ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 875 ปากอีกา
บทที่ 875 ปากอีกา
……….
เทพบุตรพลันสีหน้าเข้ม ก่อนใช้พู่กันจรดเขียนข้อความ
หมายเลขเจ็ด ‘เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเจ้าไม่ได้ออกจากแดนประจิมแล้วหรือ’
ฝีแปรงพู่กันของเขาโบกสะบัด ความเร็วเทียบเท่ากับปีศาจ
แต่ทางด้านนั้นกลับไม่มีคนตอบกลับเป็นเวลานาน เวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา ในที่สุดก็มีคนตอบกลับมา ทว่าไม่ใช่หลี่เมี่ยวเจิน แต่เป็นฉู่หยวนเจิ่น
หมายเลขสี่ ‘พระ พระพุทธเจ้ามาแล้ว…’
…หลี่หลิงซู่หนาวสะท้านไปทั้งร่าง ราวกับมีงูน้ำแข็งเลื้อยอยู่บนแผ่นหลัง จากกระดูกสันหลังวิ่งตรงขึ้นกระหม่อม หนังศีรษะชาหนึบในพริบตา
หมายเลขเจ็ด ‘เกิดอะไรขึ้น’
หมายเลขเจ็ด ‘เมื่อครู่ไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้าสูญเสียโชคชะตา มิอาจขยายอำนาจได้อีกแล้วไม่ใช่หรือ’
หมายเลขเจ็ด ‘พวกเจ้าพูดสิ…’
เขาส่งสามข้อความติดต่อกัน แต่กลับปลิวหายไปกับสายลม ไร้การตอบสนอง
หลี่หลิงซู่ดีดตัว ‘เด้ง’ ขึ้นจากเก้าอี้ ในมือถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้แน่น ก่อนหันมามองเหล่าจีทั้งสี่ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเจือความเฉียบขาดอยู่บ้างว่า
“พระพุทธเจ้ามาแล้ว”
จีทั้งสี่มองมาทันที ใบหน้างดงามเปลี่ยนไปเล็กน้อย เย่จีถามต่อว่า
“หมายความว่าอย่างไร พระพุทธเจ้ามาแล้ว”
สาวน้อยหลิงจีมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดกลัว แล้วเขยิบไปใกล้ๆ โยวจีอย่างเงียบๆ
เดิมหลี่หลิงซู่คิดจะเอาหนังสือปฐพีให้พวกนางอ่าน แต่เมื่อคิดได้ว่าเนื้อความในหนังสืออันตรธานไปแล้ว จึงอธิบายอย่างรวดเร็วว่า
“สหายของข้าส่งจดหมายถึงข้า ให้ข้ารีบเชิญไต้ซือเสินซูไปเหลยโจวเพื่อให้การช่วยเหลือ”
“เหตุใดจึงเป็นเหลยโจวเล่า”
เย่จีถามพลางลุกขึ้นเดินไปด้านนอก
‘ข้าจะรู้รึ’…หลี่หลิงซู่ส่ายหัว และเดินตามรอยเท้าของเย่จีออกจากวิหารใหญ่พร้อมกับจีทั้งสาม หลังจากเดินขึ้นเดินลงในวัดหนานหวาซึ่งเต็มไปด้วยศาลาอยู่หลายรอบ ก็มาถึงด้านนอกของหอคอยที่ปิดผนึก
ประตูหอคอยปิดอย่างแน่นหนา แสงเล็กๆ ลอดผ่านรอยแตกของประตู
โยวจีก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามราวกับสตรีผู้สูงศักดิ์แล้วยกมือขึ้น แขนเสื้อผ้าไหมนุ่มลื่นเลื่อนลงมา ข้อมือขาวราวหิมะยกขึ้นเคาะประตูหอคอย ก่อนกระซิบว่า
“ไต้ซือเสินซู การบำเพ็ญเพียรของท่านสำเร็จหรือยังเจ้าคะ”
ตอนที่เย่จีมาถึงนั้นตรงกับที่เสินซูบำเพ็ญพอดี ด้านหลี่หลิงซู่ก็ได้ผลลัพธ์ของการสำรวจแดนประจิมจากกลุ่มสนทนาในหนังสือปฐพี เมื่อรู้ว่าหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ อยู่ในสถานการณ์ปลอดภัย จึงไม่รบกวนเสินซูอีก
กระทั่งคิดจะได้พบและผูกสัมพันธ์กับคนงามเผ่าจิ้งจอกซึ่งมีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปด้วย
แน่นอน หลังจากรู้ว่าสตรีเผ่าจิ้งจอกเหล่านี้เป็นอนุของสวี่ชีอันแล้ว เทพบุตรก็ไม่อยากสนใจพวกนางอีก
“มีเรื่องอะไร!”
เสียงทุ้มลึกของเสินซูดังมาจากในหอคอย
โยวจีบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เสินซูฟังด้วยถ้อยคำกระชับ
ประตูหอคอยเปิดออกเอง แสงเทียนเล็ดลอดออกมาราวกับสายน้ำ เสินซูผู้มีร่างสูงใหญ่เดินออกมาช้าๆ
รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก ร่างสูงเจ็ดฉื่อ ไม่ต่างจากบุรุษที่โตเต็มวัย เครื่องหน้าหล่อเหลา ผิวขาวหมดจด เป็นภิกษุหนุ่มผู้มีผิวพรรณดียิ่ง
นี่นับเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเขา พูดให้ถูกก็คือ นี่เป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเสินซู มิใช่ราชันอสูร
รูปลักษณ์ภายนอกของเผ่าพันธุ์อสูรนั้นชัดแจ้งเกินไป หากเสินซูแสดงรูปลักษณ์เป็นราชันอสูร จิ้งจอกเก้าหางไม่มีทางไม่รู้เช่นกันว่าตนเป็นราชันอสูร
เสินซูยิ่งไม่มีทางที่จะปิดบังเหล่าภิกษุเมื่อครั้งบำเพ็ญอยู่อรัญตาได้เลย
“ข้ารู้แล้ว”
เสินซูพยักหน้าเล็กน้อย ครู่ต่อมา ร่างของเขาก็อันตรธานไปต่อหน้าทุกคน
…
ห้องทรงพระอักษร
ฮว๋ายชิ่งลุกขึ้นพรวดขณะที่ถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ในมือ พลางจ้องมองตรงไปนอกตำหนัก ด้วยดวงตาใสกระจ่างราวสระน้ำ
เว่ยเยวียน จ้าวโส่ว และหวางเจินเหวิน ผู้กุมอำนาจทั้งสามคนไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่ในห้องทรงพระอักษรตลอด
เมื่อเห็นฮว๋ายชิ่งมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ ทั้งสามจึงทอดสายตาไปยังจักรพรรดินีผู้สูงสง่าอย่างพร้อมเพรียง
“หนังสือปฐพีส่งข้อความมาว่า พระพุทธเจ้ามาแล้ว”
ฮว๋ายชิ่งสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยว่า
“ยามนี้พวกเขาอยู่ที่เหลยโจว…”
เว่ยเยวียน จ้าวโส่ว และหวางเจินเหวินลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความตกใจ บ้างสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย บ้างก็สีหน้าเคร่งขรึม
จ้าวโส่วใคร่ครวญแล้วเอ่ยว่า
“พระพุทธเจ้ารับแดนประจิมทั้งหมดแล้วรึ พระองค์เอาโชคชะตามาจากไหน”
หวางเจินเหวินแค่นเสียงเย็นว่า
“หากไม่มีไพ่ไม้ตายที่ช่วยให้พระองค์สำเร็จก้าวสุดท้ายได้ ก็ต้องมีเพื่อนเก่าบางคนมอบให้”
สำนักพ่อมด…คนทั้งสี่ที่นั่งอยู่นี้ล้วนฉลาดเป็นกรด ปัญหาพวกนี้ทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก
“ช่างเสี่ยงเหลือเกิน” เว่ยเยวียนทอดถอนใจ
เขาเอ่ยปลอบใจ
“มีเสินซูอยู่ น่าจะต้านทานพระพุทธเจ้าไหว”
จ้าวโส่วเหลือบมองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้โต้แย้ง
ฮว๋ายชิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ทำด้วยไม้จันทน์แดงอีกครั้ง นิ้วเรียวยาวดุจแท่งหยกเขียนบนเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีด้วยความรวดเร็ว
…
อีเอ๋อร์ปู้เหาะขึ้นสูงด้วยแสงสีดำ ผืนดินอันกว้างใหญ่แฉลบผ่านไปใต้ร่างของเขา
ทันทีที่เขามาถึงชายแดนอวี่โจว ก็พลันเห็นไฟสีดำสองดวงกะพริบอยู่ตรงหน้า แล้วทั้งสองฝ่ายก็ได้พบกัน
“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่รึ”
อีเอ๋อร์ปู้ทั้งตกใจ ดีใจ และฉงน
“ท่านมาที่ราบลุ่มภาคกลางได้อย่างไร”
ผู้นำก็คือซ่าหลุนอากู่ ซึ่งสวมเสื้อคลุมยาวของพ่อมด ผมสีขาวถักเป็นเปียเล็กๆ และมีหนวดเคราขาวปกคลุมอยู่ครึ่งใบหน้า
อูต๋าเป๋าถ่าเป็นผู้ติดตาม
ซ่าหลุนอากู่ไม่ตอบ แล้วเอ่ยถามว่า
“เอาของให้พระพุทธเจ้าหรือยัง”
อีเอ๋อร์ปู้พยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า
“เกรงว่าต่อไปเหยียนกั๋วจะต้องเผชิญภัยธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่า”
เช่นเดียวกับตอนแรกเริ่มที่ต้าฟ่งสูญเสียชะตาบ้านเมืองไปครึ่งหนึ่ง
อูต๋าเป๋าถ่าเอ่ยเรียบๆ ว่า
“ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”
ก็จริง รอจนเทพพ่อมดหลุดพ้นจากผนึก ก็จะมากลืนกลายกับตะวันออกเฉียงเหนือเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า และแย่งชิงโชคชะตาของจิ่วโจว เหยียนกั๋วก็จะสิ้นสุดลงในไม่ช้า…อีเอ๋อร์ปู้เอ่ยเสียงเรียบว่า
“ข้าทราบดี ท่านไม่จำเป็นต้องพูด”
เคราะห์ดีที่แม้ว่าพรมแดนของสามก๊กจะถูกเทพพ่อมดกลืนกลายไป ทว่าพ่อมดผู้ฝึกตนในแนวทางบำเพ็ญล้วนรอดชีวิตมาได้ ทั้งในอนาคตยังจะได้รับพรจากเทพพ่อมด ไม่สิ พรจากสวรรค์ให้เป็นอมตะอีกด้วย
ตามคำพูดของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ เทพพ่อมดสามารถเปลี่ยนแปลงกฎแห่งฟ้าดิน และมอบอิทธิฤทธิ์แก่ระบบพ่อมดได้
“ปรมาจารย์น่าหลันอวี่เล่า”
อีเอ๋อร์ปู้เอ่ยถาม
ซ่าหลุนอากู่ยิ้มพลางว่า
“ชายแดนตอนเหนืออาณาเขตกว้างใหญ่เพียงนั้น ให้จู๋จิ่วไปไม่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรหรือ”
อีเอ๋อร์ปู้เบิกตาโต เข้าใจในทันทีว่าน่าหลันเทียนลู่ไปยังที่ใด
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ต้องฉวยโอกาสระหว่างการต่อสู้ของต้าฟ่งกับสำนักพุทธ เพื่อให้ได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว และยึดครองดินแดนของคนเถื่อนทางเหนือ
เมื่อเป็นเช่นนี้ โชคชะตาที่สูญเสียไปของเหยียนกั๋วก็จะเติมเต็มกลับมาได้
ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว วิเศษนัก!
ในเวลานั้นเอง อีเอ๋อร์ปู้ก็เห็นผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์กลุ่มหนึ่งเหาะมาจากทางใต้
เมื่อเพ่งมองดีๆ จึงเห็นว่าเป็นผู้นำทั้งเจ็ดของเผ่าพันธุ์กู่
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของสำนักพ่อมดแล้วเช่นกัน จู่ๆ หนึ่งในคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็พลันขยายขอบเขตชั้นเงามืดมาปกคลุมคนทั้งหก
เตรียมพร้อมใช้วิชากระโดดสู่เงาได้ทุกเมื่อ
แม่ย่าแห่งเทียนกู่ผมสีเงินกำลังยันไม้เท้า พลางพยักหน้าเล็กน้อยให้ซ่าหลุนอากู่
พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่พยักหน้าตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางๆ
“พวกท่านเป็นคนของสำนักพ่อมด เหตุใดจึงมาที่นี่”
สตรีแต่งกายด้วยผ้าโปร่งบาง รูปร่างอรชร สัดส่วนได้รูป ใบหน้ารูปไข่มีเสน่ห์คนหนึ่งถามขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
แม่ย่าแห่งเทียนกู่พาพวกเขารุดไปยังเหลยโจว บอกเพียงว่ามหาเคราะห์มาถึงแล้ว ต้องไปตรวจดูสถานการณ์
ความประทับใจแรกที่นางมอบให้อีเอ๋อร์ปู้คือ ความแพศยา!
ทุกอิริยาบถเผยเสน่ห์อันเย้ายวน ราวกับเกิดมาเพื่อล่อลวงบุรุษ
“แน่นอนว่ามาเพื่อดูว่าต้าฟ่งมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่บ้าง”
อีเอ๋อร์ปู่เอ่ยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“หรือไม่ก็มาดูว่าพระพุทธเจ้าจะสังหารพวกเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งอย่างไร”
ใบหน้าทรงเสน่ห์ของหลวนอวี้มืดหม่นลงในพริบตา
…
พรมแดนเหลยโจว
อินทรียสารสีแดงเข้มถูกพัดพาไปตามถนนและบ้านเรือนในเมืองเล็กๆ ราวกับกระแสน้ำ เลือดเนื้อที่มองเห็นเส้นเลือดได้ชัดเจนเหล่านั้นแปะติดอยู่กับบ้านเรือนและปกคลุมอยู่ตามพื้นผิว
ยามนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างหลับสนิท พวกเขาเงียบกริบไม่ส่งเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ เฉกเช่นเดียวกับบ้านเรือน
ทว่าหอคณิกาแห่งเดียวในเมืองเล็กๆ ยังสว่างไสว เหล่าบุรุษผู้มั่งคั่งในเมืองยังใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญ ณ ที่แห่งนี้
บ้างโอบกอดสตรีพลางร่ำสุรา บ้างกำลังฟังละครเพลง บ้างก็สานสัมพันธ์กันบนเตียงพลางใช้เคล็ดต้องห้ามในขอบเขตของการเล่นแร่แปรธาตุ
แต่เมื่อคลื่นของอินทรียสารสีแดงเข้มถาโถมเข้ามา นางโลมในหอคณิกาและเหล่าหญิงงามเมืองก็กรีดร้องพลางวิ่งออกจากหอเล็กๆ ที่สร้างอย่างค่อนข้างมีเสน่ห์
ต่อมา แต่ละคนก็ต่อสู้อย่างหนักท่ามกลางอินทรียสารสีแดงเข้ม ราวกับมดที่ติดอยู่ในน้ำเชื่อมเข้มข้น เมื่อการต่อสู้เบาบางลง และความกลัวบนสีหน้าของพวกเขาสงบลงช้าๆ พวกเขาก็นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงจุดนั้น สองมือประนม ราวกับศาสนิกชนผู้มีศรัทธาอย่างที่สุด
พวกเขาถูกอินทรียสารกลืนกลายทีละน้อยๆ…
‘ฟิ้ว!’
เสียงแผดก้องดังมาจากท้องฟ้า เศษกิ่งไม้แห้งๆ ร่วงลงจากฟ้า เกี่ยวศีรษะของศาสนิกชนผู้มีศรัทธา ณ ที่นั้น
เลือดและเศษเนื้อพุ่งขึ้นราวน้ำพุ บดบังค่ายกลกระบี่ทั้งหมดที่ก่อตัวจากกิ่งไม้แห้งๆ จากนั้นก็กลืนกินลงไป
ในท้องฟ้าไกลโพ้น ฉู่หยวนเจิ่นเสื้อคลุมขาดวิ่น ในมือถือกระบี่หักเล่มหนึ่ง เลือดสดๆ ซึมอยู่ที่มุมปาก
อาซูหลัว นักบวชเต๋าจินเหลียน พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ หลี่เมี่ยวเจิน รวมถึงซุนเสวียนจีและไต้ซือเหิงหย่วนต่างมีบาดแผลบนร่างกาย ทิ้งร่องรอยผลพวงของสงครามไว้
หากจะกล่าวว่าสงครามใหญ่ให้เกียรติพวกเขาอยู่บ้าง กล่าวให้ถูกต้องยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาเพิ่งเก็บชีวิตน้อยๆ กลับจากเงื้อมมือของพระพุทธเจ้า นี่เป็นเพราะซุนเสวียนจีตอบสนองได้ทันเวลา รวมถึงอาซูหลัวที่ทนอยู่ภายใต้สภาพแรงกดดันได้
ก่อนหน้านี้พวกเขารวมตัวกันที่ยอดเขาบริเวณพรมแดนเหลยโจวเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์แดนประจิม ทั้งสาธยายและวิเคราะห์สถานการณ์ของพระพุทธเจ้าให้จักรพรรดินีฟังผ่านทางหนังสือปฐพี
เดิมตั้งใจจะอยู่สังเกตการณ์ที่เหลยโจวสักสองสามวัน ทว่าในเวลากลางคืน พวกเขาได้เห็นคลื่นสีแดงเข้มพุ่งเข้าหาเหลยโจวภายใต้แสงพร่างพราวของคืนเดือนหงาย ทุกสรรพสิ่งที่ถูกเคลื่อนผ่านจะปกคลุมไปด้วยเลือดเนื้อไหลนอง
“พระองค์ข้ามแดนประจิมบุกเข้าอาณาเขตที่ราบลุ่มภาคกลางได้อย่างไร”
หน้าอกของอาซูหลัวกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง แสดงออกถึงความสับสนกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ตามการคาดการณ์ของพวกเขาก่อนหน้านี้ การขยายอำนาจของพระพุทธเจ้าจำต้องอาศัยโชคชะตา แต่พระองค์ได้ผนวกเขตอิทธิพลทั้งหมดในแดนประจิมอย่างเหนือธรรมดา ทั้งยังมุ่งสู่ที่ราบลุ่มตอนกลางอย่างไร้แบบแผนอีกเนี่ยนะ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดที่แดนประจิมพระองค์ไม่ฆ่าพวกเขาเสียเลยเล่า
“มันไม่เหมือนกัน!”
ฉู่หยวนเจิ่นสังเกตการณ์อย่างเฉียบไว ก่อนกระซิบว่า
“สิ่งที่พระองค์เผยออกมาควรเป็น ‘ร่างที่แท้จริง’ แต่ตอนอยู่แดนประจิม มีทรายและดินห่อหุ้มประหนึ่งภูเขาและสายน้ำคืนชีวิตชีวา ก่อนหน้านี้ตอนที่ไล่ล่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ พระองค์ก็เคยแสดงรูปลักษณ์เช่นนี้หลังจากข้ามพรมแดนเช่นกัน
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง สำหรับพระองค์แล้ว เหลยโจวในเวลานี้ก็เหมือนกับอาณาเขตของภาคส่วนแดนประจิมที่มิอาจกลืนกลายได้ก่อนหน้านี้เพราะโชคชะตาไม่พอ”
“ดังนั้นเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า” หลี่เมี่ยวเจินไม่อยากฟังขั้นตอนการให้เหตุผล ต้องการรู้เพียงผลลัพธ์เท่านั้น
นักบวชเต๋าจินเหลียนคงความระแวดระวังไว้ พลางออกปากอธิบายว่า
“พวกท่านสังเกตหรือไม่ แม้พระองค์จะ ‘ยึดครอง’ เหลยโจวแล้ว แต่ก็ไม่ได้กลืนกลายเหลยโจว นี่แสดงให้เห็นถึงสองประเด็น ประเด็นแรก หากไม่มีโชคชะตาเพียงพอ พระองค์ก็มิอาจกลืนกลายอาณาเขตที่ราบลุ่มภาคกลางได้เหมือนกับที่กลืนกลายแดนประจิม
“ประเด็นที่สอง พระองค์เปลี่ยนแปลงศาสนิกชนผู้มีศรัทธา จากนั้นก็กลืนกินพวกเขาอีก
“นี่หมายความว่าอย่างไร”
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของทุกคน คือการต่อสู้แย่งอาณาเขตและรวบรวมโชคชะตา!
เช่นเดียวกับสวี่ผิงเฟิงเมื่อปีก่อน
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์พนมมือ
“นี่ละสิ่งที่เรียกว่ามหาเคราะห์ วันที่ระดับสุดยอดฟื้นคืน ต้องค่อยๆ กัดกินที่ราบลุ่มภาคกลางแน่”
เทียบกับการต่อสู้ขนาดใหญ่แล้ว การค่อยๆ กัดกินเช่นนี้น่ากลัวกว่าหลายพันหลายหมื่นเท่า
การต่อสู้กันระหว่างสองกองทัพ จะยังมีผู้แพ้ผู้ชนะ มีช่องว่างในการหาทางหนีทีไล่
แต่ใครจะขัดขวางการแผ่อำนาจของพระพุทธเจ้าได้เล่า
ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เช่นพวกเขาเหล่านี้ก็ทำได้เพียงสร้างสิ่งกีดขวางเล็กๆ น้อยๆ จากระยะไกลเท่านั้น มิอาจหาญเข้าใกล้
“แม้พระองค์จะรวดเร็วเหมือนไฟลามและมิอาจหยุดยั้ง แต่ราวกับจะมีข้อจำกัดและถูกยับยั้งการเคลื่อนไหว”
ซุนเสวียนจีตวัดลายมือหวัดๆ บนกระดาษแล้วให้ทุกคนอ่าน
ความหมายของเขาก็คือ แม้พระพุทธเจ้าจะทรงฤทธานุภาพและไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ทว่าในเวลาเดียวกับที่พระองค์กลายเป็นคนบ้าคลั่งที่กลืนกินทุกสิ่ง ร่างกายขนาดมหึมาก็จะกลายเป็นภาระเช่นกัน มิอาจทำตัวเป็นปัจเจกชนที่คิดจะไปไหนก็ได้ตามใจชอบอีก
นี่ราวกับเป็นค่าตอบแทนที่ต้องแลก
ทันใดนั้น สสารสีแดงเข้มเหล่านั้นก็ยกตัวขึ้นสูง และควบแน่นกลายเป็นรูปร่างของมนุษย์อันพร่ามัว มีเงาตะคุ่มเป็นภิกษุหัวโล้นผู้หนึ่ง เค้าโครงใบหน้าไม่ชัดเจน ร่างกายแสดงออกเป็นโครงร่างง่ายๆ ของมนุษย์เท่านั้น
ทว่าเขามีแก่นแท้เป็นดวงตาไร้อารมณ์คู่หนึ่ง
ซึ่งกำลังเฝ้ามองผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งอย่างเงียบๆ
‘ศิษย์พี่ซุน ท่านไม่ใช่จงหลีที่ปลอมตัวมาจริงๆ ใช่หรือไม่ ท่านอย่าได้แสดงความเห็นจะดีกว่า…’ หลี่เมี่ยวเจินหัวใจเต้นตึกตัก หลังจากมองการแสดงออกของคนอื่นๆ อีกครั้ง นางจึงรู้ว่า ทุกคนก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับตน
……………………………………………………….
……….
Comments