ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 422 ขอค่าตอบแทน
บทที่ 422 ขอค่าตอบแทน
ทันใดนั้น สวี่ชีอันคล้ายจะกลับไปยังครั้งแรกที่ได้พบกับหลินอัน ตอนนั้นนางก็เหมือนนกขมิ้นที่สูงส่งเช่นนี้ สวยงามทว่าหยิ่งยโส
นี่เป็นท่าทีที่นางใช้เมื่อเจอคนนอก แต่ต่อมานางก็เริ่มพูดเจื้อยแจ้วและแสดงด้านที่เรียบง่ายมีชีวิตชีวาออกมา เห็นอยู่ว่านางเป็นเลิศในทุกด้าน แต่กลับเหมือนแม่ไก่ตัวน้อยที่สู้เป็น
ราวกับองค์หญิงได้ถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งออกไป แล้วเผยให้เห็นเด็กสาวที่อยู่ด้านใน
หลินอันยังคงเป็นหลินอันไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่ข้านั้นเป็นที่โปรดปราน…สวี่ชีอันเลียนแบบเสียงของสวี่เอ้อร์หลาง เขาโค้งคำนับและพูดว่า
“กระหม่อมได้รับคำไหว้วานจากพี่ใหญ่ให้มาเข้าเฝ้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
หลินอันยังคงสงวนท่าทีสูงส่งเย็นชาเอาไว้ นัยน์ตาดอกท้อที่แสดงอารมณ์หลายอย่างหรี่ลง น้ำเสียงโอนอ่อนอย่างไม่รู้ตัว “เขา เขาไม่มาเองหรือ”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “ถึงพระองค์จะตรัสเช่นนี้ แต่พี่ใหญ่เขาจะกล้ามาพบพระพักตร์ได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ แค่เขาก้าวเข้ามาในวังหรือในเขตพระราชฐาน ฝ่าบาทก็สามารถตัดหัวเขาได้แล้ว”
‘ต่อให้ไม่มาพบหน้า แล้วทำไมไม่ยอมตอบจดหมายสักที…’ หลินอันพยักหน้าแผ่วเบาแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “พี่ใหญ่ของเจ้า ช่วงนี้สบายดีหรือ”
ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ แววตาของนางก็เริ่มจดจ่อและมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา นี่ไม่ใช่การทักทายตามมารยาทแต่อย่างใด ทว่าเป็นความห่วงใยต่อสถานการณ์ในช่วงนี้ของสวี่ชีอันจริงๆ
หลินอันเป็นเด็กสาวผู้เปี่ยมอารมณ์ เมื่อเจ้าเล่นสนุกกับนาง นางก็จะหัวเราะร่าให้ หากเจ้าหยอกล้อกับนาง นางก็จะแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ ซึ่งต่างจากฮว๋ายชิ่งที่มีสติปัญญาสูงเกินไปจนเย็นชา
เพราะหากเจ้าหยอกล้อนาง ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองขายหน้าเท่านั้น
ดังนั้น สวี่ชีอันจึงนึกอยากจะรังแกนางขึ้นมา จึงเอ่ยหยอกไปว่า “พี่ใหญ่น่ะหรือ ช่วงนี้สบายดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ แต่ละวันนอกจากฝึกยุทธ์แล้วก็ออกไปเที่ยวเล่นทั่วทุกแห่ง ไม่นานมานี้ก็เพิ่งไปเจี้ยนโจวมารอบหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี…”
หลินอันพยักหน้าอย่างสงวนท่าที นางเม้มปากเหมือนเด็กสาวตัวน้อยที่ไม่พอใจแล้วเอ่ยหยั่งเชิง “เขา…หลายวันนี้เขาได้พูดถึงการต่อสู้ในราชสำนักหรือไม่ อืม จะปวดหัวเพราะเรื่องนี้หรือไม่”
นางยังอยากถามต่ออีกว่าเขาได้ไปขอร้องเว่ยเยวียนหรือไม่
แต่เมื่อพิจารณาว่าสวี่เอ้อร์หลางทำงานอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินทั้งวัน เขาก็อาจไม่รู้เรื่องนี้
แต่อย่างไรก็ตาม หากสวี่ชีอันนึกถึงคำขอของนางจริงๆ ก็จะต้องมาสอบถามแล้วคิดเรื่องกลยุทธ์ต่อไปแน่นอน และสวี่เอ้อร์หลางที่เป็นขุนนางในราชสำนักก็จะต้องเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เขาจะมาสอบถามด้วย
เมื่อเห็นท่าทางคาดหวังของนาง สวี่ชีอันก็ส่ายหน้า “ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่ใช่ฆ้องเงินแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจเรื่องในราชสำนักแล้ว ว่าแต่เหตุใดจู่ๆ พระองค์จึงทรงตรัสถามหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ขะ ข้าก็แค่ถามไปอย่างนั้น”
หลินอันฝืนยิ้มออกมา นางสัมผัสได้ถึงความไม่จริงจังของผู้ชายแล้ว ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความห่างเหินและความเฉยเมยด้วย ในใจจึงรู้สึกเศร้าสร้อยและหดหู่ขึ้นมา
นางจำได้ว่าสวี่ชีอันเคยกล่าวว่าจะเป็นวัวและม้าให้นางทั้งชีวิต แม้คำพูดพวกนั้นจะเป็นเพียงการล้อเล่น แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมาว่าให้ความสำคัญกับหลินอันในตอนนั้นกลับไม่ได้ลดลงเลย
ผู้ชายที่รักวางเจ้าไว้ในตำแหน่งสำคัญในใจ นี่เป็นเรื่องที่น่าดีใจและมีความสุขมากๆ
แต่แล้วจู่ๆ กลับพบว่าคำพูดที่ผู้ชายคนนั้นเอ่ยและเรื่องที่เขาคนนั้นเคยทำ อาจเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงไร้สาระ ตอนนี้เขาไม่สนใจตนอีกแล้ว
จมูกรู้สึกแสบร้อน น้ำตาพาลจะไหลลงมาให้ใจ หลินอันปวดใจมาก นางพยายามฝืนเอ่ย “ข้าเหนื่อยแล้ว หากใต้เท้าสวี่ไม่มีเรื่องอื่น…”
ก่อนที่จะพูดจบ นางข้าหลวงก็ก้าวเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัด “องค์รัชทายาทเสด็จมาเพคะ”
หลินอันรีบก้มหน้าเก็บความรู้สึก เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มของนางก็ไร้ความโศกเศร้าแล้ว นางรีบกล่าวว่า “รีบเชิญเสด็จพี่รัชทายาทเข้ามาเร็ว”
ทำไมองค์รัชทายาทถึงมาได้ล่ะ ถึงตอนนั้นแล้วอย่ามาไล่ข้านะ แบบนั้นจบเห่แน่ ยายตัวร้ายเกลียดข้าตายเลย…สวี่ชีอันรู้สึกอยากก่นด่า
องค์รัชทายาทผู้แต่งกายด้วยฉลองพระองค์เดินเข้ามา เขาสังเกตเห็นสวี่ชีอันเป็นอันดับแรก ไม่ใช่หลินอัน เช่นเดียวกันกับผู้หญิงสวยๆ ที่มักจะมองเห็นคนเพศเดียวกันที่สวยยิ่งกว่าตนเองเป็นอย่างแรก
ซึ่งในตอนนี้ องค์รัชทายาทก็กำลังรู้สึกเช่นนั้น
แม้ว่าเขาจะเป็นรัชทายาทผู้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง อีกทั้งสายเลือดก็ยังเป็นหนึ่งและมีผิวพรรณงามเด่น แต่เมื่อเทียบกับซู่จี๋ซื่อผู้นี้แล้ว เขาดูจะด้อยกว่านัก
โดยเฉพาะวันนี้ที่เขาสวมชุดสีฟ้าคราม จึงดูสูงสุดเย่อหยิ่งไม่แพ้ตนเองเลย ทว่าบุคลิกท่าทีนั้นเหนือกว่าเขามากโข
“ใต้เท้าสวี่ก็อยู่ด้วยหรือ”
องค์รัชทายาทแย้มยิ้มบางเบา เมื่อหันมาเขาก็สลัดความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ นั่นทิ้งไป เขาเพียงแปลกใจเล็กน้อยเพราะไม่เห็นจำได้เลยน้องสาวร่วมอุทรของตนรู้จักมักจี่กับสวี่ซินเหนียนด้วย
พอดีเลย เขาเป็นญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน ข้าก็ลากเขาเข้ามาในแผนก่อน ถึงเวลานั้นก็ดูซิว่าสวี่ชีอันจะยังไม่เข้าร่วมกับข้าได้อีกหรือไม่
องค์รัชทายาทนั่งลงแล้วเริ่มสนทนากับสวี่ซินเหนียนอย่างกระตือรือร้น
หลังจากสนทนาเสร็จเรียบร้อย องค์รัชทายาทก็เปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงเรื่องในราชสำนักอย่างไม่ตั้งใจ เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า
“ถูกตบตาเสียได้ เดิมคิดว่าครั้งนี้พรรคหวางจะเจ็บหนัก แต่คาดไม่ถึงว่าจะยังกลับลำได้หลังจากจบเรื่องอีก หยวนสยงถูกลดขั้นไปเป็นฝ่ายตรวจการขวา รองเจ้ากรมทหารฉินหยวนเต้าก็ล้มป่วยจนนอนติดเตียง…”
เขาเปิดหัวข้อแล้วหันไปมองสวี่ชีอัน คาดหวังว่าเขาจะรับช่วงต่อ
การชอบชี้แนะยุทธภพและวิจารณ์ราชสำนักนั้นเป็นโรคทั่วไปของขุนนางหนุ่ม โดยเฉพาะบัณฑิตขั้นสูงหน้าใหม่ที่เพิ่งแตกหน่อเช่นนี้
สวี่ชีอันยิ้มเรียบๆ แล้วเล่นตาม “เรื่องการต่อสู้ในราชสำนักนั้นมีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หลินอันนั่งฟังอย่างเบื่อหน่าย ตอนนี้นางอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว แต่ที่นี่คือตำหนักเส้าอิน ในฐานะที่ตนเป็นเจ้าของ นางก็ต้องนั่งอยู่ด้วย การจากไปแล้วทิ้ง ‘แขก’ ไว้ถือเป็นเรื่องเสียมารยาท
‘ดูท่าว่าคงจะยังระแวงอยู่’…แววตาขององค์รัชทายาทเป็นประกาย เขาพูดตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมอีก
“ข้าได้ยินมาว่าสาเหตุที่พรรคหวางสามารถรวมขุนนางและผ่านไปได้อย่างราบรื่นก็เพราะความดีความชอบของใต้เท้าสวี่นี่นา”
ยายตัวร้ายหันหน้ามาอย่างรวดเร็วแล้วจ้องสวี่ชีอันเขม็ง
องค์รัชทายาทสมกับเป็นคนถือไพ่ใบใหญ่ที่สุดจริงๆ…สวี่ชีอันชำเลืองมองหลินอันแล้วเอ่ยตอบนิ่งๆ “มิใช่ผลงานของกระหม่อมหรอกพ่ะย่ะค่ะ เป็นพี่ใหญ่ของกระหม่อมต่างหาก”
เป็นอย่างที่คิด เมื่อหลินอันได้ยินคำพูดของเขา จังหวะหายใจพลันรวดเร็วขึ้นมา “ใต้เท้าสวี่หรือ เจ้าว่าอะไรนะ อะไรคือผลงานของพี่ชายเจ้า การต่อสู้ในราชสำนักก่อนหน้านี้ สวี่…สวี่หนิงเยี่ยนก็เข้าร่วมด้วยหรือ”
องค์รัชทายาทรับช่วงต่อ เขากล่าวว่า
“หลินอัน เจ้าคงยังไม่รู้ว่าก่อนที่เฉากั๋วกงจะสิ้นชีพได้ทิ้งจดหมายลับไว้หนึ่งฉบับ ในนั้นเขียนไว้ว่าชีวิตของเขาได้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงเอาไว้ เช่น การยักยอกทรัพย์และเครื่องบรรณาการ มีพวกใดที่ร่วมมือกับเขาและใครเข้าร่วมบ้าง ล้วนแต่เขียนไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่รู้ว่าสวี่ชีอันไปได้หลักฐานนี้มาจากไหน เพราะมีหลักฐานพวกนี้ พรรคหวางจึงสามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ สิ่งที่พี่พูดนั้นเป็นความลับ หลินอันห้ามเอาไปเผยแพร่เด็ดขาดล่ะ”
หลินอันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แววตาของนางจดจ้องสวี่ชีอันเขม็ง นางกะพริบตา น้ำเสียงร้อนรน
“เหตุใดเจ้าสุนัข…เหตุใดสวี่หนิงเยี่ยนถึงต้องช่วยพรรคหวางด้วยเล่า”
นางสัมผัสได้ว่าหัวใจของตนเต้นรัวเร็วมาก เหมือนกับว่าจิตใจกำลังโหยหาในบางสิ่ง แต่กลับกลัวจะเห็นผลลัพธ์ ทั้งวิตกกังวลและรอคอย
ฮ่า หัวใจของหลินอันเต้นเร็วขนาดนี้เลยหรือ ถ้าข้าบอกว่า ‘พี่ใหญ่ทำไปเพราะต้องการเป็นพันธมิตรกับสมุหราชเลขาธิการหวาง’ นางจะร้องไห้ออกมาเลยหรือไม่นะ
สวี่ชีอันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่ใหญ่บอกว่า เพราะองค์หญิงหลินอันส่งคนมาบอกแล้ว เรื่องใดที่องค์หญิงหลินอันประสงค์ เขาจะพยายามทำให้สำเร็จสุดความสามารถ ต่อให้ตนไม่ใช่ฆ้องเงินและมีความสามารถจำกัดก็ตาม”
‘เพื่อข้า ทำเพื่อข้า…’ หลินอันพึมพำกับตัวเอง
นางราวกับคนหลงทางที่พลัดหลงอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าแล้วมองเห็นแสงไฟ จิตใจจึงพลันสงบลง ดวงตาโค้งพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นมา
ความสุขที่ออกมาจากใจมิอาจซ่อนเร้น
องค์รัชทายาทชำเลืองมองน้องสาวร่วมอุทรที่สว่างสดใสขึ้นมาในทันใดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จากนั้นก็หันไปเอ่ยเชิญ “วันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงนอกวัง ใต้เท้าสวี่จะให้เกียรติมาร่วมงานหรือไม่”
สวี่ชีอันตอบกลับ “กระหม่อมมิบังอาจปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทแย้มยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่า ‘สวี่ซินเหนียน’ ไม่คิดจะจากไป ก็ลอบคิดว่าค่อยพูดกับหลินอันในวันพรุ่งนี้อีกทีก็ยังไม่สาย
จึงผุดลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ข้าจะให้คนส่งบัตรเชิญไปที่จวนท่าน ข้าเพียงรู้สึกเบื่อหน่ายจึงมานั่งเล่น ตอนนี้มีธุระต้องจัดการ จึงขอตัวก่อน”
หลินอันลุกขึ้นแล้วไปส่งองค์รัชทายาทออกจากตำหนักด้วยกันกับสวี่ชีอัน หลังจากมองส่งแผ่นหลังที่จากไปขององค์รัชทายาทแล้ว นางก็เชิดคางขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใต้เท้าสวี่ยังมีเรื่องใดอีกหรือ”
สวี่ชีอันใช้เสียงของตัวเองเอ่ยแผ่วเบาเหมือนยุง “องค์หญิง กระหม่อมคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว”
ร่างกายของหลินอันแข็งทื่อทันใด ในดวงตาดอกท้อมากอารมณ์นั้นมีทั้งความตื่นตกใจ งุนงง และตื่นเต้น ใบหน้านวลขาวสล้างปรากฏสีแดงชวนให้ผู้คนเมามายขึ้นมา
แพขนตางอนหนาสั่นไหวแล้วสะกดกลั้นอารมณ์ดีใจและตื่นเต้นเอาไว้แล้วบังคับให้สงบลง “ใต้เท้าสวี่ ข้ายังมีเรื่องที่อยากถามท่านอยู่ เชิญเข้าไปคุยด้านใน”
เมื่อกลับมาถึงห้องรับแขก นางก็เอ่ยสั่งด้วยเสียงราบเรียบ “พวกเจ้าออกไปก่อน”
นางข้าหลวงที่รอปรนนิบัติอยู่ในห้องยอบกายคำนับแล้วถอยออกไป
เมื่อพวกเขาออกไปกันแล้ว ยายตัวร้ายก็เปลี่ยนสีหน้าทันที นางบิดเอวถลึงตาพองแก้ม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคือง “เจ้าสุนัขรับใช้ เหตุใดเจ้าไม่ตอบจดหมาย แล้วเหตุใดไม่มาหาข้าเลย”
“พระองค์ทรงคิดถึงกระหม่อมจนเป็นกังวลกินไม่ได้นอนไม่หลับหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันไม่เสแสร้งอีก แล้วเอ่ยพร้อมหัวเราะน้อยๆ
“จะ เจ้าอย่ามาพูดไร้สาระ ข้าจะไปคิดถึงเจ้าได้อย่างไร”
หลินอันรีบร้อนปฏิเสธ นางคือองค์หญิงที่ยังไม่อภิเษก เป็นหลินอันที่บริสุทธิ์ดุจหยกงาม ไม่มีทางยอมรับเรื่องอัปยศอย่างการคิดถึงบุรุษผู้หนึ่งได้หรอก
สวี่ชีอันจ้องหน้านางแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม “แต่ว่า กระหม่อมคิดถึงพระองค์จนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย แทบรอไม่ไหวที่จะติดปีกแล้วบินเข้ามาหาในวังอยู่แล้ว แม้ว่าฝ่าบาทจะยิงธนูใส่กระหม่อมจนร่วงหล่น แต่ขอเพียงได้พบหน้าองค์หญิง ถึงกระหม่อมตายก็ไม่เสียดายพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้างามล้ำของยายตัวร้ายเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกถึงใบหู นางเอ่ยตะกุกตะกักว่า “เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าจะมาพูดแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ”
จู่ๆ นางก็พลันรู้สึกกระสับกระส่าย คำพูดคำจาที่ใจกล้าเช่นนี้นางไม่เคยได้ยินมาก่อน นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นหนูตัวเล็กๆ ที่ถูกบีบอยู่ในมุมกำแพงอย่างไรอย่างนั้น
“องค์หญิง มา กระหม่อมจะเล่าเรื่องน่าสนใจในเจี้ยนโจวให้พระองค์ทรงฟัง”
สวี่ชีอันจับมือเล็กของนางแล้วดึงมานั่งข้างๆ กัน
หลินอันขัดขืนเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้เขาชักจูงมือของตน นางก้มหน้าเล็กน้อย ท่าทางมีความร่าเริงมีความสุข
เวลาผ่านไป ไม่นานก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน
กระทั่งนางข้าหลวงที่อยู่ในตำหนักส่งเสียงเรียก หลินอันจึงหยุดลงอย่างเร่งรีบ นางต้องการเพื่อนอยู่ด้วยกันมากเกินไปแล้ว
“ยามกลางวันจะให้เจ้าอยู่กินข้าวด้วยกันในตำหนักเส้าอินไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปที่จวนหลินอัน เจ้าสุนัขรับใช้ จะ เจ้าจะมาหรือไม่” ในแววตาอันทรงเสน่ห์ของนางมีความคาดหวังและอ้อนวอนแฝงอยู่
“กระหม่อมจะไปพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันบีบมือเล็กนุ่มนิ่มของนาง
หลินอันหัวเราะขึ้นมาทันใด ช่างเป็นเสียงที่ทรงเสน่ห์สั่นคลอนจิตใจผู้คนนัก นางเป็นสตรีที่มีเสน่ห์มาจากภายในจริงๆ
“เดี๋ยวก่อน ข้ามีอะไรจะให้เจ้า”
นางยกกระโปรงขึ้นแล้วออกจากห้องรับแขก ผ่านไปพักหนึ่งก็ให้นางข้าหลวงถือถาดทองคำ เงิน และหยกกลับเข้ามา
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
หลังจากนางข้าหลวงออกไป นางก็รีบเอ่ยเจื้อยแจ้ว “ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ขุนนางแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้ามีหนทางเลี้ยงชีพอย่างอื่นอีกหรือไม่ จึงได้เตรียมเงินทองพวกนี้มาให้ ในตำหนักเส้าอินมีของล้ำค่าอยู่มากมาย ข้าก็ไม่ค่อยได้ใช้
ฮว๋ายชิ่งบอกว่าต่อไปเจ้าอาจต้องออกจากเมืองหลวง ขะ ข้าก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะได้เจอหน้าเจ้าอีกหรือไม่…”
นางไม่ได้พูดต่อแต่เหลือบมองเขา ความจริงแค่อยากมองหน้าเขาอีกสักหน่อย แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขากลายเป็นของญาติผู้น้องไปแล้ว
ที่นี่คือตำหนักเส้าอินและอยู่ในพระราชวัง ไม่อาจให้เขาเปิดเผยตัวออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าได้
หลินอันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเก็บความคาดหวังไว้ในใจ
“จริงสิ หนังสือละครเล่มนี้น่าสนใจมาก เจ้า เจ้าก็เอากลับไปอ่านด้วยเถอะ” หลังจากลังเลครู่หนึ่ง นางก็รวบรวมความกล้าแล้วหยิบหนังสือออกมาจากในแขนเสื้อ
สวี่ชีอันรับของมาแล้วเอาเข้าไปเก็บในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จากนั้นเดินไปใกล้ประตูห้องโถง เขาลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือออกมาเช็ดใบหน้าของตนพักหนึ่ง
“องค์หญิง!”
เขาหันกลับมายิ้ม
เสื้อแพรสีฟ้าครามปักลวดลายเมฆสีฟ้าอ่อน แหวนห้อยส่งเสียงกระทบกัน เขามัดรวบผมด้วยกวานทองคำแบบกลวง สวมรองเท้าทรงสูงลายเมฆ
หลินอันนิ่งงันไปพักหนึ่ง
…
วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันและสวี่ซินเหนียนก็นั่งรถม้าของคุณหนูตระกูลหวางเข้าไปในเขตพระราชฐาน โดยมีคนขับรถม้าขับพาไปยังจวนสกุลหวาง
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนพรมขนแกะพลางพลิกอ่านหนังสือละครไปด้วย
“สวรรค์ หนังสือเลอะเทอะหาสาระมิได้เช่นนี้ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงอ่านหนังสือเช่นนี้ได้เล่า” สวี่ซินเหนียนเอ่ยอย่างสงสัย
จอมยุทธ์หยาบคายเช่นพี่ใหญ่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนนี่นา
“ในหนังสือพูดถึงคนต่ำต้อยจากเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ตกหลุมรักองค์หญิงจากสวรรค์ แต่เพราะว่านี่คือความรักต้องห้าม ดังนั้นคนต่ำต้อยเผ่าพันธุ์ปีศาจจึงถูกลงโทษให้ไปเป็นวัวเป็นม้าในโลกมนุษย์ ต่อมาคนต่ำต้อยเผ่าพันธุ์ปีศาจผู้นั้นก็สังหารศาลสวรรค์แล้วชิงองค์หญิงกลับมายังโลกมนุษย์ได้ จากนั้นทั้งสองก็ได้ผ่านเรื่องราวอันแสนเรียบง่ายไปดัวยกัน”
รอยยิ้มของสวี่ชีอันค่อนข้างซับซ้อน
ต้นฉบับเรื่องนี้ตอนนั้นเขาได้ให้แรงงานมนุษย์อย่างจงหลีเป็นคนเขียนขึ้นให้กับหลินอัน และตอนนี้หลินก็มอบหนังสือนี้มาให้เขา ความหมายแฝงคืออะไรนั้น ไม่ต้องเอ่ยก็รู้กัน
ระหว่างที่สนทนา รถม้าก็ได้มาหยุดที่หน้าประตูจวนสกุลหวางแล้ว
ผู้ดูแลจวนหวางมารอรับอยู่ที่หน้าประตูเรียบร้อย เมื่อรถม้าจอดสนิทก็รีบเชิญทั้งคู่เข้าไปข้างในทันที
สวี่ซินเหนียนรั้งอยู่ในห้องโถงรับแขกเพื่อพูดคุยกับหวางซือมู่ สวี่ชีอันสัมผัสได้ชัดถึงสายตาของคุณหนูใหญ่สกุลหวางที่จ้องมายังเขา มันแฝงแววตำหนิเล็กน้อย
เจ้ากำลังโทษที่ข้าทุบตีคนในใจของเจ้าเช่นนั้นหรือ เฮอะ ข้าทุบตีน้องชายของข้าแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย…เขาบ่นในใจ และเดินตามผู้ดูแลไปยังห้องทำงานของสมุหราชเลขาธิการหวาง
ในห้องหนังสืออันหรูหรากว้างขวาง สมุหราชเลขาธิการหวางผมสีดอกเลาสวมชุดสีเข้มนั่งอยู่หลังโต๊ะ ในมือถือหนังสือม้วนเล่มหนึ่ง
“ใต้เท้าสมุหราชเลขาธิการ” สวี่ชีอันโค้งคำนับ
“ใต้เท้าสวี่เชิญนั่ง”
สมุหราชเลขาธิการหวางวางหนังสือลงแล้วใช้ดวงตาที่ผ่านอะไรมาอย่างโชกโชนมองเขาพร้อมรอยยิ้ม “ใต้เท้าสวี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อมแล้วกัน”
ไม่หรอก ประโยคนี้ของเขาเห็นได้ชัดว่าดูหมิ่นจอมยุทธ์อย่างชัดเจน…สวี่ชีอันคิดในใจ วันนี้เขามายังจวนสกุลหวางเพื่อขอ ‘ค่าตอบแทน’ จากสมุหราชเลขาธิการหวางต่างหาก
“หากมีเรื่องใดที่ข้าช่วยเหลือได้ ก็เชิญใต้เท้าสวี่เอ่ยปากได้เลย”
สวี่ชีอันคิดหาคำพูดอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “มีสองเรื่อง เรื่องแรกคือข้าจะไปที่คลังเอกสารของกรมปกครองเพื่ออ่านสำนวนคดี เรื่องที่สองคือมีคดีเก่าๆ ที่ข้าอยากสอบถามกับสมุหราชเลขาธิการหวาง”
………………………………………………………..
Comments