ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 505 นิกายขยะ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 505 นิกายขยะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 505 นิกายขยะ

กงซุนเซี่ยงหยางพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แล้วหันไปสั่งสาวใช้ใต้ชายคา

“แจ้งในครัวให้เตรียมยาบำรุงไว้ให้คุณหนูด้วย ยิ่งบำรุงยิ่งดี”

สองพ่อลูกพากันเข้าไปในห้องสมุด กงซุนเซี่ยงหยางเปิดช่องลับหลังตู้หนังสือ ดึงกล่องไม้ออกมาแล้วเปิดให้กงซุนซิ่ว

ภายในกล่องปูด้วยผ้าไหมสีเหลือง มีโสมม่วงรูปร่างน่าเกลียดดูเหี่ยวย่น ขนาดยาวเท่านิ้วกลาง แต่รากของมันพันกันยุ่งเหยิงเหมือนเส้นด้าย

ลักษณะเช่นนี้หาได้ยากในโสมคน

“โสมหยกม่วงเถานี้เป็นหนึ่งในของสะสมล้ำค่าที่สุดของพ่อ”

กงซุนเซี่ยงหยางชี้ที่กล่องแล้วพูดว่า “ที่มันเป็นแบบนี้ เพราะถูกสกัดเอาแก่นแท้จนกลายเป็นยาชูกำลังชั้นเยี่ยม หากพ่อแก่ตัวไปในอนาคตก็จะพึ่งพามันนี่แหละ”

กงซุนซิ่วมองปราดเดียวก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านพ่อต้องการเก็บไว้ใช้ตอนแก่ ลูกสาวไม่จำเป็นต้องใช้มัน ใช่ว่าลูกสาวต้องกินสิ่งนี้ให้ได้เสียหน่อย”

กงซุนเซี่ยงหยางแค่นเสียง‘หึหึ’อย่างไร้ยางอาย

“ของสิ่งนี้จะทำให้อายุยืนได้อย่างไร พ่อจะใช้ของสิ่งนี้เมื่อแก่ตัวในอนาคต ก็เพื่อใช้ตอนทำน้องๆ ให้แก่เจ้า ดังนั้นมันจึงเป็นยาชูกำลังชั้นดี ชายชราอายุแปดสิบปีก็ยังฟื้นกำลังวังชาของเขาได้”

“…”

กงซุนซิ่วพูดด้วยความหงุดหงิด “ท่านจะมีลูกสักกี่คน ก็เอาชนะข้าไม่ได้หรอก ตำแหน่งประมุขต้องตกเป็นของข้าเพียงผู้เดียว”

กงซุนเซี่ยงหยางหัวเราะชอบใจแล้วพูดว่า “‘งั้นยิ่งต้องให้มี กำเนิดบุตรผู้มีพรสวรรค์สักคน สร้างแรงดันให้เจ้า หากไม่เกิดผล ก็ถือว่าข้าจะเพิ่มผู้ช่วยให้แก่เจ้า”

กงซุนซิ่วกลอกตา หยิบกระจุกรากฝอยที่บิดาฉีกให้ เคี้ยวสองสามคำถึงกลืน

ตอนประมุขกงซุนเซี่ยงหยางยังเยาว์วัย เขาเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ เที่ยวสำมะเลเทเมาตามปกติ ถ้าไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ์นั้นแกร่งกล้า เขาคงไม่มีวันรับตำแหน่งประมุขแน่

หลังจากขึ้นเป็นประมุขมาหลายปี ก็ยังคงทำนิสัยเก่าๆ เช่นนั้น อาจไม่ถึงกับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก แต่สิ่งที่เรียกว่าเกียรติของผู้นำ กลับไม่ปรากฏให้เห็นในตัวเขา

เมื่อสองพ่อลูกซึ่งเปิดใจคุยกันถึงเรื่องผู้สืบทอดประมุข กลับรู้สึกโล่งใจและสงบนิ่งมากขึ้น

กงซุนเซี่ยงหยางเห็นว่าแก้มของลูกสาวขึ้นสีแดงเรื่อ ผิวพรรณกลับมาดีขึ้นหลายเท่าตัว ส่วนลึกของหัวใจพลันคลายกังวลจึงพูดต่อ

“พยายามกลั่นฤทธิ์ของยา อย่าให้เสียของล่ะ…เจ้าคงไม่อยากให้เราพบเจออันตรายในหลุมศพหรอกกระมัง?”

กงซุนซิ่วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ขณะกำลังสกัดเอาฤทธิ์ร้อนผ่าวๆ จากช่องท้องน้อย นางก็พูดขึ้น

“ข้าตัดสินใจถูกแล้ว พวกที่นอนตายอยู่ในหลุมศพย่อมไม่ได้ตายด้วยรูปลักษณ์ แต่ตายเพราะธาตุหยิน เมื่อคืนเราจับมันได้สำเร็จ แต่ก็ตายหลังจากต่อสู้กัน ถ้าหากว่าต้องเจอมันในหลุม ข้าเกรงว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องถูกฆ่า”

ทันใดนั้นเองจึงเล่าเรื่องที่ล้อมฆ่าพวกหยินให้แก่บิดาฟัง

“ทำได้ดี”

หลังกงซุนเซี่ยงหยางฟังจบก็พยักหน้าเล็กน้อย

“จากนั้นพวกเราก็จัดยอดฝีมือสิบแปดนายลงไปในหลุม หลุมถล่มเป็นวงกว้าง ถูกทำลายไปจนเกือบหมดก็ยังหาของมีค่าใดไม่ได้เลย กระทั่งเข้าสู่สุสานหลัก”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวได้ฉายชัดในดวงตากงซุนซิ่ว ตามด้วยอารมณ์อื่นๆ

ความหนาวเหน็บก่อตัวในใจกงซุนเซี่ยงหยาง เขารีบถามว่า “มีอะไรในสุสานหลักงั้นหรือ?”

กงซุนซิ่วถอนหายใจ “สุสานหลักใต้ดินมีซากศพโบราณ ไม่แน่ใจเรื่องอายุ พวกเราพบมันตอนลงไปในหลุม มันทรงพลังมาก เมื่อปากนั้นอ้าแล้วสูดลมเข้าไปก็จะเกิดลมพายุ…”

นางสาธยายความน่าสะพรึงของซากศพโบราณ ปล่อยยอดฝีมือสิบแปดนายที่ไม่อาจต้านทานได้ไป

กงซุนเซี่ยงหยางดีดตัวขึ้นดังฉับ สองฝ่ามือวางบนโต๊ะ ดวงตาเบิกกว้าง

“ยงโจวมีปีศาจน่ากลัวเช่นนั้นเชียวหรือ? ไม่ควรเลย ไม่ควรอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงคงไม่เงียบมาหลายปีขนาดนี้ หากฟังตามที่เจ้าพูดแล้วนั่นหมายความว่า มันกำลังกระหายเลือด”

ประมุขกงซุนทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว ยงโจวเป็นฐานหลักของตระกูลกงซุน หากมีสิ่งที่น่ากลัวอยู่ใต้ดินจริง ย่อมเป็นหายนะสำหรับยงโจวแน่ๆ

สิ่งแรกที่กงซุนเซี่ยงหยางตอบสนองคือการแจ้งให้ทางการทราบและขอให้ผู้ว่าการยงโจวออกหนังสือถึงราชสำนัก เพื่อที่ราชสำนักจะได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาจัดการเรื่องนี้

ศพโบราณนั่นต้องไม่ใช่ขั้นสี่อย่างแน่นอน สิ่งชั่วร้ายที่น่าสะพรึงกลัวอาจจะเป็นขั้นสาม ราชสำนักเองก็ไม่มีทหารขั้นสาม แต่โหรแห่งสำนักโหราจารย์ต้องจัดการได้แน่ เช่นนั้นการนำเรื่องนี้ไปแจ้งย่อมถูกต้องแล้ว…

ราชวงศ์ปกครองที่ราบลุ่มตอนกลางได้ แม้ทุกวันนี้อำนาจประเทศจะอ่อนแอลงอย่างรุนแรง แต่ก็เทียบไม่ได้กับพลังแห่งยุทธภพ

‘ช้าก่อน!’

ในห้วงความคิดแวบหนึ่ง กงซุนเซี่ยงหยางพลันได้สติขึ้น เขาจ้องลูกสาวด้วยตาที่เบิกกว้างแล้วพูดว่า

“เจ้า เจ้ารอดกลับมาได้อย่างไร”

ถ้าศพโบราณนั่นชั่วร้ายจนน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นตามอย่างที่นางสาธยายมา ผู้ที่ยืนอยุ่ตรงหน้าตอนนี้ อาจเป็นวิญญาณของนาง ไม่สิ เกรงว่าจะไม่มีแม้แต่วิญญาณกลับมาด้วยซ้ำ

“เพราะพวกเราเจอยอดฝีมือผู้หนึ่ง”

“ยอดฝีมือ?”

กงซุนซิ่วพยักหน้า “ข้าต้องเล่าย้อนกลับไปตอนยามอู่[1]ของเมื่อวาน ข้ากำลังเลี้ยงรับรองพวกจอมยุทธ์ที่ทะเลสาบหยางไป๋ บังเอิญเห็นเด็กตกน้ำจากเรือสำราญ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’…นักพรตชิงกู่บอกว่านั่นคือวิธีการของฝ่ายอั้นกู่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงชวนเขามาสำรวจสุสานด้วยกัน เขาเหมือนคนที่ใช้อุบายได้อย่างแยบยล ถ้าอยู่ในสุสานย่อมแสดงทักษะได้ดีกว่าพวกทหารเป็นแน่ แต่เขาไม่เห็นด้วย ก่อนจะจากไปก็บอกกับข้าสองประโยค”

กงซุนเซี่ยงหยางหรี่ตาลงอย่างอดไม่ได้ราวกับประหลาดใจ แต่เขาก็อดทนฟังลูกสาวต่อไปโดยไม่ขัดจังหวะ

“ประโยคแรกคือ ถ้าพบอันตรายในสุสาน ให้บอกออกไปว่า เจ้าลืมสัญญากับคนผู้นั้นไปแล้วหรือ อีกประโยคหนึ่งคือ คืนนี้จะมีฝนตกหนัก อย่าลืมเตรียมอุปกรณ์กันฝน”

กงซุนเซี่ยงหยางมองไปนอกหน้าต่างทันที เริ่มมีฝนตกปรอยๆ แล้ว ฝนในฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้พิสูจน์ให้เห็นว่ายอดฝีมือคนนั้นมีความสามารถในการทำนายสภาพอากาศ

“ประโยคก่อนหน้านี้หมายความว่าอย่างไร?” เขามีสีหน้าจริงจัง แต่ดันทนอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวเสียอย่างนั้น

กงซุนซิ่วเลี่ยงตอบคำถามโดยตรงแล้วเล่าต่อ

“หลังจากเข้าไปในสุสานเมื่อคืน พวกเราเจอซากศพโบราณในสุสานหลัก อันที่จริงข้าควรตายไปแล้ว แต่คิดได้ว่าคงไม่เป็นไรหากจะลองใช้ประโยคนี้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพูดออกไปเสียงดัง แล้ว…”

“ผลเป็นอย่างไร?” กงซุนเซี่ยงหยางโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย

“ศพโบราณยอมรามือ ไม่ได้ฆ่าพวกเรา”

“…”

รูม่านตากงซุนเซี่ยงหยางหดตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะวิเคราะห์เหตุการณ์

“ยอดฝีมือผู้นั้นกับศพโบราณเกี่ยวข้องกันงั้นหรือ? สัญญา…เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะมียอดฝีมือผู้นั้นอยู่ ดังนั้นศพโบราณจึงอยู่แต่ในสุสานไม่ออกมารังควาน”

กงซุนซิ่วพยักหน้าพร้อมให้คำตอบเพื่อยืนยัน

“ศพโบราณถูกผนึกโดยนักปราชญ์ผู้นั้น เหตุที่สุสานถล่มนั่นต้องเป็นเพราะการต่อสู้ระหว่างสองคนนั้นแน่ เรื่องราวทั้งหมดนี้เพิ่งเกิดได้ไม่ถึงปี หลังจากนั้นไม่นานนักปราชญ์ก็มาปรากฏตัวที่สุสาน ดูเหมือนจะมาเพื่อเจรจากับศพโบราณ ข้าสัมผัสได้ว่าศพโบราณเกรงกลัวเขามาก”

เกรงกลัวเขามาก ศพโบราณที่ชั่วร้ายน่าสะพรึงหวั่นเกรงต่อเขา…กงซุนเซี่ยงหยางจ้องตาลูกสาวแล้วเอ่ยขึ้น

“หลังจากนั้นล่ะ นักปราชญ์ผู้นั้นปรากฏตัวอีกครั้งหรือไม่? รู้รากเหง้าของเขาด้วยหรือไม่?”

กงซุนซิ่วแสดงความเลื่อมใสศรัทธาพลางกล่าวว่า “ข้าพยายามพิสูจน์ตัวตนของเขา เขาไม่ยอมพูดตรงๆ แต่ทิ้งกลอนไว้หนึ่งบท”

“กลอนอะไร?”

เสียงของกงซุนเซี่ยงหยางดังขึ้นฉับพลัน

“บรรลุเซียนผ่านมาแปดร้อยสารท มิเคยใช้กระบี่เข่นฆ่าผู้ใด หยกอ๋องมิมีบัญชานั้นไซร้ จึงนำพากระบี่คู่ใจหลีกห่าง”

บรรลุเซียนผ่านมาแปดร้อยสารท…

กงซุนเซี่ยงหยางกำมือแน่นพร้อมตัวสั่นเทา

“ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าเจอยอดฝีมือที่ละทางโลก ไม่สิ เขาคือยอดฝีมือที่เปรียบโลกมนุษย์เป็นเกมกระดาน นี่คือโชคชะตา โชคชะตาอย่างแท้จริง ยอดฝีมือขั้นสามล้วนหายาก หากเป็นยอดฝีมือที่ก้าวสู่เส้นทางนี้มักจะมีอายุยืนยาว มักจะสั่งสมประสบการณ์มาหลายพันปี พวกถือชีวิตเป็นเกมเช่นนี้ เจ้ายิ่งไม่รู้จักแม้พบเห็น การรู้จักยอดฝีมือผู้มากประสบการณ์เช่นนี้ถือว่าโชคชะตานำพาเหลือเกิน พ่อรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่มากด้วยพรสวรรค์ การเลือกเจ้าขึ้นแท่นประมุขเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว”

ใบหน้าของเขาฉาบด้วยความดีใจและตื่นเต้น

“ท่านพ่อ ยอดฝีมือผู้นั้นบอกข้าก่อนจากไปว่า เขาเข้าไปในสุสานไม่ได้อีก และบอกให้พวกเราเฝ้าระวังสุสานหลักให้ดี ห้ามผู้ใดเข้าไปเด็ดขาด โดยเฉพาะพวกเตร็ดเตร่ในยุทธภพ”

กงซุนเซี่ยงหยางสงบลง พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ควรเป็นเช่นนั้น หากศพโบราณออกมา ยงโจวต้องไม่สงบสุข แล้วพวกเราเองก็จะไม่สงบเช่นกัน”

ขอบเขตพลังแห่งยุทธภพต้องตระหนักให้มากๆ ควบคู่กันไปกับการเสวยสุข ต้องพยายามอย่างยิ่งเพื่อปกป้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะนี่ก็คือรักษาผลประโยชน์ของฝ่ายนั้นเช่นกัน

สาเหตุมาจากราชวงศ์สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มชาวยุทธภพ ไม่ว่าจะหวังเจินเหวินหรือเว่ยเยวียนล้วนไม่มีเจตนากดขี่ เหตุผลก็อยู่ที่เช่นนี้

กองกำลังยุทธภพที่ตั้งตนอยู่ในกฎ จริงๆ แล้วย่อมส่งผลดีต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม แล้วอะไรคือสาเหตุของความไม่มั่นคงที่แท้จริง? ทำให้คนพวกนั้นร่อนเร่กันไปคนละทิศคนละทาง

คนพวกนั้นเข่นฆ่าผู้คนเพียงสิบก้าว สิ้นเรื่องราวก็ผลัดผ้าแล้วลาจาก ไหนจะปิดบังชื่ออำพรางตนอีก

การต่อสู้โดยใช้กำลังนั้นคือการฝ่าฝืนข้อห้าม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเจาะจงคนกลุ่มนี้

“แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ตระกูลกงซุนของพวกเราต้องแบกรับไว้ ข้าค่อยนำเรื่องสุสานหลักไปบอกผู้ดูแลเหลยที่ป้อมหลงเสินในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรพวกเขาก็ต้องยื่นมือมาช่วย”

กงซุนเซี่ยงหยางพูดจบก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ

“ส่งคนไปถามคนของ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ ถ้าพวกเขาจำยอดฝีมือผู้นั้นไม่ได้ ค่อยส่งคนไปสืบในวังหลวง ถ้าสามารถหาตัวผู้นั้นได้ จงพามาให้พ่อพบเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยไป”

ภูเขาเซียนค่อยๆ ปรากฏท่ามกลางเมฆหมอกล้อมรอบ นกกระเรียนขาวส่งเสียงกู่ร้อง อีกทั้งเหล่าวานรปีนป่ายหน้าผา

เทพธิดาปิงอี๋เหยียบบนหลังนกกระเรียน อาภรณ์พลิ้วกระพือตามลม เบื้องล่างคือภูเขาเซียนที่ล้อมรอบไปด้วยหมอกเมฆ นกกระเรียนกระพือปีกพานางไปยังปลายยอดสูงสุด

ใช้เวลาไม่นาน วิหารเซียนอันงดงามก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางป่าดงพงไพร ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา

เกิดแสงสีแดงสะท้อนในดวงตาแวววาวดั่งลูกแก้วของเทพธิดาปิงอี๋ มาจากผ้าไหมสีแดงฉานตรงหน้าซึ่งห่อหุ้มร่างของนักบวชเต๋าวัยกลางคนเอาไว้

“ศิษย์พี่เสวียนเฉิง”

เทพธิดาปิงอี๋แย้มริมฝีปากแดงเรื่อเล็กน้อย น้ำเสียงกังวานใสราวกับก้อนน้ำแข็งกระทบกัน ชวนเย็นระรื่นหู

ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อย จากนั้นแต่ละคนก็บังคับพาหนะวิเศษพร้อมอาวุธวิเศษไปยังวิหารเซียน ก่อนที่สัตว์พาหนะจะโผลงที่ลานจัตุรัสมหึมาหน้าวิหารเซียน

วิหารเซียนนั้นยิ่งใหญ่ มีเสาสิบแปดต้นรองรับหลังคาโดมสูงลิ่ว ด้านหน้าปูด้วยพรมแดงนำไปสู่ประตูวิหาร

ปลายพรมแดงคือแท่นเวทีสูงสองจั้ง บนนั้นมีชายชราในชุดคลุมเต๋าสีตุ่น เขามีหนวดเคราและผมสีขาว มงกุฎดอกบัวลอยเหนือศีรษะ นั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัวสีขาวสะอาดตา

ด้านหลังศีรษะเปล่งแสงรัศมีส่องสว่างสี่สีสี่แฉก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนดิน น้ำ ลม ไฟ

ทั้งสองฟากฝั่งของพรมแดงคือนักพรตเจ็ดคนยืนขนาบอยู่ ทุกคนล้วนเป็นนักบวชเวหาและนักบวชปฐพี ดวงตาแต่ละคนทอประกายเฉยชา

เทพธิดาปิงอี๋กับนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงซึ่งมีท่าทีเฉยเมยเช่นกันทะยานเข้าไปในโถงหลัก คำนับอย่างเย็นชา เอ่ยปากด้วยเสียงเรียบเย็น

“องค์เทพ!”

ชายชราในชุดคลุมเต๋าสีตุ่นขัดสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัว เลิกคิ้วขึ้นขณะหลับตาอย่างไม่รู้ตัวในฉับพลัน

ทว่าเสียงของเขา ก้องกังวานอยู่ในโถง

“มีลูกศิษย์นำข่าวกลับมาว่าหลี่เมี่ยวเจินลงไปยังโลกเป็นเวลาสองปี นางมีชื่อโด่งดังในนามจอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหิน”

เทพธิดาปิงอี๋พูดเสียงเรียบ “เป็นการดีที่เข้าทางโลกก่อนบังเกิดใหม่อีกครั้ง”

หลี่เมี่ยวเจินเป็นศิษย์โดยตรงของนาง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า

องค์เทพยังคงเลิกคิ้วแม้หลับตาราวกับว่าหลับอยู่ ทว่ามีเสียงก้องสะท้อนกลับมา

“นางนำกำลังเข้าต่อสู้เพื่อผดุงความยุติธรรมด้วยการปล้นผู้มั่งมี ช่วยผู้ยากไร้ จนได้รับชื่อเสียงสะท้านที่ราบลุ่มตอนกลาง ต่อมายังจัดกองทัพเพื่อปราบปรามกลุ่มโจรในอวิ๋นโจว ได้รับการสรรเสริญมากมายจากราชสำนักและประชาชนต้าฟ่ง ไม่นานมานี้ จักรพรรดิต้าฟ่งถูกสังหาร และนางก็เป็นหนึ่งในนั้น

ปิงอี๋ เจ้ากำลังสั่งสอนวีรบุรุษแห่งยุทธภพหรือลูกศิษย์นิกายสวรรค์อยู่ล่ะ? ลูกศิษย์นิกายสวรรค์เข้าทางโลกเพื่อบำเพ็ญ พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจการชั่งตวง ไม่ถลำลึกสู่ทางโลก หลี่เมี่ยวเจินกำลังดำเนินไปสู่หนทางที่ผิด นางเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ ดังนั้นนางต้องเป็นแบบอยากให้เหล่าลูกศิษย์”

เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “องค์เทพต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”

“จับหลี่เมี่ยวเจินกลับนิกาย ร่ำเรียนคัมภีร์ของนิกายสวรรค์ใหม่อีกครั้ง”

“น้อมรับประสงค์!”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงมองไปยังองค์เทพ พลางถามเสียงเรียบ “องค์เทพเรียกศิษย์น้องด้วยเหตุอันใด?”

“ผู้ศักดิ์สิทธิ์หายสาบสูญไปหนึ่งปีก่อน”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงชำเลืองมองเทพธิดาปิงอี๋ก่อนพูดขึ้น “ศิษย์จะลงไปตามหาเอง พาผู้ศักดิ์สิทธิ์กลับนิกาย เพื่อศึกษาคัมภีร์นิกายสวรรค์ใหม่”

ใบหน้าเฉยเมยของนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงปรากฏความสับสน “หมายความว่าอย่างไร”

“หลังจากเขาเข้าสู่ยุทธภพ ภายในปีนั้นเขาได้สร้างความสัมพันธ์กับหญิงสาวไว้นับร้อย”

ใบหน้าเย็นชาของนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกระตุกเล็กน้อย

นักบวชหญิงพูดอย่างเย็นชา “องค์เทพ จะเป็นการดีกว่าหากตัดขาดผู้ศักดิ์สิทธิ์กับเทพธิดาแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ จะดียิ่งกว่าหากขับไล่คนชั่วช้าสองคนนั้น”

องค์เทพไม่พูดอะไรต่อ ลดคิ้วลงและหลับตาเสมือนกลับสู่ห้วงนิทราตามเดิม

………………………………………………

[1] ยามอู่ คือเวลา 11:00 ~ 13:00

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด