ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 570 จดหมายห้าฉบับ

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 570 จดหมายห้าฉบับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 570 จดหมายห้าฉบับ

หลี่หลิงซู่เองก็อยากออกไปข้างนอก เขาจึงรีบไล่ตามไป ตั้งใจว่าจะออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับสวี่ชีอัน

“เจ้าดูโอหังเกินไปแล้ว” สวี่ชีอันยกมือขึ้นเตือน

‘เพราะเสน่ห์เจ้ากรรมของข้าอีกแล้ว’ หลี่หลิงซู่พึมพำในใจด้วยความเคยชินพลันสำลัก เขามองแผ่นหลังของสวีเชียนอย่างท้อใจ

“ท่านอาวุโส ข้ายังไม่ได้รวบรวมเสื้อผ้าสำหรับปลอมตัวเลย”

เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นสวีเชียนโยนของบางอย่างมา หลังจากยื่นมือไปรับ เขาก็พบว่ามันคือถุงผ้าแพรปักลายดอกกล้วยไม้

ราชาแห่งท้องทะเลเฒ่าจมูกกระตุก เขามั่นใจว่านี่คือของใช้ส่วนตัวของผู้หญิง

“อุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของหรือ”

หลี่หลิงซู่ตาเป็นประกาย สีหน้าเริงร่า

ในฐานะเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ เดิมทีเขามีอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญจากอาจารย์ของเขา อีกชิ้นหนึ่งคือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

อุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของของอาจารย์นั้นถูกสองพี่น้องตงฟางยึดไป ส่วนเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็มอบให้ศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจินผู้ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปแล้ว

“ขอบคุณท่านอาวุโสมาก”

หลี่หลิงซู่ดีใจเป็นล้นพ้น ต้องรู้ว่าอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของนั้นมีความสำคัญมากในการท่องยุทธภพ

แต่อุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของราคาแพงเกินไป ต่อให้เป็นเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ การสูญเสียอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของไปหนึ่งชิ้นก็เป็นทุกข์เช่นกัน

มีเพียงโหรเท่านั้นที่สามารถผลิตสิ่งนี้ได้

“ในนั้นมีหมวกคลุมหน้าอยู่” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ

หลี่หลิงซู่หยิบหมวกคลุมหน้าจากในถุงผ้าแพรออกมาสวม เขาถือโอกาสแอบมองหน้าตาของสวีเชียนและฉุกคิดในใจ

โฉมหน้าที่แท้จริงของสวีเชียนเป็นใครกันแน่

“ท่านอาวุโส นี่ไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของท่านสินะ” หลี่หลิงซู่หยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

ก่อนหน้านี้เขาตระหนักได้ว่าสวีเชียนเชี่ยวชาญด้านการปลอมตัว ดังนั้นรูปลักษณ์ภายนอกอันแสนธรรมดานี้จึงอาจไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

แต่เขาไม่มีหลักฐานและเทพบุตรก็ไม่สนใจเรื่องนี้

จนกระทั่งเมื่อวานซืนเขาเห็นลั่วอวี้เหิงและเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสาวงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง หลี่หลิงซู่จึงไม่อาจเพิกเฉยได้อีก ตอนนี้เขาตั้งตารอชมโฉมหน้าที่แท้จริงของสวีเชียนอย่างใจจดใจจ่อ

“อย่าค้นหาตัวตนของข้า มันจะไม่เป็นผลดีกับเจ้า” น้ำเสียงของสวี่ชีอันสงบนิ่ง

‘เขากำลังขู่ข้าหรือ’ หลี่หลิงซู่เบ้ปาก “ท่านอาวุโส ข้าคิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันเสียอีก”

เพราะเป็นเพื่อนกัน ข้าจึงไม่อยากให้เจ้าใช้ฝ่าเท้าขุดคุ้ยเรื่องต่างๆ ด้วยความอึดอัดใจหลังจากรู้ตัวตนของข้า…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

เมื่อหวนนึกถึงเทพบุตรที่แสดงเคารพนบน้อมในฐานะรุ่นน้องมาตลอดทางกับท่าทางที่มีรอยคล้ำใต้ตาตอนที่ไตบกพร่อง หากในอนาคตตัวตนของเขาถูกเปิดเผย คนที่จะตายตกทางสังคมก็คือหลี่หลิงซู่

ทั้งสองคนเดินเรื่อยเปื่อยไปบนถนน ระหว่างนั้นสวี่ชีอันก็ถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ตลอด ก่อนจะเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ

หากตรวจสอบบริเวณรอบๆ แล้วมีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยปรากฏตัวใกล้ๆ เขาจะตรวจจับได้ทันที

หลี่หลิงซู่เดินเล่นในสวนโดยเอามือไพล่หลัง เห็นได้ชัดว่ามั่นใจกว่าก่อนหน้านี้มาก

ความมั่นใจนี้ไม่ได้มาจากเสน่ห์ แต่มาจากการฟื้นตัวของตบะ

ทุ่งต้าเจี่ยว ค่ายทหารรักษาเมืองเก่า

จีเสวียนต้อนรับสายสืบระดับสี่คนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบดูแลเมืองยงโจว

“ท่านนี่งานยุ่งจริงๆ นะ”

จีเสวียนถือถ้วยชา เป่าเบาๆ และมองพินิจสายสืบที่สวมเสื้อคลุมและหมวกคลุมศีรษะ

ก่อนหน้านี้ คนที่ติดต่อพวกเขาคือสายสืบระดับสี่แห่งจางโจว เนื่องจากผู้คนถูกบีบให้โอ้อวดดินแดนและทำงานเพราะสายสืบแห่งยงโจวมีงานรัดตัว เขาจึงไม่มีเวลามาจัดการเรื่องของสำนักพุทธกับสวีเชียน

สายสืบหัวเราะ สายตากวาดมองสวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวที่อยู่อีกด้านและพูดว่า “ข้าคือ ‘เฉิน’ หนึ่งในสายสืบระดับสี่ทั้งสิบสาม อันที่จริง เรื่องที่ข้าตรวจสอบเมื่อเร็วๆ นี้มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสวีเชียน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของสองพี่น้องก็เปลี่ยนไป สวี่หยวนไหวกัดฟันแน่นไอรีนโนเวล

ดวงตาของจีเสวียนเป็นประกาย

“ก่อนที่เหลยโจว สวีเชียนเคยมาที่ยงโจว เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่วังสุสานใต้ดินนอกเมืองยงโจว…”

สายสืบเฉินเล่าเรื่องความวุ่นวายที่วังสุสานใต้ดินในวันนั้นให้จีเสวียนกับสองพี่น้องตระกูลสวี่ฟังอย่างละเอียด

“ต่อมา ตระกูลกงซุนกับป้อมปราการหลงเสินก็ได้ปิดล้อมวังสุสานใต้ดิน เพื่อไม่ให้ใครเข้าใกล้ จากข่าวลือคือตระกูลกงซุนกับป้อมปราการหลงเสินร่วมมือกันไปกอบโกยสมบัติที่อยู่ข้างใน ข้าแอบไปสอบถามมามากมาย พบว่าในคืนที่ตระกูลกงซุนไปสำรวจวังสุสานใต้ดินมีคนชื่อสวีเชียนอยู่ด้วย”

จีเสวียนหรี่ตาและกล่าวช้าๆ “ตระกูลกงซุนรู้จักสวีเชียนมานานแล้ว”

สวี่หยวนไหวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เขากล้าหลอกพวกเรา พี่เจ็ด ข้าจะไปบ้านตระกูลกงซุนเดี๋ยวนี้”

จีเสวียนยกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้อย่าวู่วามและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นที่วังสุสานใต้ดิน”

สายสืบเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ซึ่งความกลัวเล็กน้อย

“เหตุผลที่ข้ามาพบพวกเจ้าในตอนนี้ก็เพราะข้ากำลังสืบเรื่องวังสุสานใต้ดินอยู่ มันเป็นสุสานโบราณที่ก่อจากหินชิงกัง เก่าแก่เกินกว่าจะจินตนาการได้ ข้างในมีซากศพโบราณถูกปิดผนึกไว้”

‘ซากศพโบราณหรือ’

จีเสวียนขมวดคิ้ว “อันตรายมากหรือ”

สายสืบเฉินพยักหน้า “ข้ารายงานกับเจ้าตำหนักแล้ว คำตอบของเขาคืออย่ายุ่งเรื่องคนอื่น นอกจากนี้ เจ้าตำหนักยังพูดอีกว่า นี่จะช่วยไขข้อสงสัยให้เขา”

ส่วนข้อสงสัยคืออะไร สายสืบไม่ได้บอก เพราะเขาก็ไม่รู้เช่นกัน

สวี่หยวนซวงผู้ชาญฉลาดขมวดคิ้วเล็กน้อย “พฤติกรรมของตระกูลกงซุนกับป้อมปราการหลงเสินดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล”

ด้วยรูปแบบของกองกำลังยุทธภพ เรื่องนี้ต้องยกให้ทางราชการจัดการและจะไม่ใช้กำลังคนจำนวนมากไปปิดล้อมภูเขาที่วังสุสานใต้ดินตั้งอยู่

ทั่วทั้งยุทธภพต้าฟ่งมีเพียงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวเท่านั้นที่ง่วนอยู่กับการรักษาความสงบเรียบร้อยและเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายในยุทธภพ

“จากข่าวที่ข้าไปสืบมา สวีเชียนเป็นคนบอกให้พวกเขาทำเช่นนั้น”

“สวีเชียนหรือ?!” สวี่หยวนไหวเลิกคิ้วขึ้น

สายสืบพยักหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่ม

เขารู้ตัวตนที่แท้จริงของสวีเชียน เพียงแต่ไม่ได้คิดจะบอกสองพี่น้องนี่ แม้ว่าเจ้าตำหนักจะไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อเรื่องนี้

เหตุผลที่เหล่าสายสืบเก็บเงียบ หลักๆ เพราะมีความกังวลอยู่สองประการ หนึ่ง หากสองพี่น้องมีความรู้สึกดีๆ ต่อพี่ใหญ่คนนั้นและไม่พึงพอใจพฤติกรรมโหดเหี้ยมทำร้ายลูกของพ่อแท้ๆ การบอกพวกเขามีแต่จะเป็นปัญหา

สอง หากสองพี่น้องมีท่าทีไม่เป็นมิตรต่อสวี่ชีอัน ด้วยอุปนิสัยของฆ้องเงินสวี่ พวกเขาถูกตัดหัวแน่นอน แล้วหากสองพี่น้องประสบอุบัติเหตุ เหล่าสายสืบก็คงหนีไม่พ้นความผิด

สวี่หยวนไหวเอ่ยขึ้นทันที “ข้าจะไปบ้านตระกูลกงซุนก่อน”

“ไม่จำเป็น!”

จีเสวียนโบกมือเพื่อหยุดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นของสวี่หยวนไหวและวิเคราะห์ “บางทีนี่อาจจะเป็นการหยั่งเชิงของสวีเชียน หากพวกเราไปที่บ้านตระกูลกงซุน เขาอาจจะตัดสินข้อมูลจำนวนมากได้จากการตอบสนองของเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากเจ้าไม่สามารถขอให้ภิกษุชั้นสูงแห่งสำนักพุทธไปกับเจ้าได้ก็ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย อย่าลืมว่า ข้างกายเขามีโหรระดับสาม ส่วนตระกูลกงซุน ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง”

ขณะที่พูด หลิ่วหงเหมียนก็เดินเข้ามาพลางบิดเอว ดวงตาเป็นประกาย “ตระกูลกงซุนส่งคนมาแจ้งว่า พวกเขาพบเด็กนั่นที่บ่อนพนันลิ่วป๋อ”

‘เด็กนั่น’ คือคนที่ทีมนี้ใช้อธิบายถึงผู้ถูกปราณมังกรอาศัยแห่งชิงโจวคนนั้น

‘ตระกูลกงซุนส่งคนมา’ จีเสวียนถามว่า “มีข้อมูลที่ลงรายละเอียดยิ่งกว่านี้หรือไม่”

“ไม่มี”

“ไปรวบรวมมาเดี๋ยวนี้”

สายสืบเฉินพูดขึ้นทันที “ให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ เมืองยงโจวเป็นอาณาเขตของข้า”

บนซุ้มประตูของจวนกงซุน นกกระจอกตัวหนึ่งยืนนิ่งๆ มองไปทางภูเขาโดยไม่ขยับเขยื้อน

อีกด้านหนึ่ง ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่งในตัวเมือง

สวี่ชีอันกับหลี่หลิงซู่นั่งอยู่ที่โต๊ะ สวี่ชีอันสั่งชาเก๋ากี้ ส่วนหลี่หลิงซู่สั่งชาเขียวอย่างดี

แต่เมื่อเห็นชาเก๋ากี้ของสวี่ชีอัน หลี่หลิงซู่ก็รู้สึกเปรี้ยวปาก

ทั้งสองคนเดินอย่างไร้จุดหมายอยู่หนึ่งชั่วยามโดยไม่ได้อะไรเลย สวี่ชีอันจึงหาโรงน้ำชาเพื่อหยุดพักและอ่านจดหมายที่พวกปลาในบ่อน้ำส่งมา

เขาไม่ได้เลือกฉบับไหนเป็นพิเศษ หยิบจดหมายฉบับแรกที่อยู่ด้านนอกสุดขึ้นมา ลงนามว่า หลินอัน

“สุนัขรับใช้ พี่ชายรัชทายาทได้สืบทอดราชบัลลังก์แล้ว ข้าดีใจจริงๆ เขาสู้ทนมาหลายปี ในที่สุดก็ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร เขาเต็มไปด้วยพลังเชียวล่ะ แถมยังบอกอีกว่าจะปัดเป่าโรคร้ายและทำให้ต้าฟ่งกลับคืนสู่จุดสูงสุดเมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านแม่ไม่ค่อยยินดีนัก เพราะพี่ชายรัชทายาทไม่ยอมปลดจักรพรรดินี เหตุผลคือพรรคพวกของเว่ยเยวียนยังอยู่และพี่ชายรัชทายาทยังต้องการให้พวกเขาทำเรื่องต่างๆ นอกจากนี้สมุหราชเลขาธิการหวางไม่เห็นด้วยกับการปลดจักรพรรดินี อย่างน้อยก็ไม่ควรทำในช่วงสองสามปีนี้”

นางเล่าเรื่องสถานการณ์ภายในท้องพระโรงสองสามประโยค จากนั้นก็เล่าถึงความเป็นอยู่ของนาง

“ตอนนี้ข้าสามารถเดินในวังได้อย่างสง่าผ่าเผยแล้ว อยากออกจากวังตอนไหนก็ได้ เมื่อก่อนคงยากหากข้าจะลอบออกจากวังไปพบเจ้า ทว่าตอนนี้ไร้ข้อจำกัดแล้ว แต่เจ้ากลับไม่อยู่ที่เมืองหลวง ซือมู่กับสวี่เอ้อร์หลางหมั้นหมายกันแล้ว ข้าอิจฉานางจริงๆ…”

คำใบ้ชัดเจนมาก

“เจ้าจะกลับมาที่เมืองหลวงเมื่อไหร่ ฤดูหนาวปีนี้หนาวมาก อย่าลืมสวมเสื้อผ้าหลายๆ ชั้น หากเจอของที่ดูน่าสนุก อย่าลืมซื้อมาให้ข้าด้วย เก็บไว้ก่อนแล้วค่อยมอบให้ข้าตอนกลับมาเมืองหลวง เจ้าสุนัขรับใช้น่ารังเกียจ นี่มันนานมากแล้วนะ จดหมายสักฉบับเจ้าก็ไม่ส่งให้ข้า องค์ชายสี่เซื่องซึมไปเลย เขาไม่มีความหวังอีกแล้ว หึๆ ฮว๋ายชิ่งยังคงเหมือนเมื่อก่อน แต่ตำแหน่งราชการของนางถูกพี่ชายรัชทายาทถอดออก อืม เมื่อก่อนนางเหมือน เหมือน…ข้าจำไม่ได้ว่านางมีตำแหน่งอะไร แต่นางเป็นคนชำระประวัติศาสตร์ ตอนนี้ข้ารังแกนางได้เต็มที่โดยที่นางไม่กล้าสู้กลับเลย”

สวี่ชีอันยิ้ม ใบหน้าดูอ่อนโยน ภาพสาวงามน่าหลงใหลผู้มีใบหน้ารูปไข่และสวมชุดกระโปรงแดงในหัวเขาหายไปในพริบตา

เขาเปิดจดหมายฉบับที่สอง ซึ่งส่งมาจากฮว๋ายชิ่ง

จดหมายของพระราชธิดาองค์โตนั้นเรียบง่ายมาก เริ่มต้นด้วยการทักทายอย่างสุภาพ จากนั้นก็เล่าเรื่องสถานการณ์ภายในท้องพระโรง

ส่วนองค์รัชทายาท ไม่สิ ผลประเมินของจักรพรรดิหย่งซิ่งคือ ลิง

จักรพรรดิหย่งซิ่งถูกบรรดาขุนนางล้อเลียน ถึงเขาจะเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น พยายามกวาดล้างการทุจริตที่สั่งสมมานานในวงราชการและทำให้ต้าฟ่งรุ่งเรือง แต่ระดับของเขายังไม่เพียงพอ หากไม่มีสมุหราชเลขาธิการหวางและผู้ที่จงรักภักดีเพียงไม่กี่คนคอยช่วย ต้าฟ่งอาจจะแย่ยิ่งกว่านี้

เมื่อเทียบกับจักรพรรดิหยวนจิ่งและจักรพรรดิเจินเต๋อแล้ว จักรพรรดิองค์ใหม่ยังเด็กเกินไป

นอกจากการดูหมิ่นจักรพรรดิหย่งซิ่งแล้ว ฮว๋ายชิ่งยังกังวลเรื่องอนาคตของต้าฟ่งมากอีกด้วย ถึงขนาดพูดอย่างไม่แยแสว่า

‘ภายในสองปี ต้าฟ่งจะเผชิญกับบททดสอบแห่งความเป็นความตาย’

นอกจากนี้ นางยังบ่นหลินอันที่ไม่รู้จักกาลเทศะเล็กน้อย คอยมาหาเรื่องนางเสมอ แต่ก็ถูกนางปรามอย่างหนักทุกครั้ง

ไม่รู้จักเหนื่อย

เช่นนี้ฮว๋ายชิ่งกับหลินอันใครโกหกกันแน่ สวี่ชีอันพึมพำ “ราชินีน้อยแห่งไนต์คลับที่น่าสงสารของข้า”

ประสาทดมกลิ่นด้านการเมืองของฮว๋ายชิ่งยังคงเฉียบแหลมและน่ากลัวเหมือนเคย…เขาคิดในใจ

จดหมายฉบับที่สามส่งมาจากฉู่ไฉ่เวย ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกฉู่ไฉ่เวยพูดเรื่องไร้สาระกับเขาและถามเรื่องอาหารเลิศรสทั่วทั้งต้าฟ่ง

นางน่าจะตั้งใจรวบรวมข้อมูลไว้ก่อน หากได้ไปท่องยุทธภพในอนาคต นางจะได้ท่องไปตามรายการอาหาร

แล้วนางก็บ่นเรื่องศิษย์พี่ผู้แปลกประหลาดของนางสองสามคน ตัวอย่างหนึ่ง ซ่งชิงคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่น่ากลัวออกมาอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นก็ถูกท่านอาจารย์โหราจารย์ระงับไป

อีกตัวอย่าง หยางเชียนฮ่วนเกิดความคิดอันกล้าหาญอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นก็ถูกท่านอาจารย์โหราจารย์ระงับไป

อีกตัวอย่างหนึ่ง ในที่สุดศิษย์พี่ซุนผู้ออกไปท่องยุทธภพก็กลับมาแล้ว แต่ทุกคนต่างก็ไม่ชอบพูดคุยกับเขาและไม่ชอบฟังเขาพูดด้วย

วันที่ศิษย์พี่ซุนอยู่ที่สำนักโหราจารย์ บรรดาศิษย์พี่กับศิษย์น้องจะพกพู่กัน หมึกและกระดาษติดตัว หากเจอศิษย์พี่ซุน พวกเขาก็จะยื่นพู่กันกับกระดาษให้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ครึ่งหนึ่งนางไปหาท่านอาจารย์โหราจารย์เพื่อพูดคุยและพบว่ามีพู่กัน หมึกและกระดาษชุดหนึ่งวางอยู่บนแท่นแปดทิศเช่นกัน

ช่วงท้าย นางบอกว่าปีหน้านางต้องไปสอนศิษย์น้องแล้ว นางรู้สึกตื่นเต้นและประหม่ามาก

แต่มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่พอใจนัก เหล่าโหรแห่งสำนักโหราจารย์แอบตั้งชื่อเหล่าศิษย์น้องในอนาคตของนางว่า ชือตัง

ส่วนต่อมาเป็นสารของจงหลี ซึ่งบอกว่านางสบายดีอย่างรวบรัดและถามว่าเขาปลอดภัยดีหรือไม่

“หากเจ้าปลอดภัยดี ท้องฟ้าจะแจ่มใส แต่เมื่อศิษย์พี่ห้าออกจากสำนักโหราจารย์ พายุจะโหมกระหน่ำและเกิดฟ้าแลบฟ้าร้องทันที…”

สวี่ชีอันนึกถึงศิษย์พี่หญิงผู้สวมชุดคลุมเรียบๆ และมักเดินก้มหน้าเสมอ แล้วถอนหายใจในใจ

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสวี่หยวนซวงอีกครั้ง

“หากนางอยากเลื่อนขั้น เกรงว่าคงต้องเผชิญประสบการณ์แบบเดียวกับศิษย์พี่หญิงจง”

จดหมายฉบับที่สี่ส่งมาจากสวี่หลิงเยวี่ย

นางบอกว่านางกลายเป็นศิษย์นอกของนิกายมนุษย์แล้ว แต่นางไม่อยากฝึกตน ดังนั้นนางจึงแทบไม่เคยไปอารามรัตนะเลย

บนจดหมายเขียนเรื่องสัพเพเหระ

“ตั้งแต่ท่านพ่อได้เป็นหัวหน้ากองพัน ก็ซื้อส้มเขียวเป็นระยะๆ ข้ารู้ว่ามันมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น แต่ท่านแม่ก็ทำเมินเฉยเช่นเคย พี่ใหญ่รู้เหตุผลหรือไม่”

น้องสาว เจ้ากำลังหยั่งเชิงข้าหรือ อารองเพียงแค่ไปสังสรรค์ธรรมดาๆ เท่านั้นเอง เจ้าอย่าคิดมากไป จริงสิ เจ้าลองสังเกตดูว่าเอ้อร์หลางซื้อส้มเขียวบ่อยหรือไม่ หากเขาเหมือนกับอารอง ข้าแนะนำให้เจ้าแอบบอกหวางซือมู่…

“เมื่อไม่นานมานี้ฉู่ไฉ่เวยมากินดื่มที่บ้านและมอบยารักษาใบหน้าให้ท่านแม่ ท่านแม่กินไปได้ห้าวันก็ดูอ่อนเยาว์และสวยขึ้นมาก แต่ภายหลังก็ถูกหลิงอินกับลี่น่าขโมยกินจนหมด ท่านแม่ไม่อยากมีลูกสาวแล้ว นางถือไม้กวาดไล่ตีลี่น่ากับหลิงอิน…”

อาสะใภ้ พวกนางเพียงแค่หิวเท่านั้นเอง…สวี่ชีอันปิดหน้าไม่พูดไม่จา

“เมื่อวันก่อน ฮูหยินหวางเชิญข้ากับหลิงอินไปที่บ้านในฐานะแขก ผู้หญิงตระกูลหวางถือตัวว่าสูงส่ง นั่นทำให้ข้าประหม่าและหวาดกลัวมาก พี่ใหญ่รู้กลอุบายของครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยหรือไม่ ข้าไม่รู้เลย จริงสิ หลิงอินไปเรียนที่สถานศึกษาเอกชนของตระกูลหวาง ไม่กี่วันต่อมา ข้าก็ได้ยินว่าอาจารย์ผู้สอนของตระกูลหวางล้มป่วย หลิงอินบอกว่า ตั้งแต่นั้นมาอาจารย์ก็ไม่สนใจนางอีกเลย แต่อาจารย์ของตระกูลหวางแนะนำให้นางไปฟังมหาราชครูสอนพร้อมกับเหล่าพระราชโอรสและพระราชธิดาที่วัง”

อาจารย์คนนั้นแค้นเคืองอะไรมหาราชครูหรือเปล่า ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน

พระราชโอรสและพระราชธิดา หมายถึงหลานชายกับหลานสาวของฮว๋ายชิ่งและหลินอัน

พระราชโอรสเก้าองค์ของจักรพรรดิหยวนจิ่งล้วนแต่งงานมีลูกแล้ว ในบรรดาองค์หญิง องค์หญิงสามแต่งงานมีลูกแล้ว ส่วนอีกสามองค์ยังไม่แต่งงาน

ในตอนท้ายของจดหมาย สวี่หลิงเยวี่ยแสดงความคิดถึงของตัวเองที่มีต่อพี่ใหญ่อย่างสละสลวย

จดหมายฉบับสุดท้ายส่งมาจากสวี่เอ้อร์หลาง

จดหมายกล่าวถึงชีวิตประจำวันของเขาในราชสำนัก บ่นถึงบรรยากาศในวงราชการและรู้สึกกังวลเรื่องความว่างเปล่าของคลังหลวง

สวี่เอ้อร์หลางบอกว่า เขายื่นหนังสือต่อจักรพรรดิหย่งซิ่ง หวังว่าเขาจะบริจาคเงินเพื่อให้เหล่าขุนนางชั้นสูงควักเงินออกมาช่วยเหลือประชาชน

แต่ถูกจักรพรรดิหย่งซิ่งปฏิเสธ

การบริจาคเงินมีประโยชน์อะไร สุดท้ายประชาชนก็ไม่ได้รับเงินเท่าๆ กัน ส่วนคหบดีได้รับเงินคืนเต็มจำนวน! สวี่ชีอันคิดในใจ

“เมื่อเร็วๆ นี้ข้าไปที่บ้านตระกูลหวางอีกครั้งและพบว่าท่าทางของคนตระกูลหวางที่มีต่อข้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ข้าไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลังจากหลิงเยวี่ยไปเป็นแขกที่บ้านตระกูลหวางถึงเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้าคิดว่าเป็นเพราะหลิงเยวี่ยทำให้ทุกคนในตระกูลหวางประทับใจด้วยความอ่อนโยนของนาง พี่ใหญ่ว่าใช่หรือไม่”

เอ้อร์หลาง คำพูดเจ้ามันดูแปลกๆ!

……………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด