ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 883 แผนทำร้ายตัวเอง
บทที่ 883 แผนทำร้ายตัวเอง
……….
ขณะที่ฮว๋ายชิ่งวาดมือมาหยิบไข่มุก นางได้เหลือบเห็นหางและใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางปีศาจโฉมสะคราญ แล้วมองการแสดงออกด้วยความจริงใจของสวี่ชีอันอีกครั้ง
จากนั้น นางจึงเอื้อมมือรับไข่มุกนางเงือกไป
พริบตาที่ไข่มุกอยู่ในมือก็เปล่งแสงสว่างสดใส ราวกับหลอดไฟในภพก่อนของสวี่ชีอัน แม้จะอยู่ในท้องฟ้าที่เข้าใกล้เวลาเที่ยงวันก็ยังพร่างพราวและสว่างเพียงพอ
“ส่องแสงได้จริงด้วย”
ฮว๋ายชิ่งส่งเสียง ‘เอ๊ะ’ เบาๆ การแสดงออกและน้ำเสียงเจือความประหลาดใจอยู่บ้าง
เมื่อมีไข่มุกเม็ดนี้ ในวังของนางจึงไม่จำเป็นต้องจุดเทียนไข อีกทั้งแสงของไข่มุกก็ชัดเจนสว่างไสว แวววับจับตากว่าแสงเทียนมากนัก
“เป็นสมบัติที่หาได้ยากทีเดียว”
พูดจบ นางก็พบว่าสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางมองดูตนด้วยสีหน้าแปลกๆ
ทว่าการแสดงออกของคนทั้งสองนั้นแตกต่างกัน
สายตาและการแสดงออกของสวี่ชีอันมีความซับซ้อนอยู่บ้าง ทั้งยินดี หยอกเย้า สบายใจ อ่อนโยน ภูมิใจ ทำอะไรไม่ถูก ต่างๆ นานา ฮว๋ายชิ่งไม่ได้เห็นอารมณ์ที่ซับซ้อนขนาดนี้บนหน้าของเขามานานมากแล้ว
จิ้งจอกเก้าหางซึ่งกำลังล้อเล่นหุบยิ้ม และแสดงทีท่าเป็นศัตรู
ฮว๋ายชิ่งฉลาดเป็นกรด จึงจับสังเกตต้นสายปลายเหตุทันที
เวลานี้เอง นางก็เห็นจิ้งจอกเก้าหางหัวเราะตัวโยน สีหน้าเต็มไปด้วยการเย้าแหย่ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางว่า
“ว่ากันว่า ขอเพียงถือไข่มุกนางเงือกในมือแล้วเห็นคนที่รัก มันจะเรืองแสง
“ยังคิดว่าเหนือหัวของแคว้นหนึ่งซึ่งเป็นจักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่จะแตกต่างจากคนทั่วไปสักแค่ไหนกัน ที่แท้ก็เหมือนกับสตรีทั่วไป ที่หลงรักชายรูปงามด้วยความรักลึกซึ้ง
“จุ๊จุ๊ เก็บซ่อนไว้ได้ลึกเหลือเกิน ข้าอ่านใจสตรีมานับไม่ถ้วน ยังดูไม่ออกเลยว่าท่านชอบฆ้องเงินสวี่ขนาดนั้น
ฮว๋ายชิ่งมองไข่มุกนางเงือกในมือ แล้วสีหน้าก็พลันซีดขาว ก่อนจะแดงก่ำขึ้นมาราวกับคนเมา
นางมองขวับไปทางสวี่ชีอัน ภายในดวงตาอันงดงามมีความโกรธและอับอาย ความลำบากใจ และความเก้อกระดากวาบผ่าน เช่นเดียวกับเมื่อครั้งงานแต่งงานของสวี่หนิงเยี่ยนและหลินอัน ที่ถูกผู้พิทักษ์หยวนเผยความในใจอย่างหมดเปลือก
นางคิดไม่ถึงว่าสวี่ชีอันจะ ‘ลอบวางแผน’ ใช้วิธีนี้กับตนจริงๆ
“คือว่า ฝ่าบาท…”
สวี่ชีอันส่งเสียงกระแอม ขณะกำลังจะกู้สถานการณ์และบรรเทาความลำบากใจของจักรพรรดินี ก็เห็นแก้มสีแดงเรื่อของนางพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด
จากนั้นก็มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ทั้งมีความโศกเศร้าแอบซ่อนอยู่
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า
“เจ้าภูมิใจมากเลยใช่หรือไม่”
หืม นี่มันท่าทีอะไรนี่ เขินจนโมโหรึ…สวี่ชีอันตะลึงงัน
ฮว๋ายชิ่งโบกแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วขว้างไข่มุกนางเงือกกลับมา
สวี่ชีอันเอื้อมมือไปรับแล้วถือไว้กลางฝ่ามือ โดยกักพลังปราณตามนิสัย ไม่ให้มันสัมผัสกับฝ่ามือของเขาจริงๆ
ทันใดนั้นเขาจึงเข้าใจสาเหตุที่ฮว๋ายชิ่งโกรธ
หากตอนที่ผู้ถือเผชิญหน้ากับคนที่รักแล้วไข่มุกนางเงือกจะเรืองแสง แล้วตอนที่เขาถือไข่มุกนางเงือก มันกลับไม่มีความผิดปกติใดๆ
นี่หมายความว่าอย่างไรเล่า
หมายความว่าสวี่ชีอันไม่ได้รักใครเลยน่ะสิ
ไม่แปลกที่ฮว๋ายชิ่งจะผิดหวัง และโมโห
ความคิดของผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนแปลงไวเหลือเกิน…เมื่อครู่ที่สวี่ชีอันถือไข่มุกนางเงือก ความจริงนั้นมีชั้นพลังปราณกั้นระหว่างฝ่ามือและไข่มุกนางเงือกอยู่ชั้นหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น ทำให้ฮว๋ายชิ่งสังเกตความไม่ชอบมาพากลออก ยิ่งไปกว่านั้น ข้อกังวลอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อฮว๋ายชิ่งรู้ลักษณะพิเศษของไข่มุกนางเงือกแล้วจะหันมาถามเขา
“ไข่มุกเรืองแสงเพราะใคร”
จิ้งจอกเก้าหางจะคล้อยตามและเติมเชื้อไฟ “นั่นสิ เป็นเพราะใคร”
ซึ่งจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเป็นอย่างมาก
เขาถอนหายใจแล้วลบล้างพลังปราณ ก่อนถือไข่มุกนางเงือกไว้
ด้วยเหตุนี้ ไข่มุกนางเงือกจึงเปล่งแสงสว่างไสวเด่นชัดในสายตาของจิ้งจอกเก้าหางและฮว๋ายชิ่ง
สีหน้าเย็นเยียบของฮว๋ายชิ่งละลายไปอย่างรวดเร็ว สายตาผิดหวังและโศกเศร้าหายไป ขณะที่มองไข่มุกนางเงือกด้วยความหลงใหล
“อุ้ยตาย ที่แท้ฆ้องเงินสวี่ก็แอบรักคนอื่นมาตลอด”
จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียง ‘กรีดร้อง’ พลางกะพริบตา ขนตาสั่นกระพือ แล้วเอ่ยอย่างขวยเขินว่า
“คือ คือว่า พวกเราเผ่าพันธุ์แตกต่างกัน มิอาจรักกันได้”
เจ้าไสหัวไป เจ้าไสหัวไปเลย…สวี่ชีอันอดใจไม่ไหวจนอยากจะถ่มน้ำลายใส่หน้านาง
เพื่อหลีกเลี่ยงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาจึงเก็บไข่มุกนางเงือกแล้วประสานมือเอ่ยว่า
“กระหม่อมออกทะเลหลายเดือน ขอกลับจวนก่อน”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ขัดขวางเขา
“ข้าก็อยากไปเป็นแขกของจวนสกุลสวี่!”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยเสียงนุ่ม
สวี่ชีอันไม่สนใจนาง มหาเนตรบนข้อมือเปล่งแสง ก่อนเคลื่อนย้ายเขาจากไป
จิ้งจอกเก้าหางส่ายเอวเล็กๆ แล้วบิดสะโพกวิ่งออกจากห้องทรงพระอักษร กลายเป็นรุ้งสีขาวและหลบหนีไป
เมื่อคนจากไปในอาคารจึงว่างเปล่า ห้องทรงพระอักษรขนาดใหญ่เงียบสงัด ขันทีและนางกำนัลถอยออกไปหมดแล้ว ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรที่ว่างเปล่า ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตักในอก
นางสัมผัสใบหน้าตัวเองแล้วพ่นลมหายใจเบาๆ
ก็ดีเหมือนกัน ถ่ายทอดความรู้สึกตัวเองออกมาแล้วเปลี่ยนให้เป็นเผือกร้อนในมือสวี่หนิงเยี่ยนแทน นางไม่สนใจแล้ว
…
บันทึกภูมิศาสตร์จิ่วโจว
เขาเฉอซาน ไร้พืชพรรณ แร่ทองคำมากมาย บนเขามีงูตัวใหญ่นามว่าจู๋จิ่ว
ทหารม้าเหล็กของจิ้งกั๋วหล่อแท่นบูชาสูงสิบกว่าเมตรไว้บนยอดเขาเฉอซาน ออกตกเหนือใต้ทั้งสี่ทิศของแท่นบูชาเป็นสุสานซากศพกองพะเนินของคนเถื่อนสองเผ่าพันธุ์
“ปรมาจารย์น่าหลันอวี่ เตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว”
เซี่ยโฮ่วยวี่ซู ราชาแห่งจิ้งกั๋วก้าวขึ้นแท่นบูชา แล้วคำนับด้วยความเทิดทูน
บนแท่นบูชา น่าหลันเทียนลู่ซึ่งยืนประสานมือไว้ด้านหลังพยักหน้าเล็กน้อย
“เริ่มได้!”
เซี่ยโฮ่วยวี่ซูคว้าคบเพลิงแล้วโยนลงกระถางไฟ น้ำมันเพลิงติดไฟในพริบตา แล้วกระถางไฟก็ลุกไหม้เป็นเปลวไฟและควันสีดำ
ควันดำลอยคุกรุ่นกระจายตัวอยู่ในท้องฟ้าสีคราม มองเห็นได้ชัดเจน
ทหารม้าเหล็กแห่งจิ้งกั๋วที่อยู่บนเขาและตีนเขาพากันวางอาวุธและคุกเข่าลงกับพื้น ประสานนิ้วหัวแม่มือเข้าหากัน มือซ้ายกุมมือขวา พลางหลับตา แล้วอธิษฐานต่อเทพพ่อมด
ความเชื่อของคนนับหมื่นมาบรรจบรวมกัน แม้ไร้สุ้มเสียง ทว่าในหูของน่าหลันเทียนลู่กับมีเสียงการร้องเรียกอันยิ่งใหญ่
ณ เมืองจิ้งซานที่ห่างไกล รูปสลักเทพพ่อมดสั่นสะเทือน ‘ครั่นครืน’ ปราณสีดำลอยฟุ้งออกมา แล้วเคลื่อนตัวไปทางชายแดนตอนเหนือ
ปราณสีดำเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขานับไม่ถ้วน โดยใช้เวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจก็ไปถึงเขาเฉอซานซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้แล้ว ก่อนแผ่กระจายบนยอดเขาเฉอซาน กลายเป็นใบหน้าที่พร่ามัว
ทุกคนบนเขาเฉอซานต่างรู้สึกได้ว่าฟ้าพลันมืดลง ราวกับเข้าสู่ราตรีอันมืดมิด
เซี่ยโฮ่วยวี่ซูไม่กล้าลืมตา แต่สังเกตเห็นถึงพลังที่มิอาจควบคุมปกคลุมเขาเฉอซานทั้งลูก
เทพพ่อมดมาแล้ว แท่นบวงสรวงเรียกเทพพ่อมดมาแล้ว…หัวใจของเขาพลันสะท้าน ก่อนรีบขจัดความคิดกวนใจออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้น
น่าหลันเทียนลู่คารวะใบหน้าขนาดมหึมาบนท้องฟ้า จากนั้นจึงหยิบชามกระเบื้องสีเขียวครามออกจากแขนเสื้อ ในชามมีน้ำสะอาดอยู่เต็ม มีงูสีแดงตัวหนาเท่าตะเกียบตัวหนึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำ
จู๋จิ่ว!
มันถูกน่าหลันเทียนลู่ปิดผนึกไว้ในชาม
น่าหลันเทียนลู่วางชามบนโต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหมสีเหลืองแล้วถอยไปสองสามก้าว
ใบหน้าคนอันพร่ามัวบนท้องฟ้าอ้าปากออกแรงดูดกลืนทุกสรรพสิ่งทั้งภูเขาแม่น้ำดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
มังกรน้ำในชามลอยขึ้นอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ออกจากชามกระเบื้องเคลือบเขียวคราม และถูกเทพพ่อมดสูดเข้าปากไป
และศพเหล่านั้นก็กระจัดกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศของแท่นบวงสรวง เลือดที่สาดกระเซ็นถูกเทพพ่อมดดูดเข้าปากไปเช่นกัน
แม้ชะตาบ้านเมืองของเหยียนกั๋วจะส่งมอบให้พระพุทธเจ้าแล้ว ทว่าโชคชะตาของชายแดนตอนเหนือนั้นนับเป็นการชดเชยความสูญเสียให้เทพพ่อมด…น่าหลันเทียนลู่คิดในใจ
แม้หยั่งเชิงไพ่ตายของท่านโหราจารย์ออกมาได้ แต่ก็เข้าใจว่าเขาไม่มีหนทางอื่นอีก นอกจากสนับสนุนให้สวี่ชีอันเลื่อนขึ้นเป็นเทพยุทธ์
ทว่าพระพุทธเจ้ากลับไม่ให้ยอดฝีมือเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งบาดเจ็บล้มตาย การกลืนกินเหลยโจวอย่างฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นแต่ฝนตกพรำๆ ดังนั้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของสำนักพ่อมดโดยรวมแล้วถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่
น่าหลันเทียนลู่รู้สึกกระทั่งว่า พระพุทธเจ้าถอยไปดื้อๆ เช่นนี้ น่าจะเพราะมีความคิดว่า ‘อย่างไรเสียก็ได้เปรียบ’ จึงไม่ให้โอกาสสำนักพ่อมดได้ฉกฉวยผลประโยชน์
ไม่นาน ปากที่อ้ากว้างของเทพพ่อมดก็ค่อยๆ ปิดลง จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของน่าหลันเทียนลู่
“ทำได้ไม่เลว”
เสียงนี้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม แยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี
น่าหลันเทียนลู่รักษาท่วงท่าของการแสดงความเคารพโดยไม่ได้ขยับ
“กลับเมืองจิ้งซานด่วน”
เสียงอันน่าเกรงขามดังมาอีกครั้ง จากนั้นจึงหายไปพร้อมกับเมฆดำ
…
จวนสกุลสวี่
ในห้องหนังสือ สวี่ชีอันมองสวี่ซินเหนียนซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะแล้วเอ่ยว่า
“เรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นเช่นนี้ละ”
สวี่เอ้อร์หลางผู้หล่อเหลาสง่างามนวดหว่างคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า
“นี่เกินกว่าแรงกดดันที่ระดับของข้าควรแบกรับอย่างสิ้นเชิง นอกจากความสิ้นหวังแล้ว คนธรรมดาเช่นข้าจะทำอะไรได้อีกเล่า”
สวี่ชีอันตบไหลน้องชายคนเล็ก
“เจ้าก็รับผิดชอบในการวางแผนได้นี่ กุนซือหัวสุนัขไม่จำเป็นต้องลงสนามต่อสู้เสียหน่อย”
พูดจบจึงลูบหัวเสี่ยวโต้วติงพลางเอ่ยว่า
“ระยะนี้ยังฝันถึงหนอนตัวใหญ่อยู่หรือไม่”
สวี่หลิงอินกอดขนมดอกกุ้ยกองหนึ่งไว้ในอ้อมแขน ฤดูสารทดอกกุ้ยหอมหวน ในจวนจึงทำขนมดอกกุ้ยทุกวัน
“ฝันนะ!” เสี่ยงโต้วติงตอบอย่างคลุมเครือ
“วันๆ บอกแต่ว่าข้าจะกลายเป็นกระดูก แต่ถ้าข้ากลายเป็นกระดูกแล้วอาจารย์และไป๋จีแทะกินจะทำอย่างไร”
นางคิดว่า ‘กู่’ คือกู่ที่แปลว่ากระดูก เพราะในชีวิตประจำวัน ท่านแม่จะดุนางตลอดว่า
เป็นพวกกระดูกแข็งรึ
ไม่ก็พูดว่า
หลิงอินเอ๋ย วันนี้ตุ๋นน้ำแกงกระดูกให้เจ้าด้วย
สวี่ซินเหนียนถอนใจแล้วเอ่ยว่า
“ที่แท้ก็หมายความว่าหากไม่แปลงกู่ก็ยากจะหนีพ้นมหาเคราะห์”
หากระดับสุดยอดของแต่ละระบบหลักสวมรอยวิถีแห่งฟ้า ผู้บำเพ็ญในระบบทั้งหลายจะมีคนหนึ่งบรรลุเต๋าและพาให้คนรอบข้างได้เลื่อนขั้น
เทพกู่ให้สวี่หลิงอินรีบบำเพ็ญการแปลงกู่ เพราะจะปั้นให้นางเป็นคนสนิทน่ะสิ
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเข้มว่า
“เรื่องการแปลงกู่ หลิงอินจะกลายเป็นอสูรกู่ที่มีสติปัญญาต่ำ ทำสิ่งต่างๆ ตามสัญชาตญาณเท่านั้น มิอาจรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้
“แน่นอนว่าในสายตาของเทพกู่แล้ว ความเป็นมนุษย์นี้หาได้มีความหมายใดเลย”
หากการแปลงกู่ไม่มีผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงเช่นนี้ เผ่าพันธุ์กู่คงหันปลายดาบหาเทพกู่นานแล้ว และคงไม่ถ่ายทอดแนวคิดการปิดผนึกเทพกู่จากรุ่นสู่รุ่นเช่นกัน
หลิงอินได้ฟังก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
“โง่เหมือนไป๋จีน่ะรึ”
นางทำสีหน้าหวาดกลัว
เจ้ากับไป๋จีก็ระดับเดียวกัน ไปเอาความมั่นใจในการดูถูกคนอื่นมาจากไหน…สองพี่น้องคิดพร้อมกัน
ทว่า แม้มิอาจใช้เชาวน์ปัญญา แต่อารมณ์ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หากสวี่หลิงอินไม่มีอารมณ์ความรู้สึก จะกลายเป็นอสูรกู่ที่รู้จักแต่กินเท่านั้น
ถึงเวลานั้น อสูรกู่หลิงอินปรากฏตัวหรือไม่ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็จะสูญพันธุ์ พืชพรรณมิอาจเติบโต
ระดับสุดยอดทั้งสี่น่ะ คิดแล้วมีแต่จะหมดหวัง…สวี่ซินเหนียนส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“กุนซือก็คือกุนซือ เอาหัวสุนัขมาจากไหน
“มหาเคราะห์เป็นเรื่องของอนาคต ความสิ้นหวังก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ก่อนที่มหาเคราะห์จะมาถึง ยังมีเรื่องที่พี่ใหญ่ทำได้อีกมากนัก
“ในบรรดาระดับสุดยอดทั้งสี่ พระพุทธเจ้าเถลิงอำนาจแล้ว แม้พี่ใหญ่จะกลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวก็มิอาจบุ่มบ่ามเข้าแดนประจิม ไม่ต้องสนใจเรื่องสำนักพุทธแล้ว
“เทพกู่ไม่มีกองกำลังในสังกัด พี่ใหญ่ย้ายเผ่าพันธุ์กู่ไปที่ราบลุ่มภาคกลางก่อนก็พอ จากนั้นก็รอให้เขาหลุดพ้นจากผนึกเถอะ ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว
“ในทางกลับกัน ต้องสนใจฮวงและสำนักพ่อมดเป็นพิเศษ
“หลังจากฮวงหวนคืนสู่จุดสูงสุด ไม่แน่ว่าอาจรวบรวมทายาทเทพมารจากโพ้นทะเลเข้าสู่กองกำลังในบังคับบัญชา ซึ่งจะเป็นกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่นัก พี่ใหญ่ต้องรีบส่งคนไปรวบรวมทายาทเทพมารแต่เนิ่นๆ และทำให้พวกเขากลายเป็นคนของตัวเอง
“ส่วนอย่างหลัง เทพพ่อมดยังไม่หลุดจากผนึก และท่านในตอนนี้เป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวซึ่งสามารถทำลายสำนักพ่อมดได้ แต่ข้าคิดว่า ระบบพ่อมดเก่งเรื่องการทำนายทายทัก ไม่น่าจะทิ้งช่องโหว่ไว้ใหญ่ขนาดนี้”
ไม่เลว ซินเหนียนน้องชายข้ามีคุณสมบัติของสมุหราชเลขาธิการ…สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ไม่ว่าสำนักพ่อมดจะทิ้งลูกไม้อะไรไว้ พวกเขาหนีพระได้แต่หนีวัดไม่พ้นหรอก ข้าจะให้พวกเขาชดใช้ ส่วนการรวบรวมทายาทเทพมาร จะส่งใครไปล่ะ”
สวี่ซินเหนียนมองออกไปนอกประตู แล้วเผยรอยยิ้มประหลาด
“ให้พี่สะใภ้คนใหม่ผู้นั้นของข้า จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางดีหรือไม่”
สวี่ชีอันได้ฟังก็ขมวดคิ้วแล้วเลียนแบบสวี่ซินเหนียน
“หากไม่ได้เห็นแก่ที่นางออกทะเลไปเป็นเพื่อนข้า ตอนนี้ข้าแขวนนางแล้วจับเฆี่ยนแล้ว”
ต้าหลางซึ่งหายหน้าไปหลายเดือนกลับมาแล้ว เดิมทีทุกคนต่างดีใจยิ่งนัก ผลปรากฏว่าด้านหลังต้าหลางมีจิ้งจอกจำแลงพราวเสน่ห์ตัวหนึ่งโผล่พรวดออกมา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางว่า
“สวัสดีน้องหญิงทั้งหลาย ข้าเป็นคนรักของสวี่หนิงเยี่ยน จากนี้ไปจะเป็นพี่หญิงของพวกเจ้า”
สวี่ชีอันบอกไม่ใช่ๆ นางล้อเล่น พวกเราบริสุทธิ์ใจ ตะวันและจันทราเป็นพยานได้
แต่ไม่มีใครเชื่อเขา
ใครจะเชื่อคนที่เป็นพ่อพวงมาลัยไปวันๆ เล่า
นิสัยของจิ้งจอกจำแลงก็เป็นเช่นนี้ กลัวเสียแต่ว่าโลกจะไม่วุ่นวาย ทำตัวเป็นปีศาจไปทุกที่…สวี่ชีอันคว้าขนมของสวี่หลิงอินมา จากนั้นก็กดหัวของนางเพื่อปรามไว้
เมื่อเห็นน้องหญิงกรีดร้องอย่างร้อนรน ในใจเขาก็มีสมดุลขึ้นมาก
สวี่ซินเหนียนไม่มีความคิดจะช่วยน้องสาวทวงความยุติธรรมแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับยัดขนมสองชิ้นเข้าปาก
“ไม่มีเรื่องอะไรข้าก็ไปก่อนนะ”
“ไปไหน”
“ไปดูละคร”
…
จิ้งจอกเก้าหางจิบชา มือเล็กๆ บิขนมพลางกวาดตามองใบหน้าแข็งทื่อของหลินอัน ใบหน้ายิ้มหยันของมู่หนานจือ ใบหน้าไร้อารมณ์ของสวี่หลิงเยวี่ย หน้าตาคับแค้นใจของเย่จี รวมถึงอาสะใภ้ที่ทำตัวไม่ถูกเพราะกลัวปีศาจ
“น้องหญิงทั้งหลายนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย” จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้ากับฆ้องเงินสวี่ไม่มีอะไรกัน”
คำว่าบริสุทธิ์ใจที่ปาก เอ่ยกับเหล่าน้องหญิงแต่ละคน
มู่หนานจือส่งเสียง ‘อ้อ’
“คนบริสุทธิ์ใจเช่นท่าน ตามเขาออกทะเลไปเผชิญความเป็นความตายรึ”
เรื่องเผชิญความเป็นความตาย เมื่อครู่จิ้งจอกเก้าหางเป็นคนพูดเอง
“ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้นน่ะ” จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยอย่างคับข้องใจ
“หากข้ามีอะไรกับเขาจริง ไฉนเลยจะทนมองเขาผูกสัมพันธ์กับราชินีเงือก ทั้งยังรับของแทนใจมาได้เล่า”
ด้านในห้องโถงพลันมีกลิ่นดินปืนพวยพุ่ง
ตอนนี้แม้แต่อาสะใภ้ก็ยังรู้สึกว่าต้าหลางทำเกินไปแล้ว
สวี่ซินเหนียนที่เดินถึงปากประตูหันกลับมามองพี่ใหญ่ด้วยความประหลาดใจ ที่โพ้นทะเลยังจะมีคู่นอนอีกรึ
แต่เมื่อเขาหันไป สวี่ซินเหนียนก็พลันตะลึงงัน
พี่ชายตรงหน้ามีผมสีขาวโพลน หน้าตาเหนื่อยล้า ในดวงตาเต็มไปด้วยความโชกโชนซึ่งชะล้างออกมาตามกาลเวลา
พริบตาเดียวเหมือนกับอายุมากไปหลายสิบปี
แผนทำร้ายตัวเอง…สวี่ซินเหนียนเข้าใจในทันที
…………………………………………..
Comments