ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 864 พบพานในหนทางแคบ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 864 พบพานในหนทางแคบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 864 พบพานในหนทางแคบ

……….

“พวกเรา…มาที่นี่…ได้สามวันแล้ว…โลกภายนอก…ไม่สิ ผ่านไป…หนึ่งเดือนแล้วกระมัง?”

จิ้งจอกเก้าหางเหลือบมองสวี่ชีอันและค่อยๆ สับเปลี่ยนพื้นที่มิติว่างพลางเอ่ยพูดไปด้วย

ทั้งคู่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ไม่เร็วนัก แต่เมื่อเทียบกับฮวงที่เดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ ถือว่านี่ก็ได้เปรียบมากแล้ว

“ประมาณนั้น…”

สวี่ชีอันหยุดลงแล้วเอ่ยพูด

“จู่ๆ ข้าก็นึกถึงปัญหาเรื่องหนึ่งได้”

จิ้งจอกเก้าหางอดทนรอให้เขาพูดประโยคนี้จบแล้วตอบกลับไป

“ปัญหาอะไร อีกอย่าง ทำไมไม่มองข้า”

“หันหน้าไปมองใช้เวลาตั้งครึ่งค่อนวัน เปลืองแรงเกินไป” สวี่ชีอันให้เหตุผลง่ายๆ จากนั้นก็กล่าวว่า

“ไม่อยากจะเชื่อเลย เทพมารที่แข็งแกร่งและมีหลิงอวิ้นอันทรงพลังตายได้อย่างไร?”

การสลับสับเปลี่ยนพื้นที่มิติว่างจำเป็นต้องเพ่งสมาธิทั้งหมดเพื่อดำเนินการ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสายตาของเขาอย่างยิ่งยวด สวี่ชีอันต้องการสลับพื้นที่มิติว่างตรงจุดไหน ก็ต้องใช้ดวงตาของเขามองจึงจะสำเร็จ

ถ้าหากหันหน้าไปมองจิ้งจอกเก้าหาง พื้นที่มิติว่างที่จะสับเปลี่ยนก็จะเป็นทางด้านของนาง แบบนี้จะทำให้วิถีเคลื่อนไปได้

จิ้งจอกเก้าหางครุ่นคิดแล้วเอ่ยตอบ

“พลังที่ผู้อยู่เหนือระดับทุกคนล้วนไม่อาจคาดเดาได้ เทพมารที่ควบคุมกฎของโลกผู้นี้อาจจะไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่ง หากฮวงตกอยู่ในพื้นที่เช่นนี้แล้วใช้พลังวิเศษฟ้าประทานกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง เจ้าว่ากฎการชะลอเวลาในพื้นที่มิติจะยังคงอยู่หรือไม่เล่า?”

สวี่ชีอันไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เขายอมรับคำพูดของจิ้งจอกเก้าหาง

เนื่องจากฝ่ายหลังเริ่มเบื่อ จึงสรรหาหัวข้อน่าสนใจมาพูดคุย นางเอ่ยกระซิบ

“ท่านโหราจารย์บอกว่าใจกลางของเกาะเทพมารมีกุญแจสู่หายนะใหญ่ครั้งแรก เจ้าว่าเกาะนี้ดำรงอยู่เพื่อกักเก็บของสิ่งนั้นหรือไม่?”

สวี่ชีอันแก้ไขคำพูดนางทันที

“คำว่ากักเก็บไม่ค่อยถูกต้องนัก ใครเป็นคนกักเก็บมันกันเล่า?”

เมื่อเห็นนางปีศาจผมเงินเงียบงันไม่พูดจา เขาก็ตีแผ่ความคิดออกมาแล้วพูดต่อ

“แต่ความคิดของเจ้าก็น่าคิด เหตุใดเกาะแห่งนี้ถึงอยู่ในซากที่อยู่อาศัยรกร้าง ของสิ่งนั้นมาจากที่ใด แล้วเหตุใดถึงทำให้เทพมารฆ่าแกงกันเอง อีกอย่าง เหตุใดหายนะใหญ่ครั้งแรกและหายนะใหญ่ครั้งที่สองจึงแตกต่างกัน? ความเปลี่ยนแปลงของหายนะใหญ่ทั้งสองครั้งอยู่ตรงไหน?”

จิ้งจอกเก้าหางส่ายหน้า

“บางทีคงต้องเห็นของสิ่งนั้นก่อนจึงจะเข้าใจทุกอย่าง ท่านโหราจารย์เคยบอกว่าเมื่อเห็นมัน พวกเราก็จะเข้าใจมันได้”

สวี่ชีอันปัดหัวข้อนี้ทิ้ง เขาพาจิ้งจอกเก้าหางเคลื่อนที่ไปพร้อมกับเอ่ยพูดไปด้วย

“ช่วงนี้รู้สึกว่าจิตใจไม่มั่นคง! ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่มักจะได้ยินเสียงหลอนหูอยู่ตลอด”

“เสียงหลอนหู?” จิ้งจอกเก้าหางตกตะลึง

“เสียงสวดภาษาสันสกฤตดังอยู่ที่หู มักจะมีคนเรียกข้าว่าพระพุทธองค์สูงสุดไม่หยุดเลย” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม

…นางปีศาจผมเงินคิดว่าเขากำลังหลอกคนอีกแล้ว

เมืองหลวง หอเฮ่าชี่

“กลางฤดูร้อนแล้ว”

เว่ยเยวียนผู้มีจอนผมราวน้ำค้างแข็งและใบหน้าหล่อเหลาองอาจนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเหลือบมองไปยังผู้อาวุโสชุดสีแดงเข้มที่อยู่ตรงข้ามพลางแย้มยิ้มบางเบาออกมา

“ได้เวลาเก็บแหแล้ว”

จ้าวโส่วในชุดสีแดงนั่งตัวตรงขึ้นมา เขาสวมหมวกขุนนาง ไม่มีท่าทางอิสรเสรีและปล่อยจอนผมแผ่สยายเช่นในกาลก่อนอีก เขาพยักหน้า

“การส่งข้อมูลและจัดระเบียบคนจำเป็นต้องใช้เวลา การเก็บแหในตอนนี้สามารถลดทอนโชคชะตาของพระพุทธเจ้าได้ทันก่อนงานชุมนุมพุทธะพอดี! สำนักพุทธมหายานที่เหลืออยู่ในดินแดนประจิมทิศมีสาวกอยู่เท่าไหร่แล้ว?”

เว่ยเยวียนให้ข้อมูลลับออกไปอย่างใจกว้าง

ส่วนตอนนี้ มีแต่จะเพิ่มขึ้น

‘สามแสน…’ จ้าวโส่วสูดลมหายใจ “เหตุใดถึงมากขนาดนี้?”

เว่ยเยวียนกลับส่ายหน้าเอ่ย

“หากฝ่าบาทได้ยินประโยคนี้ คงจะเชิญเจ้าไปเดินเล่นในคลังหลวงของกรมการคลังสักรอบแน่”

จ้าวโส่วขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

เว่ยเยวียนจึงบอกกลยุทธ์ ‘ให้เงินแก่ผู้ศรัทธา’ ‘เมื่อพาญาติสนิทมิตรสหายมาศรัทธาก็จะแบ่งเงินให้’ เพื่อรักษาความลับ คนในราชสำนักที่รู้เรื่องนี้มีแต่เขากับฮว๋ายชิ่ง แม้แต่เจ้ากรมและรองเจ้ากรมการคลังก็ยังไม่รู้

เพราะเงินทองไม่ได้เข้ากรมการคลัง แต่ไปยังเมืองหน้าด่านทั้งสามที่หนานเป่ย

แน่นอนว่ายกเว้นคนที่ทำงานอยู่ทางด้านนั้น

“มิน่าเล่า เจ้ากรมการคลังถึงได้มาบ่นเป็นการส่วนตัวว่าเก็บเงินไม่ได้ ทั้งยังเขียนฎีกากล่าวหาขุนนางในเมืองหน้าด่านทั้งสาม สุดท้ายกลับถูกฝ่าบาทระงับไว้” จ้าวโส่วเข้าใจในทันใด

เว่ยเยวียนจิบชา

“อำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกคือเงินเสมอมา บวกกับความพยายามในอดีตเมื่อสองปีก่อนของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ สาวกสามแสนคนจึงไม่ถือว่าเยอะ”

นอกจากเหตุผลทั้งสองประการที่กล่าวมาแล้ว ลักษณะของพุธมหายานที่ค่อนข้างเหมาะกับการเทศนาและเผยแพร่ก็มีความสำคัญเช่นกัน

เพราะมันง่ายที่ชาวบ้านระดับล่างๆ จะยอมรับมากกว่า

จ้าวโส่วดีใจยิ่ง แต่ก็ยังขมวดคิ้ว

“พวกเราประเมินพลังการเผยแพร่ของพุทธมหายานต่ำไปหรือไม่? หากตั้งพุทธมหายานเป็นศาสนาประจำชาติ เมื่อเวลาผ่านไป พุทธมหาศาลก็จะเบ่งบานอยู่ในภาคกลาง ยากที่จะยับยั้งได้อีก”

เว่ยเยวียนไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย เขายิ้มบางๆ

“พุทธมหายานและสำนักพุทธแดนประจิมนั้นแตกต่างกัน จะไม่เกิดยอดฝีมือในระดับพระโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้าขึ้นมาแน่ อีกอย่าง สิ่งที่พุทธมหายานศรัทธาคือตู้เอ้อร์และพุทธะสูงสุดอย่างสวี่หนิงเยี่ยน”

จ้าวโส่วนิ่งคิดไปพักหนึ่ง จากนั้นก็วางใจ

เมื่อขาดผู้แข็งแกร่งระดับสูงไป นั่นหมายความว่าจะสามารถระงับ ยับยั้ง และจำกัดการพัฒนาได้

ทั้งยังศรัทธาต่อสวี่หนิงเยี่ยน เช่นนี้จึงทำให้พุทธมหายานอยู่ในขอบเขตที่สามารถควบคุมได้ ไม่ถึงขั้นเป็นเสือข้างแคร่

เว่ยเยวียนกล่าวต่อ

“ครั้งนี้ที่มาหาท่านปราชญ์เจ้าสำนักก็เพราะอยากจะปรึกษากับท่านว่า จะย้ายคนในดินแดนประจิมทิศสามแสนคนหรือมากกว่านั้นมาที่ภาคกลางอย่างไร”

นี่เป็นแผนงานที่ใหญ่โตยิ่งนัก แค่เพียงการคุ้มกันและจัดการเรื่องต่อจากนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่กองกำลังธรรมดาจะกระทำได้แล้ว จึงมีเพียงราชวงศ์อย่างต้าฟ่งเท่านั้นที่มีพลังอำนาจแห่งอาณาจักรที่สอดคล้องกันอยู่

จ้าวโส่วยกถ้วยชาขึ้นแล้วเอ่ยพูดช้าๆ

“ภัยหนาวเมื่อปีก่อนและทัพกบฏอวิ๋นโจวส่งผลกระทบมหาศาล จนถึงบัดนี้ ภาคกลางยังคงไม่อาจฟื้นฟูเป็นดังเดิมได้ จำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว ที่นารกร้างว่างเปล่า ถึงแม้จะน่าเสียใจ แต่ในเวลานี้ก็ถือเป็นโอกาสเหมาะพอดี ต้าฟ่งมีที่ดินมากพอจะเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของสาวกพุทธมหายาน

แต่การย้ายถิ่นฐานขนาดใหญ่ต้องก่อให้เกิดปัญหาแน่นอน ทางที่ดีควรย้ายมาทางทิศตะวันออกแบบแบ่งเป็นกลุ่มๆ ส่วนเรื่องเสบียงอาหาร กลางฤดูร้อนมาถึงแล้ว และการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็อยู่อีกไม่ไกล ไม่กลัวว่าจะเลี้ยงคนเหล่านี้ไม่พอ”

อีกอย่าง การย้ายคนจากดินแดนประจิมทิศมาที่ภาคกลางสามารถให้พวกเขามาเป็นแรงงานสำคัญได้ นี่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับต้าฟ่งในตอนนี้

เว่ยเยวียนกล่าวเสริม

“จะต้องย้ายเข้ามาในภาคกลางก่อนงานชุมนุมพุทธะ”

จากนั้น ทั้งสองคนก็ปรึกษากันเรื่องรายละเอียดพื้นที่ตั้งถิ่นฐานของสาวกพุทธมหายาน ว่าควรจะแบ่งการอพยพอย่างไร จำเป็นต้องใช้คนกี่คนเพื่อคุ้มกัน รวมถึงการวางแผนเส้นทาง เป็นต้น

สุดท้าย จ้าวโส่วก็เอ่ยแนะนำว่า

“อีกเดี๋ยวนำเรื่องนี้ไปบอกกับหวางเจินเหวินเถอะ ช่องซ่อมจักรวรรดิอย่างเจ้าสามารถมองสถานการณ์ภาพรวมได้แบบไม่มีผู้ใดเทียบเทียม แต่ในเรื่องของรายละเอียด หวางเจินเหวินเก่งกาจกว่าเจ้ามากนัก”

เว่ยเยวียนยิ้มพลางพยักหน้า ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้น

“โชคชะตาของพุทธมหายาน จะกลับไปสู่สวี่ชีอันหรือไม่?”

จ้าวโส่วนิ่งคิดไป

“ในเมื่อเป็นศาสนาประจำชาติ ต้าฟ่งจึงได้หนึ่งส่วน ตู้เอ้อร์หนึ่งส่วน และสวี่หนิงเยี่ยนได้ไปแปดส่วน”

เจ้าสำนักถอนหายใจแล้วเอ่ยด้วยความอิจฉาเล็กๆ

“ปีนั้นตอนที่เจ้าเลี้ยงดูฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนี้ เคยคิดถึงวันนี้บ้างหรือไม่?”

เมื่อเว่ยเยวียนได้ฟังก็วางถ้วยชาลงไป เขาประสานมือไว้ในแขนเสื้อกว้างแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“หลี่เมี่ยวเจินเคยกล่าวคำพูดหนึ่ง

ทำสิ่งที่ดี ไม่ถามถึงอนาคต

สำหรับข้า ก็เป็นเช่นนั้นแล”

รอยยิ้มของเขาสงบราบเรียบ สายตาอบอุ่น แต่จ้าวโส่วสามารถสัมผัสได้ถึงความพึงพอใจที่ซุกซ่อนอยู่ในแววตาและคำพูดของเว่ยชิงอีผู้นี้ได้อย่างชัดเจน

‘ดูเอาเถอะ เจ้าภูมิใจนักหนาเลยมิใช่หรือ’…จ้าวโส่วผู้เป็นแบบอย่างของผู้คนจิบชาในถ้วยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้วเปล่งเสียงออกมา

“นี่คงจะเป็นชาเก่ากระมัง”

เว่ยเยวียนตะลึงงัน เขาก้มหน้ามองถ้วยชาแล้วเอ่ยแก้ไข

“นี่คือชาใหม่ชุดแรกที่มู่หนานจือปลูกในปีนี้ สวี่หนิงเยี่ยนตั้งใจส่งมาให้ก่อนจะออกทะเล”

จ้าวโส่วเผยสีหน้า ‘สงสัย’

“แต่ข้าจำได้ว่าหลังจากสวี่หนิงเยี่ยนแต่งกับองค์หญิงหลินอัน เทพดอกไม้ก็ไม่ปลูกชาแล้ว เรื่องนี้เอ้อร์หลางยังมาพูดคุยกับข้าอยู่เลย เขาเอามาพูดหยอกล้อพี่ใหญ่ของเขาน่ะ อ้อ หรือไม่ข้าก็อาจจะจำผิด”

เว่ยเยวียน “…”

เทือกเขาอรัญตาบนภูเขาสูงใหญ่ตั้งอยู่ใต้แผ่นฟ้าครามเมฆขาวแห่งนี้ ราวกับอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล

ที่ราบกว้างขวาง ณ เชิงเขาอรัญตา ผู้ศรัทธาจากแว่นแคว้นและหัวเมืองต่างๆ ของดินแดนประจิมทิศเดินทางไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์แบบเดินสามก้าวคำนับหนึ่งครั้ง

พวกเขามีความเลื่อมใสศรัทธาเกินใคร ความศรัทธาของพวกเขาอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เหนือกว่าความรักของครอบครัวและความเคารพต่อเจ้าผู้ปกครองเสียอีก

ในดินแดนประจิมทิศนั้น อำนาจแห่งเทพเทวาอยู่สูงสุด จักรพรรดิเป็นเพียงหุ่นเชิด ชนชั้นสูงคือผู้รับใช้ใต้อำนาจของเทพเจ้า

ชาวบ้านที่ใช้ชีวิตในดินแดนประจิมทิศสามารถไม่เคารพกษัตริย์และไม่จำเป็นต้องภักดีต่อชนชั้นสูงได้ แต่ไม่อาจไม่ศรัทธา

และความศรัทธาของพวกเขานั้นก็มอบแด่พระพุทธเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวมาตั้งแต่โบราณกาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาทอดมองไปไกลและเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ภายในใจก็ยิ่งเกิดความเคารพนับถือมากขึ้น

จากคำกล่าวของชาวบ้านที่อยู่บริเวณอรัญตา เมื่อไม่นานมานี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนั้นได้ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจจากซินเจียงตอนใต้และยอดฝีมือต้าฟ่งร่วมมือกันโจมตี ความเคลื่อนไหวใหญ่โตนัก แม้แต่ผู้คนที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ก็ยังได้ยินได้เห็นอย่างชัดเจน

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาแทบจะถูกพังราบเป็นหน้ากลอง

แต่บัดนี้พวกเขาก็ได้เห็นกับตาตนเองแล้วว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ยังมีสภาพสมบูรณ์ และยังคงตั้งตระหง่านเงียบๆ อยู่ระหว่างฟ้าดิน

หลักฐานหนึ่งเดียวก็คือ ยอดเขาของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีหิมะปกคลุมและไม่ใช่ภูเขาหัวขาวอีกต่อไป

ณ ที่ราบห่างไกลแสนไกลจากอรัญตา ตู้เอ้อร์ในชุดจีวรสีเหลืองแดงใต้ต้นโพธิ์นั่งขัดสมาธิประนมมืออยู่ใต้ต้นไม้ พลางทอดมองไปยังอรัญตาที่อยู่ห่างไกล

ภิกษุวัยกลางคนคนหนึ่งประนมมือยืนอยู่ข้างๆ เขา

ภิกษุวัยกลางคนผู้นี้ที่มีใบหน้ากลมเป็นเอกลักษณ์ตามมาตรฐานของชาวดินแดนประจิมทิศ หากสวี่ชีอันอยู่ที่นี่ก็จะนึกได้ว่าคนผู้นี้ก็คือภิกษุจิ้งเฉินที่เคยมีความขัดแย้งกับเขาในพิธีประลองสำนักพุทธนั่นเอง

“ท่านอาจารย์ ราชสำนักต้าฟ่งส่งข่าวมาขอรับ”

ตู้เอ้อร์พยักหน้าเบาๆ

จิ้งเฉินเอ่ยพูดต่อ

“ต้าฟ่งวางแผนจะขีดเส้นแบ่งดินแดนสองพันลี้จากตอนเหนือของเหลยโจวและตอนเหนือของฉู่โจว เพื่อมอบให้พุทธมหายานของเราพร้อมกับเสบียงอาหารหนึ่งปีด้วยขอรับ ผู้อยู่เหนือสามัญสองคนอย่างอาซูหลัวและจินเหลียนแห่งนิกายปฐพีได้เข้ามายังสำนักพุทธมหายาน เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าพระโพธิสัตว์แก้แค้นแล้ว

“นอกจากนั้น ในวันงานชุมนุมพุทธะ จักรพรรดินีทรงรับปากแล้วว่าจะออกราชโองการให้พุทธมหายานเป็นศาสนาประจำชาติ”

เมื่อตั้งพุทธมหายานเป็นศาสนาประจำชาติ นั่นเท่ากับว่าได้มอบสถานะให้กับสำนักพุทธมหายาน โชคชะตาก็จะถูกควบแน่นขึ้นจากตรงนี้ และถูกแยกออกมาจากสำนักพุทธแดนประจิม

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พยักหน้าช้าๆ ด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง

จิ้งเฉินหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ต้าฟ่งมีเงื่อนไขหนึ่ง คือจะต้องอพยพให้เสร็จสิ้นก่อนงานชุมนุมพุทธะ”

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์นิ่งคิดไป ก่อนพยักหน้า

“ทำตามที่พวกเขาเรียกร้องมา”

ภิกษุจิ้งเฉินรับคำ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา

“พุทธมหายานสามารถเจริญรุ่งเรืองได้หนังตาของเหล่าพระโพธิสัตว์ ราชสำนักต้าฟ่งพยายามสุดกำลังจริงๆ ท่านอาจารย์กล่าวได้ถูกต้อง พวกเราจะไม่เชื่อต้าฟ่งก็ได้ แต่สามารถเชื่อฆ้องเงินสวี่ได้”

“ไม่ใช่ นั่นคือพุทธะสูงสุด”

“ถ้าหากไม่มีราชสำนักต้าฟ่งที่ขอเงินก็ได้เงินและมอบการสนับสนุนให้โดยไม่สนสิ่งใด พุทธมหายานก็ยากจะพัฒนาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ แล้วแพร่กระจายไปในหมู่คนยากจนระดับล่าง จนแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่กลายเป็นไฟลามทุ่งเช่นนี้ได้”

ตู้เอ้อร์เอ่ยเสียงนิ่งเรียบ

“ในสายตาของเหล่าพระโพธิสัตว์ ล้วนไม่เคยมองมาที่ฝุ่นธุลีอยู่แล้ว”

ฝุ่นธุลีนั้นหมายถึงชาวบ้านชนชั้นล่าง

“สวี่หนิงเยี่ยนยังไม่กลับมาหรือ?” เขาพลันถามขึ้นมา

“ไม่มีข่าวคราวขอรับ” ภิกษุจิ้งเฉินส่ายหน้า

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ

“หวังว่าตอนที่เขากลับมาจะกลายเป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์นะ”

เมื่อคุยเรื่องธุระปะปังเสร็จ ภิกษุจิ้งเฉินก็มองไปยังอรัญตาที่อยู่ห่างไกล จากนั้นเอ่ยพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์พังลงแล้วหรือ?!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็ซับซ้อนขึ้น ก่อนเอ่ยว่า

“พระพุทธเจ้าคือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์คือพระพุทธเจ้า”

‘หมายความว่าอย่างไร? พระพุทธเจ้ากลายเป็นภูเขา?’ ภิกษุจิ้งเฉินขมวดคิ้วมุ่น

หลังจากสลับพื้นที่มิติอยู่หลายวัน สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางก็มองเห็นสัตว์ประหลาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งอยู่ด้านหน้า ร่างกายของมันประดุจภูเขายักษ์ ขนเป็นสีดำมะเมื่อม มีลำตัวคล้ายกับแพะภูเขา บนศีรษะมีเขาโง้งยาวหกเขาราวกับท่อนหนาม

ฮวง!

ในที่สุดพวกเขาก็ตามฮวงทันแล้ว

ในจุดที่อยู่ห่างจากฮวงไปไกลขึ้นอีก มีลำแสงที่พวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า

นั่นคือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของหายนะใหญ่ที่ท่านโหราจารย์กล่าวถึง…สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางตะลึง หัวใจเต้นระรัวเร็ว

ขณะเดียวกัน ฮวงที่ก้าวอยู่ข้างหน้าก็พลันหยุดลง จากนั้นมันก็หันหน้ามา ‘ช้าๆ’

หนึ่งคน หนึ่งจิ้งจอก หนึ่งเทพมาร หกตาประสานสบกัน

สีหน้าของฮวงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ราวกับคนที่ได้พบสมบัติ มันสังเกตเห็นได้ในทันใดว่าด้านหลังมีคนสองคนที่กำลังจะมาแย่งอาหารจากปากเสือ

และในชั่วขณะนี้เอง สวี่ชีอันที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันก็วาบตัวเคลื่อนที่เป็นระยะสั้นๆ หนึ่งครั้งอย่างเชื่องช้า

‘อาวุธเวทมนตร์มิติ…’ นัยน์ตาสีเหลืองทองของฮวงหดเกร็งทันใด

……………………………………………

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด