ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 631 ลูกเห็นพ่อยังไม่สิ้นจึงลับมีดแผล็บๆ แล้วฟันลงบนตัว (1)

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 631 ลูกเห็นพ่อยังไม่สิ้นจึงลับมีดแผล็บๆ แล้วฟันลงบนตัว (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 631 ลูกเห็นพ่อยังไม่สิ้นจึงลับมีดแผล็บๆ แล้วฟันลงบนตัว (1)

สิ่งที่ตอบรับสวี่ผิงเฟิงคือแสงดาบและประกายกระบี่ที่ฉีกแยกร่างของเขา

เงาร่างของสวี่ผิงเฟิงปรากฏขึ้นในอีกด้านหนึ่งทันที เขายืนเอามือไพล่หลัง และกล่าวด้วยรอยยิ้มท่ามกลางเมฆบางลมสงบ

“เจ้ายังคงดื้อรั้นเหมือนที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ในใจเจ้าหวาดกลัวพ่อมาก ยังแสร้งทำเป็นดื้อรั้นหยิ่งยโส เช่นนี้ก็สามารถแสดงหน้าพ่อว่าตนเองโตได้แล้วหรือ”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น

“วิชาโจมตีใจของท่านแข็งแกร่งมาก ข้าเริ่มโมโหแล้ว”

สวี่ผิงเฟิงยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง ก็ทำสงครามลิ้นอย่างเหยียดหยาม

“ช่างเถอะ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้ายังหลงงมงายโงหัวไม่ขึ้น ข้าก็ไม่บีบบังคับ”

ตั้งแต่ต้นจนจบเขายังคงรักษาท่าทีของผู้มีไข่มุกปัญญาในมือด้วยความสงบ

ราวกับว่าเจ้าฆ้องเงินสวี่ที่ราชสำนักต้าฟ่งหวาดกลัว ทั้งยังถูกยุทธภพให้ความเคารพและยำเกรงผู้นี้ ในสายตาเขาแล้วไม่นับประสาอะไรเลย

แน่นอนว่าความมั่นใจของสวี่ผิงเฟิงมีมากพอ

ไม่ว่าการลงมือเรียกคืนชะตาในเมืองหลวงเมื่อครั้งก่อนจะล้มเหลวก็ตาม ไม่ว่าการปะทะกับลูกคนโตในที่เปิดเผยเป็นครั้งแรกจะพ่ายแพ้ก็ตาม

แต่ความจริงการเรียกคืนปราณมังกรเป็นแค่หนึ่งในแผนการเท่านั้น แผนการอีกอย่างของเขาคือสังหารเจินเต๋อ และสลายปราณมังกร!

การดำเนินการราบรื่นมาก

เขาไม่เคยกลับมามือเปล่าเลย

ยิ่งสวี่ผิงเฟิงมีท่าทีเช่นนี้ ไฟโกรธในใจสวี่ชีอันก็ยิ่งลุกไหม้

พยัคฆ์ร้ายยังไม่กินลูกของตนเองเลย แต่เป้าหมายในการให้กำเนิดบุตรคนโตของสวี่ผิงเฟิงก็เพื่อเป็นเครื่องมือบรรจุชะตาบ้านเมืองเท่านั้น

หากไม่ใช่ว่าความรักอันแรงกล้าของมารดาผู้ให้กำเนิดปกป้องเขาไว้ สวี่ชีอันคงกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เสร็จแล้วก็ทิ้ง

ถึงกระนั้นสวี่ผิงเฟิงยังคงไม่ปล่อย ‘เขา’ ไป อ้างคดีเงินภาษีเนรเทศเขาไปชายแดน และรับสินค้าระหว่างทาง

เพื่อเป้าหมายนี้ เขาสามารถละทิ้งครอบครัวของน้องชายร่วมท้องได้ ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลือดเย็นจนน่าหวาดกลัว

เดรัจฉาน!

ตอนนี้เห็นตบะของเขาก้าวหน้าขึ้นทุกวัน เล่นไพ่ความผูกพันทางสายเลือดโดยมองกราดลงจากมุมบน ราวกับผู้แข็งแกร่งที่กำลังให้ทานผู้อ่อนแอ

สวี่ชีอันรู้ดีว่าแม้กระทั่งในตอนนี้ สวี่ผิงเฟิงก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับเขาจริงๆ เลย

“อย่าคิดว่าตนเองเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครไปหน่อยเลย ในสายตาของสุดยอดผู้แข็งแกร่ง ผู้แข็งแกร่งที่มีโชคชะตาประสานกับร่าง ก็แค่สังหารแล้วจะโดนแว้งกัด ค่อนข้างยุ่งยากหน่อยก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว การที่สามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งได้ ไหนเลยจะไม่ใช่ชะตากรรมที่โดดเด่น”

สวี่ผิงเฟิงกล่าวเรียบๆ “โชคชะตาแว้งกัดโหรรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ แต่สุดยอดผู้แข็งแกร่งของระบบอื่นสังหารเจ้า อย่างมากก็แค่จ่ายค่าตอบแทนพอสมควร”

เขาไม่พูดมากอีก และหายตัวไปโดยใช้วิธีการเคลื่อนย้าย ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้งก็ยืนอยู่บนศีรษะของร่างธรรมเทพอารักษ์แล้ว

สวี่ชีอันไม่ได้ขัดขวาง เขามีสภาพพิการไปครึ่งหนึ่งเหมือนกับน่าหลันเทียนลู่

แต่เขามีร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถให้รอดพ้นจากอันตราย อย่างมากชั่วเวลาครึ่งเค่อก็สามารถฟื้นฟูพลังต่อสู้ในขั้นต้นได้แล้ว

เขายังมีไพ่ตายหนึ่งใบที่ยังไม่ได้ใช้

ขณะนี้การต่อสู้หยุดพักแล้ว ชายชรายืนยโสโอหังอยู่กลางอากาศ ยืนคุมเชิงกับร่างธรรมเทพอารักษ์ที่อยู่ไกลๆ

ทั้งสองมีความแตกต่างกันมาก แต่ลักษณะพลังของชายชราไม่ด้อยไปกว่าธรรมเทพอารักษ์เลย พละกำลังฮึกเหิมตามความเคยชิน

“โค่วหยางโจว!”

“เจ้าปิดด่านสี่ร้อยปี เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าวันที่ทะลวงด่านก็คือวันตายของเจ้า!”

น้ำเสียงของสวี่ผิงเฟิงราบเรียบ แต่เสียงกลับดังก้องไปทั่วฟ้า และเข้าถึงหูเฉาชิงหยางและคนอื่นๆ อย่างชัดเจน ดังก้องไปถึงหูพลทหารที่อยู่ตรงฐานที่มั่นไกลๆ

ชายชรามองสวี่ผิงเฟิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน และขานรับเสียงสูง

“เจ้าคือศิษย์เอกของท่านโหราจารย์หรือ”

เขาพอจะเข้าใจบุญคุณความแค้นระหว่างโหราจารย์กับศิษย์เอกจากสวี่ชีอันคร่าวๆ แน่นอน สวี่ชีอันปิดปังเรื่องที่ว่า ‘คนไม่เอาไหน’ เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเขา

ปิดบังไปก็ไม่มีเหตุผลอะไร แค่ไม่อยากพูดเท่านั้น

สวี่ผิงเฟิงไม่ตอบรับ ลำแสงสว่างเปล่งประกายขึ้นจากใต้เท้า ค่ายกลแต่ละหลังก่อเกิดขึ้นมา และปกคลุมร่างธรรมเทพอารักษ์ไว้

ค่ายกลส่งตัวปกคลุมเท้าทั้งคู่ ค่ายกลเพิ่มความแข็งแกร่งปกคลุมร่างและวิญญาณ ค่ายกลใหญ่ห้าธาตุละลายเข้าไปในร่างของร่างธรรมเทพอารักษ์ เข้าแทนที่อวัยวะภายในตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหก…

กระบองทองคำยาวระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา หนาแน่นราวกับจะบดขยี้ความว่างเปล่า

แสงเหนียวข้นสีดำไหลลงบนกระบี่เทพทองคำราวกับสายน้ำ ประกายแสงสีขาวเป็นจุดๆ กระจายไปเกาะติดอยู่บนมีดพระทองคำ เปลวไฟคุโชนลุกไหม้รอบๆ เทพอารักษ์ เถาวัลย์สีเขียวงอกออกจากผิวด้านนอกของเจดีย์ทองคำ ระฆังเทพสีทองเปล่งแสงทรงกลดสีทองแน่นหนา

‘ตูม!’

สายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวฟาดลงจากท้องฟ้า ฟาดใส่สากเทพอารักษ์โดยตรง ทำให้ปลายแหลมของสว่านนี้เปล่งสายฟ้าออกมา

ค่ายกลคือความสามารถหลักของโหร

อาศัยค่ายกลกระตุ้นพลังฟ้าดิน ประโยชน์การใช้สอยกว้างขวาง สามารถใช้โจมตีเป็นหลักหรือเสริมก็ได้

กระบวนท่านี้ของสวี่ผิงเฟิงก็คือใช้ค่ายกลช่วยเสริม เพื่อเลื่อนขั้นลักษณะเฉพาะด้านต่างๆ ของร่างธรรมเทพอารักษ์

พริบตาเดียวกลิ่นอายของร่างธรรมเทพอารักษ์ก็เพิ่มขึ้นฉับพลัน คิดไม่ถึงว่าแม้จะบรรลุผลถึงขั้นสูงสุดแล้วก็ยังก้าวไปอีกขั้น เป็นพลังต่อสู้ขั้นหนึ่งที่แท้จริง

หลังจากวางค่ายกลเสร็จแล้ว กลิ่นอายร่างอวตารของสวี่ผิงเฟิงก็อ่อนลงถึงขีดสุด ซึ่งสามารถสลายหายไปได้ตลอดเวลา

แต่สวี่ผิงเฟิงยังไม่พอใจ เขาควักสร้อยข้อมือออกจากอกมาวงหนึ่ง สร้อยข้อมือนั้นห้อยด้วยฟันสัตว์ หินห้าสี แผ่นทองแดงและสิ่งของอื่นๆ เป็นเครื่องประดับที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชนต่างเผ่า

สวี่ชีอันอาบแสงอันโชติช่วงของร่างธรรมหมอยา เขารับรู้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคยจากสร้อยข้อมือเส้นนี้

กลิ่นอายของเทียนกู่

ร่างอวตารของสวี่ผิงเฟิงร่างนี้อาศัยวิชา ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ ตบตาโหราจารย์มาถึงเจี้ยนโจวได้หรือ เขาแอบคิดอยู่ในใจ

ขณะนี้เขาเห็นสวี่ผิงเฟิงคลายแขนออกปล่อยให้สร้อยข้อมือร่วงลงอย่างอิสระ และ ‘ละลาย’ เข้าไปในร่างธรรมเทพอารักษ์

นี่เขาจะ…สวี่ชีอันรู้สึกหนาวสะท้าน เขาคาดเดาวิธีการของสวี่ผิงเฟิงได้แล้ว

หลังจากส่งสร้อยข้อมือออกไปแล้ว แสงสว่างก็พุ่งขึ้นจากใต้เท้าของสวี่ผิงเฟิงก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขากลับไปบนเรืออวี่เฟิงแล้ว ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนขอบกราบเรือและมองลงจากที่สูง

‘ตูม! ตูม! ตูม!’

ร่างธรรมเทพอารักษ์ที่สูงเกือบเท่าภูเขาหันไปครึ่งตัวละทิ้งชายชราไว้ และกวัดแกว่งคมอาวุธต่างๆ พุ่งเข้าใส่สวี่ชีอัน

นี่เป็นหายนะโดยสิ้นเชิง แผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง แรงสั่นสะเทือนไปไกลออกไปสิบกว่าลี้

เป้าหมายคือ สวี่ชีอัน!

สวี่ผิงเฟิงก็ดี สำนักพุทธก็ดี เป้าหมายแรกของพวกเขาก็คือสวี่ชีอันตลอดกาล

มิน่าล่ะเขาถึงบอกว่าโอกาสสุดท้าย…สวี่ชีอันตะโกนอย่างรวดเร็ว

“ไต้ซือ รีบหนี!”

เสียงนี้พุ่งตรงไปที่ภิกษุชราถ่าหลิง

‘ยังต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ’ เจดีย์พุทธะขี่แสงสีทองหลบหนี หางลำแสงสีทองห่อหุ้มสวี่ชีอันไว้

แสงสว่างพุ่งขึ้นจากใต้เท้าร่างธรรมเทพอารักษ์ ร่างยักษ์สูงตระหง่านหายไปในทันที

สวี่ชีอันพลันรู้สึกว่าเงาดำขนาดใหญ่ปกคลุมตนเองไว้ พอหันกลับไปมอง ร่างทองคำที่มียี่สิบสี่แขนและมีพลังห้าธาตุหมุนวนเป็นเกลียวก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังแล้ว

“เคร้ง!”

มีดพระที่ถูกแต้มไปด้วยจุดประกายแสงสีขาวฟันลงบนตัวเจดีย์ สะเก็ดแสงสีขาวและสีทองเจิดจ้ากระจายไปทุกทิศทาง ระเบิดเป็นระลอกคลื่นราวกับดอกไม้ไฟที่บานสะพรั่ง

พลังระเบิดอันรุนแรงทำให้ร่างที่ยังไม่ฟื้นฟูถูกผีซ้ำด้ำพลอยไปอีก แก้วหูแตกในทันที สูญเสียสติไปชั่วคราวในระหว่างที่ถูกเศษคลื่นโจมตี

ขณะนี้ความคิดหนึ่งเดียวในสมองของสวี่ชีอันก็คือ

โชคดีที่ข้าเอามู่หนานจือไว้ด้านนอก ไม่ได้เก็บเข้าไปในเจดีย์พุทธะ

เพราะรู้ว่าศึกนี้พัวพันถึงระดับเหนือมนุษย์ พัวพันถึงสวี่ผิงเฟิง เพื่อความปลอดภัยเขาจึงย้ายมู่หนานจือกับไฉซิ่งเอ๋อร์ออกจากเจดีย์พุทธะก่อนแล้ว

ไม่เช่นนั้นตอนนี้เทพบุปผากลับชาติมาเกิดคงได้ไปสู่วัฏสงสารแล้ว

เจดีย์พุทธะคล้ายกับเป็นหินอุกกาบาตก้อนหนึ่ง มันหมุนกลิ้งพาสวี่ชีอันพุ่งออกไปด้วย

‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’…ร่างธรรมเทพอารักษ์พุ่งโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ดาบ กระบี่ กระบอง ไม้พลอง สาก และอาวุธอื่นๆ ทุบลงมาพร้อมกัน

‘หวึ่ง!’

ดูเหมือนจะสังเกตเห็นภัยคุกคามขนาดใหญ่ ในที่สุดเจดีย์พุทธะก็ทำลายกฎเกณฑ์ไม่ลงมือกับ ‘ภิกษุสำนักพุทธ’ ตัวเจดีย์สั่นสะเทือน พลังน่าสะพรึงกลัวพุ่งสูงราวกับกระแสน้ำ

ปราบปรามศัตรูทั้งหมดที่อยู่รอบๆ

ขณะเดียวกันเงาร่างธรรมอีกองค์ก็ก่อตัวขึ้นบนยอดเจดีย์ สวมชุดจีวร คิ้วและตาพร่ามัว มีแสงที่เป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาอยู่ด้านหลังศีรษะ

แสงทรงกลดที่เป็นสัญลักษณ์แห่งปัญหานี้หมุนย้อนกลับ

จังหวะก้าวที่ร่างธรรมเทพอารักษ์วิ่งห้อตะบึงมา ต้องหยุดชะงักลงภายใต้การปราบปรามของเจดีย์พุทธะ และขณะที่แสงทรงกลดแห่งปัญญาหมุนวนกลับ ร่างธรรมเทพอารักษ์ตกอยู่ในความงงงวย ราวกับสูญเสียสติปัญญาไป ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไป

เจดีย์พุทธะถือโอกาสนี้พาสวี่ชีอันหนี การโจมตีกลับในระดับนี้เป็นขั้นสูงสุดที่ถ่าหลิงสามารถทำได้

มันไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้

ผ่านไปสองอึดใจ ร่างธรรมเทพอารักษ์ก็เรียกสติปัญญาตนเองกลับมาได้ แสงสว่างพุ่งขึ้นจากใต้เท้า คิดจะแสดงวิชาเคลื่อนย้ายไล่โจมตี

‘ฟิ้ว! เคร้ง!’

ชายชราเปลี่ยนตัวเองเป็นดาบเล่มหนึ่ง แทงไปยังด้านหลังศีรษะของร่างธรรมเทพอารักษ์ท่ามกลางเสียงแหวกอากาศ แต่ถูกระฆังทองที่พุ่งเข้ามาขวางไว้ก่อน

เปลือกนอกของระฆังทองนี้ มีแสงสีดินเหลืองไหลอยู่อย่างเชื่องช้า ราวกับของเหลวที่เหนียวข้นและหนักมาก

ดาบนี้ของชายชราไม่สามารถสั่นสะเทือนระฆังทองได้

ร่างธรรมเทพอารักษ์หมุนตัวตวัดกระบี่ฟันแสงกระบี่ออกไปเป็นเส้นโค้ง มีเสียงคลื่นทะเลกลางอากาศรางๆ

‘ฟู่!’

ศีรษะของชายชราพุ่งขึ้น เขาถูกฟันคอในกระบี่เดียว และลางสังหรณ์วิกฤตของชาวยุทธไม่ได้แสดงผล

ดวงดาราผันเปลี่ยน!

สวี่ชีอันเห็นฉากนี้ก็รู้ว่าตนเองคาดเดาไม่มีผิด

สวี่ผิงเฟิงเอาอาวุธเวทเทียนกู่ให้เทพอารักษ์หนานตู้ยืม เพื่อควบคุมลางสังหรณ์วิกฤตของจอมยุทธ์

“ไต้ซือ มานี่!”

สวี่ชีอันตะโกนเสียงดัง

ศีรษะและร่างของชายชราร่นถอยอย่างรวดเร็ว และเขยิบเข้าใกล้เจดีย์พุทธะ ในระหว่างขั้นตอนนี้ ภิกษุชราถ่าหลิงก็แสดง ‘ร่างธรรมแห่งปัญญา’ อีกครั้ง แสงทรงกลดหมุนวนกลับเพื่อลดสติปัญญาของร่างธรรมเทพอารักษ์ลง

ทำให้เขาไม่อาจไล่โจมตีชายชราได้

สวี่ชีอันถือโอกาสแบฝ่ามือไปทางชายชรา ออกแรงคว้าออกไป เหมือนกับคว้าสิ่งของบางอย่างไปจากตัวของเขา

วิชาดวงดาราผันเปลี่ยน เขาเองก็ช่วยเพิ่มพลังนี้ให้กับชายชรา

“เจ้ากำบังกลิ่นอายของข้าหรือ”

ชายชราดูร่างของตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็รู้เส้นสนกลในทันที

“ไต้ซือ รบกวนท่านช่วยข้าถ่วงเวลาอีกครึ่งเค่อ ผ่านไปครึ่งเค่อข้าจะสังหารเขา”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มเล็ก

“มีความมั่นใจหรือไม่” ชายชราขมวดคิ้ว

ไม่รอให้สวี่ชีอันตอบเขาก็ยิ้มกล่าวอย่างเปิดเผย

“ได้ เวลาครึ่งเค่อก็ครึ่งเค่อ ข้าจะช่วยเจ้าต้านทานเอง”

ระหว่างที่พูด ร่างธรรมเทพอารักษ์ก็อาศัยการเคลื่อนย้ายมาปรากฏตัวด้านหลังพวกเขาอย่างไร้สุ้มเสียง

บนเรืออวี่เฟิง จีเสวียนเมินเฉยต่อการต่อสู้ในเบื้องล่าง เขานำภาชนะสามขาทองสัมฤทธิ์เล็กๆ ออกมา และเอียงปากภาชนะสามขาลงด้านล่าง

เงามนุษย์สิบกว่าเงาหล่นออกจากภาชนะสามขา มีทั้งชายและหญิง มีแขกยุทธภพ มีปัญญาชน มีประชาชนธรรมดาที่สวมผ้าฝ้าย…

คนเหล่านี้สลบไสลไม่ได้สติ

จีเสวียนกดฝ่ามือเบาๆ ท่ามกลางเสียงดัง ‘ฟู่ๆ’ หมอกโลหิตก็ระเบิดออกจากหน้าอกของผู้ที่มีปราณมังกรอาศัยจำนวนสิบกว่าคน พริบตาเดียวพวกเขาก็เสียชีวิตทันที

เงามังกรทองแต่ละเส้นหลุดออกจากร่าง และพุ่งขึ้นฟ้าพยายามหลบหนี

แต่พวกมันถูกขังอยู่ในฉากกำบังที่ค่ายกลก่อตัวขึ้นมา ไม่ว่าจะชนอย่างไรก็ไม่อาจไปจากเรืออวี่เฟิงได้

“พี่เจ็ด?”

สวี่หยวนซวงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็อึ้งไปพักหนึ่ง “ท่านฆ่าผู้ถูกปราณมังกรอาศัยทำไม”

พอปราณมังกรหลุดออกจากร่าง โหรก็ยากที่จะจัดรวมพวกมันได้ อย่างปราณมังกรที่ถูกขังเหล่านี้ ต้องให้บิดาเป็นคนลงมือเอง

แต่ต่อให้จะเป็นบิดาก็ยากจะกักขังได้ ไม่อาจกำราบให้พวกมันรวมตัวกัน

นอกเสียจากพวกเขาจะมีชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด