ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 858 เข้าเกาะ
บทที่ 858 เข้าเกาะ
……….
ฉากตรงนั้นทำให้เหล่าทายาทของเทพมารอ้าปากค้าง เงียบอยู่นานสองนาน วาฬมังกร อาชาดำ และวิหคเพลิงต่างเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของโพ้นทะเล คนกลุ่มน้อยที่ยืนอยู่จุดสูงสุด
แต่ทายาทเทพมารทั้งสามที่แกร่งกล้าเช่นนี้ แต่ถูกหญิงพราวเสน่ห์บนดาดฟ้าเรือฉีกขาดอย่างง่ายดาย การป้องกันร่างกายอันแข็งแกร่งและพละกำลังปราณโลหิตอันน่าภาคภูมิใจเทียบสามหางของอีกฝ่ายไม่ติดสักนิด
เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเลิกคิ้วเล็กน้อยท่ามกลางความเงียบอย่างต่อเนื่อง เขารู้ว่าจิ้งจอกเก้าหางสูงกว่าตนหนึ่งระดับ เป็นขั้นสองในระดับที่แบ่งตามเผ่ามนุษย์
นึกไม่ถึงว่าเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจจะแข็งแกร่งเช่นนี้
ทายาทเทพมารขั้นสามที่ทัดเทียมกันเช่นอาชาดำ เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อยจริงๆ วาฬมังกรก็เป็นแค่ปลาซิวปลาสร้อยที่ทรงพลังเท่านั้น
‘แล้วข้าล่ะ’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของคลื่นพิโรธก็สับสนขึ้น หลังจากเขาเห็นสวี่ชีอันที่น่าจะเป็นขั้นสองก็สับสนยิ่งกว่าเดิม
“โพ้นทะเลยังมีผู้แข็งแกร่งระดับนี้ด้วยหรือ ทายาทเทพมารที่เพิ่งเลื่อนขั้นหรือ”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ด้วยระดับของนางไม่มีทางไร้ชื่อเสียงเรียงนามก่อนที่จะเลื่อนขั้น”
ทายาทเทพมารเกินกว่าร้อยที่กระจายไปทั่วทุกที่ พวกเขาเดาระดับของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางได้จากบทสนทนาฉับพลันท่ามกลางความหวาดผวา
ในเมื่อฆ่าอาชาดำและวาฬมังกรได้ง่ายดายเช่นนี้ คงอยู่คนละระดับกับพวกมันแน่นอน
ขณะที่เหล่าทายาทเทพมารที่เฝ้ามองพากันผุดความคิดขึ้น นางปีศาจผมขาวก็ดูดกลืนแก่นโลหิตบนร่างศพของอาชาดำและวิหคเพลิง ‘อึก อึก อึก’ เหมือนกับปลิงดูดเลือด
ท่ามกลางฟากฟ้าเหนือพื้นทะเล จิตเดิมของอาชาดำและวิหคเพลิงคำรามอย่างโกรธแค้น ชิ้นเนื้อของพวกมันขยับเขยื้อนอย่างบ้าคลั่ง พยายามรวมตัวใหม่ ทว่าเมื่อการทำงานลดลง แก่นสำคัญก็เหือดหาย ได้แต่เปลี่ยนเป็น ‘เนื้อตาย’ อย่างช่วยไม่ได้
ร่างกายตายไปในที่สุด
ชิ้นส่วนศพของวาฬมังกรไม่ได้ลอยขึ้นมา ทว่าเลือดที่ย้อมสีผืนทะเล ในระหว่างนี้ก็จางหายไปอย่างช้าๆ กระทั่งฟื้นคืนกลับมาเป็นคลื่นสีฟ้าใส
บัดนี้หางจิ้งจอกทั้งเก้าก็เปลี่ยนเป็นหางสีแดง แดงสดและแวววาว
“นางเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ทายาทของจิ้งจอกชิงชิว เล่ากันว่าสายเลือดนี้ได้สร้างอาณาจักรหมื่นปีศาจในแผ่นดินจิ่วโจว ทายาทเทพมารเพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้ถูกปรมาจารย์เต๋าขับไล่ออกจากจิ่วโจว”
“มะ มิน่าอาชาดำกับวาฬมังกรถึงเหมือนสุนัขโดนเชือด”
ในที่สุดก็มีคนจำนางจิ้งจอกเก้าหางได้
เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจออกทะเลมาหลายครั้ง แม้จะบอกว่าไม่ได้สร้างความวุ่นวายก่อน ไม่ได้ก่อเรื่อง ทว่าโพ้นทะเลก็ยังมีข่าวลือเกี่ยวกับนางอยู่บ้าง ทว่ามีไม่มากก็เท่านั้น
นางจิ้งจอกเก้าหาง ‘สูด’ ลมหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้าช่วยเจ้าเก็บแก่นโลหิตของพวกมัน อีกประเดี๋ยวจะหลอมเป็นยาโลหิตให้เจ้า อืม หากเจ้ารอไม่ไหวก็ดูดหางข้าได้”
นางขยิบตาอย่างมีเลศนัย
การจะหลอมแก่นโลหิตของระดับเหนือมนุษย์ให้เป็นยาโลหิตต้องใช้เวลาสักหน่อย เมื่อครู่นางลงมือหนักเกินไป จึงเลือกเก็บพวกมันไว้ในหางเพื่อไม่ให้แก่นโลหิตหายไป
“หางหรือ”
สวี่ชีอันทำหน้ารังเกียจ เพ่งมองปากเล็กสีแดงสดของนาง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เปลี่ยนที่ได้หรือไม่”
คนกับนางจิ้งจอกพูดคุยกันอย่างโจ่งแจ้ง ทายาทเทพมารรอบตัวไม่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
จิ้งจอกเก้าหาง ‘ตื่นตกใจ’ แล้วเอื้อมมือปิดบั้นท้ายอันเชิดงอนด้วยใบหน้าซีดเผือด
“เจ้ากำลังคิดอะไร ตรงนี้ไม่ได้!”
ข้าคิดอะไรน่ะหรือ สวี่ชีอันไม่ได้โต้ตอบอะไรในคราแรก ก่อนจะรู้ว่าถูกนางจิ้งจอกหยอกเย้าเข้าอีกครั้ง จึงรู้สึกไม่สบายใจชั่วขณะ
ไม่เคยมีหญิงคนใดกล้าหยอกล้อเขาซ้ำไปซ้ำมา
ส่วนใหญ่เขาเริ่มเองทั้งหมด
บัดนี้ เรือล่องไปถึงขอบเกาะเทพมาร อยู่ห่างจากขอบชายฝั่งทะเลไม่ถึงสิบจั้ง เจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธเตือนด้วยสีหน้าเล็กน้อย
“อย่าเข้าไปใกล้ เดี๋ยวกลิ่นอายภายในเกาะจะติดเอา”
สวี่ชีอันออกแรงฝ่าเท้าเล็กน้อย เรือหยุดลงอย่าง ‘ว่าง่าย’ เขาสังเกตหมอกที่ปกคลุมเกาะพลางเอ่ยถาม
“หยกดำติดเชื้อได้อย่างไร”
เจ้าแห่งเกาะพิโรธเอ่ยเสียงเบา
“มันสัมผัสเข้ากับหมอกหนา”
สวี่ชีอันลังเลสักพัก ก่อนจะมองจิ้งจอกเก้าหางพร้อมเอ่ย
“ข้าไปเอง”
เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แก่นแท้ ลมปราณและจิตสามสิ่งรวมเป็นหนึ่ง ลักษณะพิเศษเช่นนี้ทำให้เขามีความสามารถ ‘หมื่นวรยุทธ์กล้ำกราย’ ก็ว่าได้ พลังจากภายนอกผสานรวมกับร่างกายเขาได้ยาก
นางปีศาจผมขาวไม่ได้อวดเบ่ง แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
สวี่ชีอันเดินหน้าสองก้าวออกจากดาดฟ้าเรือ การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ทายาทเทพมารที่อยู่ห่างออกไปชะงัก
พวกมันมองออกว่าเจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจที่มาจากแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวคิดจะเข้าเกาะ แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าเพศชายที่น่าจะเป็นเผ่ามนุษย์จะเข้าใกล้เกาะเทพมารก่อน
ทายาทเทพมารโพ้นทะเลจำนวนมากไม่เคยเจอเผ่ามนุษย์ตัวจริงมาก่อน
มาเป็นเป้าปืนใหญ่ทดสอบความอันตรายหรือ
เทพมารทุกคนต่างผุดความคิดขึ้น สวี่ชีอันเหยียบความว่างเปล่าทีละก้าวและมาถึงขอบชายฝั่ง ซึ่งอยู่ห่างจากกำแพงที่เกิดจากหมอกใกล้เพียงเอื้อม
เขายื่นนิ้วออกไปสัมผัสหมอก
วืด!
พริบตาที่นิ้วสัมผัสกับหมอก หมอกที่ลอยล่องช้าๆ ก็สั่นไหว จากนั้นไอหมอกก็เริ่มโถมเข้าใส่สวี่ชีอันราวกับหนอนแมลงวันไต่กระดูกเท้า นิ้วมือถูก ‘วาด’ ด้วยรอยประหลาดและไม่สมบูรณ์ ก่อนจะตามด้วยฝ่ามือ…
หัวของสวี่ชีอันสั่นไหว ‘ครืน’ จากการรุกล้ำของหมอก สักพักความ ‘ความทรงจำ’ ก็ปรากฏขึ้นมากมาย ความทรงจำนี้ราวกับส่วนลึกทางกรรมพันธุ์ที่ตราตรึง เป็นสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ตัวอย่างเช่น เดินด้วยสองเท้าหรือใช้สองมือหยิบสิ่งของ เพียงแต่ตอนนี้ความทรงจำที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีมูลเป็นวิธีควบคุมธาตุของฟ้าดินอาทิ ลม ฝน สายฟ้า และพายุ
พลังวิเศษฟ้าประทาน…หมอกเหล่านี้มอบพลังวิเศษที่ไม่ใช่ของเขาจริงๆ…สวี่ชีอันสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณกำลังพังทลายอย่างช้าๆ กรรมพันธุ์ถูกดัดแปลง
หากเป็นจิ้งจอกเก้าหาง แม้จะฝืนบีบของกำนัลจาก ‘หมอก’ ออกจากร่างก็ต้องทุกข์ทรมานมาก
แต่ไม่ใช่สำหรับสวี่ชีอัน เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ทั้งเหม็นและแข็งเป็นหิน
“ดูสิ นี่ก็คือผลจากการสัมผัสกำแพง”
“มีเพียงใต้เท้าผู้นั้นที่ต้านการกัดกินของหมอกได้ หากเปื้อนกลิ่นอายจะคลุ้มคลั่ง ชายผู้นั้นสิ้นท่าแล้ว”
ทายาทเทพมารหลายคนที่มาถึงซากที่อยู่อาศัยรกร้างก่อนหน้านี้แบ่งปันประสบการณ์ของตนให้กับคนที่มาทีหลัง
“ไม่เป็นไร!”
สายตาของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองสองมือของสวี่ชีอันจากบนหัวเรือ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ปลอดภัย!”
สวี่ชีอันส่งเสียงเรียก สองมือผสานกันและเจาะเข้าไปในหมอกอย่างแรง คล้ายกับมีดเจาะกำแพงอันแข็งกร้าว
สองมือของสวี่ชีอันเจาะทะลุกำแพงที่รวมตัวจากหมอก สองแขนยืดไปข้างนอก แล้วฉีกมันออกทีละน้อย
ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าวินาทีนี้หมอกทั่วทั้งเกาะสั่นไหวขึ้นและถูกกระแทกอย่างรุนแรง
หมอกรวมตัวกันไปทางสิ่งแปลกปลอมอย่างบ้าคลั่ง พยายามกลืนกลายและดูดกลืนเขา ทว่ารอยที่ติดอยู่บนสองมือของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมักจะถูกพลังที่แกร่งกว่าระเหยและกำจัดออกก่อนที่จะเป็นรูปเป็นร่างทุกที
“อ๊าก…”
กล้ามเนื้อของสวี่ชีอันขยายตัวทั่วทั้งร่าง หมอกเลือดพุ่งออกจากรูขุมขน
สังเวยเลือด!
กำแพงหมอกถูกเปิดออกอีกครั้ง ภายในช่องว่างนั้น ทิวทัศน์ภายในเกาะไม่พร่ามัวอีกต่อไป สะท้อนเข้าไปในตาของทายาทเทพมารทั้งสามบนดาดฟ้าเรืออย่างชัดเจน
หมอกที่ปกคลุมทั่วทั้งเกาะไม่ได้สั่นไหวเท่านั้น พวกมันเดือดพล่านเต็มที่ คล้ายกับโดนกระแสน้ำขุ่นทำให้หมองมัว
เมื่อเห็นช่องว่างถูกฉีกออก นางปีศาจผมขาวเอ่ยกับราชินีเงือกและเจ้าแห่งเกาะคลื่นพิโรธ
“พวกเจ้ารออยู่ด้านนอก ไม่จำเป็นต้องตามมา”
ทายาทเทพมารทั้งสอง ‘ปรารถนา’ ในเกาะเทพมารอย่างแรงกล้า ความปรารถนาที่มาจากสัญชาตญาณ ทว่าเหตุผลที่บอกพวกเขา เมื่อเข้าไปในเกาะส่วนใหญ่จะไม่ได้ออกมา
เมื่อพวกเขาพยักหน้า นางปีศาจผมขาวก็กระโดดและทะลวงเข้าไปในช่องอย่างปราดเปรียว
สวี่ชีอันหันข้างและทะลวงเข้าไปเช่นกัน
หมอกพวยพุ่งประหนึ่งน้ำ เติมเต็มช่องว่างที่ถูกฉีก
เหล่าทายาทเทพมารที่อยู่ไกลออกไปยืนตะลึง สีหน้าคล้ายกับแข็งทื่อไปแล้ว
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ทายาทเทพมารเหนือมนุษย์ที่มีร่างหลักเป็นหอยกาบพึมพำเสียงเบา
“คนผู้นั้นภูมิหลังเป็นอย่างไรกันแน่…”
เจ้าแห่งคลื่นพิโรธหันหน้าด้วยความงุนงงบนดาดฟ้าเรือ มองราชินีเงือกพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแตกตื่นผสมความเกลียดชัง
“จะ เจ้ารู้พลังบำเพ็ญของเขาอยู่แล้วหรือ”
ตอนนี้เมื่อนึกย้อนถึงราชินีเงือกที่ประจบตลอดทาง เขาก็พลันตระหนักได้ว่าตนช้าเกินไปแล้ว
มีคนแข็งแกร่งอยู่เช่นนี้ ข้าพลาดโอกาสประจบเขาไปเสียได้ ไม่ได้พูดคุยกันด้วยซ้ำ
…
ณ ทุ่งรกร้างอันเงียบสงัดสักแห่งในเกาะเทพมาร
ร่างยักษ์ราวกับขุนเขาของฮวงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่ไหวติง ผ่านไปพักใหญ่เขาก็เดินไปครึ่งก้าวอย่างช้าๆ
“ข้า…เกลียด…ที่นี่…นี่เป็น…พลังปราณสะสม…ของเวลา…”
เสียงเรียบทุ้มเอ่ยอย่าง ‘เชื่องช้า’
เวลาในเขตนี้เดินแปลกๆ ช้ากว่าโลกความจริงสิบเท่า
ทุกก้าวของสิ่งมีชีวิตที่บุกเข้ามาในนี้ต้องใช้เวลาเป็นสิบเท่าของด้านนอก
“เวลา…คือ…อะไร”
เสียงเชื่องช้าเช่นเดียวกันเอ่ยถามมาจากท่านโหราจารย์
“หาก…ในบรรดาเทพมาร…สมัยโบราณ…ใครรับมือได้ยากที่สุด…ไม่มีทางฆ่าตาย…นั่นก็คือ…เวลา…พลังปราณสะสมของมัน…ทำให้ทุกอย่าง…ช้าลงอย่าง…ถึงที่สุด…”
ฮวงใช้เวลาสิบห้านาทีเต็มเพื่อตอบท่านโหราจารย์
หากอยู่ในโลกความจริง ประโยคนี้คงจบได้ภายในสิบลมหายใจ
“ข้า…ทนไม่ไหว…กับความเร็ว…ที่เจ้าพูดจริงๆ…”
ท่านโหราจารย์ถอนใจพร้อมเอ่ย
“อีกอย่าง…เจ้าทำให้ข้า…นึกถึง…ลูกศิษย์ของข้า…”
บัดนี้ ศีรษะแพะหน้ามนุษย์ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เงยหน้าปรายตามองด้วยความเชื่องช้า
“มี…ใคร…บางคน…เข้ามา…แล้ว…”
ท่านโหราจารย์เอ่ยด้วยความอยากรู้
“โพ้น ทะ เล ยัง มี ยอด ฝี มือ อีก หรือ”
ฮวงไม่ได้ตอบ เขาเปลี่ยนเส้นทางและหันหลังช้าๆ กลับไปยังทางที่มา
ในที่สุดเขาก็ออกจากเขตที่ ‘เชื่องช้า’ หลังจากใช้เวลานานสองนานก็กลับถึงโลกที่เวลาเดินตามปกติ
“เสแสร้งให้มันน้อยหน่อย! ”
ม่านตาสีทองของฮวงประกายแสงดุร้าย แล้วเอ่ยเย้ยหยัน
“จิ่วโจวในปัจจุบัน นอกจากสวี่ชีอันที่ทำลายกำแพงด้วยพลังป่าเถื่อนได้แล้วก็มีเพียงเทพยุทธ์ครึ่งขั้นจากซินเจียงตอนใต้ผู้นั้น ข้าเดาว่าเป็นสวี่ชีอัน เทพยุทธ์ครึ่งขั้นไม่ออกจากซินเจียงตอนใต้ เขาต้องคุมสำนักพุทธ”
บัดนี้เขามองเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่รวมตัวจากหมอกกระพือปีกและร่อนลงบนเขายาวอย่างนุ่มนวล ซึ่งเป็นตัวที่ผนึกท่านโหราจารย์
ฮวงหายใจเบาๆ เป่าผีเสื้อออกสลายกลายเป็นหมอก
“ข้ารู้จักเจ้าในฐานะคนเฝ้าประตู จะมีอุบายพิเศษที่นี่ก็ตาม แต่อย่าแสดงต่อหน้าข้า”
ฮวงทำเสียงฮึดฮัด “สวี่ชีอันมาถึงพอดี เขาใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์ในโพ้นทะเลไม่ได้ กลืนกินแก่นโลหิตของเขาและเพิ่มพลังกายของข้า”
การกลับไปจุดสูงสุด สิ่งจำเป็นคือพลังปราณสะสมของเทพมาร ไม่ใช่ปราณโลหิตของจอมยุทธ์
…
สวี่ชีอันยืนอยู่บน ‘ชายหาด’ สิ่งที่มองเห็นตรงหน้ามีเพียงแผ่นดินรกร้างสีดำ เงียบสงัดปราศจากพืชและสัตว์
เงยหน้ามองฟ้าก็เป็นหมอกเคลื่อนที่เบาบาง
นางจิ้งจอกเก้าหางเอื้อมมือเล็กอันขาวผ่องออกไป ก่อนจะเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ย
“ที่นี่ไม่มีธาตุของฟ้าดิน รวมถึงวิญญาณดินด้วย!”
เมื่อครู่นางลองเรียกหยินหยางและดินน้ำลมไฟธาตุทั้งห้า ทว่าก็ยอมแพ้ไป
เช่นนั้นพวกเราไม่ได้เหยียบดินอยู่หรือ สวี่ชีอันขมวดคิ้ว มองรอบด้านพร้อมเอ่ย
“ไม่เห็นรอยเท้าของ ‘ฮวง’…”
ตามที่เห็นตอนแรก สัตว์ประหลาดใต้ทะเลตัวนั้นร่างใหญ่ราวกับขุนเขา หากสัตว์ประหลาดตัวขนาดนี้เคลื่อนไหวตามปกติคงทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นแน่
เว้นเสียจากมันจะเหินฟ้า
“อย่าเพิ่งขยับสักพัก ข้าจะให้หุ่นเชิดสำรวจก่อน”
เขาให้คำแนะนำอย่างแน่วแน่ ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อและเหวี่ยงมังกรน้ำสีดำออกไป
“โฮก…”
มังกรน้ำสีดำบินขึ้น แยกเขี้ยวกางเล็บทะยานขึ้นฟ้าด้วยท่าทางองอาจ
จากนั้น…จู่ๆ มันก็แตกออกเป็นเสี่ยง แล้วตกลงต่อหน้าสวี่ชีอันและนางจิ้งจอกเก้าหางดังเปาะแปะ
นี่หมายความว่าอะไร อะไรคือทำให้เห็นว่า ‘ข้าแตกเป็นเสี่ยงแล้ว’ ตรงนี้ สวี่ชีอันพึมพำในใจ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“บนฟ้ามีบางอย่างแปลกๆ!”
มังกรดำอยู่ในระดับเหนือมนุษย์ ในพลังวิเศษฟ้าประทานยังมี ‘การป้องกัน’ นี้อยู่ ทว่าแตกเป็นเสี่ยงทันทีที่ขึ้นฟ้า อันตรายที่มองไม่เห็น สิ่งมีคมอันน่าหวาดกลัว
บัดนี้ จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียง ‘ซี้ด’ หยดเลือดซึมออกมาจากนิ้วเรียวสวยอันขาวนวล
“อยู่ตรงหน้าข้า ไม่ถึงสามฉื่อ…”
นางยังไม่ทันพูดจบ สวี่ชีอันก็ปล่อยหมัดออกไป เสียงสายเอ็นขาดดังมาจากกลางอากาศ
จิ้งจอกเก้าหางชี้นิ้วออกไปหยั่งเชิงอีกครั้งก็พบว่าสิ่งมีคมอันน่าหวาดกลัวได้หายไปแล้ว
“สายเอ็น หรือว่าใยแมงมุม”
นางคาดเดาอย่างรอบคอบ
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบ เก็บมังกรดำที่คืนสภาพเดิมเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง
ครั้งนี้เขารับหน้าที่เปิดทาง แล้วพบรอยตัดจากบางสิ่งที่ไร้รูปนับครั้งไม่ถ้วนระหว่างทาง เมื่อเดินไปได้สิบกว่าจั้ง ชุดคลุมก็ถูกตัดขาดรุ่งริ่ง
รอยสีขาวกระจายอยู่ตามร่างกายอันแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง
นางจิ้งจอกเก้าหางเดินตามหลังจอมยุทธ์ป่าเถื่อนก็หยอกล้ออย่างสบายอารมณ์
“โอ้โห หันกลับมาให้เจ้าอาณาจักรคนนี้ดูสิว่า สิ่งนั้นที่ทำให้เย่จีหลงใหลหน้าตาเป็นอย่างไร”
“เกรงว่าหากข้าหันหลังจะเตะเจ้าลอยออกไปน่ะสิ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ยิ่งเดินหน้าอุณหภูมิก็ยิ่งสูงขึ้น อากาศแห้งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสวี่ชีอันเห็นลาวาปรากฏอยู่ข้างหน้า นานแล้วที่เขาไม่ได้ถูกของมีคมไร้รูปตัด
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยืนเคียงข้างเขา เท่าที่สายตามองเห็น แผ่นดินใหญ่หายไป หินหนืดดุจดั่งมหาสมุทรพ่นเปลวไฟอันร้อนผ่าวเป็นครั้งครา
‘พรวด!’
จิ้งจอกเก้าหางแบมือ เปลวไฟที่ไม่ธรรมดาพ่นออกมาทำเอานางสะดุ้งโหยง
“ที่นี่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณไฟ ข้าเพียงใช้วรยุทธ์เล็กๆ ก็เป็นถึงขนาดนี้”
นางตกใจไม่หยุด
สวี่ชีอันลูบคาง แล้วเอ่ยพึมพำ
“ข้ามีวิธี!”
นางจิ้งจอกคาดเดาในใจเช่นกัน ทว่าก็หันหน้าฟังเขาอยู่ดี
สวี่ชีอันเอ่ย
“พวกเราเห็นร่างของเทพมารบรรพกาลที่นอกเกาะ หลังจากข้ามากลับไม่พบ นั่นเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากพลังปราณสะสมที่เหลืออยู่ของเทพมารใช่หรือไม่ ที่แห่งนี้เป็นหนึ่งในสมรภูมิของเทพมารบรรพกาล จึงเต็มไปด้วยพลังที่ตกค้างหลังพวกเขาตาย สิ่งที่เราพบเมื่อครู่เป็นพลังปราณสะสมของยักษ์หกแขนผู้นั้น สิ่งที่เราเห็นตอนนี้เป็นเทพมารอีกคน แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพลังปราณสะสมด้านนอกถึงยุ่งเหยิงและไม่สมบูรณ์ แต่ภายในเกาะกลับแยกแยะชัดเจน”
นางปีศาจผมขาวอธิบาย
“พลังปราณสะสมที่ยิ่งแข็งแกร่ง การแบ่งแยกก็จะยิ่งเคร่งครัดขึ้น ซึ่งต้องแยกแยะให้ชัดเจน สำหรับคนด้านนอกเหล่านั้นน่าจะเกิดจากการผสานรวมพลังอันล้นหลานของพลังปราณสะสม นี่จึงอธิบายได้ว่าเหตุใดทายาทของเทพมารที่ติดเชื้อถึงสะสมพลังปราณยุ่งเหยิงและไม่สมบูรณ์”
“มีเหตุผล!” สวี่ชีอันพยักหน้าเห็นด้วย แล้วทอดถอนใจ
“ที่แห่งนี้เป็นสวรรค์ของ ‘ฮวง’ เกาะเทพมารปรากฏได้ไม่นาน ฮวงก็มาแล้ว มันอาศัยที่แห่งนี้หวนกลับสู่จุดสูงสุด ข้ายิ่งมั่นใจการคาดเดาก่อนหน้านี้มากขึ้น มันอาจจะพาท่านโหราจารย์ท่องทะเลใต้นาน เที่ยวพลางรอให้เกาะเทพมารปรากฏ”
ประโยคหลังเป็นเรื่องตลกที่หาความสำราญในความทุกข์
พูดจบสวี่ชีอันไม่ได้เหินฟ้า แต่กระโดดเข้าหินหนืดเป็นการหยั่งเชิง
‘ฟู่…’
เขาหอบหายใจ ก่อนจะรู้สึกถึงอุณหภูมิสูงอันน่าสยองพร้อมกับความเจ็บปวดที่รุนแรง
แล้วเอ่ยอย่างเริงร่า
“หินหนืดมีฤทธิ์ชุบร่างได้ดี มันทำให้ร่างกายแข็งแกร่งกว่าเดิม เมื่อแช่นานๆ จะต้านไฟได้ดีกว่าเดิม เจ้าจะมาไหม”
จิ้งจอกเก้าหางเบะปาก
“เจ้าแช่ไปเองเถอะ”
สวี่ชีอันทำเสียง ‘อ้อ’ แล้วลุยเข้าไปในหินหนืดพลางอาศัยชุบพลังกาย
ทันใดนั้นเขาก็ยกมือ พลังปราณรวมตัวเป็นมือยักษ์ แล้วจับจิ้งจอกเก้าหางไว้กลางอากาศ
จิ้งจอกเก้าหางราวกับเตรียมป้องกันอยู่แล้ว ยกร่างขึ้นสูงอย่างไม่บอกกล่าว แล้วหนีออกจากการจับกุมของมือยักษ์ได้พอดี
นางก้มหน้ามอง แล้วกระตุกมุมปาก
“ขณะที่ข้าเอาชนะศัตรูด้วยหลากกลยุทธ์ เจ้ายังไม่เกิดเลย! ทันทีที่เจ้าอ้าปาก ข้าก็เห็นลิ้นไก่เจ้าแล้ว”
อยากเห็นร่างกายของนาง ถุย ฝันไปเถอะ!
“น่าเบื่อ!” สวี่ชีอันพึมพำ แล้วเดินต่อ
เมื่อเห็นว่ากำลังข้ามเขตนี้ สวี่ชีอันก็ชะงักพร้อมเอ่ย
“เหมือนข้าจะเหยียบอะไรเข้า…”
………………………………………
……….
Comments