ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 509 ศัตรูครึ่งตัว
บทที่ 509 ศัตรูครึ่งตัว
สวี่ชีอันหันหน้าไปมองมู่หนานจือเป็นเชิงถามความเห็น
คนหลังส่ายหน้าแล้วยิ้มหวานหยด
นางมีความสุขยิ่งที่สวี่ชีอันมักจะให้ความเคารพกับนางมากที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องถามความเห็นของนาง สำหรับมู่หนานจือแล้ว เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ใหม่และไม่เคยมีมาก่อน
นางรู้สึกว่าตนได้รับความสำคัญ และรู้สึกว่าอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกันกับเขา ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบอยู่ใต้บัญชาของเขา
“ขออภัย เราเดินทางตะลอนกันไปทั่ว เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางยิ่ง จึงไม่อยากย้ายไปที่ใดแล้ว”
สวี่ชีอันปฏิเสธหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีฟ้าคราม
คิ้วเรียวละเอียดอ่อนขมวดมุ่น จากนั้นจึงหยิบแท่งทองกลับมาโดยไม่พูดอะไร ก่อนหันกายจากไป
“วันนี้ถึงเจ้าไม่ย้ายก็ต้องย้าย!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเยือกเย็นดังขึ้น ชายหนุ่มรูปงามที่สงสัยว่าน่าจะเป็นเจ้าแห่งตำหนักมังกรตงไห่ เดินข้ามธรณีประตูมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
เขาสวมชุดสีดำปักดิ้นเงินดิ้นทอง เครื่องประดับหยกส่งเสียงกระทบกัน ความสูงส่งหรูหราพุ่งทะลุออกมา
สวี่ชีอันกวาดตามอง เขาเห็นจุดที่ผิดกฎหมายบนตัวชายคนนั้นสามแห่งเป็นอย่างต่ำ
ถ้าตอนนี้ข้ายังเป็นฆ้องเงินอยู่ล่ะก็ คนผู้นี้คงโดนรวบไปแล้ว…เขาลอบขมวดคิ้ว ท่าทีของ ‘ผู้ครองวัง’ ผู้นี้ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจ จึงเอ่ยตอบเสียงราบเรียบไปว่า
“หากไม่ย้ายแล้วจะทำไม”
มุมปากของชายหนุ่มรูปงามยกขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “จู๋เอ๋อร์ สั่งสอนเขา”
สตรีในชุดกระโปรงสีครามลงมือโดยไร้สัญญาณเตือน อาวุธลับสองชิ้นถูกขว้างไปหาสวี่ชีอัน และขณะเดียวกับที่เขาเบนศีรษะเพื่อหลบ หญิงสาวงดงามผู้นี้ก็ชกกำปั้นหนักๆ เข้าหาสวี่ชีอันด้วยการเคลื่อนไหวราวกับกระต่าย
แรงหมัดส่งเสียงกรีดอากาศ
ทันใดนั้นนางก็ร้องเสียงแหลมออกมา หมัดเพิ่งมาได้ครึ่งทาง ร่างกายก็ราวกับไร้แรง ฝีเท้าซวนเซ ยืนได้ไม่มั่นคง
“หลอมปราณขั้นสูงสุด ยังด้อยไปหน่อย”
สวี่ชีอันแค่นเสียง เพียงสะบัดเท้าก็เตะหญิงสาวกระเด็นออกไป นางกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรงจนร่างกายสั่นสะท้าน ต้องกุมเอวเอาไว้ ใบหน้าน้อยซีดขาวราวกับกระดาษ เหงื่อเย็นหลั่งออกมาจนชุ่ม
จอมยุทธ์ขั้นหลอมปราณแทบจะไร้กำลังต่อกรกับเขาอยู่แล้ว เขารวมอากาศแล้วหายใจเอาไอพิษไร้สีไร้กลิ่นออกมา เท่านี้ก็ทำให้ขั้นหลอมปราณเป็นอัมพาตได้ง่ายๆ โดยไร้สัญญาณเตือน
ตู๋กู่สามารถสร้างพิษออกมาได้ตามแต่สภาพแวดล้อม เมื่อรวมกับอากาศก็จะสร้างพิษไร้สีไร้กลิ่นออกมา ผลลัพธ์อาจจะด้อยไปหน่อย เพราะแค่ทำให้เป็นอัมพาต แต่ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนลี่กู่ก็มาช่วยเสริมพลังให้เขาได้อย่างมาก เมื่อครู่ยังออมมือให้ ไม่อย่างนั้นแค่สะบัดเท้าครั้งเดียวก็คงตัดเอวของหญิงในชุดครามผู้นี้ได้แล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มในชุดดำกลับไม่โกรธ ทว่าดีใจเสียอย่างนั้น เขาปรบมือร้องบอกว่า
“สุดยอด สุดยอดมาก!”
ตอนนี้เอง เสียงแหบพร่าของหญิงสาวที่ฟังดูเยือกเย็นก็ดังขึ้น “คุณชายหลี่ ท่านสร้างเรื่องอีกแล้ว”
นอกประตูมีสตรีผู้งดงามชวนตะลึงผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวและเสื้อคลุมลายกิ่งไผ่สีขาวนวล ให้ความรู้สึกสงบและสง่างามแบบหญิงสาวผู้บำเพ็ญตบะ
“พี่ชิงมาได้จังหวะพอดีเลย”
ชายหนุ่มรูปงามในชุดดำปักดิ้นเงินดิ้นทองดูสูงส่งหรูหราชี้ไปยังสวี่ชีอันแล้วเอ่ย
“จู๋เอ๋อร์เกลี้ยกล่อมเขาด้วยคำพูดดีๆ เพื่อเชิญให้เขาออกจากเรือนแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอม ทั้งยังลงมือทำร้ายคนอีก จู๋เอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้าจึงเจ็บขนาดนี้”
พูดตามตรง รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มแสนสง่างามผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่สวี่ชีอันเคยพบเห็นมา
เมื่อเอ่ยถึง ‘ความสง่างามละเอียดอ่อน’ ก็ยังมีสวี่เอ้อร์หลางก็พอจะเทียบกับเขาได้
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘พี่ชิง’ ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองพินิจสวี่ชีอันก่อนจะเอ่ย
“เหตุใดท่านถึงทำร้ายคน”
ดูเหมือนว่าจะต้องให้ความเคารพกับสตรีผู้นี้…สวี่ชีอันกำลังจะเอ่ยปากอธิบาย ใครจะรู้ว่าชายในชุดดำผู้นั้นจะชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน เขาเข้าไปใกล้หูของหญิงสาวสง่างามเย็นชาแล้วพูดเสียงเบา
“ข้าอยากพักที่นี่ ที่นี่สงบเงียบกว่า ทิวทัศน์ก็ดีที่สุด ตอนกลางคืนหากได้พูดคุยร่ำสุรากับพี่ชิง จะต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ”
ดวงหน้าขาวสล้างของสตรีผู้เย็นชาสง่างามเกิดสีแดงเรื่อขึ้น เพิ่มเสน่ห์ให้กับความเย็นชาขึ้นไปอีก
สมกับเป็นหญิงงามที่หายาก
ดวงตางามล้ำของนางเบิกโต ท่าทีเปลี่ยนไป นางเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้ารีบย้ายออกไปตอนนี้เสีย เรื่องทำร้ายคนข้าจะไม่เอาความ ไม่อย่างนั้น…”
สวี่ชีอันเอ่ยขัดเสียงเย็น “ไม่อย่างนั้นจะทำไม”
แม้ว่าอยู่ในยุทธภพจะสบายใจ แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่เมื่อพูดจาไม่ถูกหูก็จะลงไม้ลงมือกัน ช่างชวนให้ปวดหัวโดยแท้
บางครั้งเพียงคำพูดไม่ถูกใจไม่กี่คำหรือเพียงแค่ประสานสายตากัน เท่านั้นก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจและอาจทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกันยกใหญ่ได้
เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพ หากมีคนไร้สมองกระโดดออกมาหาเรื่องก็อย่าได้ตกใจไป เพราะนี่เป็นเรื่องพื้นฐาน
สำหรับคนที่คลุกคลีอยู่ในเมืองหลวงเช่นสวี่ชีอัน เรื่องนี้เป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้และยังต้องใช้เวลาปรับตัวอีกพักหนึ่ง
สตรีผู้เยือกเย็นแค่นเสียง “รับมือข้าสิบกระบวนท่า หากไม่ตายค่อยว่ากัน”
นางกดมือไว้บนบ่าแล้วสะบัดมือแรงๆ จนเกิดเสียงลมดัง ‘พรึ่บพรั่บ’ เสื้อคลุมลายไผ่สีขาวนวลบินวนไปยังสวี่ชีอัน
เสื้อคลุมค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา มันไม่ได้ปกคลุมสวี่ชีอัน เขาไปโผล่อยู่ใต้ร่มไม้ที่ห่างออกไปสองจั้งล่วงหน้าก่อนแล้ว
สตรีเยือกเย็นผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นที่ตำแหน่งเดิมของเขาซึ่งอยู่ข้างกายมู่หนานจือ จากนั้นก็ยื่นมือไปคว้าเสื้อคลุมแล้วหันหน้าไปมองสวี่ชีอันที่อยู่ใต้ร่มไม้
เรียวคิ้วงามสล้างเลิกขึ้น “คนจากเผ่าพันธุ์กู่แห่งซินเจียงตอนใต้อย่างนั้นหรือ?”
ตะปูสำนักพุทธที่ตอกไว้บนจุดไป่ฮุ่ยของเขาเพื่อผนึกจิตเดิมเอาไว้ ทำให้เขาสูญเสียสัญชาตญาณระวังภัยของจอมยุทธ์ไป แต่มันไม่ได้ส่งผลต่อการคาดการณ์ของเขา ชั่วขณะที่หญิงสาวผู้เยือกเย็นลงมือ เขาก็กระโดดข้ามเงาล่วงหน้าก่อนแล้ว
“หนานจือ เข้าไปอยู่ในห้อง”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ
พระชายาเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างเชื่อฟัง ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของนางนั้นดีเยี่ยมมาเสมอ จึงไม่มีทางรั้งอยู่เป็นตัวถ่วงแน่
หญิงงามไม่ได้ขัดขวาง เมื่อมู่หนานจือกลับเข้าไปในห้อง นางก็พุ่งเข้าไปหลายก้าว โดยเหยียบอิฐเขียวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าแล้วกลายเป็นภาพเงาพุ่งเข้าหาสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันใช้การกระโดดทะลุเงาอีกครั้งแล้วไปปรากฏตัวอยู่ใต้ชายคา ร่างของเขาเพิ่งจะวาบปรากฏออกมาก็ถูกหญิงงามจับตำแหน่งได้ก่อนล่วงหน้าแล้ว
สายลมเบาสบายพัดโชย หญิงงามสง่าผู้นี้ลงมือได้ดุเดือดยิ่ง ชายกระโปรงตลบขึ้น หัวเข่าอันน่าสะพรึงพุ่งพรวดเข้ามา
สวี่ชีอันหน้าไม่เปลี่ยนสี มือซ้ายพยายามกดหัวเข่าของนางไว้ ส่วนมือขวาก็กลายเป็นกรงเล็บวิชาเต้าหู้หมัก
หญิงงามเลิกคิ้ว ใบหน้าเย็นชายิ่งปกคลุมด้วยความเยือกเย็นกว่าเดิม นางกำหมัดแน่นแล้วชกไปที่ใจกลางฝ่ามือ
‘พลั่ก!’
สวี่ชีอันกระเด็นออกไปกระแทกกับบานประตูเข้าสู่ห้องข้างใน ร่างกายของเขาพลันหายวับทันใด และที่ใต้เงาไม้ ร่างของใครคนหนึ่งก็พุ่งออกมา ก่อนจะหายไปอีกครั้ง
ที่ใต้โต๊ะ เงาคนพุ่งออกมา ก่อนจะหายไปอีกครั้ง
ในร่มเงาด้านหลังชายในชุดดำ มีเงาคนพุ่งออกมา แล้วก็หายไปอีกครั้ง
เงาร่างของสวี่ชีอันไปปรากฏอยู่ในเงาภายในลานเรือนอย่างต่อเนื่องในท่วงท่ากลับหัว หลังจากหายวับและปรากฏเช่นนี้สิบกว่าครั้ง ในที่สุดก็สลายพลังแปลกประหลาดน่าสะพรึงของหญิงงามไปได้
‘ตึง ตึง ตึง’…สวี่ชีอันถอยหลังติดต่อกันเพื่อสลายพลังสายสุดท้าย เขามองไปยังสตรีชุดเขียวใต้ชายคา ใบหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา
จอมยุทธ์ขั้นสี่ ไม่สิ ขั้นสี่สูงสุด เป็นจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงไม่ต่างจากหยางเยี่ยนและเจียงลวี่จง
ผิงโจวเล็กๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงมีจอมยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดมาปรากฏตัวได้?
แถมยังต้องให้ข้ามาเจอนางด้วย ยิ่งกว่านั้นก็ดันมีเรื่องขัดแย้งกับข้าอีก…สวี่ชีอันลอบก่นด่าอยู่ในใจ ภายนอกยังวางท่าเยือกเย็นและมองหญิงงามใต้ชายคานิ่งๆ
นางค่อยๆ ยกมือขึ้น หลังมือเปื้อนสีดำอมเขียวอยู่หนึ่งชั้นแบบที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า ปราณสีดำพันวนล้อมผิวสีขาวสล้างและมีท่าทีจะแพร่ขึ้นไป
ใต้ผิวเนื้อมีแผงเส้นเลือดสีดำอมเขียวนูนเด่นออกมา
พลังปราณร้อนผ่าวสาดลงมา มันพยายามขจัดพิษนั่นออกจากร่างกาย ปราณสีดำอมเขียวและพลังปราณร้อนผ่าวอยู่ในภาวะชะงักงันแบบที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
“พี่ชิง ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มสูงศักดิ์ชุดดำเผยสีหน้ากังวลใจ ท่าทางรักหยกถนอมบุปผาอย่างยิ่ง
“อย่าเข้ามา!”
หญิงงามตวาดลั่น จากนั้นหว่างคิ้วและแววตาก็อ่อนโยนลง นางเอ่ยเสียงเบาว่า “พิษนี้รุนแรงยิ่ง”
สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก ช่วงนี้เขากลืนพิษของศพโบราณที่ถูกกลั่นมาแล้ว ตู๋กู่จึงเลื่อนไปอีกระดับขั้นที่อยู่สูงมากทีเดียว
แน่นอนว่ายังห่างชั้นจากพิษถึงตายขั้นสี่สูงสุดอยู่ แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างผลด้านลบให้นางอย่างใหญ่หลวงแล้ว เช่นเดียวกับตอนนี้ที่บีบให้นางต้องโคจรปราณเพื่อขับพิษ
นอกจากนั้น เขายังปิดบังสัญชาตญาณระวังภัยของจอมยุทธ์ได้ด้วยการใช้พลังเคลื่อนย้ายดวงดาวของเทียนกู่
ชายหนุ่มชุดดำมองไปที่สวี่ชีอันด้วยความเกลียดชังแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ข้าจะไปหาพี่หรง”
“ไม่ต้องสู้แล้ว”
หญิงงามขมวดคิ้วราวกับคัดค้านต่อเรื่องนี้อย่างยิ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ไปเถอะ”
หญิงงามเดินตรงออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองสวี่ชีอัน
แม้ว่าจะถูกพิษ แต่อย่างมากก็แค่ลำบากเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บ และยิ่งไม่ถึงขั้นเสียชีวิตด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่านางกลัวชายหนุ่มชุดครามใบหน้าธรรมดาคนนี้ แต่เป็นเพราะรู้จังหวะหยุด
อย่างแรก อีกฝ่ายแสดงพลังที่น่านับถือออกมาแล้ว แค่เรือนแห่งเดียว ไม่จำเป็นต้องสู้จนตกตายกันจริงๆ
อย่างที่สอง ที่นี่คือโรงเตี๊ยมและอยู่ในเมืองผิงโจว ถ้าจะปล่อยตัวปล่อยใจแล้วสู้ตายกันจริงๆ ก็จะทำให้หลายคนโดนลูกหลงไปด้วย
สุดท้าย ความจริงทั้งสองฝ่ายต่างก็ยับยั้งตัวเองมาโดยตลอด นางยอมปล่อยให้หญิงสาวคนนั้นกลับเข้าห้อง ส่วนชายในชุดครามก็ไม่ได้ฉวยโอกาสโจมตีคุณชายหลี่
ชายในชุดดำจ้องสวี่ชีอันเขม็งแล้วสาวเท้าเดินตามหญิงงามไปพร้อมเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“พี่ชิง เจ็บหรือไม่ ข้าจะดูดพิษออกให้ท่าน”
…
ทั้งคู่เดินมาพักหนึ่งแล้วเข้าไปในเรือนที่อยู่ไม่ไกล เรือนแห่งนี้ใหญ่กว่า แต่ยังประณีตงดงามไม่พอ ของประดับและข้าวของเครื่องใช้ล้วนเทียบไม่ได้กับหย่าชี่ซวนที่ชายแสนธรรมดาคนนั้นพักอยู่
ในห้องนั้นกว้างขวาง เถ้าสีเงินไร้ควันลุกโชน เปลวไฟสีแดงสดเริงระบำ
บนตั่งนุ่ม สตรีเปี่ยมเสน่ห์ผู้หนึ่งนั่งพับขาอยู่ นางสวมชุดผ้าโปร่งบางเบาคลุมทับชุดชั้นในสีชมพูอมขาวที่ยาวถึงต้นขาเท่านั้น
ชุดชั้นในนูนขึ้น เผยให้เห็นผิวเนื้อสีขาวละเอียดอ่อนรำไรที่เก็บซ่อนภาพอันงดงามเอาไว้
หญิงงามทรงเสน่ห์เหลือบมองมือขวาที่มีสีดำอมเขียวของน้องสาวแล้วหัวเราะคิกคัก
“วันนี้ข้าทำนายให้เจ้าแล้ว จึงรู้ว่าเจ้าเกิดเรื่อง”
หญิงงามแค่นเสียงเย็น
นางไม่สนใจพิษในร่างของตัวเอง ตรงกันข้าม เมื่อนางเห็นขาสีขาวราวหิมะของพี่สาวเกี่ยวเอวของชายหนุ่มรูปงาม นางก็เอ่ยเสียงไม่พอใจและกล่าวเตือนว่า
“คืนนี้เขาเป็นของข้า”
หญิงงามทรงเสน่ห์หัวเราะแค่นเสียง นางกล่าวเสียงนุ่มว่า “คุณชายหลี่ ข้ากับชิงเอ๋อร์ ท่านชอบใครมากกว่ากันหรือเจ้าคะ”
ชายชุดดำเหลือบมองทางซ้ายแล้วมองมาทางขวา ก่อนหัวเราะร่า “ฝ่ามือและหลังมือล้วนเป็นเนื้อเช่นกัน ขาดไปไม่ได้แม้สักอัน ขาดใครไปไม่ได้เด็ดขาด”
นิ้วเรียวดุจหยกของหญิงงามทรงเสน่ห์จิ้วที่ทรวงอกออกของเขาแล้วเอ่ยเย้า “ไหลลื่นนัก”
ผ่านไปพักหนึ่ง นางก็เอนพิงอ้อมแขนของชายรูปงามแล้วเหลือบมองน้องสาว หัวคิ้วขมวดมุ่น “คนที่พักอยู่ในเรือนนั้นคือใครหรือ”
หญิงงามสง่าส่ายหน้า “เขาใช้วิธีของเผ่าพันธุ์กู่ แต่กลับเป็นคนจากภาคกลาง”
หญิงงามเปี่ยมเสน่ห์เม้มริมฝีปากแดงสดแล้วเอ่ยเสียงขรึม “วิชากู่ของเผ่าพันธุ์กู่ไม่เคยเผยแพร่สู่ภายนอก ในฝักฝ่ายทั้งเจ็ด การแบ่งแยกสายนั้นเข้มงวดอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นคนภาคกลาง”
หญิงงามสง่าหน้าบึ้งตึง “ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ ครั้งนี้เราออกมาเพราะเรื่องสำคัญ พยายามอย่าไปข้องเกี่ยวกับคนที่ไม่เกี่ยวข้องเถอะ”
ชายในชุดดำโอบเอวอวบอิ่มของพี่สาว แล้วมองไปยังผู้เป็นน้องสาวก่อนเอ่ยขึ้น “กลัวก็แต่จะเป็นคนที่ไป ‘ทางเดียวกัน’ เท่านั้นล่ะ”
…
หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไป สวี่ชีอันก็พามู่หนานจือไปเดินเล่นในตลาดและซื้อเครื่องลายครามจำนวนมาก เขาทำเหมือนว่าตัวเองเป็นเครื่องค้นหาชีพจรมังกร เมื่อผ่านยามบ่ายไปกลับยังหาไม่พบเจ้าของชีพจรมังกร
เรื่องนี้ทำให้เขาออกจะรู้สึกผิดหวัง
ก่อนยามพลบค่ำ ทั้งคู่ก็กลับมายังโรงเตี๊ยม มู่หนานจือมีท่าทีเปี่ยมพลัง ท่าทางยังไม่หนำใจ
เดิมทีทั้งสองนอนคนละท้อง แต่เนื่องจากตอนกลางวันเกิดเหตุพิพาทขึ้น พระชายาจึงกลัวอีกฝ่ายจะมาเอาคืนยามดึก ดังนั้นจึงมานอนห้องเดียวกับสวี่ชีอัน
แต่แยกเตียงนอน
นางห่อตัวด้วยผ้านวมที่ผ่านการตากแดดมาแล้ว โผล่ออกมาเพียงหัวทุยๆ เท่านั้น ดวงตาสีดำขลับจับจ้องไปยังชายที่นั่งพึมพำเงียบๆ ที่โต๊ะ
เขาแทบจะมานั่งครุ่นคิดอยู่ที่โต๊ะทุกๆ สองสามวัน
มู่หนานจือชอบมองตอนที่เขานั่งคิดอยู่ที่โต๊ะ พอมองเขาไปก็ค่อยๆ ตกสู่ห้วงนิทราไปด้วย เช่นนี้จะทำให้นางรู้สึกปลอดภัย
นางเก็บซ่อนความรู้สึกปลอดภัยเล็กๆ นั่นไว้ในใจ ไม่บอกใครทั้งนั้น
ผู้หญิงร้ายกาจคนนี้จะแอบมองข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน…ฉิงกู่ของข้าจะปะทุอยู่แล้ว…เช่นนั้นตอนกลางคืนก็ไปหอนางโลมสักหนเถอะ ไม่ได้สิ คนของตำหนักมังกรตงไห่อยู่ใกล้ๆ นี่เอง…สวี่ชีอันพร่ำบ่นอยู่ในใจ
การต้องอดทนกับฉิงกู่ทำให้เขานึกถึงคืนวันอันแสนลำบากในชาติก่อน ลบภรรยาที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ออกจากกรุ๊ปแชทที่มักจะส่งภาพเซ็กซี่มาให้ทั้งหมด และงดมีเซ็กส์
วันนี้เมื่อเห็นสองศรีพี่น้องผู้งดงามระดับแนวหน้าคู่นั้น ก็เหมือนได้เห็นภาพเซ็กซี่ ความคิดที่อยากจะสยบเอาไว้ก็พุ่งพรวดขึ้นราวกับอัสนีฟาดลงมาจากฟ้า
“แต่จะว่าไป ข้าควรไปใช้เงินเหมือนน้ำที่หอนางโลมและสำนักสังคีตจริงๆ แล้ว ฉิงกู่จะสยบเอาไว้ตลอดไปไม่ได้ เจ็ดยอดกู่คือหนึ่งเดียวกัน ตู๋กู่ใกล้จะถึงคอขวดแล้ว หากอยากจะเลื่อนขั้นอีกระดับ กู่ชนิดอื่นๆ ก็ต้องเลื่อนตามไปด้วย มิเช่นนั้นตู๋กู่กับซือกู่ก็ยากจะเติบโต โชคดีที่ผลข้างเคียงของซินกู่และซือกู่แค่ทำให้ปรมาจารย์กู่ชอบคลุกคลีกับสัตว์และศพเท่านั้น แต่งานรื่นเริงที่มีศพคู่กับสัตว์นั้นเป็นเรื่องที่ยืดหยุ่นได้…ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน ภายในสามเดือนจะต้องหล่อเลี้ยงเจ็ดยอดกู่ให้ถึงระดับที่จะต่อกรกับยอดฝีมือขั้นสี่ให้ได้”
หลังจากตั้งเป้าหมายแล้ว สวี่ชีอันก็หันหน้าไปมองมู่หนานจือ นางหลับสนิทไปแล้ว
สวี่ชีอันลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินไปข้างเตียง เขามองดูใบหน้าธรรมดาๆ ของหญิงงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง จากนั้นก็แทรกตัวลงไปใต้เตียง
เฮ้อ…คนแซ่สวี่ผู้ชอบของฟรีถอนหายใจออกมา รู้สึกว่าตนได้พบบ้านแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจก็พลันปลอดโปร่งโล่งสบาย
“อืม ตอนนี้สามารถสรุปได้อีกอย่าง การใช้วิชากู่บางชนิดมากเกินไปจะทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ จู่ๆ ข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกครั้งที่ลี่น่าต่อสู้เสร็จก็จะต้องกินอาหารมื้อใหญ่”
สวี่ชีอันหลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนหวาน
ในเรือนที่อยู่ไม่ห่างไกล ในห้องนอนที่อบอุ่นราวกับวสันต์
ชายหนุ่มรูปงามที่ทางด้านซ้ายขวามีเรือนร่างอันบอบบางนุ่มนวลลืมตาขึ้นมา เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เอว จากนั้นก็ถอนหายใจแผ่วแล้วจมอยู่ในห้วงนิทราแสนหวานต่อไป
…
ท่ามกลางความมึนงง สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกเขาจึงพลันตกใจตื่นขึ้นมา เขาคลานออกมาจากใต้เตียงและเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม เขาสวมเสื้อคลุมสีดำปักดิ้นเงินและทอง มีท่าทางสูงส่งหรูหรา
เมื่อเห็นเขาคลานออกจากใต้เตียง ชายหนุ่มรูปงามก็พยักหน้าคำนับ
“ท่านจอมยุทธ์ โปรดช่วยข้าด้วย”
น้ำเสียงของเขาจริงใจและต่างจากท่าทางเบ่งอำนาจที่แสดงออกมาเมื่อตอนกลางวัน ราวกับเป็นคนละคน
เขาเข้ามาได้อย่างไร?
ข้ากลับไม่รู้ตัวเลย…สวี่ชีอันเก็บซ่อนเอาไว้ในใจ สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา
“พบกันโดยบังเอิญ เป็นข้าที่สะเพร่าเอง”
“ท่านจอมยุทธ์ ดีร้ายอย่างไรก็ฟังข้าพูดให้จบก่อนเถิด”
ชายในชุดดำยิ้มขมขื่นแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ นามหลี่หลิงซู่”
“???”
สวี่ชีอันคล้ายจะควบคุมสีหน้าของตัวเองไม่อยู่ บนใบหน้ามีแต่เครื่องหมายคำถาม
เทพบุตรจากนิกายสวรรค์? เขาคือศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของหลี่เมี่ยวเจินน่ะ? เอ่อ เหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินหลี่เมี่ยวเจินบอกว่านางมีศิษย์พี่คนหนึ่งที่ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกนี่นา…ตะ…แต่ว่านี่มันจะบังเอิญเกินไปไหม ดันมาเจอกับศิษย์พี่ของหลี่เมี่ยวเจินที่นี่เสียได้
สวี่ชีอันมองเขาอย่างเฉยเมย “ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย”
หลี่หลิงซู่เอ่ยอย่างจริงใจ “ตอนนี้เจ้าอยู่ในแดนฝัน ข้าเข้าสู่ความฝันโดยใช้พลังของจิตเดิม ลองคิดดูสิ หากไม่ใช่ศิษย์ของลัทธิเต๋าแล้ว จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
สมแล้วที่ข้าไม่รู้ตัวว่าเขาเข้ามา ที่แท้ก็เข้าสู่ฝันผ่านจิตเดิมนี่เอง…สวี่ชีอันเอ่ยเถียง
“พ่อมดก็ทำได้ ทั้งยังเชี่ยวชาญยิ่งกว่าด้วย”
หลี่หลิงซู่บื้อใบ้ไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเอ่ยว่า
“หากเป็นพ่อมดก็สามารถทำนายเคราะห์ดีร้ายของตัวเองได้ทุกวันไปแล้ว คงไม่ตกอยู่ในมือของสองพี่น้องนั่นหรอก”
สวี่ชีอันเลิกคิ้วกล่าว “หรือว่าคนงามสองคนนั้นไม่ใช่คนรักของเจ้า”
“นางทั้งสองคนเป็นคนรู้ใจของข้าจริงๆ แต่พอข้าอยู่ข้างกายพวกนางกลับไม่มีอิสระ ทั้งยังไม่มีความสุข ถึงขั้นเจ็บเอวเล็กน้อยด้วย…”
นี่เจ้ากำลังอวดใครอยู่น่ะ? สวี่ชีอันใบหน้ากระตุก เขาเอ่ยเสียงขรึม
“พูดมา มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะพิจารณาดูว่าจะช่วยดีหรือไม่ อีกอย่าง ทำไมต้องมาหาข้าด้วย ตอนกลางวันเจ้ายังหาเรื่องข้าอยู่เลยมิใช่หรือ”
…………………………………………………………
Comments