ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 872 นิกายมหายาน

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 872 นิกายมหายาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 872 นิกายมหายาน

……….

“…ตั้งแต่สำนักพุธทำพิธีต้าฮวด ฆ้องเงินสวี่เริ่มก่อตั้งนิกายมหายาน แนวความคิดของเขาได้เลื่องลือไปทั่วดินแดนประจิมทิศ กระตุ้นประชาชนให้รู้ซึ้งถึงธรรมอย่างโดดเด่นและมีประสิทธิภาพสูง ผู้ที่ศรัทธานิกายมหายานในดินแดนประจิมทิศมีนับล้าน น่าปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

“นิกายมหายานมีต้นกำเนิดจากที่ราบกลาง จะละทิ้งที่ราบกลางได้อย่างไร ข้าต้องการต้อนรับนิกายมหายานกลับมาสั่งสอนกล่อมเกลาเหล่าอาณาประชาราษฎร์ พระอรหันต์ตู้เอ้อร์คือพุทธะที่ฆ้องเงินสวี่กระตุ้นให้รู้ซึ้งถึงธรรม วิชาพุทธะเชี่ยวชาญและลึกซึ้ง นับว่าเป็นความโชคดีของอาณาประชาราษฎร์ที่เขายอมรับการดูแลจากราชสำนัก ข้าตั้งใจแต่งตั้งให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เป็นราชครู ให้นิกายมหายานเป็นศาสนาประจำชาติ…จบราชโองการ!”

ภายในตำหนักกระดิ่งทองเงียบลงฉับพลัน

ขันทีวัยกลางคนมองไปนอกตำหนักและกล่าวเสียงสูง

“พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ รีบรับราชโองการ”

นอกตำหนัก พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่สวมจีวรสีเหลืองสลับแดงค่อยๆ เหยียบพรมสีแดงเข้มเดินผ่านบรรดาองค์ชายทั้งหลายเข้าไปในตำหนัก

องค์ชายทั้งหลายมองหน้ากันอย่างไร้สุ้มเสียง บ้างก็งงงัน บ้างก็เลื่อนลอย บ้างก็ขมวดคิ้ว แต่ไม่มีใครออกมาคัดค้าน

สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตเห็นคือ ฝ่าบาทต้องการดึงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เข้าเป็นพวก

แต่งตั้งนิกายมหายาน แต่งตั้งราชครู ปฏิบัติต่อด้วยความเมตตากรุณาเช่นนี้ เท่ากับว่าช่วยให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์หลุดพ้นจากสำนักพุทธดินแดนประจิมทิศ ก่อตั้งสำนักด้วยตัวเอง กลายเป็น ‘พระพุทธเจ้า’ ของพุทธศาสนาในที่ราบกลาง

จากนั้นบรรดาองค์ชายก็เริ่มพิจารณาถึงผลที่อาจตามมาภายหลัง และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบราชสำนักหลังจากแต่งตั้งนิกายมหายานเป็นศาสนาประจำชาติ

แต่ยังคงไม่มีใครออกมาคัดค้าน

ประการแรกคือพระภิกษุสำนักพุทธไม่มีอำนาจแทรกแซงการเมือง จึงหมดปัญหาสำคัญเรื่องการปะทะกันเพราะผลประโยชน์

ประการที่สอง การบากหน้ามาขออาศัยของพระอรหันต์ขั้นสอง เพียงพอที่จะลดทอนพลังต่อสู้ของสำนักพุทธได้ สำหรับต้าฟ่งในตอนนี้ไม่มีผลเสียเลยแม้แต่น้อย

ดึงคนเข้ามาเป็นพวกก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะโจมตีกดดันอย่างไรนั้นเป็นเรื่องในภายหลัง

ตู้เอ้อร์มาถึงใต้บัลลังก์และพนมมือกล่าว

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

เขารับราชโองการอย่างไม่สะทกสะท้าน

พริบตาที่เขารับราชโองการนั้น แสงพุทธะก็เปล่งประกายด้านหลังศีรษะอย่างหาที่สุดมิได้ เสียงภาษาสันสกฤตดังขึ้นกลางอากาศ ดังสะท้อนไปทั่วตำหนัก ดังก้องอยู่ริมหูบรรดาองค์ชาย

ร่างของตู้เอ้อร์ราวกับหล่อมาจากทองคำที่เหลืองอร่าม

และในสายตาของฮว๋ายชิ่ง โชคชะตายิ่งใหญ่น่าเกรงขามหมุนวนเป็นเกลียวอยู่ข้างกายตู้เอ้อร์ เกาะติดอยู่เหนือพลาแต่กลับไม่เคยเข้าไปในร่าง!

ดินแดนประจิมทิศ!

กระแสคลื่นทรงพลังไหลทะลักเป็นชั้นๆ ผลักดันไปข้างหน้าราวกับคลื่นทะเล บริเวณที่ถูกคลื่นซัดผ่าน แผ่นดินใหญ่ถูกมอบชีวิต แม่น้ำภูเขาถูกมอบชีวิต กำแพงเมืองถูกมอบชีวิต สิ่งมีชีวิตมลายหายไปหมดสิ้น ละลายเข้าไปในกฎเกณฑ์

ร่างของพระพุทธเจ้าได้กลายเป็นแม่น้ำ ภูเขาและแผ่นดินใหญ่ จิตรับรู้ของพระองค์ยื่นขยายออกไปตามร่าง และละลายเข้าไปในกฎเกณฑ์ฟ้าดิน กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ทว่ากลับรักษาความทรงจำไว้

พูดในแง่มุมบางแห่งแล้ว พระองค์ขัดเกลาทั่วทั้งดินแดนประจิมทิศจริงๆ พระองค์นำโชคชะตาดินแดนประจิมทิศเข้าสู่เข้าสู่สำนักพุทธ ใช้สิ่งนี้เป็นรากฐานกลืนกินกฎเกณฑ์ฟ้าดินในดินแดนประจิมทิศ

หากไม่มีอะไรผิดพลาด พระองค์จะแผ่ขยายอำนาจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทั่วทั้งดินแดนประจิมทิศจะเป็นของพระองค์เองทั้งหมด

แต่ขณะนั้นเอง โชคชะตายิ่งใหญ่มหาศาลก็จากพระองค์ไป ค่อยๆ ดึงออกจากร่างของพระองค์ล่องลอยไปยังที่ราบกลางทางด้านตะวันออก

ความเร็วในการขยายตัวของพระพุทธเจ้าช้าลงทันที ต่อมาก็ค่อยๆ หยุดลง พระองค์ไม่อาจกลืนกลายฟ้าดินและเข้าแทนที่กฎเกณฑ์ฟ้าดินได้อีก

การขยายตัวของพระองค์หยุดลง ดูประหนึ่งสูญเสียซึ่งพลังกาย

แน่นอน ด้วยคุณสมบัติของพระองค์ แม้จะใช้อำนาจกลืนกินกฎเกณฑ์ฟ้าดินก็ไม่ใช่ปัญหา ยังคงสามารถทำต่อไปได้ แต่จะสูญเสียการคุ้มครองจากโชคชะตา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสูญเสียโชคชะตาที่เป็นพยานหลักฐาน หากยังคงดำเนินต่อไป จุดจบเดียวก็คือเดินตามรอยเท้าผู้อาวุโส

ถูกกฎเกณฑ์ฟ้าดินกลืนกลาย สูญเสียตนเอง

หลังจากเงียบหายไปชั่วเวลาสั้นๆ แผ่นดินใหญ่ดินแดนประจิมทิศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่ทอดยาวนับหมื่นลี้

พื้นดินหลายร้อยจั้งแตกแยก ฟันสีขาวหนาแน่นงอกขึ้นมา

แผ่นดินขนาดใหญ่มีปากงอกออกมา

ปากเหล่านี้ส่งเสียงคำรามออกมาเหมือนกัน

“นิกายมหายาน นิกายมหายาน…”

อรัญตา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แตกแยกเป็นรอยปากยักษ์ส่งเสียงคำรามสะเทือนเลือนลั่น

“นิกายมหายาน…”

พระภิกษุบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์คลานอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัวและตัวสั่นเทา

นิกายมหายาน…พระโพธิสัตว์ทั้งสาม เจียหลัวซู่ กว่างเสียน และหลิวหลีรู้สึกหนาวสะท้าน ต่างก็หลับตาราวกับรับรู้อะไรบางอย่างได้ หรือสื่อสารกับใครอยู่

ชั่วเวลาอันสั้น ทั้งสามลืมตาขึ้น พวกเขาเข้าใจมูลเหตุแล้ว สีหน้าหม่นหมองลงในฉับพลัน และกัดฟันกล่าว

“ตู้เอ้อร์ก่อตั้งนิกายมหายานในที่ราบกลาง!”

นิกายมหายานได้เอาโชคชะตาส่วนหนึ่งของสำนักพุทธไป

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ นิกายมหายานกลายเป็นสิ่งขัดขวางพระพุทธเจ้า กลายเป็นตัวถ่วงของดินแดนประจิมทิศ

“ตอนนั้นข้าควรทำลายความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของเขา หรือไม่ก็ให้กว่างเสียนส่งเขาเข้าสู่วัฏสงสาร”

เจียหลัวซู่ทำตาถมึงทึงแบบวชิระ และร่างธรรมวชิระก็ลอยขึ้นด้านหลัง

เขาไม่ค่อยเห็นตู้เอ้อร์อยู่ในสายตามากนัก แต่กลับไม่อยากถูกพระอรหันต์ขั้นสองเล็กๆ ผู้นี้มาตัดไฟแต่ต้นลม

กว่างเสียนถอนหายใจ เขาระงับความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านไว้ในใจ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นชายหรือหญิง

“สำหรับแผนในตอนนี้ ทำได้เพียงหยุดไว้ก่อน ใช้วิธีวิถีแห่งควันธูปปรับแต่งอาณาเขตที่เหลือของดินแดนประจิมทิศให้กลายเป็นผนึกภูผาธารา ควบคุมไว้ในมือ”

ทำเช่นนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายจากการถูกกฎเกณฑ์ฟ้าดินกลืนกลาย ทั้งยังสามารถยึดอาณาเขตที่เหลือไว้ในมือได้อย่างมั่นคง รอภายภาคหน้าช่วงชิงโชคชะตามาได้ ค่อยกลืนกินผนึกภูผาธารา

เดิมทีจะใช้วิธีการนี้รับมือกับที่ราบกลาง

เมืองจิ้งซาน

ซ่าหลุนอากู่ยืนอยู่บนยอดเขาจิ้งซานที่รกร้างว่างเปล่า และมองไปทางทิศตะวันตก

จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว ขยับนิ้วมือใช้วิชาพยากรณ์ทำนายอยู่ครู่หนึ่ง และหัวเราะออกมา

“เดินหมากยอดเยี่ยมมาก อาศัยนิกายมหายานแบ่งโชคชะตาของพระพุทธเจ้าออกไป ขัดขวางพระองค์ไม่ให้กลืนกลายดินแดนประจิมทิศ แม้ไม่อาจรักษาต้นเหตุได้ แต่ก็นับว่ายืดเวลาออกไปได้”

ร่างของเขาหายวับมาปรากฏตัวบนแท่นบูชา เขามองดูรูปปั้นที่สวมมงกุฎหนาม หลังจากเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งก็โค้งตัวกล่าว

“ข้าคิดว่าเป็นเช่นนี้”

ซ่าหลุนอากู่ดึงแส้ไล่แกะที่ผูกอยู่บนเอวออกมา และหวดลงบนพื้นเบาๆ

‘ป้าบ!’

ขณะที่เสียงแส้ดังขึ้นอย่างชัดเจน แสงสีดำพุ่งขึ้นสูง เงาร่างของอีเอ๋อร์ปู้ปรากฏบนแท่นบูชา

“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่…”

อีเอ๋อร์ปู้พูดในใจว่า ‘ข้าอีกแล้ว!’

ซ่าหลุนอากู่กล่าวเรียบๆ

“เอาตราราชลัญจกรของเหยียน คัง จิ้ง ทั้งสามก๊กออกมา”

อีเอ๋อร์ปู้โค้งตัวคารวะ ครั้นแล้วก็กลายเป็นแสงสีดำแฉลบไปทางเมืองจิ้งซานที่อยู่ไกลๆ

ครู่เดียวเขาก็ขี่แสงสีดำกลับมาอีกครั้ง มือทั้งสองประคองตราราชลัญจกรที่มีขนาดเท่าฝ่ามือสามอัน

ซ่าหลุนอากู่พินิจมองตราราชลัญจกรทั้งสาม และกล่าวอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่ดูแก่หง่อม

“ใบบรรดาทั้งสามก๊ก กองกำลังทหารม้าของจิ้งกั๋วทำสงครามอยู่ทางเหนือครึ่งปี บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง ความแข็งแกร่งของแคว้นลดลง คังกั๋วอยู่ติดทะเล ในระหว่างที่เว่ยเยวียนนำทัพไปยึดเมืองจิ้งซานนั้น ผ่านอาณาเขตของเหยียนกั๋ว คังกั๋วไม่ได้รับผลกระทบเลย ยังคงรักษาความแข็งแกร่งไว้ได้เป็นอย่างดี ทว่าเหยียนกั๋วกลับถูกทหารม้าที่เว่ยเยวียนนำทัพเหยียบย่ำ ศึกรุกรับที่ด่านอวี้หยางทำให้ความแข็งแกร่งของแคว้นลดลงไปมาก

“อันนี้แล้วกัน”

พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ชี้ตราราชลัญจกรของเหยียนกั๋ว และสั่งด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ไป ไปมอบมันให้กับสำนักพุทธ”

‘นี่…’ อีเอ๋อร์ปู้อึ้งไปทันที และกล่าวอย่างไม่น่าเชื่อ

“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ เหตุใดต้องมอบให้สำนักพุทธด้วย”

ในตราราชลัญจากรเก็บสะสมดวงชะตาทั้งสามก๊กเอาไว้

ซ่าหลุนอากู่กล่าวด้วยท่าทีไม่พอใจ

“ตู้เอ้อร์ทรยศ ต้าฟ่งแต่งตั้งเขาเป็นราชครู แต่งตั้งนิกายมหายานเป็นศาสนาประจำชาติ แบ่งโชคชะตาของพระพุทธเจ้าไป พระองค์อยากจะแปลงร่างที่ดินแดนประจิมทิศ ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งแล้ว”

อีเอ๋อร์ปู้ดีใจมาก

“นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ”

เขารู้ความลับเกี่ยวกับมหาเคราะห์แล้ว ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่นาน พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ได้อัญเชิญน่าหลันเทียนลู่เจ้าแห่งวัสสาน ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณอีเอ๋อร์ปู้ และอูต๋าเป๋าถ่ามาเพื่อแจ้งให้ทราบถึงแผนการระดับสุดยอด

สำหรับระบบเหนือมนุษย์อย่างพวกเขาแล้ว พอเทพพ่อมดแปลงร่างวิถีแห่งฟ้า ไก่และสุนัขขึ้นสู่สวรรค์ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ตายไม่ดับสลาย ยังสามารถควบคุมจิ่วโจวแทนเทพพ่อมดได้ด้วย และกลายเป็นเทพในโลกมนุษย์

ผู้บำเพ็ญในระบบต่างๆ ระดับขั้นยิ่งสูง ก็ยิ่งไม่ยินดียินร้ายในลาภยศสักการ

ในมุมมองของอีเอ๋อร์ปู้ มนุษย์ก็ราวกับวัชพืช ต่อให้จะถูกทำลายจนหมดสิ้น ในอนาคตอันใกล้นี้ก็สามารถเติบโตได้ครั้งแล้วครั้งเล่า

ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้า

“เป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย เจ้าไปซาบซึ้งด้วยตนเองเถิด ข้าจะส่งเจ้าระยะหนึ่ง”

แส้ไล่แกะรัดพันอีเอ๋อร์ปู้ไว้ พอออกแรงสะบัด แสงสีดำลำหนึ่งก็พุ่งผ่านไปราวดับฝนดาวตก และหายไปตรงขอบฟ้าทางทิศตะวันตก

เมืองหลวง

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์เหยียบอยู่แท่นบงกชเก้ากลีบ เขาพนมมือหันหลังให้กับฝูงชนและกล่าวออกมา

“ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือ”

ไต้ซือเหิงหย่วนที่ถูกทาด้วย ‘น้ำมันสีทอง’ จนดูราวกับเป็นมนุษย์ทองคำได้พนมมือและกล่าวตอบ

“นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้า เป็นภาระหน้าที่ที่ไม่อาจปัดไปให้ผู้อื่นได้ ไต้ซือไม่ต้องกล่าวขอบคุณ”

หลังจากผ่านการดูแลและสั่งสอนจากอาซูหลัวมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ไต้ซือเหิงหย่วนเข้าสู่อรหันต์ระดับเต๋าขั้นแรกแล้ว สามารถยืมพลังฆ่าโจรได้ชั่วคราว ซึ่งหมายความว่าแม้เบื้องหน้าเขาจะเป็นจอมยุทธ์ภิกษุขั้นสี่ แต่ความจริงแล้วเบื้องหลังเขาเป็นพระอรหันต์ขั้นสอง

แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พินิจดูเหิงหย่วนด้วยสีหน้าซับซ้อน ภิกษุปล่อยเลี้ยงผู้นี้ ความจริงแล้วเป็นศิษย์นิกายมหายานโดยกำเนิด หากไม่เป็นเพราะว่าตบะตื้นเขิน หรือให้เวลาฝ่ายตรงข้ามอีกสองสามทศวรรษ บางทีผู้สร้างรากฐานนิกายมหายานอาจไม่ใช่ตู้เอ้อร์

แต่เป็นเหิงหย่วนจากวัดมังกรเขียว

ฉู่หยวนเจิ่นมีสีหน้าเคร่งขรึม

“เรื่องราวเกี่ยวกับมหาเคราะห์ พวกข้าควรจะไปดูสักหน่อย”

นักบวชเต๋าจวี๋เมา อาซูหลัว หลี่เมี่ยวเจิน และสมาชิกพรรคฟ้าดินคนอื่นๆ ก็อยู่ด้วย ยังมีซุนเสวียนจีที่สวมชุดขาวปลิวไสว ซึ่งถูกท่านโหราจารย์คนใหม่ส่งมา

แล้วก็มีเย่จีที่มีใบหน้าเจ้าเสน่ห์

ดินแดนประจิมทิศอันตราย สถานการณ์ไม่ชัดเจน แน่นอนว่าไม่อาจให้ตู้เอ้อร์เสี่ยงอันตรายได้ ดังนั้นจึงมีกลุ่มคุ้มกันของพรรคฟ้าดิน

ตู้เอ้อร์กล่าวเสียงต่ำ

“หลังจากเข้าใกล้ดินแดนประจิมทิศแล้ว ทุกท่านไม่ต้องเข้าไปในเขตแดนของดินแดนประจิมทิศ เพื่อป้องกันเหตุที่คาดไม่ถึง”

ฝูงชนพยักหน้า

หลี่หลิงซู่ประสานมือคารวะ

“ทุกท่านรักษาตัวด้วย หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ให้รีบหนี เฮ้อ! ข้าคิดว่ารอสวี่หนิงเยี่ยนกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ จอมยุทธ์หยาบคายนั้นไม่ตายง่ายๆ พวกเจ้าไปดินแดนประจิมทิศ ข้ามักรู้สึกว่าจะเกิดเรื่องขึ้นได้”

หลี่เมี่ยวเจินทำคิ้วตั้ง

“หุบปากเจ้าซะ!”

ลี่น่าฉลาดมาก รู้ว่าตนเองช่วยอะไรไม่ได้จึงได้แต่โบกมือไม่พูดอะไร

ฝูงชนขี่พายุขึ้นฟ้าและกลายเป็นลำแสงพุ่งไปยังดินแดนประจิมทิศ

หลังจากใช้สายตาส่งฝูงชนจากไปแล้ว หลี่หลิงซู่ก็มองไปทางเย่จีและกล่าวว่า

“แม่นางเย่จี ให้ข้าไปซินเจียงตอนใต้เป็นเพื่อนเจ้าหรือไม่”

เขารู้สึกว่าตนเองต้องทำอะไรบ้าง นี่ไม่ใช่เป็นการให้วันหยุดสาวน้อยอย่างแน่นอน

เย่จีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนหันไปกล่าวกับลี่น่า

“ไปด้วยกันเถอะ”

‘กินข้าวเย็นแล้วค่อยไปไม่ได้หรือ…’ ลี่น่าพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลี่ยง

“ก็ได้”

เย่จีหยิบยันต์หยกส่งตัวออกจากอกมาสามผืน มอบให้หลี่หลิงซู่กับลี่น่า

พวกเขาจะไปพบเสินซูที่ซินเจียงตอนใต้ ขอร้องให้เขาออกจากภูเขามานั่งบัญชาการสถานการณ์ทั้งมวล แม้ว่าการเดินทางในครั้งนี้จะเน้นการสืบเสาะเป็นหลัก ไม่ทำศึกกับสำนักพุทธ แต่ชั่วเวลาแค่พริบตาเดียว สถานการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ จำเป็นต้องเพิ่มความคุ้มครองให้ฝ่ายตนเองอีกชั้นหนึ่ง

จากเมืองหลวงไปซินเจียงตอนใต้ ระหว่างทางมีค่ายกลส่งตัวยี่สิบแห่ง

สวี่ชีอันได้จัดวาง ‘เส้นทางส่งข่าวสาร’ นี้ไว้แต่แรกแล้ว ตอนนี้นำออกมาใช้ประโยชน์ได้พอดี

การส่งตัวด้วยค่ายกลภายใต้การนำของซุนเสวียนจี บรรดาเหนือมนุษย์แฉลบผ่านใต้แผ่นดินขุนเขาและสายน้ำจนมาถึงเขตดินแดนประจิมทิศก่อนตะวันรอน

แสงสว่างพุ่งตัวขึ้น ฝูงชนหยุดการเดินทาง ซุนเสวียนจีไม่บุ่มบ่ามพาพวกเขาเข้าใกล้

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือคารวะฝูงชนแล้วหายวับไปทางดินแดนประจิมทิศอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ได้บินไปไกลมากนัก ให้ตัวเองอยู่ในรัศมีการมองเห็นขอผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์

หลังจากตั้งจิตสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ตู้เอ้อร์ก็หันมากล่าว

“ไม่มีอะไรผิดปกติ”

ภิกษุชราที่รูปร่างผอมแห้งขมวดคิ้ว นี่มันไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้

อาซูหลัวกับเหิงหย่วนขี่พายุแฉลบไปอยู่ข้างตู้เอ้อร์ หลังจากทั้งสองปล่อยจิตออกไปตรวจสอบแล้ว ก็มั่นใจว่าพื้นที่แห่งนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ

คนพรรคฟ้าดินเดินหน้าต่อด้วยความงงงวย ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็มาถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีควันลอยออกจากบ้านแต่ละหลังที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแตกต่างจากในที่ราบกลาง

เสียงไก่และสุนัขดังขึ้น เต็มไปด้วยกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์กล่าวด้วยความลังเล

“บางทีอาจไม่ได้แพร่กระจายมาถึงที่นี่ ลองเข้าไปลึกกว่านี้อีกหน่อย…”

พวกเขาเดินตามจังหวะในเมื่อครู่ โดยมีพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เป็นแกนนำมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของดินแดนประจิมทิศ

หลังจากเดินหน้าไปได้หนึ่งชั่วยาม จู่ๆ พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็หยุดลง

เวลาขณะนี้คือยามซวีสองเค่อ หากอยู่ในต้าฟ่งพระอาทิตย์คงลับขอบฟ้า และม่านราตรีคงย้อยลงมาแล้ว แต่ในดินแดนประจิมทิศ ดวงอาทิตย์เพิ่งจะแสดงสัญญาณของเวลาพลบค่ำเสียด้วยซ้ำ

ด้านหน้าเป็นทุ่งราบไร้ขอบเขต มีเทือกเขาอยู่ปลายทุ่งราบ

แม่น้ำไหลอย่างเงียบๆ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่

พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ไม่กล้าเดินหน้าไปต่อแล้ว กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาส่งเสียงคำรามให้เขาวิ่งหนี ทุกเส้นประสาทพากันส่งสัญญาณอันตราย

เขาเป็นคนสำนักพุทธ ไม่ได้ฝึกฝนวิธีการทำนายอันตราย

นี่เป็นการแจ้งเตือนจากโชคชะตา!

“มีอันตรายหรือ”

อาซูหลัวที่ร่างสูงเก้าฉื่อ ใบหน้าไม่หล่อแต่มีเสน่ห์ บินเข้ามาเคียงไหล่กับตู้เอ้อร์

เขาไม่รับรู้ถึงอันตราย ลางเตือนวิกฤตของจอมยุทธ์ไม่ได้เปิดใช้งาน

ขณะนี้ อาซูหลัวเห็นว่าในเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ มีดวงตาขนาดใหญ่กำลังลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา

………………………………………..

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด