ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 267 การสอบระดับจอหงวนรอบสุดท้าย

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 267 การสอบระดับจอหงวนรอบสุดท้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 267 การสอบระดับจอหงวนรอบสุดท้าย

ลี่น่าตื้นตันใจอย่างสุดซึ้งเมื่อเห็นว่าสมาชิกพรรคฟ้าดินห่วงใยนางขนาดนี้ จึงสาธยายว่าตนถูกหลอกอย่างไร

‘ขอบคุณพวกเจ้าทุกคนที่เป็นห่วง ข้าอยู่ที่ยงโจว เมื่อเช้านี้ได้พบกับนักพรตเต๋าชราผู้หนึ่ง เขาบอกว่าข้ามีโครงกระดูกที่พิเศษ เป็นพรที่สวรรค์ประทานเพียงหนึ่งในล้าน ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดีจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่เห็นความพิเศษของข้าท่ามกลางผู้คนมากมายหรอก…’

ไม่ใช่ นั่นมันก็แค่คำพูดอารัมภบทของพวกปลิ้นปล้อนเท่านั้น เจ้าโง่จริงๆ หรือแค่หลงตัวเองกันแน่เนี่ย?! สวี่ชีอันข่มความอยากส่งข้อความไปค่อนขอดเอาไว้

หมายเลขสอง ‘แล้วเจ้าก็ถูกเขาหลอกโดยไม่สงสัยเลยหรือ’

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวในเชิงสั่งสอน

เมื่อนางเผชิญกับความอยุติธรรมเช่นนี้ ลำพังตัวเองก็ไร้ซึ่งกำลัง ไม่อาจทำอะไรได้ มันน่าโมโหจนอยากจะดิ้นตาย

ลี่น่ารีบส่งข้อความแก้ตัว ‘ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอกน่า’

‘เจ้าไม่โง่แล้วใครโง่’ ทุกคนในพรรคฟ้าดินแอบค่อยแขวะอยู่ในใจ

‘นักพรตเต๋าเฒ่าผู้นี้มีความสามารถจริงๆ เขาไม่เพียงแต่รู้ว่าข้าเป็นอัจฉริยะ แต่ยังรู้ว่าข้ามาจากชายแดนใต้ ยามที่ข้าจากซินเจียงตอนใต้มา ข้าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นแบบต้าเฟิง และปลอมตัวเป็นหญิงต้าเฟิงอย่างสมบูรณ์แบบ’

หมายเลขสี่ ‘แล้วสำเนียงล่ะ เปลี่ยนสำเนียงบ้างหรือไม่’

หมายเลขห้า ‘สำเนียงอะไร’

กลุ่มสนทนาของหนังสือปฐพีเงียบไปชั่วขณะ ไต้ซือเหิงหย่วนจึงส่งข้อความตอบกลับ ‘ไม่เป็นไร หมายเลขห้า เจ้าพูดต่อเถิด’

หมายเลขห้า ‘นักพรตเต๋าชรากล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการผจญโลกกว้างก็คือค่าเดินทาง เขาถามข้าว่าข้าจะไปที่ใด ข้าจึงบอกเขาว่าข้ากำลังจะไปเมืองหลวง นักพรตเต๋าเฒ่าถามข้าว่าข้ามีเงินเท่าไร ข้าบอกเขาว่าข้ามีหกสิบตำลึง จากนั้นเขาก็พูดว่า หนทางไปยังเมืองหลวงนั้นยาวไกล หกสิบตำลึงไม่เพียงพอ’

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็รู้ว่าเล่ห์เหลี่ยมของนักต้มตุ๋นกำลังจะมา

หมายเลขห้า ‘นักพรตเต๋าชรากล่าวว่าเขามีหม้อสมบัติอยู่ สามารถเสกเงินให้เพิ่มพูนขึ้นได้ หากใส่เงินอีแปะลงไป วันรุ่งขึ้นก็จะมีเหรียญทองแดงเต็มหม้อ ใส่ตำลึงเงินลงไปหนึ่งเหรียญ วันรุ่งขึ้นก็จะมีตำลึงเงินเต็มหม้อ’

หมายเลขสี่ ‘แล้วเจ้าเชื่องั้นหรือ’

หมายเลขห้า ‘ตอนแรกข้าไม่เชื่อ แต่นักพรตเต๋าชราแสดงให้เห็นต่อหน้าข้า เขาขอให้ข้าใส่เศษเงินแล้วใช้ผ้าคลุมหม้อสมบัติ ผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็มีเศษเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายชิ้น นักพรตเต๋าชราบอกว่าของวิเศษของเขาจะมอบให้กับคนที่ถูกลิขิตเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงขายมันให้ข้าในราคาหกสิบตำลึง…

‘ข้าใส่เงินที่เหลือติดตัวอีกสองอีแปะลงไปในหม้อ แต่ผ่านมาสองชั่วยามกว่าแล้ว เงินก็ยังไม่งอกออกมา’

สติปัญญาของหมายเลขห้าช่างน่าประทับใจจริงๆ… สวี่ชีอันขำก๊าก หากต้องการฉกเงินจากสาวน้อยจอมป่าเถื่อน จะขโมยหรือปล้นล้วนเปล่าประโยชน์ วิธีเดียวที่ใช้ได้คือการต้มตุ๋น

หมายเลขสอง ‘หมายเลขห้า ของวิเศษล้ำค่า มองได้แต่ตาไม่อาจครอบครอง จะมีใครยกให้เจ้าโดยไร้ซึ่งเหตุผลได้อย่างไร เจ้าต้องจดจำเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียนนะ’

หมายเลขห้า ‘แต่ว่า ตอนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนให้ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีแก่ข้า เขาก็กล่าวว่าในตอนแรกว่าของวิเศษจะมอบให้เฉพาะกับผู้ที่ถูกลิขิตไว้เท่านั้น’

หมายเลขสอง ‘ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนักบวชเต๋า’

นักบวชเต๋าจินเหลียน “…”

“ฮ่าๆๆ” สวี่ชีอันหัวเราะลั่นเหมือนหมูร้อง

“ความตั้งใจเดิมของจินเหลียนที่ก่อตั้งพรรคฟ้าดิน คือเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เพื่อล้อเลียนใคร”

ทันใดนั้น ก็มีเสียงนุ่มนวล เปี่ยมเสน่ห์ของหญิงสาวในวัยสุกงอมลอยมาจากด้านหลัง

เสียงหมูร้องชะงักค้าง สวี่ชีอันหันหันหน้าไปอย่างกระอักกระอ่วนและเหลือบไปเห็นลั่วอวี้เหิงซึ่งปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ จึงรีบลุกขึ้นยืนขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ “ท่านราชครู”

ลั่วอวี้เหิงสวมเสื้อคลุมขนนกดูงดงาม ด้านหลังปักรูปไทจี๋ [1]ผมสีดำขลับของนางถูกปักด้วยปิ่นหยกสีดำ ใบหน้านวลผ่องของนางราวกับหยกขาว เครื่องหน้างามราวภาพวาด สง่าราวกับนางฟ้านางสวรรค์

ชาดที่แต้มตรงหว่างคิ้วยิ่งส่งให้ดูเหมือนนางสวรรค์กว่าเดิม

ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี แววตาคล้ายจะเคลือบแฝงรอยยิ้ม นางเอ่ยเสียงเบา “หมายเลขห้ามาจากเผ่าพันธุ์กู่ของซินเจียงตอนใต้หรือ”

เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ เจ้าแอบมองอยู่ข้างหลังข้ามานานเท่าไรแล้วเนี่ย… สวี่ชีอันตอบตามความจริง “ดูเหมือนว่าจะมาจากเผ่าลี่กู่ขอรับ”

ลั่วอวี้เหิงได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าช้าๆ และแสดงความคิดเห็น “พละกำลังเป็นหนึ่งไม่มีสอง”

สวี่ชีอันลอบมองริมฝีปากแดงจุ๋มจิ๋มราวกับเชอร์รี่ของราชครู “แข็งแกร่งยิ่งกว่าทหารอีกหรือขอรับ”

ลั่วอวี้เหิงมีท่าทีนิ่งเฉยเย็นชา งดงามราวกับแกะสลักจากหยกขาว นางกลับไปหย่อนตัวลงบนเบาะนั่งของตนแล้วพูดว่า “ลำพังแค่ความแข็งแกร่ง เหล่าทหารก็ยังห่างชั้นกับยอดฝีมือของเผ่าลี่กู่อยู่มาก”

“กลยุทธ์ของเผ่าทั้งเจ็ดในเผ่าพันธุ์กู่นั้นเรียบง่ายเกินไป ไม่ว่าเผ่าไหนก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่เมื่อใดที่ทั้งเจ็ดเผ่ารวมพลังกัน เมื่อนั้นแม้แต่ศาสนาพุทธก็ยังต้องหวาดหวั่น”

ฟังดูเหมือน ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ ของข้าไม่มีผิด ที่พัฒนาจนสุดขั้ว หาใช่พัฒนา ‘ความแข็งแกร่งและความสวยงาม’ อย่างรอบด้าน… สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย

วันนี้ราชครูคนงามพูดได้ดี นางกล่าวต่อ “เมื่อครู่ได้ยินฉู่หยวนเจิ่นพูดถึงเทพปีศาจโบราณกับเจ้า เทพเจ้ากู่เป็นเทพปีศาจเพียงตนเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโลก”

“เทพปีศาจมีจริงหรือ” สวี่ชีอันตกตะลึง

“เว้นแต่เผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว สัตว์ประหลาดที่มีอยู่ในจิ่วโจวล้วนแต่เป็นทายาทของเทพปีศาจทั้งสิ้น เจ้าเคยไปอวิ๋นโจวหรือไม่ สัตว์ประหลาดในตำนานของเมืองไป๋ตี้เป็นลูกหลานของเทพปีศาจ เจียวแห่งซินเจียงตอนใต้ มังกรวิญญาณในเขตพระราชฐานนั่นด้วย…พวกมันล้วนเป็นทายาทของเทพปีศาจทั้งสิ้น”

เทพปีศาจที่ว่าฟังๆ ไปก็เหมือนไดโนเสาร์เลยแฮะ… สวี่ชีอันสันนิษฐาน “เช่นนั้นเทพปีศาจสูญพันธุ์ได้อย่างไรขอรับ”

คงไม่ใช่ภูเขาไฟระเบิดหรืออุกกาบาตหรอกนะ

ลั่วอวี้เหิงไม่ตอบ นัยน์ตาสวยของนางหลุบลงครึ่งหนึ่ง และนั่งเงียบไม่พูดจา

สวี่ชีอันแอบมองลั่วอวี้เหิง แม้ว่าราชครูจะมีภาพลักษณ์อันหลากหลายทำให้สวี่ชีอันเห็นภาพ ‘น้องสาวผมขาว’ ‘เพื่อนร่วมชั้นวัยเด็ก’ ‘พี่สาว 36 D’ และอื่นๆ อีกมากมาย

แต่ส่วนใหญ่แล้วรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางก็คือ ‘คุณน้าผู้อ่อนโยน’

หญิงสาววัยสุกงอมช่วงอายุสามสิบหรือสี่สิบ ใบหน้าขาวผ่องงามหมดจด ไร้ซึ่งความสดใสของสาวน้อยแรกแย้มหรือเสน่ห์เย้ายวนของหญิงสาววัยสะพรั่ง แต่นางมีความสง่างามแฝงด้วยความเยือกเย็นตามแบบฉบับผู้อาวุโส

สวี่ชีอันชื่นชมความงามของราชครูโดยไม่ตะขิดตะขวง ลั่วอวี้เหิงรู้จักเสน่ห์ของตัวเองดีที่สุด ขอแค่ไม่ใช่บุรุษข้ามเพศ เป็นต้องหลงเสน่ห์ของนางทุกราย

ดังนั้นสวี่ชีอันจึงรู้สึกว่าตัวเองแค่ไหลไปตามกระแส ยิ่งไปกว่านั้น ถึงจะแอบมองอยู่เงียบๆ ก็ยังหลบไม่พ้นการรับรู้ของราชครู จึงทำตัวตามสบายมากขึ้น

ในตอนนี้เอง เขาก็เหลือบนักบวชเต๋าจินเหลียนส่งข้อความยาวเหยียด ‘ข้าปิดกั้นหมายเลขห้าไว้แล้ว เรามาคุยกันดีกว่าว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร’

เอ๋ นี่ข้าพลาดอะไรไปตอนชื่นชมความงามของราชครูหรือเปล่า สวี่ชีอันหันกลับมาสนใจกลุ่มสนทนาของหนังสือปฐพีอย่างไม่เต็มใจนัก

หมายเลขเก้า ‘ข้าคิดว่าเลิกสนใจหมายเลขห้าจะดีกว่า ปล่อยให้นางไปเผชิญยุทธภพด้วยตัวเอง ข้าเชื่อว่าจากซินเจียงตอนใต้จนถึงเมืองหลวง นางสามารถเรียนรู้และเติบโตจากอะไรมากมาย’

หลี่เมี่ยวเจินไม่เห็นด้วยกับวิธีของนักบวชเต๋าจินเหลียน จึงส่งข้อความแย้ง

หมายเลขสอง ‘ท่านนักบวช จิตใจผู้คนแสนโฉดช้า ยุทธภพสุดลึกล้ำ แม้ว่าหมายเลขห้าจะแข็งแกร่ง แต่นางก็ใสซื่อเกินไป ไม่ว่าเมื่อใดปัญญาย่อมเป็นประโยชน์มากกว่ากำลัง’

จากนั้นบัณฑิตจอหงวนก็แสดงความคิดเห็นของตน ‘หมายเลขห้าไร้เดียงสา ไม่รู้จักเรื่องทางโลก แต่นางไม่ใช่คนโง่ นางรู้จักหาผลประโยชน์และหลบเลี่ยงภัยพาล ซ้ำยังรู้ว่าอะไรคือการถูกหลอก อะไรที่ควรรักษาและยึดถือไว้ ข้าคิดว่าคำแนะนำของนักบวชเต๋าจินเหลียนนั้นเข้าท่าทีเดียว’

เฒ่าจินเหลียนมีเจตนาดี อยากให้หมายเลขห้าได้ไปเผชิญสังคม นางจะได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว…สวี่ชีอันแอบพยักหน้า คิดว่าคำแนะนำนี้ดีมาก

หมายเลขหก ‘ข้าคิดว่าสิ่งที่เราต้องพิจารณาตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาระยะยาว แต่จะจัดการเรื่องที่ซุกหัวนอนของนางในคืนนี้อย่างไรดีมากกว่า’

ประโยคนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวยุติบทสนทนา และไม่มีใครพูดคุยในกลุ่มหนังสือปฐพีเป็นเวลานาน

จากการประชุมย่อมๆ ของพรรคฟ้าดินสามารถสรุปได้ว่า หมายเลขห้าร่อนเร่ในต่างแดนไร้เงินติดตัว จะแก้ปัญหากินอยู่อย่างไรดี ตอนนี้กำลังออนไลน์รอคำตอบ เร่งด่วนอย่างมาก!

จะทำอย่างไรได้ ทุกคนเป็นเพียงเพื่อนชาวเน็ตที่อยู่ห่างไกลกันคนละมุมโลก และในโลกใบนี้ก็ไม่มีวีแชทหรืออาลีเพย์ที่สามารถโอนเงินให้เจ้าตัวได้

แม้แต่เทพก็ยังจนปัญญา

หมายเลขสอง ‘เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้หมายเลขห้าเปิดการแสดงล่ะ การแสดงทุบหินบนอกกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คน ทุบไปตลอดทางจนถึงเมืองหลวง ก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว’

หมายเลขหก ‘ลองหาวัดเพื่อขอบริจาคและหาที่นอนได้ เพียงแต่ต้าเฟิงมีวัดไม่มากอาจจะสายเกินการ’

หมายเลขสี่ ‘การเอาตัวรอดในยุทธภพ บางทีอาจจะไม่ต้องเปลืองแรงก็ได้นะ’

ความหมายของฉู่หยวนเจิ่นก็คือ ให้หาเหยื่อเหมาะๆ สักคนและขโมยเงินมา

หมายเลขเก้า ‘หมายเลขห้าขโมยเงินไม่ได้ ถ้าให้นางทำเช่นนั้น เขาเรียกว่าปล้น’

เพราะท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นสมาชิกของเผ่าลี่กู่

ขณะที่ทุกคนกำลังจะพูดต่อ พวกเขาก็พบว่าตัวเองถูกปิดกั้น ไม่สามารถส่งข้อความ หรือรับสารใดๆ ได้

ในขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็ได้ข้อความจากนักบวชเต๋าจินเหลียน ‘หมายเลขสาม เจ้ามีคำชี้แนะเช่นไรบ้าง’

แม้ปากจะบอกว่าปล่อยให้หมายเลขห้าไปเผชิญสังคม แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นห่วงเป็นใยผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างแท้จริง… สวี่ชีอันครุ่นคิด และส่งข้อความไปโดยไม่ลังเล

‘หมายเลขห้าหน้าตาสะสวยหรือไม่’

หมายเลขเก้า ‘หน้าตาดีทีเดียว’

เช่นนั้นก็ง่ายดาย… สวี่ชีอันส่งข้อความต่อ ‘คำแนะนำของข้าคือ ‘เป็นราชาแห่งท้องทะเล[2]’ เสีย’

‘เจ้าหมายความว่าอย่างไร’ นักบวชเต๋าจินเหลียนแสดงความฉงนใจ

ปุจฉา หนุ่มหล่อและสาวสวยเดินทางไปต่างประเทศโดยไม่มีเงินได้อย่างไร

วิสัชนา หายางอะไหล่[3]ไว้อย่างไรเล่า

สวี่ชีอันบอกแนวคิดของตนกับนักบวชเต๋าจินเหลียน จากนั้นจึงกล่าวเสริมว่า ‘ข้ามีคำพูดโด่งดังที่อยากจะสอนหมายเลขห้าสักหนึ่งประโยค ‘กระต่ายออกจะน่ารัก แล้วทำไมถึงกินมันล่ะ’

‘หากเหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ในยุทธภพซึมซับและเรียนรู้เคล็ดลับนี้ไว้ ไปไหนมาไหนหมดห่วงเรื่องที่อยู่ที่กินแน่นอน’

นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่สนใจเขา

หลังจากที่การสื่อสารกลับคืนมา นักบวชเต๋าจินเหลียนนำความคิดของสมาชิกพรรคฟ้าดินบอกกล่าวแก่หมายเลขห้า หวังว่านางจะสามารถปกป้องตัวเองและเดินทางได้โดยสวัสดิภาพ

สำหรับข้อเสนอของสวี่ชีอัน นักบวชเต๋าจินเหลียนเลือกที่จะเพิกเฉย แม้ว่าวิธีการนั้นค่อนข้างจะต่ำตมสักหน่อย แต่ก็ใช้งานได้จริง แต่เห็นๆ กันอยู่ว่าหมายเลขห้าทำเรื่องเกินตัวเช่นนี้ไม่ได้แน่

ของแบบนี้เป็นทักษะเฉพาะตัวของหมายเลขสาม

ไม่นานหลังจากนั้น ฉู่หยวนเจิ่นก็กลับมา โค้งคำนับให้ลั่วอวี้เหิงที่นั่งเงียบ แล้วพูดว่า “พี่สวี่ ถึงตาเจ้าแล้ว”

สวี่ชีอันออกไปที่ห้องส้วมโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี หลังจากเดินไปรอบๆ ห้องส้วม เขาก็กลับมาและเห็นนักพรตเต๋าหนุ่มนำนายทหารระดับสูงวัยกลางคนในชุดเกราะรีบร้อนเดินสวนมา

นายทหารระดับสูงวัยกลางคนดูกังวลราวกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

นักพรตเต๋าน้อยหยุดอยู่นอกห้องที่เงียบสงบ และเอ่ยเสียงดัง “ผู้นำเต๋าขอรับ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ประจำจวนฮว๋ายอ๋องมาขอเข้าพบขอรับ”

จวนฮว๋ายอ๋อง… อ๋องสยบแดนเหนือหรือ?! เมื่อสวี่ชีอันได้ยินเช่นนั้น เขาก็หยุดและมองไปที่นายทหารชั้นสูงวัยกลางคนในชุดเกราะ

บุคคลผู้นี้เลือดลมปราณแกร่งกล้า บุคลิกเก็บเนื้อเก็บตัว ฝึกตนจนแข็งแกร่ง แต่ในขณะนี้คิ้วของเขาขมวดมุ่น เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และความร้อนรนใจ

อ๋องสยบแดนเหนือคือองค์ชาย ฮว๋ายอ๋องเป็นตำแหน่งทางการของเขา ส่วนอ๋องสยบแดนเหนือเป็นชื่อที่ใช้สรรเสริญ

“เกิดอะไรขึ้น”

ภายในห้องที่เงียบสงบ เสียงหวานและยั่วยวนของลั่วอวี้เหิงก็ดังขึ้น

“ท่านราชครู พระมเหสีหายตัวไป ข้าน้อยได้ค้นหาทั่วเขตพระราชฐานแล้วแต่ไม่พบ พระมเหสีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านมาก ข้าน้อยจึงมาที่นี่เพื่อสอบถามขอรับ” นายทหารชั้นสูงวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

พระมเหสีของอ๋องสยบแดนเหนือ สาวงามอันดับหนึ่งของต้าเฟิงน่ะหรือ สวี่ชีอันหูผึ่ง

เขาได้ยลโฉมสาวงามมากหน้าหลายตา ได้เห็นฮองเฮาผู้แข็งแกร่ง ราชครูผู้งามสง่าจนผู้หญิงหน้าไหนก็ชิดขวา ตอนนี้ยิ่งรอคอยไปใหญ่ว่าพระมเหสีจะหน้าตาเป็นอย่างไร

มีดีอะไรถึงได้ถูกยกย่องให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเฟิง

“พระมเหสีไม่ได้อยู่ที่อารามรัตนะ เชิญท่านแม่ทัพไปหาที่อื่นเถิด” ลั่วอวี้เหิงตอบกลับ

ทหารรักษาพระองค์วัยกลางคนจากไปด้วยความหนักใจ

พระมเหสีหายตัวไปหรือ สวี่ชีอันมองดูแผ่นหลังของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ที่เดินจากไป

หลังรับประทานอาหารกลางวันที่อารามรัตนะ สวี่ชีอันก็กลับไปที่ที่ทำการปกครอง และออกลาดตระเวนตามท้องถนนพร้อมกับฆ้องทองแดง หนึ่งฆ้องเงิน สองฆ้องทองแดงมุ่งมั่นอาจหาญ ตั้งใจพร้อมปฏิบัติหน้าที่

นักท่องยุทธภพสองกลุ่มยื่นตั๋วเงินเป็นค่า ‘ไถ่ตัว’ เรียบร้อย ตอนนี้สวี่ชีอันมีตั๋วเงินกว่าหกร้อยตำลึงอยู่ในอ้อมแขนของตน สุขใจหาใดเปรียบ ได้เห็นชาวต่างแดนแต่งกายเช่นนักท่องยุทธภพ เสมือนเห็นเหยื่ออันโอชะ

แต่น่าเสียดายที่ผ่านมาอีกครึ่งวันก็ยังไม่เห็นวี่แววการทะเลาะเบาะแว้ง

หลังจากลาดตระเวนก็กลับไปที่จวน ระหว่างรับประทานอาหารเย็น อารองก็พูดถึงข่าวคราวเล็กๆ น้อยๆ ประจำวันบนโต๊ะอาหาร “วันนี้พระมเหสีของอ๋องสยบแดนเหนือหนีออกจากตำหนัก กองกำลังห้าเหล่าประจำเมืองหลวงถูกส่งไปตามหา โหรชุดขาวแห่งสำนักโหราจารย์ก็ร่วมค้นหา วุ่นวายกันตลอดทั้งบ่าย แต่ก็หาตัวไม่พบ”

อาสะใภ้กัดตะเกียบแล้วถามว่า “แล้วหลังจากนั้นเล่า”

“ต่อมานางก็เดินกลับเอง จึงสรุปกันว่านางหนีออกจากตำหนัก ทหารรักษาพระองค์ประจำจวนอ๋องพากันกังวลแทบตาย คิดว่าพระมเหสีถูกลักพาตัวไป” อารองสวี่พูดอย่างอัดอั้นตันใจ

“นี่แหละหนาที่เขาว่าผู้หญิงเอาแต่ใจ คนนับพันต้องพลิกเมืองหากันให้ควั่ก”

อาสะใภ้กลอกตาแล้วเย้ยหยัน “มีทหารเป็นพันนาย แค่ผู้หญิงคนเดียวก็หาไม่เจอ ราชสำนักเลี้ยงหมาไว้สักพันตัว ยังดีกว่าเลี้ยงพวกเจ้าเสียอีก”

สวี่ชีอันยกนิ้วโป้งและชมเชย “อาสะใภ้หมัดเดียวจอด!”

อาสะใภ้หน้าคมไม่เข้าใจคำพูดเหลวไหลของหลานชาย นางจึงกลอกตาใส่เขา

สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้ว ราวกับจับสังเกตบางสิ่งได้ จึงกล่าวว่า “แม้ว่าฮว๋ายอ๋องจะเป็นถึงองค์ชาย แต่พระมเหสีมักจะพูดจาด้วยเหตุผลเสมอ ไม่น่าจะไปปลุกปั่นกองกำลังทั้งห้าเหล่าได้”

ผู้คนนับพันต้องพลิกเมืองค้นหา แม้แต่เชื้อพระวงศ์ก็ยังไม่ได้รับอภิสิทธิ์นี้ ในพระราชวังมีเพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

อารองสวี่ตอบกลับ “คำถามนี้พวกข้าก็คิดไม่ตกเหมือนกัน ถามคนพันคน คนพันคนก็ไม่รู้ บอกเพียงว่าเป็นพระบัญชาของฝ่าบาท”

จักรพรรดิหยวนจิ่งห่วงใยพระเชษฐาและพระขนิษฐาทั้งสองมาก เป็นไปได้หรือไม่ที่สายสัมพันธ์เก่าแก่นั้นจะขาดสะบั้นลงเสียแล้ว

สวี่ชีอันปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้ทันที เมื่อก่อนพระมเหสีเคยเป็นพระสนมของจักรพรรดิหยวนจิ่ง แต่นางเข้าไปในวังช้าไปหน่อย ในเวลานั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งได้ละเว้นจากเรื่องตัณหาและฝึกฝนลัทธิเต๋าแล้ว

ต่อมานางจึงถูกยกให้กับอ๋องสยบแดนเหนือ และกลายเป็นพระมเหสีของฮว๋ายอ๋อง

เรื่องนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่ก็เป็นได้… สวี่ชีอันคิดว่าเรื่องหยุมหยิมน่ารำคาญเช่นนี้ไม่ควรค่าให้ปวดหัว จึงหันไปคุยกับเอ้อร์หลาง

“พรุ่งนี้สอบรอบสุดท้ายแล้วสิ “

สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า

“ตั้งใจสอบล่ะ วิถีแห่งกวีนิพนธ์น่ะ พี่ใหญ่กล้าทุบอกแล้วกล่าวได้เลยว่า ในห้าพันปีของจิ่วโจวไม่มีใครสู้ข้าได้” ความลำพองใจของสวี่ชีอันนั้นสูงเสียดฟ้า

วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสดใส สวี่เอ้อร์หลางพร้อมด้วยพ่อและพี่ชายของเขาก็มาถึงสนามสอบพร้อมกับโคมไฟ

เขาเจอเจ้ายักษ์หัวล้านและนักดาบเสื้อฟ้าอีกครั้ง คราวนี้เขาสงบอย่างมาก เพียงแต่มองทั้งสองว่าเป็นคนโง่เขลา ถึงกับส่งยิ้มเย็นยะเยือกกลับคืนไป

“รอยยิ้มของหมายเลขสามช่างหยิ่งผยองนัก” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าว

“สอบระดับเมืองหลวงรอบสุดท้าย คงจะมั่นใจเต็มที่นั่นแหละ” เหิงหย่วนแก้ตัวให้หมายเลขสาม

“ข้าเกือบจะคิดว่ามันยั่วโทสะเสียแล้ว”

เหิงหย่วนหัวเราะ “ไปกันเถอะ ต่อไปก็รอประกาศผล จากนั้นเจ้าและหลี่เมี่ยวเจินจะได้สู้กันแล้ว”

ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าเล็กน้อยและเดินเคียงข้างเหิงหย่วน เขาหันหัวไปมองคนล้านร่างกำยำ ทันใดนั้นก็พูดว่า “ไต้ซือ ตอนนี้พลังต่อสู้ของท่านอยู่ในระดับใดหรือ”

เหิงหย่วนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่ายหัวและพูดว่า “อาตมาไม่ค่อยได้ประมือกับผู้ใด”

ฉู่หยวนเจิ่นร้อง “อ้อ” ออกมา เขาเป็นเหมือนกับหมายเลขหก ไม่สามารถตัดสินพวกเขาด้วยเกณฑ์ปกติ ถ้ามองจากมุมมองของระบบทหาร เขาก็จะอยู่เพียงขั้นหลอมวิญญาณระดับเจ็ดเท่านั้น แต่พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขามีมากกว่านั้นหลายเท่า

ไต้ซือเหิงหย่วนเป็นจอมยุทธ์ภิกษุอันดับแปด แต่พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขานั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้

อีกด้านหนึ่ง หลังจากการตรวจค้นร่างกายเสร็จสิ้น สวี่เอ้อร์หลางเข้าไปในห้องขนาดเล็กที่ปิดล้อมทุกด้าน และรอคอยการสอบระดับจอหงวนรอบสุดท้าย

รอบกวีนิพนธ์!

……………………………………………

[1] สัญลักษณ์ของคู่ตรงข้าม หรือที่เรียกกันว่าหยิน-หยาง

[2] คำแสลง หมายถึงผู้ชายที่เจ้าชู้ คบหาผู้หญิงเพื่อความสัมพันธ์ทางกาย หลังๆ สามารถใช้ได้กับทุกเพศ

[3] คำแสลง หมายถึงคนที่คบไว้เพื่อเป็นตัวสำรอง หรือเพื่อหาผลประโยชน์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด