ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 370 ดาบสยบดินแดน (1)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 370 ดาบสยบดินแดน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 370 ดาบสยบดินแดน (1)

“ยาโลหิต!”

ยักษ์ร่างน้ำเงินมองขึ้นไปยังท้องฟ้าในเมือง จดจ้องเม็ดเลือดก้อนกลมใหญ่ ด้วยแววตาวาววับด้วยความโลภ

ยาโลหิตที่กลั่นมาจากแก่นแท้แห่งชีวิตของมนุษย์หลายแสนคน เป็นยาชูกำลังชั้นยอดสำหรับทหารที่ต้องการเพิ่มพละกำลังของตน แม้ว่าจะทะลวงระดับไปไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งต่อไปได้

หากได้ครอบครองยาโลหิตนี้ เขาจะต้องก้าวสู่ขั้นสองภายในหกสิบปีได้อย่างแน่นอน แต่หากยาโลหิตนี้ตกไปอยู่ในมือของอ๋องสยบแดนเหนือ ก็เท่ากับว่าที่ชายแดนมีทหารขั้นสองเพิ่มขึ้นอีกคน ตามคำบอกเล่าของชาวอนารยชน

เช่นนั้นมันจะไม่ใช่แค่เสี้ยนหนามตำตาตำใจอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรง

หลังจากสงครามที่ด่านซานไห่ ยอดฝีมือขั้นสองของเผ่าอนารยชนก็ถึงแก่ความตาย ทั้งยังสูญเสียผู้แข็งแกร่งระดับกลางและสูงไปมากมายเช่นกัน เช่นเดียวกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือ เดิมทียังมีนักรบขั้นสามอยู่สองตน แต่บัดนี้เหลือเพียงจู๋จิ่วตัวเดียวเท่านั้น

พันธมิตรเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือและเผ่าอนารยชนต้องการการถือกำเนิดของยอดฝีมือขั้นสองอย่างเร่งด่วน

“มาได้จังหวะพอดี อ๋องสยบแดนเหนือ ยาโลหิตของเจ้าเป็นดั่งชุดวิวาห์ที่ปักขึ้นเพื่อข้าโดยเฉพาะ” จี๋ลี่จือกู่หัวเราะลั่น

“เจ้ามันไร้วาสนา” อ๋องสยบแดนเหนือเย้ยหยัน

ระหว่างที่ทั้งสองตอบโต้กันไปมา คมกระบี่ก็ยังฟาดฟันอีกฝ่าย ทุกครั้งที่ทั้งสองเข้าปะทะ คล้ายว่าสายฟ้าระเบิดขึ้นกลางอากาศ ตามมาด้วยแรงกระแทกอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหล่าทหารบนกำแพงเมืองเข้าใจผิด คิดว่าตนเองตกอยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์ก็ไม่ปาน

หากเพลี่ยงพล้ำเพียงเล็กน้อยอาจถึงฆาตจากการปะทะของผู้แข็งแกร่งขั้นสามได้

“ทลายเมือง!”

จี๋ลี่จือกู่แผดเสียงคำราม ร่างสีเขียวสูงสองจั้งดีดตัวขึ้นไป เกิดเสียง ‘ตูม’ พื้นทรุดตัวเป็นหลุมลึกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบเมตร

ยักษ์ร่างน้ำเงินยกดาบที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าบานประตูขึ้นเหนือหัว “หึ” ดาบยักษ์ยาวหลายสิบจั้งฟาดฟันลงมาในทันใด

แรงดาบอันทรงพลังรุนแรงราวกับจะผ่าพิภพออกเป็นสองซีกได้ วินาทีที่มันตกกระทบเบื้องล่าง บรรดาทหารบนกำแพงเมือง และทหารม้าของเผ่าอนารยชนต่างก็ขาสั่นพั่บๆ สูญเสียพลังในการสู้รบ แค่ยืนหยัดได้ก็ถือว่าเป็นวีรบุรุษแล้ว

นี่คือความหวาดกลัวต่อพลังอำนาจ เป็นความหวาดกลัวอันเป็นดั้งเดิมที่สุด

ผิวกำแพงส่งเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ก้อนอิฐเกิดรอยแตก ไล่จากยอดกำแพงลงมาจนถึงตีนกำแพง

“ถล่มมันเข้าไป!”

จี๋ลี่จือกู่คำราม

กลิ่นอายของปราณดาบแข็งแกร่งขึ้น

‘ตู้ม!’…กำแพงเมืองไม่อาจต้านทานต่อไปได้ จึงเกิดการถล่มลงมาในวงแคบ ทหารเคราะห์ร้ายที่อยู่ในส่วนนั้น กรีดร้องขณะร่วงหล่นและถูกฝังกลบใต้ซากปรักหักพัง

“ฆ่ามันให้หมด ชิงยาโลหิตมาให้ได้!”

กองทัพทหารม้าแห่งเผ่าอนารยชนฮึกเหิมยิ่งขึ้น

ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองเร่งเคลื่อนย้ายไม้ซุง หินยักษ์ ลูกธนูเตรียมเอาไว้ เพื่อโจมตีจากที่สูง ป้องกันไม่ให้เผ่าอนารยชนบุกทะลวงผ่านช่องว่างนั้น

อีกด้านหนึ่ง งูเหลือมร่างสีแดงเข้มเห็นยาโลหิตควบแน่นอยู่กลางเวหา ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งทันที ดวงตาที่มีเพียงข้างเดียวยิงแสงสีทองออกไปทะลวงค่ายกลของกำแพงเมือง ทำให้กำแพงเมืองแตกร้าวไม่หยุด กองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังตกที่นั่งลำบาก พวกมันไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับการโจมตีจากบนกำแพง แต่ยังต้องเผชิญกับสหายร่วมกองทัพที่ล้มตายไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับฟื้นขึ้นมาเป็นผีดิบเข้าทำร้ายสหายร่วมรบของตน

“ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน เพื่อยาโลหิตเม็ดนี้ ถึงกับต้องสังหารผู้คนทั้งเมืองฉู่โจว อ๋องสยบแดนเหนือโหดเหี้ยมยิ่งกว่าข้าหลายเท่า ข้าไม่กล้าลงมือถึงขั้นนี้แน่ เผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนืออย่างข้ายังมีขอบเขต รู้จักยับยั้งชั่งใจ”

งูเหลือมยักษ์พ่นคำพูดออกมาราวกับมนุษย์และหัวเราะเยาะ ท่าทางของมันดูไม่รีบร้อน คอยรักษาระดับพลังต่อสู้เอาไว้ และโจมตีค่ายกลกำแพงเมืองไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งรังควานพ่อมดในเงามืดต่อไป

เมื่อเวลาผ่านไป ก้อนโลหิตก็ไม่ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่กลับมีความเข้มข้นมากขึ้น ขนาดหดเล็กลงเรื่อยๆ แสงโลหิตเองก็ขุ่นข้นขึ้นเช่นกัน

พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมาจากแกนกลาง

“เอื้อก…” หยางเยี่ยนกลืนน้ำลายและเงยหน้าขึ้นมอง รู้สึกเพียงว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าหลงใหลที่สุดในโลก

เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ฝึกทหารทั้งหลาย หัวหน้ามือปราบเฉินก็จ้องมองด้วยสายตาหิวกระหาย

ตรงกันข้าม เลขาธิการศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการทั้งสองที่เป็นเพียงคนธรรมดากลับไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็ค่อยๆ สาวเท้าถอยหลังอย่างระมัดระวัง เพราะท่าทีของหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ ในเวลานี้ ช่างเหมือนกับหมาป่าหิวโหยท่ามกลางสายลมหนาว ดวงตาฉายแววกระหาย สีหน้าเต็มไปด้วยความดุร้ายและปรารถนา…

หัวใจของหยางเยี่ยนท่วมท้นไปด้วยความปรารถนา ปรารถนาที่จะครอบครองยาโลหิต ความปรารถนานั้นกลืนกินตัวเขา

ขณะที่เขากำลังจะออกตัว ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างหลายร่างทะยานขึ้นไปบนฟ้า กระโจนเข้าใส่ยาโลหิตโดยไม่ยั้งคิด

ทันทีที่เข้าใกล้ ร่างของพวกเขาก็กลายเป็นซากศพหนังติดกระดูก แก่นโลหิตของพวกเขาถูกยาโลหิตดูดกลืนจนสิ้น

หยางเยี่ยนฟื้นคืนสติราวกับตื่นจากภวังค์ ร่างกายสั่นสะท้าน เขาตระหนักได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาฉกฉวยเอามาได้ หากเข้าใกล้โดยไม่ระวังตัว มีแต่จะต้องพบจุดจบที่ไม่อาจหวนคืนได้

“อย่ามอง ก้มหน้าลง” หยางเยี่ยนแผดเสียงคำราม

เสียงนั้นทะลุเข้าไปในโสตประสาทของทหารทุกนายในขบวน ราวกับอสนีบาตที่ฟาดผ่า

หัวหน้ามือปราบเฉินและคนอื่นๆ ตื่นจากภวังค์ ก้มหน้าลง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีก

ในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะใสกังวานดั่งระฆังเงินก็ดังก้องไปทั่วมุมเมืองฉู่โจว เสียงนั้นเปี่ยมเสน่ห์เหลือล้น จนทำให้อดหลงรักไม่ได้ ต้องกุลีกุจอมองหาต้นตอของเสียงนั้น

ไม่ว่าจะเป็นทหารผู้ปกปักรักษาเมือง เผ่าอนารยชนผู้รุกราน หรือชาวยุทธ์ที่อาศัยอยู่ในเมือง บุรุษทุกคนล้วนแหงนหน้าขึ้นมองบนฟ้า

ร่างอันเลือนรางเยื้องย่างลงมาจากสวรรค์สู่โลกมนุษย์ หน้าตาของนางจะว่างามก็งาม แต่กล่าวว่าทรงเสน่ห์ดูจะเหมาะสมกว่า สายลมไล้ผ่านผมเงาสลวย พัดชายกระโปรงของนางให้พลิ้วไสวราวกับนางสวรรค์

นางยุรยาตรสู่พื้นโลกทีละก้าวๆ ด้วยท่วงท่าดุจนางสวรรค์ชั้นเก้า

โลกนี้มีหญิงที่งดงามถึงเพียงนี้ด้วยหรือ…ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวของเหล่าชายชาตรีทั้งหลายอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่ได้นัดหมาย

นางสวรรค์ในชุดสีขาวพลิ้วไหวลงมาจากฟากฟ้า น้ำเสียงนุ่มนวลเปี่ยมเสน่ห์ของนาง ราวกับคนรักกระซิบข้างหู แต่ก็ส่งผ่านเข้าไปในโสตประสาทของทุกผู้ทุกคน “ขอบใจอ๋องสยบแดนเหนือมากที่ใจดีอุตส่าห์ตัดชุดวิวาห์ให้ข้าขนาดนี้”

“ยอดเยี่ยมไปเลย ฮ่าๆๆ อ๋องสยบแดนเหนือ เจ้าทำลายเมืองเพื่อข้าเชียวหรือ ข้าเพียงหยอกเล่นเท่านั้นเอง”

จี๋ลี่จือกู่กวัดแกว่งดาบยักษ์และโจมตีอ๋องสยบแดนเหนือราวกับตีแมลงวัน คนหลังเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้เพียงเสี้ยว กลับระเบิดพลังประหลาดอันน่าสะพรึงกลัว เข้าปะทะซึ่งหน้า ไม่ด้อยไปกว่ายักษ์ร่างน้ำเงินแม้แต่น้อย

“ช่างเป็นหญิงที่งดงามเสียจริง ถ้าพาตัวกลับไปเป็นเมียที่เผ่าได้คงจะดีไม่น้อย” จี๋ลี่จือกู่ต่อสู้กับอ๋องสยบแดนเหนืออย่างดุเดือดไปด้วย ตาก็จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ใจกลางเมืองผู้งดงามดั่งนางสวรรค์ ที่นั่งเป็นตาอยู่รอฉกพุงปลา แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ทหารอย่างเจ้าจะปิดบังข้าได้อย่างไร ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมีตัวช่วย เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด พวกข้าก็เลยอัญเชิญจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจมา นี่ กำแพงเมืองของเจ้าต้านทานจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ได้หรอก เมื่อชิงยาโลหิตของเจ้าได้แล้ว ข้า นาง และจู๋จิ่ว จะแบ่งยาโลหิตอย่างเท่าเทียม”

“งั้นหรือ”

อ๋องสยบแดนเหนือยิ้มเยาะ “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเจ้าไม่ลองตรองดูว่าใครเป็นคนเสกสรรกองทัพมหึมากลางเมืองขึ้นมา”

ทางฝั่งตอนเหนือของเมือง ทหารต้าฟ่งและทหารปีศาจที่ถูกพ่อมดควบคุม ดวงตาแดงก่ำ จู่ๆ ก็หยุดนิ่ง ราวกับหุ่นไร้คนเชิด

“คิดจะหนีหรือ”

เมื่อจู๋จิ่วเห็นดังนั้น ก็ยิงลำแสงสีดำออกมาจากดวงตา ลำแสงนั้นไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต จึงทะลุค่ายกลกำแพงเมืองไปปะทะเข้ากับความว่างเปล่าที่ไหนสักแห่งในเมือง

ณ ที่แห่งนั้น ร่างร่างหนึ่งโผล่ออกจากที่ซ่อน สวมเสื้อคลุมสีดำและหมวก

เขาไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เมื่อต้องแสงสีดำ ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อราวกับตกลงไปในห้องเก็บน้ำแข็ง ความคิดและการกระทำของเขาก็ช้าลงไปด้วย

เป็นผลให้สามารถฉุดรั้งพ่อมดชุดดำ ไม่ให้หยุดยั้งสตรีชุดขาวช่วงชิงผลแห่งชัยชนะไป

เหนือทะเลหมอก

ร่างในชุดสีขาวพลิ้วไหวยืนอยู่บนก้อนเมฆ ทอดสายตามองเมืองฉู่โจวเบื้องล่าง ใบหน้าของเขาเลือนลาง ร่างของเขาคล้ายว่าเป็นส่วนหนึ่งของปุยเมฆ

เขายืนนิ่งเฉยอยู่อย่างนั้น ทำให้ถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย การมีตัวตนอยู่ของเขาไม่ต่างอะไรกับรูปร่างหน้าตาของเขา เลือนราง บางเบา ราวกับไม่เคยมีอยู่บนโลกใบนี้

“หลังจากสังหารหมู่แล้ว ก็นำวิญญาณผนึกกลับเข้าไปในร่าง ใช้เคล็ดวิชาลับรักษากายเนื้อให้มีชีวิตต่อไป จากนั้นก็ใช้เมืองฉู่โจวทั้งเมืองเป็นเตากลั่นยา ใช้ยาโลหิตของสิ่งมีชีวิตเป็นวัตถุดิบ ก่อนที่ยาอายุวัฒนะนี้จะกลั่นสำเร็จ ทุกอย่างเป็นปกติดี ก็เพราะใช้เคล็ดวิชาลับของสำนักพ่อมดล้วงความลับของสวรรค์ และกองทัพใหญ่กลางเมืองรักษาชะตากรรมต่อไป ช่างเป็นเคล็ดวิชาปิดบังสวรรค์ข้ามทะเลที่ยอดเยี่ยมจริงๆ สมกับเป็นพ่อมดระดับจิตวิญญาณ”

เมืองทั้งเมืองเป็นดั่งเตากลั่น ‘ยาอายุวัฒนะ’ ที่บรรจุยาโลหิตของผู้คนกว่าสามแสนแปดหมื่นคนเอาไว้ ใช้เวลากลั่นหนึ่งเดือนเด็ม ในที่สุดก็เข้าใกล้ความสำเร็จแล้ว

โหรเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นแร่แปรธาตุ จึงไม่แปลกใจที่ใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนในการกลั่นยาอายุวัฒนะสุดยิ่งใหญ่แห่งยุคเช่นนี้

ทันทีที่เห็นภาพนิมิตของเมือง โหรผู้เก่งกาจเรื่องวางแผนการ ก็เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุทันใด

อ๋องสยบแดนเหนือสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด ซึ่งฝ่ายหลังช่วยเขาหลอมยาโลหิต ปิดบังสวรรค์ข้ามทะเล

เจตนารมณ์ของอ๋องสยบแดนเหนือนั้นชัดเจนมาก ว่าทำไปเพื่อกลืนกินยาโลหิต เลื่อนระดับขั้นการฝึกตนให้ไปถึงขั้นสามโดยสมบูรณ์ จากนั้นช่วงชิงวิญญาณของพระมเหสี ก้าวเข้าสู่ขั้นสอง เช่นนั้น สำนักพ่อมดมีแผนการอะไรล่ะ?”

“ที่แท้คือจู๋จิ่วนั่นเอง…” โหรชุดขาวเอ่ยขึ้นในทันใด

ต้าฟ่งและสำนักพ่อมดมีความบาดหมางกันมาแต่ก่อนกาล แต่เพราะพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือถูกปกครองโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นหลัก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ ล่าสัตว์ก็ได้ ทำเกษตรก็ดี

แม้ว่าจะมีความคิดทำการใหญ่รุกรานดินแดนอื่นบ้าง เนื่องมาจากปัญหาประชากรที่เพิ่มขึ้น แต่โดยทั่วไปล้วนพอใจกับการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หาเลี้ยงชีพให้พอกินพอใช้ไปวันๆ

ฝั่งต้าฟ่งเองก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่มีสงครามในยามปกติ บริเวณชายแดนอาจมีการปะทะกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยเกิดสงครามขนาดใหญ่เลย

ในทางกลับกัน เผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือที่ติดกับดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นพวกดุร้ายอย่างมาก พวกมันชอบกินเผ่าพันธุ์มนุษย์ มักจะเข้ามาบุกรุกชายแดนและเมืองอยู่เป็นนิจ

“ช่วยอ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขั้นสอง และจับมือเป็นพันธมิตร สองฝ่ายร่วมมือกันสังหารจู๋จิ่ว แต่ตอนนี้มันมาเยือนถึงถิ่นด้วยตัวเองแล้ว…”

โหรชุดขาวขมวดคิ้วทันที “ไม่ใช่ ค่ายกลนี้ไม่ได้สร้างโดยสำนักพ่อมด”

หญิงสาวในชุดขาวยื่นมือออกไปคว้ายาโลหิต หมายจะเก็บผลแห่งชัยชนะมาครอง แต่ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดขึ้น

ที่เบื้องล่างมีดอกบัวสีดำขนาดครอบคลุมพื้นที่หลายสิบลี้หนึ่งดอกผุดขึ้นมา และค่อยๆ ผลิบาน ในดอกบัวมีของเหลวสีดำข้นหนืดไหลออกมา แต่ละกลีบแทนสัญลักษณ์ของความชั่วช้าสามานย์

หญิงสาวในชุดขาวตัวแข็งทื่อ ปลายนิ้วของนางเปรอะเปื้อนเป็นสีน้ำหมึกที่กระจายอย่างรวดเร็ว เรียวแขนขาวนวลบอบบางของนางถูกย้อมเป็นสีเข้มน่าเกลียด ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างไม่อาจควบคุม

นางกลายสภาพจากนางสวรรค์ผู้โบยบิน เป็นนางปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวทันใด

หางจิ้งจอกฟูฟ่องขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากด้านหลังของหญิงชุดขาวหนึ่งหาง ตามมาด้วยหางที่สอง หางที่สาม หางที่สี่… ทุกครั้งที่หางจิ้งจอกโผล่ออกมา ความดำมืดก็มลายหายไปทีละน้อย ครั้นหางทั้งเก้าปรากฏทั้งหมด นางก็สลัดคราบโสมมออกไปจากร่างของนางจนหมดสิ้น

หางจิ้งจอกทั้งเก้าแผ่รอบทิศราวกับนกยูงรำแพนหาง ลูบไล้แผ่นหลังของนาง

ที่ใจกลางดอกบัว ของเหลวหนืดข้นสีดำรวมตัวเป็นร่างของมนุษย์ ร่างนั้นประกอบขึ้นจากเมือกสีดำ ดวงตาสองข้างฉายแววพยาบาท เต็มไปด้วยจิตมุ่งร้ายและความชั่วช้า

หญิงในชุดขาวหรี่ตา และจ้องมองร่างสีดำ และเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้าคือจินเหลียน ผู้นำเต๋านิกายปฐพีนี่?”

ร่างสีดำพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าคือเฮยเหลียน”

หญิงสาวในชุดขาวพูดตะกุกตะกัก “คิดไม่ถึงเลยว่าในที่สุดเจ้าก็ตกสู่ทางมาร”

เฮยเหลียนยิ้มเยาะ “ทำดีแต่ไร้ซึ่งผลตอบแทน ความมืดมิดต่างหากที่คงอยู่ตลอดกาล ธรรมชาติของมนุษย์นั้นชั่วร้ายโดยเนื้อแท้ ข้าเพียงแต่ถือกำเนิดขึ้นมา อย่างที่ควรจะเป็น”

หญิงในชุดขาวยืนอยู่บนก้อนเมฆ ปิดปากหัวเราะเบาๆ “หากผู้นำเต๋านิกายสวรรค์มาได้ยินคำพูดของเจ้าละก็ คงได้เทศนาธรรมกับเจ้าก่อนสักยก”

เฮยเหลียนกล่าวพลางพ่นลมหายใจ “ข้าได้ครอบครองความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และก้าวขึ้นไปอีกขั้นบนสายทางมาร ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะรวบรวมลัทธิเต๋าให้เป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”

หญิงในชุดขาวพ่นลมหายใจเย็นชา “เป็นแค่ร่างอวตาร กล้าพูดจาเพ้อเจ้อนะ”

หางจิ้งจอกตั้งชัน ก่อนจะตวัดฟาดลงมาในเสื้ยวขณะ ราวกับท้องฟ้าถล่ม ทั้งเมืองฉู่โจวสั่นสะเทือนเล็กน้อย บ้านเรือนไหวเอนไปตามกัน

ร่างมนุษย์ดำมะเมื่อมใจกลางดอกบัวยกมือขึ้นพร้อมกับตอบโต้ว่า “เป็นแค่จิ้งจอก ยังกล้าจองหองถึงเพียงนี้”

กลีบบัวพ่นแสงสีดำซึ่งมีพลังกัดกร่อนและทำลายทุกสรรพสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า โอบล้อมหญิงสาวในชุดขาวเอาไว้

พลังสองฝั่งเข้าปะทะ ห้ำหั่นกันกลางอากาศ

แรงปะทะแปรเปลี่ยนเป็นพายุคลั่ง หอบเอาบ้านเรือนใกล้เคียง เศษอิฐและซากไม้พัดขึ้นไปบนอากาศ กวาดพื้นที่รัศมีสิบลี้จนราบเป็นหน้ากลอง

การเผชิญหน้าระหว่างยอดฝีมือระดับแนวหน้าทั้งสองนี้ สร้างฉากความวินาศสันตะโรไม่ต่างจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ในโรงเตี๊ยม

พระมเหสีนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าเครื่องแป้งริมหน้าต่างอยู่ครู่ใหญ่

เด็กหนุ่มผู้นั้นจากไปตั้งแต่เช้ามืด จนขณะนี้เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว เมื่อสักครู่นางลองสอบถามเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยม ได้ความว่าที่นี่คือปินโจว เป็นเขตชนบทของฉู่โจว

ห่างจากเมืองฉู่โจวประมาณสามร้อยกว่าลี้ พระมเหสีอาศัยความเฉลียวฉลาดของตน คาดคะเนว่าสวี่ชีอันน่าจะใช้เวลาประมาณสามถึงสี่วันกว่าจะมาถึงเมืองฉู่โจว

ตอนนี้คงจะอยู่ในระหว่างการเดินทาง แต่นางก็กังวลใจไปล่วงหน้าเสียแล้ว

“ไหวอ๋องอยู่ในขั้นสาม เป็นจุดสูงสุดของระบบทหารของต้าฟ่ง เป็นตายร้ายดีอย่างไรสวี่ชีอันก็ห้ามอวดดีเป็นอันขาด ถ้าเขาตาย ข้า…”

พระมเหสีชะงักงันไปทันใด ก่อนจะนั่งซึมกะทืออยู่นาน แล้วเอ่ยเน้นย้ำกับเงาสะท้อนของตนในกระจก “ข้าก็จะไม่มีที่ไป อย่างไรเสียข้าเป็นเพียงหญิงอ่อนแอ ไม่มีเงินติดตัวสักแดง หากเขาตาย ข้าจะทำเช่นไร”

“ใช่แล้ว นั่นแหละ ข้าเป็นห่วงอนาคตของตนเองก็เท่านั้น”

ในที่สุดนางก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมา “ลงทัณฑ์อ๋องสยบแดนเหนือให้ได้ แล้วอย่าลืมกลับมาโดยเร็ว”

………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด