ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 502 ผีดิบ ‘เขาอยู่ที่ใด’ (1)
บทที่ 502 ผีดิบ ‘เขาอยู่ที่ใด’ (1)
ฝนฤดูใบไม้ร่วงเทลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่รุนแรงเท่าฝนฤดูร้อน แต่ก็มีสายลมหนาวเหน็บบาดลึกลงไปในผิวหนัง
ยงโจวอยู่ติดกับเมืองหลวงไปทางใต้ ความชื้นนอากาศสูง ในช่วงหน้าฝน อากาศจะหนาวเย็นและเหนอะหนะเป็นพิเศษ หากบ้านไหนไม่ปิดประตูหน้าต่างให้ดี เครื่องนอน เครื่องใช้ และเสื้อผ้ามักจะชื้นเสียหมด
ภายในห้องโถงที่เพิ่งพูดคุยดื่มกินกันอย่างสนุกสนานเมื่อครู่ ตกอยู่ในความเงียบสงัด ท่ามกลางม่านฝนโปรยปรายข้างนอก
จอมยุทธ์ระดับหลอมวิญญาณผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำขึ้นมา
“ก่อนฝนตกน่าจะมีสัญญาณอะไรสักอย่าง แต่นี่ไม่เห็นมี”
บรรยากาศความเงียบถูกทำลาย จอมยุทธ์อีกคนหนึ่งก็กล่าวเสริม “จริงสิ พวกปลาในทะเลสาบน่าจะโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำเมื่อครู่นี้กระมัง”
เขากล่าวถึงเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถคาดการณ์เรื่องฝนฟ้าได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็เริ่มออกความเห็น บอกเล่าถึงภูมิปัญญาเล็กๆ ที่ใช้คาดการณ์ฝนตก
พูดคุยกันไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า ‘ปากประกาศิต’ ของเจ้าหนุ่มคนนั้นดูจะเป็นเรื่องจริง ที่พวกเขาต้องตกใจ ก็เป็นเพราะเทวดาดูจะให้ความร่วมมือดีเหลือเกิน
บอกว่าฝนจะตก ก็ตกจริงๆ ชวนให้รู้สึกคล้ายกับว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นกำลังลั่นประกาศิตออกมา
กงซุนซิ่วจิบสุราไปอึกหนึ่ง เห็นนักพรตเฒ่านั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ก็ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม
“ท่านนักบวชชิงกู่ ดูเหมือนท่านจะมีความคิดต่างออกไปสินะ”
ทุกคนก็มองไปยังนักพรตเฒ่าทันควัน
นักพรตเฒ่าผู้มีนามฉายาว่า ‘ชิงกู่’ ฟื้นคืนสติ ไม่ได้ตอบกลับทันที ทว่านิ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม
“เช่นนั้นนักพรตเฒ่าผู้นี้ขอพูดตามตรงก็แล้วกันนะ ฝนฟ้านั้นสุดจะคาดเดา ฝนบางจำพวกมีสัญญาณบ่งบอก ฝนบางจำพวกไม่มีสัญญาณเตือน ฝนบางจำพวกตั้งเค้าชัดเจนแต่ไม่ตกลงมา ฝนบางจำพวกไม่มีแม้แต่สัญญาณส่อเค้า นึกอยากจะตกก็ตก
“พอรู้ว่าคืนนี้จะต้องลงไปสำรวจสุสาน อาตมาก็คำนวณฟ้าฝนตั้งแต่ค่ำวานนี้ แต่ไม่พบเค้าลางสักนิดว่าวันนี้ฝนจะตก”
นักพรตเฒ่าทอดสายตาไปยังทะเลสาบ และกล่าวว่า “นี่เป็นฝนที่ผิดไปจากปกติ”
กงซุนซิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “ปลาในทะเลสาบไม่โผล่ขึ้นมาหายใจ”
คำพูดของนางหักล้างกับคำพูดของจอมยุทธ์คนเมื่อครู่
ในตอนนี้ สีหน้าของทุกคนก็พลันแปลกประหลาดไป
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ทหารระดับหลอมวิญญาณผู้นั้นก็เอ่ยถามเป็นการลองเชิงว่า “หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เช่นนั้นแล้วเขานับว่าอยู่ในขั้นใดเล่า”
การพยากรณ์ฟ้าฝน ในสายตาของทหารระดับต่ำนั้น เป็นการกระทำของเทพเซียนชัดๆ
อย่าว่าแต่ทหารเลย ในสายตาของคนธรรมดานั้น คนที่สามารถพยากรณ์อากาศ บันดาลฟ้าฝนได้ ล้วนแต่เป็นเทพผู้ปกปักแผ่นดินทั้งสิ้น
นักพรตเฒ่ากล่าวเนิบๆ ว่า
“เท่าที่ข้ารู้ เจ้าแห่งวัสสานแห่งสำนักพ่อมดสามารถบันดาลฝนได้ โหรจากสำนักโหราจารย์สามารถสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า และกำหนดปฏิทินโหราศาสตร์ได้ หมอผีของเผ่าเทียนกู่จากซินเจียงตอนใต้ สามารถล่วงรู้เวลาและสถานที่ที่ฝนจะตกได้
“มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถยืนยันได้ คือคนที่เข้าใจในศาสตร์เหล่านี้ ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในระดับสูงจนน่าตกใจอย่างแน่นอน”
เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปมา ในใจพลันสั่นสะท้าน
กงซุนซิ่วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องโถง มองออกไปยังทะเลสาบหยางไป๋ท่ามกลางม่านพิรุณ หมอกลงหนาทึบ สายฝนยามสารทฤดูหนาวเหน็บ ไม่เห็นเงาของเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ อีกต่อไป
“เจ้าลืมสัญญากับคนผู้นั้นไปแล้วหรือ…”
กงซุนซิ่วเอ่ยประโยคนี้พึมพำซ้ำไปซ้ำมา
…
ในปลายฤดูใบไม้ร่วง ฝนระลอกนี้ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องถึงสองชั่วยาม และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
สวี่ชีอันอยู่ในห้องสุขาของอาคารเรือ หยิบเสื้อคลุมฟางและหมวกสานทรงกรวยออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จะออกไปข้างนอกก็ต้องเตรียมชุดกันฝนกันหน่อย
เรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ จอดเทียบชายฝั่งอย่างเชื่องช้า เหล่าลูกค้าต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง
มู่หนานจือหน้านิ่วคิ้วขมวด ตั้งใจมองพื้นถนนอย่างระมัดระวัง ตั้งใจไม่ให้เหยียบโดนจุดที่เป็นดินโคลน แต่ก็ไร้ประโยชน์
รองเท้าปักลายยังคงเปรอะเปื้อนโคลน ซึ่งทำให้นางอารมณ์เสียอย่างมาก
เจ้าเป็นเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดไม่ใช่หรือ ตามหลักการแล้วเจ้าน่าจะชอบวันฝนตกและดินโคลนสิถึงจะถูก…สวี่ชีอันจ้องมองนางที่ทำท่าทีกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว ลอบสบถสาบานในใจ
‘โคลน โคลน…ถ้าข้าซ่อนอยู่ในโคลนตม ใครก็หาข้าไม่เจอ…ไม่ หยุดเลย เลิกคิดไปเสีย ข้าเป็นคนไม่ใช่ปลาหนีชิว…’
เขาพยายามต้านทานผลข้างเคียงจากอั้นกู่อย่างเต็มที่ การใช้ความสามารถของอั้นกู่ติดต่อกันเมื่อครู่ ทำให้เกิดผลสืบเนื่องอันรุนแรง
เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม สวี่ชีอันก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารเครื่องดื่มขึ้นไปส่ง และเริ่มกินอาหารเที่ยงมื้อที่สอง
มู่หนานจือเข้ามาในห้องแล้ว ก็เตะรองเท้าปักลายของนางกระเด็นไปถึงหลังประตู เดินไปเดินมารอบห้องด้วยเท้าน้อยๆ ขาวนวล อ่อนนุ่ม
นางเปิดหน้าต่าง และปิดลงทันที เม้มปากแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบยงโจวเลยสักนิด ทั้งหนาวทั้งชื้น”
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นฤดูหนาวแรกหลังจากออกมาจากจวนอ๋อง สละฐานันดรพระชายา บอกลาพื้นทำความร้อนสุดหรูหรา นี่จะต้องเป็นฤดูหนาวที่ยากลำบากสำหรับนางทีเดียว
“รู้ว่าหนาวแล้วยังจะเดินเท้าเปล่าอีก”
สวี่ชีอันชำเลืองมองต่ำลงไป ก่อนจะผละสายตาออก
ผิวเท้าขาวผ่องอวบอิ่ม สวมแตะไม้ผ้าปักลายขาวบุพื้นแดง…เป็นเท้าหยกที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว
สวี่ชีอันหลับนอนกับหญิงสาวในสำนักสังคีตมามากมาย แต่ไม่มีเท้าของหญิงคนใดที่งดงามเท่าเท้าหยกของมู่หนานจืออีกแล้ว
ทั้งนี้เป็นเพราะ หนึ่ง สาวๆ ในสำนักสังคีตจำเป็นต้องฝึกฝนการร่ายรำ จึงไม่อาจมีเท้าที่อ่อนแอ ขาวผ่องมีเลือดฝาดได้ สอง สาวงามนั้นแบ่งได้เป็นหลายระดับ ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ย่อมมีข้อบกพร่องทั้งสิ้น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
มีเพียงสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งเบื้องหน้าเขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เทพดอกไม้ผู้กลับชาติมาเกิด ผู้งดงามและเฉลียวฉลาดอย่างแท้จริง แม้แต่ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมที่สุด ก็ไม่อาจมองหาจุดด่างพร้อยในรูปร่างหน้าตาของนางได้
อืม คำชมเมื่อครู่ออกจะฉาบฉวยไปสักนิด เพราะอย่างไรเสียสวี่ชีอันและนางยังไม่รู้ไส้รู้พุงกันดี
“เจ้ากินเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร” พระชายานั่งลงข้างโต๊ะ ยกมือเท้าคาง จ้องมองเขาพร้อมกับยิ้มแป้น
“ตั้งแต่ถูกคนถีบหัวส่ง กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้นล่ะ ร่างกายถึงได้แข็งแรงอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันเยาะเย้ยตัวเอง
เขาจัดการอาหารอันโอชะเต็มโต๊ะจนหมดเกลี้ยง ตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้มาเก็บจาน มู่หนานจือค่อยๆ ซุกเท้าหยกไว้ใต้กระโปรงของตน
‘คมในฝัก’ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่นางเรียนรู้ด้วยตนเอง ในฐานะเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดผู้ทรงเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุด เพียงซ่อนเร้นความงดงามบนใบหน้ายังไม่เพียงพอ รูปร่างอวบอัดสมส่วนของนางยังมีแรงดึงดูดใจชายทั้งหลายได้ ดังนั้นนางจึงสวมใส่อาภรณ์ตัวหลวมโคร่งโดยเจตนา
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง สวี่ชีอันยืนมองอยู่ข้างหน้าต่างชั่วขณะ และเอ่ยขึ้น
“คืนนี้ข้าจะไปวังใต้ดิน ไปหาศพโบราณพันปีนั่น”
มู่หนานจือสะดุ้งโหยง
“ข้าจะไปดูสภาพของสิ่งสิ่งนั้น และหยิบยืมอะไรบางอย่างมาจากมัน ไม่ต้องห่วง ข้าจะกลับมาก่อนฟ้าสาง”
สวี่ชีอันปลอบประโลม
ในตอนนี้เอง รถม้าคันหนึ่งก็วิ่งผ่านมาโดยบังเอิญ เงาร่างของสวี่ชีอันอันตรธานหายไป แล้วไปโผล่อยู่ใต้ท้องรถม้า เขาหลบซ่อนในเงามืด และจากไปพร้อมกับรถม้า
สวี่ชีอันกระโดดไปมาระหว่างรถม้าหลายคัน ค่อยๆ เข้าใกล้ประตูเมืองขึ้นเรื่อยๆ แล้วออกจากเมืองพร้อมกับเงาสะท้อนตื้นๆ ของเกวียนวัว
อ้างอิงจากความสามารถในการควบคุมอั้นกู่ในปัจจุบันของเขา ระยะทางสูงสุดที่เงาสามารถกระโดดได้คือรัศมีห้าสิบเมตร ระยะเวลาที่สามารถซ่อนตัวในเงาได้ คือไม่เกินหนึ่งเค่อ
เกวียนวัวแล่นไปตามถนนสายหลัก มุ่งหน้าไปทางตะวันตก คนขับเป็นชายชรา พิจารณาจากใบผักที่เหลืออยู่บนเกวียน ชายชราผู้นี้เป็นชาวไร่ปลูกผักอยู่ในหมู่บ้านข้างเคียง
สวี่ชีอัน ‘เจาะ’ ทะลวงเงาออกมา สายตาทอดมองเกวียนวัวที่แล่นไปไกลลับตา จากนั้น ก็หยิบดาบธรรมดาออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หันกายมุ่งหน้าไปทางใต้
ท้องฟ้าในยามนี้เป็นสีดำมืด ม่านราตรีเยื้องกรายเข้ามาใกล้ เขาสวมชุดสีดำสนิทเดินไปตามลำพังท่ามกลางสายฝนพรำยามค่ำคืน พกเพียงดาบไม่พกร่ม
สวี่ชีอันก้าวเดินเงียบๆ ตามลำพัง หลบไปจากถนนสายหลัก เบี่ยงเส้นทางไปยังเทือกเขาทางใต้ ท่ามกลางดินโคลน หลังจากเดินอยู่นาน ภาพเค้าโครงของภูเขาหนานซานก็ปรากฏชัดแก่สายตา
ในตอนนี้เอง เขาก็เห็นหลุมลึกดำมืดตรงบริเวณช่องเขา
ปากทางของหลุมลึกนั้นมีแต่หญ้าแห้งขึ้นเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าดินบริเวณนี้น่าจะอ่อนตัวและยุบลงไป
สวี่ชีอันมองสำรวจเข้าไปในหลุมลึก ก่อนจะหันหลังจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็วนกลับมาอีกครั้ง
“ยังหัวค่ำอยู่เลย ถ้าข้าเข้าไปในวังใต้ดินตอนนี้ ก็เท่ากับเป็นคนกรุยทางให้พวกนั้นน่ะสิ…”
“โชคดีที่วันนี้ยัง ‘อยู่ตามลำพัง’ ไม่ครบสองชั่วยาม ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อการฝึกตนทั้งสิ้น…”
“ให้ตายสิ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งหลุมลึกจะดึงดูดใจข้ายิ่งกว่าอิสตรี…”
เขากระโจนเข้าไปพร้อมกระตุกใบหน้า
…
เทือกเขาหนานซาน
ข้างถนนเรียบภูเขาแห่งหนึ่ง มีกระโจมถูกตั้งเอาไว้หลายหลัง
พื้นที่ป่าบนภูเขาลูกนี้ ล้วนมีแต่คนของตระกูลกงซุนคอยคุ้มครอง ทำหน้าที่ป้องกันเหล่าชาวยุทธ์นพเจรมาลักเล็กขโมยน้อย
กงซุนซิ่วนั่งอยู่ในกระโจม ดื่มชาร้อนรอบกองไฟร่วมกับนักพรตเฒ่าชิงกู่และบุตรหลานตระกูลกงซุน
ม่านกระโจมถูกเปิดออก กงซุนเซี่ยงหมิงที่สวมเสื้อฟางกันฝนก้าวเข้ามา ถอดหมวกสานทรงกรวยออก พร้อมกล่าวว่า
“ซิ่วเอ๋อร์ ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ พวกเราต้องรีบเข้าไปสำรวจแล้ว หากกลับมาใหม่หลังฟ้าโปร่ง ข้ากลัวว่าฝนที่ตกลงมาจะทำให้ปากถ้ำถล่มลงมาอีก”
กงซุนซิ่วขมวดคิ้ว แล้วส่ายหน้า “ลุงหก โปรดรอก่อนเถิด หากเจ้าสิ่งที่อยู่ในถ้ำยังไม่ติดกับ พวกเราจะไม่ลงไปเด็ดขาด”
ความจริงแล้ว สิ่งที่นางพูดบนเรือเมื่อตอนกลางวันเป็นเรื่องจริงครึ่งหนึ่ง เท็จครึ่งหนึ่ง คนที่พบในวังใต้ดินเป็นนายพรานจริงๆ แต่ว่าเขาตายไปแล้ว
เนื่องจากเขาไม่กลับบ้านเป็นเวลานาน นายพรานคนอื่นๆ ในหมู่บ้านจึงออกตามหาเขา และพบท่อนแขนขาดในบริเวณปากถ้ำที่ยุบลงมา ราวกับถูกตัวอะไรสักอย่างกัดทึ้งอย่างรุนแรง
นอกจากแขนที่ขาดแล้ว ก็หาร่างกายส่วนอื่นไม่พบอีก เหล่านายพรานไม่กล้าอยู่ต่อ เร่งรีบเก็บชิ้นส่วนแขนข้างนั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นความแปลกประหลาดของที่แห่งนี้ก็ดึงดูดคนจากทางการและชาวยุทธ์จากทั่วทุกสารทิศให้หลั่งไหลมาที่นี่ ทว่าคนที่เข้าไปในสุสานนั้น ไม่มีใครมีชีวิตรอดกลับออกมาเลย รวมถึงยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณสองคนของตระกูลกงซุนด้วย
คนพวกนั้นอาจจะตายเพราะกับดักในสุสาน หรืออาจจะตายเพราะสัตว์ประหลาดที่อยู่ในนั้นก็ได้
เพื่อจับสัตว์ประหลาดกินคนในสุสาน กงซุนซิ่วนำหัวหมูที่เพิ่งฆ่าสดๆ มาเกี่ยวกับตะขอเหล็ก โยนเข้าไปในถ้ำ พยายามล่อมันด้วยกลิ่นเลือด
“เชือกยังไม่ขยับเลย”
กงซุนเซี่ยงหมิงส่ายหน้า
“รอไปก่อน”
นักพรตเฒ่าชิงกู่กล่าวยิ้มๆ “วิญญาณร้ายในสุสานอาศัยอยู่ที่นั่นมาเนิ่นนาน ขาดแคลนอาหาร พวกมันไม่ได้กินบ่อยๆ จะออกล่าเหยื่อก็ต่อมาอยู่ในสภาพหิวโซเท่านั้น
“หากคืนนี้มันไม่ติดกับ อาตมาแนะนำว่าให้รอต่อไป”
ชายหนุ่มคนหนึ่งจากตระกูลกงซุนถามด้วยความสงสัย “วิญญาณร้ายที่ท่านนักบวชว่า หมายถึงผีดิบหรือขอรับ”
นักพรตเฒ่าชิงกู่ส่งเสียง ‘อืม’
“เป็นผีดิบ หรืออาจเป็นสัตว์ประหลาดอย่างอื่น หรือหุ่นเชิดก็เป็นได้ ดูจากลักษณะที่ชอบสูบเลือดกินเนื้อของมัน น่าจะเป็นสองจำพวกแรก ไม่ว่าจะผีดิบก็ดีหรือสัตว์ประหลาดก็ดี เมื่ออยู่ใต้ดินนานๆ ย่อมกลัวแสงสว่างเป็นธรรมดา ถ้าคิดจะจับพวกมัน ก็ต้องจับในตอนกลางคืน”
กงซุนซิ่วกล่าวเสริม “ยอดฝีมือที่ตายอยู่ในสุสานมีจำนวนไม่น้อย ปกติผีดิบทั่วไปไม่มีพลังมากขนาดนี้”
เม็ดฝนตกกระทบบนกระโจม ก่อนจะแตกกระเซ็น เมื่อทั้งบริเวณหลงเหลือเพียงเสียงเดียว ความเงียบสงัดก็ถูกขับเน้นให้เด่นชัดขึ้น
กงซุนซิ่วจิบชาร้อน และกล่าวขึ้นกะทันหัน “วันนี้ข้าพบยอดฝีมือผู้หนึ่งที่ทะเลสาบหยางไป๋ หากเชิญยอดฝีมือผู้นี้มาร่วมขบวนได้ การเดินทางครั้งนี้ก็วางใจได้ประมาณเก้าในสิบส่วน”
กงซุนเซี่ยงหมิงกล่าวอย่างตกตะลึง “นี่มันเรื่องอะไรกัน เล่ามาโดยละเอียดเดี๋ยวนี้”
กงซุนซิ่วเล่าเรื่องของชายหนุ่มในชุดสีดำที่พานพบคร่าวๆ
กงซุนเซี่ยงหมิงขมวดคิ้ว “บางทีอาจจะไม่ใช่ยอดฝีมือก็เป็นได้ ไม่แน่อาจจะกุเรื่องขึ้นมา หรือไม่ก็เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น”
นักพรตเฒ่าชิงกู่ยิ้ม ไม่คิดจะโต้แย้งแต่อย่างใด “ที่คุณชายหกกล่าวมามีเหตุผล ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของอาตมาเท่านั้น”
ความจริงก็เป็นดังที่ว่า
กงซุนซิ่วเอ่ยถาม “ลุงหก ท่านเคยไปอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงตั้งหลายปี น่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนชื่อสวีเชียนบ้างสิ?”
กงซุนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“เมืองหลวงคือถิ่นพยัคฆ์หมอบมังกรเร้นกาย ยอดฝีมือทั่วไปในเมืองหลวงมักจะทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่ใช่เพราะนิสัยใจคอเป็นเช่นนั้น แต่เพราะไม่มีใครกล้าทำสูงส่งวางอำนาจในเมืองหลวง สิบฆ้องทองคำแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และลูกศิษย์ทั้งหกของท่านโหราจารย์ ล้วนแต่เป็นบุคคลชั้นยอดที่มีความสามารถเก่งกาจทว่าทำตัวถ่อมตน
“นอกจากนี้ ยังมียอดฝีมือในกองทัพ ขุนนางต่างแคว้นที่ก้าวสู่ตำแหน่งระดับสูงได้เป็นต้น ยอดฝีมือขั้นสี่มีมากจนเจ้าไม่อาจจินตนาการได้ทีเดียว คนเหล่านี้มีตัวตนอยู่จริง ทว่าชื่อเสียงกลับไม่เป็นที่เลื่องลือ
“พวกวีรบุรุษแห่งยุทธภพที่ว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง พอเข้าไปในเมืองหลวง แม้แต่ผายลมยังไม่กล้า สวีเชียนนั่นเป็นยอดฝีมือตัวจริงหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้”
ชายหนุ่มแห่งตระกูลกงซุนผู้หนึ่งกล่าวด้วยความทอดถอนใจ “เพราะเหตุนี้เองสินะ ฆ้องเงินสวี่ถึงได้ต่างไปจากผู้อื่น”
ฆ้องเงินสวี่มีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่เปิดตัว ทำตัวเด่นดังมาโดยตลอด และยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อยๆ เมื่อก่อนก็โดดเด่นแค่เรื่องการคลี่คลายคดี หลังๆ เป็นเพราะสังหารกั๋วกง ครั้งล่าสุดที่ชื่อเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ก็เพราะปลงพระชนม์จักรพรรดิ
ตอนแรกที่ราชสำนักส่งสาส์นมาถึงยงโจว ไม่มีใครเชื่อทั้งนั้น
ชาวยุทธภพแห่งยงโจว ต่างตบเท้าเข้าเมืองหลวงเพื่อเสาะหาความจริงของเรื่องนี้
กงซุนเซี่ยงหมิงโบกมือ “ก่อตั้งต้าฟ่งมาถึงหกร้อยปี มีคนเช่นฆ้องเงินสวี่เกิดขึ้นมาแล้วสักกี่คนเชียว”
กงซุนซิ่วรับฟังด้วยรอยยิ้ม ช่วงนี้เวลาที่พูดคุยกับผู้อาวุโส หรือสหายรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็มักจะพูดถึงชายผู้เป็นดั่งเทพเซียนผู้นี้อยู่เสมอ
เวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกหรือผู้ชาย นางมักจะสงวนท่าที แต่พออยู่กับญาติพี่น้องผู้หญิงของตน นางจะผ่อนคลายมากขึ้น และร่วมพูดคุยเกี่ยวกับฆ้องเงินสวี่กับพวกนาง
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงคำรามดังออกมาจากนอกกระโจม
“คุณหนูใหญ่ คุณชายหก เจ้าสิ่งนั้นมันติดกับแล้วขอรับ”
บรรยากาศในกระโจมเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน กงซุนซิ่ววิ่งนำหน้าออกมาจากกระโจมเป็นคนแรก ตามมาด้วยกงซุนเซี่ยงหมิง และปิดท้ายด้วยเหล่าบุตรหลานตระกูลกงซุน
ท่ามกลางม่านฝน จอมยุทธ์หลายสิบคนถือคบเพลิงชุบน้ำมันไว้ในมือ และยังมีจอมยุทธ์อีกสองสามคนที่ช่วยกันดึกเชือกขนาดเท่าท่อนแขนเด็กทารก เชือกเส้นนั้นขาดสะบั้นและหลุดลงไปในถ้ำ
‘ในที่สุดก็ติดกับแล้ว’…กงซุนซิ่วรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี ที่น่าประหลาดใจก็คือแม้แต่พลังของจอมยุทธ์หลายคนรวมกัน ยังลากวิญญาณร้ายตนนั้นออกมาไม่ได้ ส่วนที่ยินดีเป็นเพราะคืนนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว
“เตรียมน้ำมันและตาข่ายให้พร้อม!”
กงซุนซิ่วตะโกนสั่งการดังลั่น ขณะที่กระโจนเข้าไปคว้าเชือกที่ถักด้วยเส้นเหล็กและเชือกป่านด้วยสองมือ หญิงสาวส่งเสียงคำราม ออกแรงดึงพร้มกับเหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ด้านหลัง
“วี้ด วี้ด…”
………………………………………………..
Comments