยังแสดงความดุร้ายหยิ่งผยองอย่างถึงอกถึงใจ
ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์รุนแรงและขาดสติ
ลำตัวของมังกรน้ำถูกพันด้วยหางจิ้งจอกขนฟูฟ่อง เมื่อเห็นว่ามิอาจหลุดจากหางจิ้งจอกจึงคำรามเสียงเข้มแล้วเอาหัวชนเข้ามา
“โฮก!”
นางปีศาจผมขาวยกริมฝีปากแดงสด แปดหางที่อยู่ด้านหลังรวบรวมกำลังตั้งท่า แล้วพุ่งออกมาราวกับโซ่เหล็กเพื่อเกี่ยวส่วนคอ แขนขา หาง รวมถึงเอวของมังกรน้ำตามลำดับ
‘ฟู่ ฟู่…’
ท่ามกลางเสียงชิ้นส่วนร่างกายแยกออกจากกันอันทำให้คนขนพองสยองเกล้า ร่างของมังกรน้ำถูกแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดสีแดงเข้มสาดกระจาย
มังกรน้ำซึ่งถูกแบ่งเป็นส่วนๆ ยังไม่สิ้นชีพ เลือดเนื้อที่ถูกตัดขาดกำลังดิ้นพล่าน พยายามจะงอกใหม่อีกครั้ง
หากแต่มันล้มเหลว จิ้งจอกเก้าหางรอบรู้วิธีรับมือกับทายาทเทพมาร (จอมยุทธ์) ขั้นสาม นั่นคือการฟันเป็นชิ้นๆ ยิ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยยิ่งดี
จากนั้นจึงควบคุมรยางค์ที่ขาด ไม่ให้พวกมันรวมตัวกันได้อีก
เช่นนี้แล้ว แม้ขั้นเหนือมนุษย์จะไม่ตายในทันทีด้วยพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง ทว่าพลังชีวิตของแขนขาที่พิการนั้นก็ไม่เพียงพอจะสร้างร่างกายทั้งหมดขึ้นใหม่ได้
เฉกเช่นตอนนี้ ร่างกายแต่ละส่วนของมังกรน้ำต่างพยายามที่จะ ‘เกิดใหม่’ ทว่าแก่นโลหิตของพวกมันมีจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นร่างใหม่ที่สมบูรณ์หนึ่งร่าง
“สติปัญญาของมันเหมือนจะมีปัญหาแล้ว ไม่สามารถสื่อสารได้…”
จิ้งจอกเก้าหางตรวจดูมังกรน้ำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทำการวินิจฉัย
“อะไรทำให้สติปัญญาของมังกรน้ำขั้นเหนือมนุษย์ตัวหนึ่งเกิดปัญหารึ”
สวี่ชีอันพูดจบก็ดีดนิ้ว
ได้ยินเพียงเสียง ‘เป๊าะ’ กะโหลกของมังกรน้ำถูกยกขึ้น เศษกระดูกและเนื้อสมองกระเด็นกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
ขณะเดียวกัน ภาพมายาของมังกรน้ำก็แยกออกจากกายเนื้อ ซึ่งก็คือจิตเดิมของมัน
จิตเดิมของมังกรน้ำมิได้บุบสลาย ทว่าความดุร้ายและความเจ้าอารมณ์ของมันไม่ได้ดีขึ้นจากการเผชิญหน้ากับกายเนื้อเลย หลังวนกลางอากาศรอบหนึ่ง มันจึงโฉบลงมาหาคนทั้งสองซึ่งอยู่ที่หัวเรืออีกครั้ง
สูญเสียสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิงแล้วสินะ…หากเป็นเช่นนี้ แม้แต่การ ‘ไต่ถามวิญญาณ’ ในวิชาเต๋าก็ถามข้อมูลออกมาไม่ได้ อ้อ ลืมไป ข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์หยาบๆ คนหนึ่ง ไม่รู้วิชาเต๋า…สวี่ชีอันอ้าปาก ออกแรงสูดหายใจ
ดูดจิตเดิมของมังกรน้ำเข้าปากไป ประหนึ่งปากเหวลึกขนาดใหญ่
เจ็ดยอดกู่นูนขึ้นบนผิวหนังบริเวณหลังคอของสวี่ชีอัน ปรากฏเป็นโครงร่างชัดเจน ศีรษะขยับดุกดิกราวกับกำลังเคี้ยวอะไรบางอย่าง
ครู่หนึ่ง สวี่ชีอันจึงเอ่ยว่า
“เอามันรวมกลับไป”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคลายการคุมขัง ก่อนรวมร่างกายและแขนขาเข้าด้วยกัน พวกมันดิ้นดุกดิกต่อเนื่อง และกลายร่างกลับไปเป็นมังกรน้ำที่ดุร้ายทรงพลังอย่างรวดเร็ว
มังกรน้ำลอยค้างอยู่กลางอากาศเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน
สวี่ชีอันอ้าปากและคายวิญญาณมังกรออกมา วิญญาณมังกรสูญสิ้นความดุร้าย ทว่าสติดูเฉื่อยชา รูปร่างหลอกตามากขึ้น และส่วนหัวก็ไม่ใช่หัวมังกรน้ำที่ดุร้ายอัปลักษณ์อีกต่อไป แต่เป็นหัวของแมลงสามเหลี่ยม
จิตสำนึกของมันถูกลบล้างไปแล้ว วิญญาณสวรรค์ในหมู่วิญญาณทั้งสามก็ถูกเจ็ดยอดกู่กลืนกินไปเช่นกัน
นี่เป็นความสามารถของ ‘ซือกู่’ หลังย่างเข้าสู่สภาวะเหนือมนุษย์ กลืนกินวิญญาณส่วนหนึ่งของหุ่นเชิด จากนั้นจึงหลอมวิญญาณที่เหลือเข้ากับจื่อกู่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิญญาณมังกรในยามนี้ก็คือจื่อกู่
วิญญาณมังกรกลับมายังกายเนื้อของมังกรน้ำ ดวงตาของมันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทว่าเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตปกติแล้ว ก็ยังคงเซื่องซึมอยู่บ้าง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเห็นดังนั้นจึงเก็บหาง และปล่อยมังกรน้ำลงน้ำไป
มังกรน้ำแหวกว่ายไปรอบๆ เรืออย่างเชื่อฟัง ราวกับองครักษ์ผู้ภักดี
“จุ๊ๆ ไสยศาสตร์กู่มีประโยชน์จริงๆ! นี่เป็นการกำราบทายาทเทพมารซึ่งอยู่สภาวะเหนือมนุษย์ผู้หนึ่งเชียวนะ”
คำพูดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเต็มไปด้วยความอิจฉา
อืม แม้จะเป็นเนื้อยุง แต่สำหรับข้าแล้วแก่นชีวิตของขั้นสามก็เป็นอาหารเสริมชั้นดีเช่นกัน การออกทะเลรอบนี้หากไม่ได้ล่าขั้นสองหรือกระทั่งทายาทเทพมารขั้นหนึ่ง การเก็บรวบรวมขั้นสามบางส่วนก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างไรเสียก็ดีกว่ากลับมือเปล่า…สวี่ชีอันยังนับว่าพอใจ
เมื่อมีสิ่งตอบแทน ในใจจึงสงบอยู่บ้าง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถือโอกาสฉวยประโยชน์และเอ่ยเสียงสลวยว่า
“ฆ้องเงินสวี่ คนที่เห็นก็มีส่วนแบ่งนะ!”
เวลานี้เอง มังกรน้ำก็โผล่หัวขึ้นจากผิวน้ำทะเล แล้วเอ่ยบ่นด้วยภาษามนุษย์ว่า
“มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ นายท่าน ไก่แก่แม่ปลาช่อนเช่นนี้ยังเก็บไว้ข้างกาย นอนกับนาง แล้วถีบนางลงทะเลอีก ตัวซวย!”
นางปีศาจโฉมสะคราญผมขาวไม่พอใจยิ่งนัก นางมองสวี่ชีอันด้วยสายตาโกรธขึ้ง
คำพูดของมันแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า…สวี่ชีอันรอยยิ้มอาบหน้า
สวี่ชีอันมุ่งความสนใจไปที่การสัมผัสถึงพลังวิเศษฟ้าประทานของมังกรน้ำ โดยไม่สนใจความไม่พอใจของจิ้งจอกจำแลง ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วลืมตา เอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า
“มังกรน้ำตัวนี้มีปัญหา!”
นางปีศาจผมขาวยิ้มเย็นพลางว่า
“เป็นมันที่มีปัญหาหรือเจ้าที่มีปัญหาล่ะ”
สวี่ชีอันไม่ได้กำลังล้อเล่น พลังวิเศษฟ้าประทานของมังกรน้ำนั้นยุ่งเหยิงผิดปกติ มีพลังเหนือธรรมชาติของธาตุต่างๆ อาทิ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุสายฟ้า ธาตุดิน นอกจากนี้ ยังมีพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ ผสมปนเปไปหมด
ซึ่งผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
เขาจอดเรือพลางบอกสิ่งที่ตนค้นพบให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรู้
ปีศาจโฉมสะคราญผมขาวได้ฟังก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า
“เป็นไปไม่ได้!”
นางเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงส่งหางจิ้งจอกสองหางออกสำรวจในน้ำ และ ‘จับ’ มังกรน้ำออกมาท่ามกลางคลื่นทะเลม้วนเป็นเกลียว ‘ครั่นครืน’ แล้วลอยอยู่กลางอากาศ
“พลังวิเศษฟ้าประทานของเผ่าพันธุ์ปีศาจมักจะควบแน่นอยู่ภายในแก่น หากเป็นทายาทเทพมารจะขึ้นอยู่กับความเบาบางของสายเลือด หากสายเลือดของเทพมารมีความบริสุทธิ์สูง จะตีตราอยู่บนเลือดเนื้อและร่างกาย หากสายเลือดบางเบาจะตีตราอยู่ภายในแก่น”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าว
สวี่ชีอันเอ่ยว่า
“รอยยับย่นบนร่างของมังกรน้ำตัวนี้ก็คือพรสวรรค์ฟ้าประทานกระมัง”
ดวงตางดงามเปล่งประกายจับจ้องรอยย่นบิดเบี้ยวเหล่านั้น นางปีศาจผมขาวพยักหน้าพลางเอ่ยปากว่า
“ข้าน่าจะรู้สาเหตุแล้ว…รอยยับย่นพวกนี้ทำให้จิตเดิมสับสน ดังนั้นเมื่อครู่ข้าจึงไม่ได้สังเกตให้ดี เจ้าดูสิ พวกมันยุ่งเหยิงทีเดียว”
สวี่ชีอันพยักหน้า
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยต่อว่า
“ไม่เพียงเท่านั้น รอยยับย่นซึ่งแสดงถึงพรสวรรค์ฟ้าประทานเหล่านี้ยังแตกต่างกันทั้งหมดด้วย อีกทั้ง รอยย่นแต่ละรอยก็ล้วนไม่สมบูรณ์ มันจึงเหมือนการรวมตัวของพรสวรรค์ฟ้าประทานที่บกพร่อง
“ข้าคิดว่า นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเจ้าจึงสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์ฟ้าประทานอันสับสนยุ่งเหยิง”
สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนิ่งมองใบหน้าอันงดงามของนางปีศาจโฉมสะคราญแล้วเอ่ยว่า
“สถานการณ์นี้เป็นเช่นไร”
คำถามประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญขอคำแนะนำจากมืออาชีพ
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
นางกลอกตาขาวงามพริ้งเพริศ จากนั้นจึงทำสีหน้าเคร่งขรึม
“พลังวิเศษฟ้าประทานมีมาตั้งแต่กำเนิด เป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือด บ้างเป็นสายเดี่ยว บ้างเป็นสายคู่ ทว่ามิอาจอยู่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เพียงพลังวิเศษฟ้าประทานที่ไม่สมบูรณ์ก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาแล้ว”
สวี่ชีอันคิดอย่างรอบคอบแล้วเอ่ยว่า
“มันตกสู่ห้วงความบ้าคลั่ง สูญเสียสติสัมปชัญญะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกี่ยวกับรอยยับย่นแปลกๆ บนตัว เพราะพลังเหนือธรรมชาติยุ่งเหยิงพวกนี้เพิ่มขึ้นมา จึงทำให้ขาดสติไป”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่งเสียง ‘อืม’ “ข้าก็สงสัยเช่นนั้น แต่สติปัญญาของมันก็ได้เสียไปแล้ว แต่ก่อนเคยไปที่ไหน พบเจออะไรมาบ้าง พวกเราไม่มีทางรู้ได้”
ใบหน้าของนางแสนเสียดาย!
สวี่ชีอันกลับยิ้มและเอ่ยว่า
“พวกเราไม่รู้ แต่ราชินีเงือกอาจจะรู้ ไปเยือนเกาะมนุษย์เงือกก่อนเพื่อสังเกตการณ์ เราช่วยนางจัดการศัตรูผู้แข็งแกร่งไปตัวหนึ่ง การสืบหาข้อมูลบางอย่างคงไม่มากไปกระมัง”
นอกจากนี้ ยังมีข่าวกรองเกี่ยวกับแต่ละสถานที่ตั้งถิ่นฐานของทายาทเทพมาร และสถานที่พักของสิ่งมีชีวิตทรงพลังต่างๆ
อืม ถือโอกาสเจอราชินีเงือกผู้ขึ้นชื่อด้านความงามด้วย
เวลานี้เอง ศีรษะคนผู้หนึ่งได้โผล่ขึ้นมาบนผืนน้ำทะเลไม่ไกลนัก เป็นความงดงามอันโดดเด่น เส้นผมสีเขียวเข้ม ม่านตาสีทองระยิบระยับ รวมถึงใบหูแหลม
นางมองประเมินสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่หัวเรือด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนขลาดกลัว
มาพอดี…สวี่ชีอันพึมพำในใจ ก่อนเหยียดฝ่ามือออกไป นิ้วทั้งห้าออกแรงคว้า
……………………………………………………….
Comments