ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 425 ร่ายรำ
บทที่ 425 ร่ายรำ
สัญญาไถ่ตัวมูลค่าแปดพันตำลึง…คณิกาหมิงเยี่ยนสายตาคู่สวยแข็งทื่อ ความรู้สึกผสมกันไปหมด มีทั้งความชื่นใจที่ห้ามไม่อยู่ ความดีอกดีใจ ความอิจฉา
อารมณ์ของเหล่าคณิกาก็ซับซ้อนเช่นเดียวกัน แปดพันตำลึงเชียว เพียงพอที่จะซื้อคฤหาสน์หรูหราในย่านเศรษฐีในเมืองหลวงได้เลย สำนักสังคีตมีฉายาว่าถ้ำขายทองคำ แต่ตัวอย่างของการใช้แปดพันตำลึงเพื่อซื้อตัวนางบำเรอที่มีชื่อเสียงนั้น หาได้ยากจริงๆ
เหล่าเจ้าหน้าที่คงไม่กล้า พ่อค้าเศรษฐีหรือก็รักในเงินทอง
แต่ฆ้องเงินสวี่ทำมันได้ เขาวางมันอย่างระวัง สิ่งที่วางลงคือเงินแปดพันตำลึง
สิ่งที่ทำให้เหล่าคณิการู้สึกซาบซึ้งใจมากที่สุดก็คือ ช่วงเวลาที่ฝูเซียงป่วยหนักและเหลือเวลาไม่มากแล้ว เงินจำนวนแปดพันตำลึงนี้สามารถซื้อได้เพียงความปรารถนาของหญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น
ในใต้หล้าจะมีชายคนใดที่สามารถทำเช่นนี้เพื่อพวกนางบ้าง?
ฆ้องเงินสวี่แตกต่างจากชายคนอื่นๆ…เหล่าคณิกาต่างจิตใจอ่อนระทวย มองชายหนุ่มสวมชุดขงจื๊ออย่างคลั่งไคล้
“สวี่หลาง…”
เมื่อมองไปที่สัญญาไถ่ตัวที่อยู่บนโต๊ะ ฝูเซียงก็ยิ้มออกมา ยิ้มจนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา
เดิมทีเป็นเพราะติดหนี้เจ้า…สวี่ชีอันนั่งลงข้างเตียง และถอนหายใจ
ฝูเซียงมองเขาอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ สะอึกสะอื้นกล่าว “ท่านไม่ต้องมาหรอก ข้า สภาพตอนนี้ของข้าดูแย่นัก”
สวี่ชีอันเอื้อมมือไปลูบแก้มของนาง ดวงตาซับซ้อนเล็กน้อย
“ข้ายังมีความปรารถนาอีกอย่างหนึ่ง”
หน้าผากของฝูเซียงขยับ มองไปทางเหล่าคณิกา กล่าว “ข้าอยากร่ายรำเพื่อสวี่หลางเป็นครั้งสุดท้าย และขอร้องให้เหล่าพี่น้องแสดงร่วมกัน”
เหล่าคณิกาพยักหน้า
ฝูเซียงเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็มองไปยังสวี่ชีอัน “สวี่หลาง ท่านไปรอด้านนอกสักประเดี๋ยว…”
หลังจากออกไปแล้ว ฝูเซียงก็เปลี่ยนเป็นสวมกระโปรงงามสง่าเป็นชั้นๆ ที่ปักด้วยดอกเหมยฮวาสีแดง เหมยเอ๋อร์จัดทรงผมให้นาง มัดเป็นมวยขึ้นไป และสวมด้วยเครื่องประดับผมที่หรูหรา
ดินสอเขียนคิ้วลากส่วนโค้งอย่างประณีต ริมฝีปากทาด้วยสีแดงเพลิง ทาแก้มสีแดง ทำให้ใบหน้าที่ขาวซีดของนางกลับมามีสีสันอีกครั้ง
ฝูเซียงจ้องไปยังสาวงามที่หาเปรียบมิได้ในกระจก และเผยรอยยิ้มออกมา
หกปีก่อน สาวงามท่านหนึ่งมายังสำนักสังคีต ในฐานะบุตรสาวของขุนนางต้องโทษโชคร้ายที่ได้กลายเป็นนางบำเรอ กลับมีความประสงค์ที่พิเศษอยู่
นางฝึกดีดฉินอย่างหนัก ร่ำเรียนบทกวีและอักษร จนกลายเป็นคณิกาของสำนักสังคีต และมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล
เวลาหกปีอันแสนสั้นผ่านไป นางควรจบชีวิตนี้แล้ว แต่ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาในโลกของนาง เหมือนกับเส้นทางสว่าง เปิดแยกท้องฟ้าที่มืดมน
ในช่วงสุดท้ายของการเดินทาง ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้หายไปไหน และวาดเครื่องหมายที่เต็มไปด้วยความสุขบนใบหน้าให้นาง
ฝูเซียงลุกขึ้นย่างกราย ยกกระโปรงขึ้น และวิ่งออกจากห้องไป จากห้องนอนถึงด้านนอกห้องโถง นางต้องวิ่งผ่านระเบียงยาว เหมือนกับวิ่งผ่านกาลเวลาช่วงหกปี ตรงปลายทางก็พบเจอกับเขา
ในห้องโถง เสียงเครื่องดนตรีประเภทสายและเป่าบรรเลงอย่างไพเราะ
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีแดงร่ายรำเพียงคนเดียว
ย่างกรายดั่งห่านหงส์ที่โบยบิน คดเคี้ยวดั่งมังกรที่แหวกว่าย
ในตอนจบ นางร่วงเข้าสู่อ้อมแขนของสวี่ชีอัน
สาวงามในอ้อมแขนเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา โศกเศร้าถึงขีดสุด “สวี่หลาง ข้าต้องไปแล้ว ต่อไป…”
‘สิ่งที่ข้าหวังก็มีเพียงร่องรอยที่ทิ้งไว้ในใจของท่าน สิ่งที่ข้ากลัวก็คือ ตนเองที่ไร้ซึ่งความสำคัญ และถูกลืมในพริบตา’
สวี่ชีอันกอดไว้ พลางกล่าวเสียงเบา “ต่อไปข้าจะไม่มาสำนักสังคีตอีกแล้ว”
เริ่มต้นที่เจ้า ก็ต้องสิ้นสุดที่เจ้า
สำหรับสวี่ชีอันแล้ว นี่ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางในชีวิตเช่นเดียวกัน
ฝูเซียงยิ้มออกมา สวยวิจิตรจนทำให้หวั่นไหวอย่างไม่เคยมีมาก่อน ดั่งความสง่างามของดอกเหมยฮวาก็มิปาน
วิญญาณล่องลอย จากไปอย่างอ่อนช้อย ณ ที่ไกลแสนไกล
ในห้องโถง หมิงเยี่ยน เสียวหย่าและคณิกาคนอื่นๆ สะอื้นเสียงเบา พร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม
…
คณิกาฝูเซียงกลิ่นหอมจางหาย หยกพลันสลาย นางบำเรอที่โด่งดังท่านนี้ถูกชะล้างอย่างสมบูรณ์ อำลาชีวิตที่ผ่านมาในสำนักสังคีต
แต่จุดจบของนางไม่ได้เศร้าระทมนัก วันนี้สวี่ชีอันปรากฏตัวที่สำนักสังคีต ใช้เงินจำนวนแปดพันตำลึงเพื่อซื้อตัวนาง และช่วยให้นางหลุดพ้นจากชนชั้นต่ำ ข่าวแพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักสังคีตในทันที
ใช้เงินแปดพันตำลึงเพื่อไถ่ตัวนางบำเรอที่ป่วยหนัก แม้แต่บทละครก็ไม่สามารถเขียนเรื่องเช่นนี้ได้
เมื่อเทียบกับสวี่ชีอันที่ใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพียงเพื่อความปรารถนาของสาวงามเท่านั้นแล้ว ปัญญาชนในหนังสือที่มีความสามารถเหล่านั้น ไม่ทันไรก็ตัดการพรรณนาเรื่องราวของหัวใจนั้นออกไป ทั้งจืดชืด ทั้งไร้อำนาจ
ในช่วงเวลาหนึ่ง หญิงสาวของสำนักสังคีตต่างพูดถึงสวี่ชีอัน พูดคุยเกี่ยวกับฆ้องเงินท่านนี้ อดีตฆ้องเงินที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแปลกประหลาด
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาสำนักสังคีตเป็นศูนย์กลางในการกระจายข่าวสาร เพียงแค่สองวัน ลูกค้าที่มีสิทธิ์ใช้จ่ายที่สำนักสังคีตแทบจะทราบเรื่องนี้กันทั้งหมดแล้ว
ในยุคนี้ เรื่องราวความรักของซิ่วไฉผู้ยากจนกับบุตรสาวตระกูลเศรษฐี และเรื่องราวความรักของบุคคลที่มีพรสวรรค์ทางด้านการประพันธ์กับนางบำเรอ เรียกได้ว่าเป็นสองเรื่องใหญ่ที่ยั่งยืนเป็นเวลานาน
แต่ขึ้นชื่อว่าใครที่ได้ยินเรื่องนี้ ต่างก็อดใจที่จะชื่นชมความรักที่ซื่อสัตย์ของสวี่ชีอันไม่ได้ และคุยเรื่องนี้กันอย่างไม่หยุดปาก จนแพร่สะพัดออกไป
ข่าวสารถูกแพร่เป็นทอดๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างประชาชนในตลาด ระดับพ่อค้า ข้าราชการ ต่างนำเรื่องนี้ไปเป็นเรื่องพูดคุยกันในยามว่าง
…
ขณะที่สมุหราชเลขาธิการหวางกำลังรับประทานอาหารเช้า ได้ยินบุตรชายคนรองกำลังบ่นพึมพำเกี่ยวกับข่าวซุบซิบตามตลาดนี้ไม่หยุด
“เงินแปดพันตำลึง หากปล่อยให้ข้าจัดการ ไม่ถึงหนึ่งปี ข้าก็จะปล่อยให้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้ พี่ใหญ่ ท่านว่าสวี่ชีอันโง่เขลาหรือไม่ หากเป็นเพียงการได้รับความโปรดปรานจากหญิงงามเพียงเท่านั้น”
“แต่นี่เป็นผู้ป่วยอาการหนักคนหนึ่ง เงินแปดพันตำลึงนั้นไร้ค่าเสียแล้ว”
เมื่อเห็นบิดาเดินเข้ามา คุณชายรองหวางก็หยุดบทสนทนา และก้มหน้ากินโจ๊กทันที
บ้านสกุลหวางอบรมสั่งสอบเข้มงวด ชี้นำให้เวลารับประทานอาหารไม่สนทนา เวลานอนไม่คุยกัน
สมุหราชเลขาธิการหวางนั่งลงที่โต๊ะ กินโจ๊กไปหนึ่งคำ มองไปที่บุตรชายคนรอง กล่าวถาม “เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ”
คุณชายรองหวางกล่าวอย่างละล่ำละลัก “ไม่ ไม่มีอะไรขอรับ..”
สมุหราชเลขาธิการหวางโบกมือ “พูดมาเถอะ อืม เกี่ยวข้องกับสวี่ชีอันหรือ”
เมื่อเห็นบิดาไม่พอใจ คุณชายหวางจึงเอ่ย “คณิกาฝูเซียงของสำนักสังคีตป่วยเกินเยียวยา จนโอสถและการฝังเข็มก็ไม่สามารถช่วยได้ สวี่ชีอันนั้นจ่ายเงินแปดพันตำลึงให้นางเพื่อไถ่ตัว เพียงเพื่อความปรารถนาของหญิงงามที่เฝ้ารอมานาน ช่างน่าขันเสียจริง”
หลังจากออกความเห็นเสร็จก็ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพ่อ ท่านคิดว่าอย่างไรเล่าขอรับ”
สมุหราชเลขาธิการหวางไม่สนใจ และกินโจ๊กอย่างเงียบๆ จนเสร็จ
คุณชายรองหวางไม่ได้รับคำยืนยันจากบิดาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
‘อืม ท่านพ่อแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกล่าวเรื่องคนอื่นลับหลัง แต่ความคิดที่อยู่ในใจต้องคิดเหมือนข้าอย่างแน่นอน’
หลังจากที่สมุหราชเลขาธิการหวางกินโจ๊กเสร็จแล้ว เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าที่สาวใช้ส่งให้เช็ดปาก จากนั้นก็เช็ดมือ กล่าวอย่างราบเรียบ “หากเจ้าสามารถจ่ายเงินแปดพันตำลึงเพื่อแลกกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังจะตายได้ ข้าจะเคารพเจ้าว่าเป็นบุรุษที่ดีคนหนึ่ง”
คุณชายรองหวางงงงัน นิ่งงันเป็นไก่ไม้
…
หอเฮ่าชี่
“ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นพวกหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นเช่นนี้”
หนานกงเชี่ยนโหรวถือถ้วยชาพลางยกยิ้ม ไม่แน่ใจว่าเป็นการเยาะเย้ยหรือคำชมกันแน่
“ความหลงใหลไม่จำเป็น แต่ความรักเป็นเรื่องจริง”
เว่ยเยวียนยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ แขนเสื้อพลิ้วไหว พลางกล่าวออกความเห็นประโยคหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หันกลับมาอย่างกะทันหัน กล่าวอย่างหดหู่ใจเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้ข้าหักเงินเดือนเขาสามเดือน เจ้าว่าเขาจะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากที่ใด”
‘เหตุใดท่านถึงหักเงินเดือนของเขาเล่า’…หนานกงเชี่ยนโหรวเหลือบไปมองพ่อบุญธรรมอย่างพินิจ
เว่ยเยวียนกล่าวอย่างปลงตก “ผู้คนอาศัยอยู่ในโลกา ขอแค่อยู่อย่างสงบสุข”
…
สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน
เหล่าซู่จี๋ซื่อกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน ปราชญ์มหาสำนักบัณฑิตฮั่นหลินยังไม่มา เหล่าซู่จี๋ซื่อที่นั่งอยู่ในตำแหน่งของตนเองจึงหันหน้าพูดคุยกัน
“ฆ้องเงินสวี่ช่างเป็นคนที่มีความรักที่ซื่อสัตย์เสียจริง นึกไม่ถึงว่าจะจ่ายเงินแปดพันตำลึงเพื่อไถ่ตัวฝูเซียง”
“ฝูเซียงป่วยเกินเยียวยามานานแล้ว ใช้โอสถและฝังเข็มก็ไม่สามารถช่วยได้ แต่ฆ้องเงินสวี่ยังยินดีที่จะจ่าย เพียงเพื่อให้นางหลุดพ้นจากชนชั้นต่ำก่อนที่จะตาย”
แม้สวี่ชีอันจะลาออกจากอาชีพข้าราชการแล้ว แต่โลกภายนอกยังคงคุ้นชินกับการเรียกเขาว่าฆ้องเงินสวี่
อะไรคือแปดพันตำลึง อะไรคือการไถ่ตัว? เมื่อได้ยินเหล่าเพื่อนร่วมงานกระซิบกระซาบกัน สวี่ฉือจิ้วก็งุนงงและสับสน กล่าวในใจ ‘พี่ใหญ่ข้าก่อเรื่องสะท้านฟ้าสะท้านดินอะไรไว้อีกเล่า’
‘เหตุใดพี่ใหญ่ข้าก่อเรื่องสะท้านฟ้าสะท้านดิน แต่ข้าที่เป็นน้องชายกลับไม่ทราบเรื่องเล่า’
เพราะมีความรู้สึกที่อบอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็วกับหวางซือมู่ หาเวลาได้ก็ไปออกเดต สวี่เอ้อร์หลางไม่ไปสำนักสังคีตมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงทราบข่าวล่าช้า ไม่ทราบเรื่องไถ่ตัวแปดพันตำลึง
“แต่ข้าได้ยินมาว่า มีคนจำนวนมากกำลังหัวเราะเยาะเขา คนใกล้จะตายคนหนึ่ง เหตุใดจึงมีค่าถึงแปดพันตำลึง? เพราะอารมณ์ชั่ววูบของฆ้องเงินสวี่ เกรงว่าตอนนี้เขาคงจะเสียใจภายหลังไปแล้ว”
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่าฆ้องเงินสวี่กำลังได้รับความนิยม”
มีคนอื่นที่มีความคิดต่างออกไป
โชคดีที่สวี่เอ้อร์หลางยังอยู่ในสภาวะสับสน มิฉะนั้นซู่จี๋ซื่อเหล่านี้คงถูกความสงสัยพ่นใส่แน่
ในเวลานี้มีเสียงไอดังขึ้นจากด้านนอกประตู ปราชญ์มหาสำนักบัณฑิตฮั่นหลินที่คร่ำครึและเข้มงวดถือม้วนกระดาษ เดินเข้ามาในห้องเรียน
เหล่าซู่จี๋ซื่อต่างเงียบลงในทันที
ปราชญ์มหาสำนักบัณฑิตฮั่นหลินหม่าซิวเหวินท่านนี้ขึ้นชื่อว่าหัวโบราณ ไม่เข้าร่วมพรรค ไม่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ถ้าจะกล่าวให้ดีก็คงเป็นข้าราชการที่บำเพ็ญตนจนความรู้และฝีมืออยู่ในระดับสุดยอดกระมัง เขายืนอยู่ในท้องพระโรงสถานที่ที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างแท้จริง
แต่เขาอยู่ในตำแหน่งปราชญ์มหาสำนักบัณฑิตฮั่นหลินไม่ย้ายไปไหนมานานหลายสิบปีแล้ว
เจ้าหน้าที่ของสำนักบัณฑิตฮั่นหลินและเหล่าซู่จี๋ซื่อต่างประทับใจในตัวเขามากที่สุดตรงที่เขาไม่แสวงหาชื่อเสียง ทั้งนิ่งเงียบ และเมื่อพบเจอกับสิ่งที่ผิดปกติก็สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับป้ายคำขวัญที่แขวนอยู่ในห้องโถงของเขา ‘ขอแค่อยู่อย่างสงบสุข’
หลังเลิกเรียน ปราชญ์มหาสำนักบัณฑิตฮั่นหลินหม่าซิวเหวินมองไปรอบๆ ทุกคน ยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่หาได้ยากยิ่ง
“ปัญญาชน สิ่งที่อ่านไม่ใช่ตำรา แต่เป็นหลักเหตุผลในตำรา แต่ว่าหลักเหตุผลไม่ใช่อยู่แค่ในตำราเท่านั้น ยังอยู่นอกตำราด้วย ข้าได้ยินพวกเจ้ากำลังคุยกันเรื่องที่ฆ้องเงินสวี่จ่ายเงินแปดพันตำลึงเพื่อไถ่ตัวคณิกาของสำนักสังคีต พวกเจ้าพูดคุยกันครึ่งวันแล้ว แต่ได้หลักเหตุผลอะไรมาบ้าง?”
นี่จะมีเหตุผลอันใดได้หรือ
“ความรักที่ซื่อสัตย์?”
“ไม่เห็นคุณค่าของเงินเหมือนปุ๋ยคอก?”
เหล่าซู่จี๋ซื่อต่างคาดเดา
ปราชญ์มหาสำนักบัณฑิตฮั่นหลินหม่าซิวเหวินหัวเราะพลางส่ายหน้า ดวงตาของเขาจ้องไปที่สวี่ซินเหนียน กล่าว “ฉือจิ้ว เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว นึกถึงตอนที่พี่ใหญ่เลื่อนขั้นด้วยดาบเดียว ขณะที่เขาไปเยี่ยมในคุก พี่ใหญ่เคยกล่าวว่า ‘ข้าไม่ได้หุนหันพลันแล่น ข้าเพียงขอแค่อยู่อย่างสงบสุขเท่านั้น’
เมื่อคิดย้อนกลับไปแล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำในภายหลังต่างก็เป็นเพียงการไม่ลืมความตั้งใจเดิมเท่านั้นเอง
สวี่ซินเหนียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขอแค่อยู่อย่างสงบสุข”
ปราชญ์มหาสำนักบัณฑิตฮั่นหลินหม่าซิวเหวินกวาดสายตามองทุกคน “จำคำกล่าวนี้ไว้ ไม่ว่าพวกเจ้าต่อไปจะเดินไปในทิศทางใด ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะจดจำประโยค ‘ขอแค่อยู่อย่างสงบสุข’ นี้ไว้”
…
หลังจากแยกย้าย สวี่ซินเหนียนก็กลับมาที่จวน ในใจนึกถึงสิ่งที่ได้ยินในตอนกลางวัน
เมื่อเข้าไปในห้องโถง เห็นมารดานั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างงงงวย กล่าวถาม “ท่านแม่ พี่ใหญ่เล่า”
อาสะใภ้ไม่สนใจเขา
“ข้าอยู่นี่…”
ในลานที่อยู่ด้านข้าง สวี่ชีอันกวักมือเรียกไปมา
หลังจากรอให้น้องชายเข้ามา เขาก็กระซิบเสียงเบา “เจ้าอย่าเอ่ยเรื่องฝูเซียงในบ้านเชียว”
สวี่ซินเหนียนมองพินิจพี่ใหญ่ “เอ่ยถึงฝูเซียงมันทำไมหรือ”
“ประเด็นมันไม่ใช่ฝูเซียง มันอยู่ตรงเงินแปดพันตำลึงต่างหาก วันนี้อาสะใภ้เหมือนสะใภ้เสียงหลิน บ่นแต่คำว่า แปดพันตำลึง แปดพันตำลึงทั้งวัน…”
ขณะที่กล่าว สวี่ชีอันก็คลึงหว่างคิ้ว และรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
‘สะใภ้เสียงหลินคือใคร?’…สวี่ซินเหนียนพึมพำในใจ จากนั้น เขาก็ยกคางขึ้น กล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าแค่อยากจะกล่าวอะไรกับพี่ใหญ่เสียหน่อย”
“อะไรหรือ” สวี่ชีอันกล่าวถาม
“โชคชะตาฟ้าลิขิต อย่าเสียใจไปเลย” สวี่เอ้อร์หลางกล่าวปลอบใจ
หากเจ้าปลอบใจไม่เป็นก็อย่าปลอบ ฟังแล้วดูเหมือนกำลังพูดจาบั่นทอนกำลังใจ…สวี่ชีอันพยักหน้า พลางส่งเสียงอืม
เขาฝังกระดูกของฝูเซียงเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจพาจงหลีกลับมา จากนั้นพาฉู่ไฉ่เวยมา ตามหาสุสานฝังศพที่มีฮวงจุ้ยที่ดีสักแห่งนอกเมือง
บังเอิญได้ยินฉู่ไฉ่เวยพูดเรื่องหนึ่งขึ้นมา หลังจากที่ตนเองกลับมาจากเจี้ยนโจว หยางเชียนฮ่วนก็ชื่นชอบที่จะเล่าเรื่องราวเก่าๆ เมื่อพบเจอผู้คนก็จะเล่าถึงทุกสิ่งที่ตนเองกระทำเมื่ออยู่เจี้ยนโจว
เหล่าศิษย์น้องของสำนักโหราจารย์ต่างให้ความร่วมมือโห่ร้องอย่างดี ชมศิษย์พี่หยางว่าเป็นคนที่มิมีใครเทียบได้
หยางเชียนฮ่วนก็จะดีใจยิ่ง
แต่ด้วยเรื่องราวของสวี่ชีอันใช้เงินแปดพันตำลึงเพื่อไถ่ตัวที่สำนักสังคีตเผยแพร่มาถึงสำนักโหราจารย์ หยางเชียนฮ่วนก็ไม่ชื่นชอบการเล่าแล้ว หลายวันมานี้ คนของสำนักสังคีตมักจะเห็นเงาสีขาวปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว
…
หลังรับประทานอาหารเย็น สวี่ชีอันก็ไปเคาะประตูห้องน้องชาย กล่าว “ขอบันทึกประจำวันของจักรพรรดิองค์ก่อนที่เจ้าจดไว้ในช่วงนี้มาให้ข้าดูหน่อย”
สวี่ซินเหนียนดื่มซุปผ่อนคลาย กำลังตั้งใจดื่มเพื่อพักผ่อน จึงกล่าวอย่างผลักไส “รอให้ข้าเขียนได้มากกว่านี้อีกหน่อย”
“ไม่ได้ หากเขียนมากกว่านี้ เจ้าก็จะคัดรายละเอียดที่ตนเองคิดว่าไม่สำคัญออกไปหมด ครั้งก่อนที่ดูบันทึกประจำวันของหยวนจิ่ง ข้าก็สังเกตเห็นความผิดปกติของเจ้าแล้ว” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่มันมีปัญหาตรงไหนหรือ” สวี่เอ้อร์หลางไม่คิดว่าวิธีการของตนเองผิด
“จะสำคัญหรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้า ไม่ใช่เจ้า” สวี่ชีอันเดินไปที่โต๊ะ ผลักพู่กัน หมึก กระดาษและที่ฝนหมึกออก กล่าวเร่งรัด
“รีบเขียนเร็วเข้า พี่ใหญ่จะช่วยเจ้าฝนหมึกเอง”
สวี่ซินเหนียนจนใจ เดินไปนั่งลงที่โต๊ะ ยกพู่กันขึ้นมาเขียนบันทึกประจำวันของจักรพรรดิพระองค์ก่อนที่เขาอ่านมามากมายติดต่อกันหลายวันจนจดจำไว้ในสมองได้ทั้งหมดแล้ว
หากผ่านไปหลายวันค่อยมาเขียน เขาจะตัดบทสนทนาบางส่วนที่ตนเองคิดว่าไม่มีความหมายออก มิฉะนั้นปริมาณงานจะมากเกินไป
แต่หากเขียนตอนนี้ เขาจะสามารถกู้คืนเนื้อหาที่เคยอ่านผ่านตาได้ดังเดิม
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม สวี่ซินเหนียนก็วางพู่กันลง สะบัดมือเบาๆ และผลักกระดาษเซวียนจื่อสิบกว่าแผ่นให้พี่ใหญ่
“เสร็จแล้ว”
…………………………………………………………
Comments