ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 865 ความลับของผู้พิทักษ์ประตู
บทที่ 865 ความลับของผู้พิทักษ์ประตู
……….
“โหราจารย์!”
ฮวงอ้าปากใหญ่กว้างและเอ่ยพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ ‘ช้าๆ’
ถึงจะไม่รู้ว่าตาเฒ่านั่นไปพบกับสวี่ชีอันตั้งแต่เมื่อไหร่และด้วยวิธีการใด แต่อาวุธเวทมนตร์มิติว่างชิ้นนั้นในมือของเขาก็เป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์มอบให้อย่างไม่ต้องสงสัย
‘พื้นที่มิติว่าง’ ที่อยู่ด้านหลังนั่น ใช่ว่าเขาไม่เคยไปมาก่อน
และผู้ที่สามารถหลอมหลิงอวิ้นที่หลงเหลืออยู่ให้กลายเป็นอาวุธเวทมนตร์ได้ ทั้งโลกนี้คงจะมีเพียงท่านโหราจารย์ผู้เป็นโหรขั้นหนึ่งเท่านั้นที่จะมีความสามารถเช่นนี้
ขณะเดียวกัน ในสมองของฮวงก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
‘เขาเป็นผู้พิทักษ์ประตูจริงด้วย!’
ด้วยความช่วยเหลือจากพลังของ ‘ประตู’ บนเกาะแห่งนี้ อีกฝ่ายก็จะสามารถหลุดจากผนึกได้ชั่วคราวด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง ซึ่งนี่ก็เป็นคุณสมบัติที่มีเฉพาะในผู้พิทักษ์ประตูเท่านั้นเช่นกัน
แม้จะเป็นผู้อยู่เหนือระดับ ก็ไม่อาจใช้พลังของมันได้หากไม่ได้ควบคุม ‘ประตู’ เสียก่อน
“ตามไป!”
หางเก้าหางด้านหลังของจิ้งจอกเก้าหางตบลงบนพื้นเหมือนหนวดแมลงและเหมือนกับทหารกำลังตีกลองศึก
แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวนี้ช้าลงถึงสิบเท่า
จะประมาทไม่ได้นะ ถึงพวกเราจะแข่งความเร็วกัน แต่จริงๆ มันคือแข่งมอเตอร์ไซค์วิบากชัดๆ…สวี่ชีอันค่อยๆ ดึงดาบสยบดินแดนและดาบไท่ผิงออกมา ดาบเล่มหลังถูกเขาโยนไปให้กับจิ้งจอกเก้าหาง
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ทั้งสองได้พูดคุยกันบ่อยครั้งและหารือเกี่ยวกับแผนการจัดการศัตรูอย่างละเอียด รวมถึงวิธีการจัดการกับเจ้าพวกนั้นด้วย
จากคุณสมบัติหลิงอวิ้นของฮวง เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มแข่งความเร็วกัน วิธีการที่อีกฝ่ายจะใช้นั้นมีด้วยกันสามแบบ
หนึ่ง เร่งความเร็วเพื่อเดินหน้า อาศัยตอนที่ทั้งสองฝ่ายยังมีระยะห่างเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ผืนนี้ไปก่อนและช่วงชิงสมบัติมา
สอง การขว้างลูกบอลคือการโจมตีถึงตาย ซึ่งสามารถสังหารบุรุษสุนัขและนางจิ้งจอกที่กล้าตามมาให้สิ้นได้
สาม ถ้าไม่มีวิธีจริงๆ ก็ใช้พลังวิเศษฟ้าประทานและกลืนกินทุกสรรพสิ่งโดยไม่สนสิ่งใด
เมื่อจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรับดาบไท่ผิงไปแล้ว สวี่ชีอันก็ ‘ค่อยๆ’ ยกมือขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือเล็งไปทางฮวง ทำให้ดวงตาที่เหมือนกับลูกแก้วเปล่งแสงสว่างขึ้น
เขาวางแผนที่จะย้ายมิติว่างที่ฮวงอยู่ไปยังที่ห่างไกล ถือเป็นการใช้วิธีนี้เพื่อโยนเขาไปไกลๆ
นี่คือวิธีการที่ง่ายและได้ผลที่สุดที่เขาและจิ้งจอกเก้าหางปรึกษากัน
อย่างแรก ฮวงไม่มีวิชาด้านมิติว่าง จึงไม่อาจทำอะไรกับการเคลื่อนไหวประเภทนี้ได้ อย่างที่สอง เขาอยู่ในสถานะ ‘แบกภาระ’ แล้ว หากยังกล้าใช้วิธีกลืนกินหลิงอวิ้นเพื่อคลี่คลายสถานการณ์นี้ เขาจะเข้าสู่สภาวะหลับลึกอย่างเลี่ยงไม่ได้
และในตอนนี้เอง ร่างกายของสัตว์ประหลาดหน้าคนร่างแพะก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เดิมทีเทียบได้กับภูเขา พลันใหญ่โตขึ้นหลายเท่าตัวจนสูงถึงหลายร้อยเมตร
กระบวนการนี้เชื่องช้าจนเอื่อยเฉื่อย แต่ความสูงที่พุ่งขึ้นมากะทันหันของเขาก็เกินกว่าขอบเขตพื้นที่ว่างที่สวี่ชีอันจะตัดแล้ว
พื้นที่มิติว่างแห่งเดิมที่ถูกตัดออกสามารถรวบฮวงเอาไว้ข้างในได้ แต่เมื่อร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้น ร่างกายบางส่วนก็ยื่นออกไปนอกมิติว่างเสียแล้ว
มิติว่างที่สงบราบเรียบเหมือนหน้ากระจกเกิดระลอกคลื่นขึ้นทันใด จากนั้นก็ราบเรียบและกลับคืนสู่ความสงบ
การถ่ายโอนมิติว่างล้มเหลวแล้ว
กายเนื้อของฮวงใหญ่โตเกินไป มันเหมือนกับกับลิ่มที่เชื่อมมิติว่างสองแห่งเข้าด้วยกัน แรงตัดที่มากับการถ่ายโอนมิติว่างไม่อาจแบ่งร่างของฮวงได้เหมือนกับตอนตัดแบ่งจิ้งจอกเก้าหาง
ดังนั้นย่อมล้มเหลว
ใบหน้าที่เหมือนมนุษย์ของฮวงเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมา
“สำหรับเทพมารอย่างพวกเรา คิดอยากให้ร่างกายใหญ่โตแค่ไหนก็สามารถใหญ่โตแค่นั้นได้ ในทางกลับกันก็เช่นเดียวกัน”
ตอนนี้เอง เขาก็เข้ามาใกล้กับเส้นขอบของพื้นที่ชะลอเวลาแล้ว หลังจากเอ่ยจบ ร่างกายใหญ่ยักษ์ของฮวงก็พุ่งมาข้างหน้าโดยไม่ลังเล จากนั้นร่างกายมโหฬารนี้ค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นด้วยความเร็วที่เชื่องช้าเป็นสิบเท่า
เสียงดังกึกก้องกัมปนาท พื้นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจนเกิดฝุ่นละอองพวยพุ่งเต็มฟ้า
และแม้แต่ความเร็วที่ฝุ่นละอองพวยพุ่งขึ้นมาก็ยังเชื่องช้ายิ่งนัก
ล้มลงไปแล้ว? เขาคิดจะทำอะไร?
ในหัวของสวี่ชีอันและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเกิดความสงสัยแบบเดียวกันขึ้นมา
เทพมารโบราณกาลผู้ยิ่งใหญ่กลับล้มลงอย่างกะทันหัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน เพราะตัวเองอายุเยอะกว่าก็เลยคิดจะบลัฟกันรึไง…สวี่ชีอันพึมพำ เขาไม่ได้คลายความระมัดระวังเพราะกำลังก่นด่าอยู่ในใจ
ฮวงไม่มีทางล้มลงไปโดยไม่มีสาเหตุแน่ๆ
ตอนนี้เอง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็คล้ายจะพบเงื่อนงำ น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไป
“เขาข้ามเขตไปแล้ว…”
สวี่ชีอันมองตามสายตาของนางไป นัยน์ตาพลันหดเกร็ง
ฮวงเหยียดขาหน้าออกไปในท่าทางนอนราบกับพื้นและขาหลังเหยียดตรง ท่านี้ทำให้เขาดูน่าขำเล็กน้อย ถึงขั้นดูโง่งมยิ่งนัก
เขาเข้าใกล้ชายขอบของพื้นที่มากขึ้นแล้ว การล้มในครั้งนี้ทำให้กีบเท้าสองข้างยืนออกไปนอกพื้นที่ได้สำเร็จ
แย่แล้ว!!!
สีหน้าของสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางย่ำแย่มาก คนแรกชำเลืองมองแสงสว่างที่พุ่งขึ้นสูงอยู่ที่ปลายเส้นขอบฟ้าสายนั้น พลางกัดฟันใช้การกระโดดข้ามมิติว่าง
หลังจากกีบเท้าสองข้างของฮวงยื่นออกไปนอกเขตแดนก็ไม่ถูกจำกัดความเร็วอีก มันจึงขุดพื้นจนเกิดเสียงดัง ‘ตึง ตึง ตึง’ แล้วคลานไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อพยายามลากตัวเองออกไป
ความเคลื่อนไหวที่เกิดจากการขุดพื้นของกีบเท้าก็ถูกทำให้เชื่องช้าลงสิบเท่าเช่นกัน ดังนั้นร่างกายของมันจึงไม่ได้หลุดออกจากขอบเขตในทันที
ทว่าก็ยังเร็วกว่าความเร็วที่ได้แต่เคลื่อนไปได้เพียงทีละก้าวๆ อย่างเมื่อครู่
แบบนี้มันเหมือนหมาเกินไปรึเปล่า เจ้ามีศักดิ์ศรีกับความเก๊กของเทพมารเหนือระดับขั้นบ้างไหมเนี่ย…สวี่ชีอันก่นด่าในใจอย่างร้อนรน ไม่ทันการแล้ว ดูจากแนวโน้มในตอนนี้ ฮวงคงหลุดออกจากพื้นที่ได้เร็วกว่าพวกเขาหลายชั่วยามเป็นแน่
หลายชั่วยามในพื้นที่นี้ เท่ากับหลายวันในโลกภายนอก
เวลาหลายวันก็สายเกินไปแล้ว ฮวงไม่เพียงแต่สามารถไปหยิบสมบัติได้อย่างสบายๆ ไร้อุปสรรค แต่ยังสามารถอาบน้ำนอนแล้วเตรียมตัวมาสังหารพวกเขาได้ด้วย
‘ปัง ปัง ปัง!’
เสียงขุดหน้าดินราวกับแผ่นดินไหว มันดังเข้ามาในหูอย่างเชื่องช้าและเอื่อยเฉื่อย แต่สวี่ชีอันมองเห็นชัดเจนว่ากีบเท้าสองข้างของฮวงเทียบได้กับเครื่องตอกเสาเข็มสิบสองสูบที่ขุดหลุมลึกออกมาสองหลุมได้อย่างรวดเร็ว
ความเคลื่อนไหวที่น่าสะพรึงเช่นนี้ แม้ว่าจะอ่อนจางและเชื่องช้า แต่ร่างกายอันใหญ่โตของฮวงก็ยังเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอสมควร
หยกสลายไม่อาจหยุดฮวงได้ เมื่อถึงระดับขั้นอย่างเขา ไม่ว่าอาการบาดเจ็บอะไรก็เป็นเพียงแค่การบาดเจ็บสาหัสเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น กลับกัน ตัวข้าอาจจะไม่สามารถหายตัวในระยะสั้นๆ เพราะลงมือโจมตีด้วยซ้ำ…ใช้วิธีการโจมตีไม่เกิดผล
ในเจ็ดยอดกู่ไม่มีวิธีการที่สามารถนำมาผูกมัดได้ วิชาประเภทควบคุมก็ใช้ไม่ได้อีก วิชากู่ที่เข้าขั้นเหนือสามัญนั้น ทำอย่างไรก็ไม่อาจควบคุมฮวงได้เลย…
สมองของเขาครุ่นคิดหาแผนการจนปวดหัว เกลียดนักที่ตนเป็นเพียงจอมยุทธ์หยาบกระด้าง
ถ้าหากเป็นลัทธิขงจื๊อล่ะก็ เพียงแค่เปล่งวาจาเป็นประกาศิตแค่คำเดียวว่า ‘ไอ้น้อง มาอยู่ใต้เป้าของข้าซะ!’
เท่านี้ไม่ว่าอะไรก็จัดการได้แล้ว
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็เห็นจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่ข้างๆ นิ่งคิดอย่างสงบเยือกเย็น แล้วหยิบกระจกเทพฮุ่นเทียนออกมาอย่าง ‘ช้าๆ ไม่รีบร้อน’ จากนั้นส่องมันไปทางฮวง
ฮวงที่อยู่ไกลๆ สัมผัสได้ว่ามีอาวุธเวทมนตร์ที่เล็งไปยังจิตเดิมกำลังส่องมาทางตัวเองอยู่ จึงเกิดความดูแคลนขึ้นในใจและหัวเราะหยันขึ้นมา
“หากเป็นของวิเศษเหนือระดับขั้นข้าก็จะถือว่าตัวเองโชคไม่ดี แต่แค่กระจกโทรมๆ บานหนึ่ง พอมันส่งผลต่อข้า ข้าคงจะหลุดออกจากพื้นที่นี้ไปได้แล้ว”
ประโยคสองประโยคนั้นเขาพูดอยู่เนิ่นนานมาก แต่กีบเท้ากลับไม่หยุดเคลื่อนไหวและลากตัวเองออกไปข้างนอกไกลอีกระยะได้สำเร็จ
เจ้าอาณาจักรคนดี! พี่สาวคนดี!
สวี่ชีอันกลับตื่นเต้นยิ่งนัก เขาได้รับแรงบันดาลใจจากการกระทำของจิ้งจอกเก้าหาง เพียงแค่คิด เจดีย์พุทธะที่ลอยออกมาจากชิ้นส่วนกระจกหนังสือปฐพี
ถึงแม้เขาจะเป็นจอมยุทธ์หยาบกระด้าง แต่เขาก็มีของวิเศษเหลือหลาย
ยอดเจดีย์ของเจดีย์พุทธะมีร่างธรรมสีทองยืนประนมมืออยู่ ด้านหลังศีรษะมีวงแสงเจ็ดสีแห่งปัญญาอยู่หนึ่งวงที่กำลังหมุนกลับอย่างช้าๆ
…ฮวงขุดดินต่อโดยไม่พูดอะไรสักคำ ความเร็วนั้นเร็วกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย
ยิ้มไม่ออกแล้ว
จากนั้นมันก็เริ่มสับสนเล็กน้อยกับเรื่องที่มันกำลังทำอยู่ตอนนี้ และไม่รู้ถึงความหมายของมันด้วยซ้ำ
ความคิดของมันเชื่องช้าลง สติปัญญาก็ต่ำลงมาเช่นกัน
หากเป็นสภาวะปกติ นี่ไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย แต่เมื่อสติปัญญาลดลง มันก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลที่กำลังหยุดยั้งตนเองทันที
เหนือศีรษะคล้ายกับมีกระแสน้ำวนที่กำลังร้องเรียกและดูดดึงเขาอยู่
และพลังนี้ก็ช่วยขยายความคิดอันแสนสับสนมากขึ้นไปอีก ยิ่งดึงรั้งเท่าไหร่ สติปัญญาก็ยิ่งตกต่ำ ยิ่งสติปัญญาตกต่ำ พลังฉุดดึงก็ยิ่งมหาศาลมากขึ้น
ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
นัยน์ตาสีเหลืองทองค่อยๆ เหม่อลอยและสูญเสียความคมกริบ ฮวงค่อยๆ กลายเป็นลูกชายโง่เง่าของเจ้าของที่ไปแล้ว เป็นลูกชายโง่เง่าที่วิญญาณออกจากร่างหรือไม่ก็มีสติปัญญาต่ำเตี้ยมาตั้งแต่เกิด
แววตาของเขานิ่งงันและขุดไถหน้าดินเป็นครั้งคราว
สัญชาตญาณของเขาผลักไสให้เขาขุดดินต่อไป แต่จำเหตุผลที่ขุดดินไม่ได้แล้ว
สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางรวมพลังของวิเศษชิ้นใหญ่ทั้งสองและควบคุมฮวงไว้ได้ชั่วขณะ
หากจะกล่าวให้ถูกก็คือ รวมพลังของวิเศษทั้งสองมาควบคุมฮวงที่ถูกพื้นที่ชะลอเวลาผูกมัดเอาไว้
“ไม่อาจควบคุมไว้ได้นานนัก”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยเตือน
สวี่ชีอันจึงคว้าโอกาสนี้ใช้การสับเปลี่ยนมิติว่างไม่หยุด เขาจึงสามารถไล่ตามและแซงหน้าฮวงไปได้
ตลอดทั้งกระบวนการนี้ ทั้งคู่ยังคงโจมตีสติปัญญาและล่อลวงฮวงต่อไป
ในที่สุด ทั้งคู่ก็มาถึงชายขอบของพื้นที่และมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของลำแสงด้านหน้าแล้ว
จิ้งจอกเก้าหางมองไปข้างหน้าอย่างตกตะลึง ใจกลางลำแสงที่ทอดยาวถึงฟ้า มีประตูแสงที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งอยู่ มันสูงถึงร้อยจั้ง อีกทั้งโอ่อ่าทรงพลังอำนาจยิ่ง
ประตูแสงบานนี้ตั้งตระหง่านอยู่บนกองกระดูกขาวที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ
ราวกับว่ากระดูกขาวเหล่านี้ประกอบรวมกันจนเป็นบัลลังก์ของมัน
แต่มันก็ไม่ใช่ประตูแสงล้วนๆ มันผสานไว้ซึ่งลม ฝน สายฟ้า หยิน หยาง ทั้งห้าธาตุ รวมถึงแผนภูมิสวรรค์ ผสมผสานทุกสิ่งอย่างเข้าด้วยกัน ราวกับเป็นการประกอบรวมกันของสรรพสิ่งในโลก
มันเป็นสัญลักษณ์ของฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของดิน เป็นสัญลักษณ์ของพลัง เป็นสัญลักษณ์ของความรู้ และเป็นสัญลักษณ์ของกฎเกณฑ์
ชั่วขณะที่นางปีศาจผมเงินมองเห็นประตูแสง ก็เข้าใจถึงความหมายของท่านโหราจารย์ทันที
มันไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้อย่างแม่นยำ เพราะมันคือสัญลักษณ์ของทุกสรรพสิ่งและผสานรวมไว้ซึ่งทุกสรรพสิ่ง
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินสวี่ชีอันเอ่ยพูดราวกับอยู่ในอารมณ์ลุ่มหลง ฝันหวาน และทอดถอนใจ
“ช่างเป็นดาบชั้นยอดไร้สิ่งใดเทียม ถ้าหากข้าครอบครองมัน คงจะสามารถเปิดสวรรค์ได้เลยทีเดียว”
???
หูจิ้งจอกกระตุก แล้วหันมองจอมยุทธ์หยาบกระด้างข้างตัวด้วยความสับสนงุนงง
ดาบ?
‘มีดาบที่ไหนกัน นั่นไม่ใช่ประตูหรอกหรือ’
ขณะที่นางกำลังเอ่ยถาม หางตาก็สังเกตเห็นนัยน์ตาโง่งมของ ‘ฮวง’ กำลังค่อยๆ ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว
“จิตเดิมของมันแกร่งกล้าเกินไป ข้ารั้งมันไว้ไม่ไหวแล้ว…”
วิญญาณอาวุธของกระจกเทพฮุ่นเทียนเอ่ยบอก
การดูดวิญญาณเป็นวิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของมัน แต่เทพมารบรรพกาลตนนี้แกร่งกล้าเกินไปจริงๆ กระจกเทพฮุ่นเทียนที่ถูกใช้อย่างเต็มกำลังจึงทำได้เพียงเล่นชักเย่อกับมันเท่านั้น
แม้แต่ดูดวิญญาณก็ยังทำไม่ได้
อีกทั้งนี่ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คนทั้งสองรวมพลังช่วยกันด้วย
“ไป…”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเอ่ยเตือนสั้นๆ
สวี่ชีอันสับเปลี่ยนมิติว่างเรียบร้อยแล้วพานางมายังเส้นขอบของพื้นที่ จากนั้น ขณะที่ฮวงค่อยๆ ฟื้นคืนสติขึ้นมา พวกเขาก็ได้กระโดดผ่านมิติว่างสองครั้ง และหลุดออกจากพื้นที่ชะลอเวลาได้อย่างราบรื่นในที่สุด
ชั่วขณะนี้เอง หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกก็รู้สึกสบายมากจนต้องถอนหายใจออกมา
ความสบายนี้ไม่ได้มาจากกายเนื้อ แต่มาจากจิตวิญญาณ ความคิดแจ่มชัดขึ้นมาทันใด อีกทั้งยังสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ช่างเป็นดาบชั้นยอดไร้ใดเทียมจริงๆ”
สายตาของสวี่ชีอันทอดมองไปไกลแล้วเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ในที่สุดจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็อดใจไม่อยู่ นางเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน “นี่ไม่ใช่ดาบ มันคือประตู”
??
สวี่ชีอันเป็นเช่นเดียวกับจิ้งจอกเก้าหางเมื่อครู่ ในสมองมีแต่เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมา
เขาขมวดคิ้ว
“แต่ข้ามองเห็นดาบจริงๆ นะ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางครุ่นคิด จากนั้นก็คาดเดาออกมา
“บางทีอาจเป็นเพราะเจ้าเป็นจอมยุทธ์”
เจ้าอาณาจักร เจ้าก็ติดโรคเอะอะอะไรก็โทษจอมยุทธ์ไว้ก่อนมาด้วยหรือ…สวี่ชีอันเอ่ยวิเคราะห์ว่า
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าแต่ละคนก็จะเห็นแตกต่างกัน ท่านโหราจารย์จึงได้บอกว่า ไม่อาจอธิบายได้อย่างแน่ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่”
การคาดเดาของเขาไม่ได้รับการยอมรับจากจิ้งจอกเก้าหาง สีหน้าที่นางปีศาจผมเงินมองเขายิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่
“ความหมายของท่านโหราจารย์ ข้าพอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่เหมือนอย่างที่เจ้าพูดมาหรอก” นางส่ายหน้า
“ดาบ? ทำไมสิ่งที่เจ้าเห็นจึงเป็นดาบ”
เสียงของฮวงดังมาจากข้างหลัง มันฟื้นคืนสติมาแล้ว ร่างกายหนึ่งในสามยังคงอยู่ในพื้นที่
เห็นได้ชัดว่าพลังอันน่าเกรงขามหายไปแล้ว แต่เขากลับสงบนิ่งอย่างไร้ใดเปรียบ ไม่ลนลานร้อนใจแม้แต่นิด
เขาไม่ร้อนใจ สวี่ชีอันก็ยิ่งไม่ร้อนใจ เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยจิตใจที่มองเห็นแต่ผลประโยชน์
“เจ้าเห็นอะไร?”
ฮวงเอ่ยพูดเสียงเรียบ
“ประตู!”
สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้ากับเจ้าอาณาจักรมองเห็นสิ่งเดียวกันเพราะเป็นเทพมารเหมือนกันหรือ?”
ทายาทเทพมารก็ถือว่าเป็นเทพมารเช่นกัน
ฮวงนิ่งเงียบไม่พูดจา ราวกับไม่อาจมอบคำตอบให้ได้
เพราะตั้งแต่โบราณมา สวี่ชีอันน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงคนเดียวที่ได้เห็นมัน
“เจ้าคล้ายจะไม่ร้อนใจเลยสักนิด ดูไม่เหมือนเจ้านะ”
สวี่ชีอันมองพินิจฮวง
ทั้งสองฝ่ายคลุกคลีกันมาไม่น้อย เขารู้ว่าฮวงเป็นเทพมารที่อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทั้งยังไม่รู้จักระงับไว้ด้วย
“ทำไมข้าต้องร้อนใจด้วย”
นัยน์ตาสีเหลืองของฮวงกลอกขึ้นบน มันเหลือบมองศีรษะของตัวเอง ใบหน้าที่เหมือนมนุษย์ของมันเผยร่องรอยเย้ยหยันออกมา
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันจึงสังเกตเห็นว่าเขายาวหกอันบนศีรษะของฮวงได้หายไปห้าอัน เหลือเพียงเขาเดียวแล้ว
“ข้าผนึกโหราจารย์แล้ว” มันกล่าว
“ข้ารู้” เขากล่าว
“ไม่ เจ้าไม่รู้” น้ำเสียงของฮวงมาพร้อมความกระหยิ่มใจและเอ่ยบอกว่า
“ผนึกก่อนหน้านี้ไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากนัก หกเขาผสานเป็นหนึ่งต่างหากจึงจะเป็นผนึกที่ข้าใช้ออกมาได้แข็งแกร่งที่สุด เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าจึงผนึกโหราจารย์เอาไว้อย่างสมบูรณ์มาจนถึงตอนนี้”
สวี่ชีอันนิ่งเงียบ ทันใดนั้นก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
“ข้ารอที่จะเข้าสู่เกาะเทพมารแล้วสืบดูว่าเขาสามารถใช้พลังของสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่ หากว่าได้ เช่นนั้นเขาก็คือผู้พิทักษ์ประตู ถ้าหากไม่ได้ เขาก็ไม่ใช่ แต่โหราจารย์ฉลาดแกมโกงนัก ข้ากำลังกังวลอยู่เลยว่าจะให้เขาเปิดเผยออกมาเองโดยที่ข้าไม่เผยร่องรอยว่ากำลังสืบดูอย่างไร และการมาถึงของเจ้า ก็ได้มอบโอกาสให้ข้าพอดี”
ฮวงกล่าว
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ตอนที่ฮวงเจอพวกเขาก็ได้ส่งร้องออกมาว่า ‘โหราจารย์’ ในน้ำเสียงนั้นไม่มีอารมณ์มากนัก ไม่ว่าจะความโกรธหรือความประหลาดใจก็ไม่มี
เมื่อไม่มีความโกรธเกรี้ยวประหลาดใจ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่กลัวว่าตนจะไปถึงก่อน
แต่ว่าฮวงเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?
ฮวงอมยิ้ม
“เจ้าไม่รู้ว่าประตูบานนี้เป็นตัวแทนของสิ่งใด แต่ข้ารู้ ข้ายังรู้อีกว่านอกจากผู้พิทักษ์ประตูแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถรับและเข้าใกล้มันได้ อืม แต่ผู้อยู่เหนือระดับขั้นก็ทำได้ ทว่าน่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางมองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขารู้ถึงความมั่นใจของฮวงแล้ว
มีผู้พิทักษ์ประตูอยู่ในมือ ไม่ว่าใครจะนำไปก่อนก็ไม่กลัวว่าสมบัติจะตกอยู่ในมือคนอื่น
ผนึกหกเขาผสานเป็นหนึ่งทำให้ท่านโหราจารย์สูญเสียโอกาสใช้พลังของเกาะเทพมารไปโดยสมบูรณ์
สิ่งมีชีวิตที่อยู่มานานเช่นนี้ ช่างรับมือได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ…สวี่ชีอันถอนหายใจยาว
ฮวงเอ่ยพูดด้วยท่าทีสบายๆ
“หากอยากจะออกจากเกาะเทพมาร ก็ต้องข้ามผ่านพื้นที่ชวนอาเจียนนี้ไปอีกครั้ง ถึงตอนนี้พวกเจ้าอยากจะหนีก็ไม่ทันแล้ว แล้วข้าจะร้อนใจไปทำไม คนที่ร้อนใจควรเป็นพวกเจ้าต่างหาก”
‘นี่…’ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางงุนงง นางกลืนกินวิญญาณจิ้งจอกชิงชิวอย่างลำบากยากเข็ญและเกือบตายไปครั้งหนึ่ง ถึงขั้นตระหนักรู้หลายต่อหลายครั้งเพื่อมาที่นี่
‘ทั้งหมดทำไปเพื่ออะไร? สมควรตาย!’
นางเหลือบมองสวี่ชีอันอย่างอดไม่ได้ แต่พบว่าชายผู้นี้ไม่ร้อนรนเลยแม้แต่นิด
จิ้งจอกเก้าหางใจกระตุก คลับคล้ายคลับคลาจะคว้าอะไรบางอย่างได้รางๆ
ตอนนี้เอง นางก็ได้ยินเสียงของท่านโหราจารย์ดังมาจากเขาเหนือศีรษะของฮวง
“สวี่ชีอัน ถือดาบไท่ผิงแล้วเข้าไปในประตูแสงซะ”
สวี่ชีอันเผยรอยยิ้ม
“รอคำนี้อยู่พอดี อีกอย่าง นั่นคือดาบ ไม่ใช่ประตู!”
เขาไม่ได้ถามถึงเหตุผล จากนั้นก็รับดาบไท่ผิงมาจากมือจิ้งจอกเก้าหางแล้วตรงไปยังดาบอันล้ำเลิศบนกองกระดูกที่สุมกันเป็นตั้ง
นัยน์ตาสีเหลืองทองของฮวงคมปลาบ เขาสัมผัสได้ว่าท่าจะไม่ดี จึงเอ่ยเสียงขรึมออกมา
“เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าคิดจะให้เขาทำอะไร?”
ท่านโหราจารย์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ทำให้เขากลายเป็นผู้พิทักษ์ประตูอย่างไรเล่า”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางอุทานลั่น
“อะไรนะ?!”
นางสงสัยว่าตนจะหูฝาดไป ไม่อย่างนั้นท่านโหราจารย์ก็คงพูดผิด
‘ทำให้เขากลายเป็นผู้พิทักษ์ประตู…’ ความรู้สึกของฮวงและจิ้งจอกเก้าหางไม่ต่างกันสักนิด
“เจ้า…หมายความว่าอะไร? ผู้พิทักษ์ประตูไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ?”
ท่านโหราจารย์หัวเราะ
“ใครบอกเจ้าว่าข้าเป็นผู้พิทักษ์ประตู ข้ายอมรับแล้วหรือ”
ทันใดนั้นฮวงก็หายใจถี่รัว ผ่านไปเพียงครู่เดียวเขาก็คำรามลั่นเหมือนคนบ้า
“เป็นไปไม่ได้! เจ้าต้องเป็นผู้พิทักษ์ประตูแน่ๆ เจ้าต้องเป็นผู้พิทักษ์ประตู! ผู้พิทักษ์ประตูมาจากวิถีแห่งควันธูป มาจากสายแห่งโหร”
สัญญาณต่างๆ ก่อนหน้านี้ล้วนบอกชัดว่าท่านโหราจารย์คือผู้พิทักษ์ประตู ถ้าหากไม่ใช่เขา เช่นนั้นก็ไม่อาจอธิบายสัญญาณเหล่านั้นได้แล้ว
รวมถึงการใช้พลังของเกาะเทพมารด้วย
ฮวงรู้ความลับของหายนะใหญ่อย่างชัดแจ้งและรู้ว่าผู้พิทักษ์ประตูหมายถึงอะไร
หากไม่ใช่ผู้พิทักษ์ประตู ก็ไม่มีทางทำได้อย่างท่านโหราจารย์
“ผิดแล้ว!”
เสียงของท่านโหราจารย์ดังมาจากเขาเดียว มันทั้งสงบราบเรียบและไม่แยแส
“เจ้าอยู่นอกทะเลมานานเกินไป เรื่องในจิ่วโจวเจ้ารู้มากแค่ไหนกัน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพระพุทธเจ้ากับเทพพ่อมดจึงอยากสังหารจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เพราะผู้พิทักษ์ประตูจะมาจากสายจอมยุทธ์เท่านั้นอย่างไรเล่า”
ฮวงคำราม
“ถ้าหากเจ้าไม่ใช่ผู้พิทักษ์ประตู แล้วเจ้าเป็นตัวอะไรกัน?!”
…………………………………………..
……….
Comments