ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง 636 ข้อตกลง

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter 636 ข้อตกลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 636 ข้อตกลง

‘ไม่เกี่ยวกับจักรพรรดิรึ?’

ลี่หวางและคนอื่นๆ ไม่สนใจที่จะอธิบายให้สาวน้อยฟังว่าอะไรคือความรับผิดชอบของผู้เป็นประมุข

จักรพรรดิหย่งซิ่งจึงคิดว่าผู้เป็นน้องสาวจะร้องขอความเป็นธรรมกับตน แต่สถานการณ์ที่เห็นในตอนนี้ ไม่อาจให้นางสร้างความก่อกวนได้จริงๆ เลยชิงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “หลินอัน อย่าทำตัวเสียมารยาท”

“ข้ามีเรื่องต้องหารือกับท่าน เสด็จอาทั้งหลาย พวกท่านกลับไปก่อนเถิด”

ตอนนั้นเองชินอ๋องคนหนึ่งก็ส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมเอ่ยว่า “ในช่วงที่จักรพรรดิองค์ก่อนครองราชย์นั้น ทรงเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการบำเพ็ญธรรม จึงละเลยเรื่องการสมรสขององค์หญิงอยู่หลายพระองค์ ฝ่าบาท ยามนี้ถึงเวลาที่ต้องพิจารณาเรื่องการสมรสขององค์หญิงหลินอันแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างองค์หญิงก็อายุไม่น้อย ควรต้องอภิเษกสมรสได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ และขอให้ลดการทำตัวบุ่มบ่ามก้าวราวเช่นนี้ด้วย มิเช่นนั้นก็จะไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อยเอานะพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี การแต่งงานก็เป็นตัวเร่งที่ดีที่สุดในการทำให้คนเรารีบเติบโตและเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น

ด้านหลินอันมีสีหน้าเรียบนิ่ง หาได้ยิ้มแย้มต่อเหล่าเสด็จอาไม่ จากนั้นก็กล่าวอย่างมีมารยาทว่า “เสด็จพี่จักรพรรดิ ข้าทราบถึงสาเหตุที่วัดหย่งเจิ้นซานเหอสั่นสะเทือนแล้ว บรรพชนมิได้พิโรธ แต่เป็นเพราะเหตุผลอื่นต่างหาก”

จักรพรรดิหย่งซิ่งพลันตกตะลึง ไม่เคยคิดว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของนาง หลังได้รับเรื่องราวอันน่าตกใจก็ทำการสอบสวนทันที และถามกลับไปว่า “บรรพชนมิได้พิโรธ แต่เป็นเพราะเหตุผลอื่นหรือ? หลินอัน เจ้าพูดมาดีๆ ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

“ตอนนี้สวี่ชีอันกำลังถือดาบสยบดินแดนเข้าต่อสู้กับสำนักพุทธ สำนักพ่อมด และพวกคนเมืองอวิ๋นโจวที่ภูเขาเฉวี่ยนหรงในเมืองเจี้ยนโจว เพื่อปกป้องปราณมังกรกับภูเขาเฉวี่ยนหรง และที่วัดหย่งเจิ้นซานเหอเกิดการสั่นสะเทือนก็คงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพคะ”

หลินอันกล่าวตามเนื้อหาข่าวสารที่ฮว๋ายชิ่งได้บอกนางไว้ก่อนหน้านี้อย่างเป๊ะๆ

ทว่านางไม่ได้พูดว่าเป็นศึกสงครามแห่งภูเขาเฉวี่ยนหรงอย่างชัดเจน และก็ไม่ได้อธิบายด้วยว่าวัดหย่งเจิ้นซานเหอที่สั่นสะเทือนและศึกสงครามนั่นมีความเกี่ยวข้องลึกซึ้งเพียงใด

แต่เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันของราชสำนัก เพราะข้อมูลเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาปะติดปะต่อและวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ได้แล้ว

‘ยามนี้สวี่ชีอันถือครองดาบสยบดินแดนในมือ และเขากำลังต่อสู้กับกองกำลังมากมายที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง เพื่อปกป้องปราณมังกร…’ จักรพรรดิหย่งซิ่งรูม่านตาขยาย พร้อมกับเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนว้าวุ่นยิ่ง

แต่พอได้รู้ความจริง ในใจก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมามากโข

สวี่ชีอันคนนั้นเสมือนกับผู้นำทัพในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เก่งกาจมากความสามารถ คอยอารักขาชายแดน จนสามารถทำให้ประมุขของชาตินอนสบายไม่ต้องกังวลใจอันใด

‘นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคนนั้น…’ ภายในห้องทรงพระอักษรพลันเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ส่วนด้านบรรดาชินอ๋องก็สงบปากสงบคำอยู่นานทีเดียว

“ที่แท้ก็ไปอยู่ในมือของสวี่ชีอันนี่เอง…”

หลังจากผ่านไปนาน อวี้อ๋องผู้ผมเผ้าหงอกขาวก็พึมพำกล่าวว่า “ดูท่าท่านโหราจารย์ที่เป็นคนเอาดาบสยบดินแดนไปนั้น จะมอบให้กับสวี่ชีอัน นึกไม่ถึงเลยว่าสำนักพุทธ สำนักพ่อมด และกลุ่มกบฏจากเมืองอวิ๋นโจว จะรวมหัวกันอยู่ที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง”

ชินอ๋องคนหนึ่งก็หน้าบึ้งขมวดคิ้วเอ่ย “แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรกับป้ายบรรพชนที่หล่นแตกหักและรูปปั้นจักรพรรดิเกาจู่พังเสียหายเล่า?”

ผู้เฒ่าลี่หวางใช้ไม้เท้ายันตัวลุกขึ้นยืน และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ว่าอย่างไร การปกป้องปราณมังกรก็เป็นเรื่องดี แต่ต้องขอให้ทางสมุหเทศาภิบาลแห่งเจี้ยนโจวทำการตรวจสอบเรื่องนี้ทันทีว่าสำนักพุทธ สำนักพ่อมด และพวกกากเดนจากเมืองอวิ๋นโจวได้ส่งกำลังพลผู้มีฝีมือไปจำนวนเท่าใด ผ่านการรบมากี่คราเป็นต้น ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ตรวจสอบมาให้หมด

“เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว บางทีพวกเราอาจรู้สาเหตุที่รูปปั้นจักรพรรดิเกาจู่พังเสียหายก็เป็นได้

“การที่ทำให้ท่านโหราจารย์ถึงกับนำดาบสยบดินแดนออกนอกเมืองหลวง ศึกครั้งนี้คงไม่ธรรมดาแน่ ต้องตรวจสอบให้ดี”

หลังกล่าวจบ เขาก็มองไปทางหลินอันด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากกว่าเดิม แล้วพูดว่า “แม่หนู เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”

หลินอันเชิดคางขึ้น “ข้าย่อมมีวิธีติดต่อกับสวี่ชีอันอยู่แล้วน่ะสิ”

ลี่หวางขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองไปทางจักรพรรดิหย่งซิ่งด้วยความสงสัย

ซึ่งใบหน้าของบุคคลดังกล่าวที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์อันใหญ่โตก็ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้น “เสด็จปู่ที่ฝึกฝนขัดเกลาตนเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมเสมอ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ท่านเลยไม่รู้ว่ายามที่สวี่ชีอันผู้นั้นยังไม่ฟื้น ก็เป็นหลินอันที่คอยดูแลเขา มิตรภาพของทั้งสองคนจึงลึกซึ้งยิ่ง ตัวข้าที่มีโฉมหน้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์ เมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่ชีอัน ก็ยังสนิทกับเขาไม่ถึงหนึ่งหรือสองส่วนในสิบของหลินอันด้วยซ้ำ พวกเขาจะมีวิธีติดต่อกันเป็นการส่วนตัว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

‘มิตรภาพลึกซึ้งยิ่ง…’ ลี่หวางเหลือบมองหลินอัน ทันใดนั้นแววตาก็พลันเป็นประกาย

จักรพรรดิหย่งซิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก้มตัวลงเล็กน้อยมองลี่หวาง ต่อจากนั้นก็มองบรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องที่อยู่รอบด้าน แล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้ เช่นนั้นข้ายังต้องออกกฤษฎีกาต้องโทษอยู่หรือไม่?”

ลี่หวางโบกมือเป็นการปฏิเสธ

อวี้อ๋องก็พูดขึ้นว่า “สิ่งที่ต้องทำในเวลานี้ก็คือตรวจสอบเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ ยิ่งผลงานของฆ้องเงินสวี่ใหญ่หลวง ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อฝ่าบาท หากมีผู้ใดใช้ประโยชน์จากเรื่องป้ายบรรพชนที่วัดแตกหักมาโจมตีฝ่าบาท ฝ่าบาทก็ถือโอกาสนี้ประกาศความจริง

“ไม่เพียงแต่ฝ่าบาทจะไม่เสื่อมเสียแล้ว กลับยังจะได้เปรียบอีกด้วย”

รอยยิ้มที่มุมปากของจักรพรรดิหย่งซิ่งกว้างยิ่งกว่าเก่า พร้อมกับชำเลืองมององค์ชายสี่เล็กน้อย

องค์ชายสี่ก้มศีรษะลง มิได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกอันใด

หลังการประชุมจบลง

ฮว๋ายชิ่งก็ย่างกรายงามงดดุจปทุม ชายกระโปรงลอยเหิน มาพร้อมกับเหล่านางกำนัล มุ่งหน้ากลับไปยังสวนเต๋อซิน

“ฮว๋ายชิ่ง”

องค์ชายสี่บังเอิญเดินสวนกับนาง เมื่อเจอน้องสาวฝาแฝดอยู่เบื้องหน้า ก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา

ฮว๋ายชิ่งชะลอฝีเท้าลง และรออีกฝ่ายเข้ามาหา ในเวลาเดียวเหลือบมองนางกำนัลทั้งสองที่อยู่ข้างกาย ให้พวกนางถอยออกไปก่อน

ครั้นองค์ชายสี่ก้าวเข้ามาหา และเดินเคียงข้างไปพร้อมนาง ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “เกลียดชะมัด! เดิมทีนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง กลับเอาแต่จะตรวจสอบชื่อเสียงของเขา และทำให้เกียรติยศเสียหาย

“เจ้าไม่เห็นหรือ ยามที่เขาบอกว่าสวี่ชีอันและหลินอันมีมิตรภาพอันลึกซึ้งน่ะ ใบหน้านั้นดูพึงพอใจมากเหลือเกิน จงใจพูดให้เราได้ยินชัดๆ และพอลี่หวางได้ฟัง ท่าทีที่มีต่อหลินอันก็เปลี่ยนไปพริบตาอีก…”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ องค์ชายสี่ก็พินิจมองน้องสาวฝาแฝดตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่า เดิมทีสวี่ชีอันนั่นเป็นคนของเจ้านี่ วันนั้นเจ้าพาเขามาที่เมืองหลวงเพื่อร่วมงานเลี้ยง และเขาก็กล่าวบทกลอนอย่าง ‘หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’ ออกมา

“ดูท่าตอนนี้เจ้าจะโดนหลินอันแย่งชิงไปเสียแล้วล่ะ”

ฮว๋ายชิ่งยังคงหน้านิ่งไร้อารมณ์ แต่ก็ดูราวกับจะโกรธเคืองอยู่บ้างเล็กน้อย จากนั้นนางจึงหันหน้าไปมององค์ชายสี่ และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ เสด็จพี่คิดว่าหากเสด็จพี่ได้นั่งบัลลังก์มังกร ก็อาจทำได้ดีกว่าหย่งซิ่งงั้นหรือ?”

“ข้า…ย่อมทำออกมาดูดีกว่าเขา” องค์ชายสี่มุ่นคิ้วตอบ

“ทว่ามันเป็นเรื่องความแตกต่างระหว่างห้าสิบก้าวกับร้อยย่างก้าว ต้าฟ่งในทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกกอบกู้ด้วยความพยายามของคนคนเดียว ไม่ว่าใครจะนั่งตำแหน่งนั้น ก็ไม่ได้ต่างกันมากนักหรอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเสด็จพี่ถึงต้องกังวลใจเล่า” ฮว๋ายชิ่งพูดอย่างเรียบนิ่ง

องค์ชายสี่จ้องมองนาง “ความหมายของเจ้าคือ…”

จากนั้นฮว๋ายชิ่งก็หมุนตัวจากไป “เสด็จพี่สี่คงมิได้อ่านตำราประวัติศาสตร์มานานแล้ว ในเนื้อหาของตำราโจวจี้เล่มสองบทที่สิบสาม น่าสนใจมากทีเดียว ยามเสด็จพี่ว่าง ก็ลองไปอ่านดูนะเพคะ”

ณ เจี้ยนโจว

ตอนนี้สวี่ชีอันกำลังควบคุมเจดีย์พุทธะ พามู่หนานจือ แม่ม้าน้อย ไป๋จี และไฉซิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ในเมืองเจี้ยนโจวกลับไปยังภูเขาเฉวี่ยนหรง

ช่วงเวลาที่ไฉซิ่งเอ๋อร์อยู่เจี้ยนโจวนั้น ตบะในร่างก็ถูกผนึกเอาไว้ แน่นอนว่าถึงเป็นเช่นนี้ เทพดอกไม้ก็คงไม่ได้กลับชาติมาเกิด จึงสามารถจัดการกับคนไร้พลังอำนาจคนนี้ได้

อืม กลายเป็นคนไร้พลังอำนาจไปแล้วจริงหรือไม่นั้น ก็ยังไม่ได้ยืนยันให้แน่ใจ สุดท้ายสวี่ชีอันก็ไม่ได้ให้โอกาสนาง

โชคดีที่ยังมีไป๋จี แม้ว่าเจ้าลูกจิ้งจอกตัวนี้จะไม่ได้เป็นประโยชน์นัก แต่ก็ต้องขอบคุณความดีของเพื่อนร่วมทาง ที่ทำให้นางกลายเป็นเสาหลัก คอยจัดการรับมือไฉซิ่งเอ๋อร์ที่ร่างกายอ่อนแอ และถูกผนึกตบะในร่างอย่างไม่มีปัญหาอะไร

เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด สวี่ชีอันก็ยังใช้ผงยาหย่อนเส้นเอ็นกับไฉซิ่งเอ๋อร์อีกด้วย

“ต่อสู้จบแล้วหรือ ชนะหรือแพ้ล่ะ แล้วสำนักพุทธเสียหายอย่างไรบ้าง” ไป๋จีกอดรัดเขาพร้อมพูดเจื้อยแจ้วสอบถามเรื่องศึกรบที่ภูเขาเฉวี่ยนหรง

ซึ่งพฤติกรรมนี้ดูไม่เข้ากับนิสัยเกียจคร้านของนางนัก สวี่ชีอันจึงถามกลับไปว่า “คงไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะแอบส่งข่าวให้จิ้งจอกเก้าหางหรอกนะ?”

ดวงตาดำขลับดุจกระดุมของไป๋จีดูเหม่อลอยไปทันใด นางสับสนอยู่ไม่กี่วินาที ก็รีบส่ายศีรษะตอบว่า “เปล่านะ ข้าไม่แอบส่งข่าวหรอกน่า”

ท่าทีของเจ้ามันบอกหมดทุกอย่างแล้ว อืม โชคดีที่ฉลาดกว่าหลิงอินหน่อย ถ้าเป็นเสี่ยวโต้วติงล่ะก็ ตอนนี้คงวิ่งหนีไปด้วยความเพราะหวั่นเกรงที่พี่ใหญ่ดูน่าหวาดกลัวเช่นนี้…จากนั้นสวี่ชีอันก็พูดว่า “ย่อมชนะอยู่แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะมายืนตรงนี้ได้หรือ หลังศึกสงครามภูเขาเฉวี่ยนหรงจบลง ตู้หนานกับตู้ฝานได้ตายในสนามรบ ส่วนสำนักพุทธก็ได้สูญเสียผู้พิทักษ์และเทพอารักษ์ไปทั้งหมด”

‘สำนักพุทธไม่เหลือผู้พิทักษ์และเทพอารักษ์อีกแล้ว…’ ดวงตาดำขลับของไป๋จีดูเหม่อลอยอีกครั้ง

หากรวมกับเรื่องที่สูญเสียพระอรหันต์ตู้ฉิงไปในบริเวณนอกเมืองยงโจว ในระยะเวลาเดือนเดียวสั้นๆ สำนักพุทธได้สูญเสียพระอรหันต์ขั้นสองไปหนึ่งองค์และเทพอารักษ์ขั้นสามถึงสององค์

นี่เป็นเรื่องที่องค์หญิงและเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกันผ่านไปกี่ร้อยปีก็ทำไม่ได้

‘แม้องค์หญิงจะสั่งการให้ปีศาจแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจที่เข้าแฝงตัวก่อนหน้านั้นถอยออกมาจากจิ่วโจวนานแล้ว แต่ข้าก็อยากนำข่าวดีนี้ไปแจ้งกับองค์หญิง ให้พระองค์ได้ดีใจบ้าง…’ อาการดีอกดีใจได้ล่องลอยอยู่ในนัยน์ตาของไป๋จี ขณะนั้นเองนางก็ตระหนักได้ว่าสวี่ชีอันกำลังมองตนอยู่ จึงรีบกะพริบตาที่ดำขลับใสกระจ่างทันที และทำท่าทีให้ดูไร้เดียงสา

เมื่อคุมเจดีย์พุทธะกลับภูเขาเฉวี่ยนหรง ก็เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ขอบหน้าผาที่แตกหักสะบั้นจากระยะไกล ซึ่งเขากำลังเอามือไพล่หลังยืนชมแผ่นดินอันกว้างใหญ่อยู่

เขาสวมชุดอาภรณ์เยี่ยงสามัญชน ปล่อยให้ผมสีเงินปลิวสยายตามกระแสลม

แม้เขาจะมีแววตาเฉียบคมของจอมยุทธ์ แต่สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือการที่ประสบพบเจอเรื่องต่างๆ มาอย่างโชกโชน

สวี่ชีอันควบคุมเจดีย์พุทธะให้ลงไปอยู่ข้างกายของชายชรา แล้วออกจากตัวเจดีย์เพียงลำพัง

“ผู้อาวุโส!” เขาประสานมือคารวะอีกฝ่าย

ยอดของภูเขาเฉวี่ยนหรงยุบเสียหายไปมากกว่าครึ่ง ซึ่งคนไม่สามารถอยู่ได้ ส่วนด้านในของภูเขาก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน และต่อจากนี้มันคงค่อยๆ ทรุดตัวเป็นระยะไปอีกนาน จนกว่าจะมั่นคงได้เองในที่สุด

แต่โชคดีที่เทือกเขาเฉวี่ยนหรงทอดยาวหลายร้อยลี้ ไม่ได้เป็นภูเขาสันโดษแต่อย่างใด

สำหรับกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แล้ว ต้องเปลี่ยนภูเขา และสร้างกองบัญชาการใหม่ขึ้นมาเท่านั้น

ณ กองกำลังทหารแห่งตำหนักเสนาบดี

เฉาชิงหยางกำลังนั่งอยู่ตำแหน่งผู้นำ พลางฟังรองผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์อย่างเวินเฉิงปี้รายงานสถานการณ์จำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต

สมาชิกที่ตายอยู่บนยอดเขาหักพัง เพราะหลบหนีออกมาไม่ทันมีสามร้อยยี่สิบคน ด้วยเหตุผลต่างๆ นานทำให้เวลานั้นคนกลุ่มนี้ออกมาไม่ทัน และถูกฝังตลอดไปพร้อมกับภูเขาที่ถล่มลงมา

กองกำลังทหารแห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลจากสนามรบ ทว่าบริเวณข้างเคียงสนามรบได้รับผลกระทบ ส่งผลให้บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างพังทลาย เบื้องต้นจำนวนผู้เสียชีวิตจึงมีหนึ่งร้อยสามสิบสี่คน และมีผู้บาดเจ็บถึงห้าร้อยคน

“จำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตยังพอรับได้ โชคดีที่เหมิงจู่พาเด็ก สตรี และคนชราออกไปก่อน แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจนเสียชีวิตในกองกำลังทหารบางส่วนก็มีเด็ก สตรี และคนชราอยู่เช่นกัน ส่วนทหารราบกับคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ก็อยู่กลางแจ้ง”

เวินเฉิงปี้กล่าวต่อ “กองบัญชาการต้องได้รับการสร้างใหม่ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มหาศาลทีเดียว แต่ทางคลังเงินของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์โอนย้ายทรัพย์สินไม่ทัน และตอนนี้ถูกฝังอยู่ใต้ตีนเขา พวกเราเลยไม่มีกำลังคนและเงินทุนขนาดนั้น”

เซียวเยว่หนู ฟู่จิงเหมิน หยางชุยเสวี่ย และคนอื่นๆ ต่างทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

หลังจากจบศึกสงครามครั้งนี้ กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เสียหายอย่างใหญ่หลวง แม้จะมีคนตายไม่มาก และอยู่ในขอบเขตที่รับได้ แต่กองบัญชาการที่เปิดทำการมาหลายร้อยปี กลับพังทลายย่อยยับในคืนเดียว ฉะนั้นด้านการสูญเสียทรัพย์สินก็นับว่าทำเอาคนเจ็บปวดใจหนักถึงขั้นกระอักเลือดออกมาได้เลย

หลังจากนั้นเฉาชิงหยางก็พูดขึ้นว่า “เรื่องเอาเงินกลับมาไม่ใช่ปัญหาหรอก ถึงเวลาอย่างมากข้าก็แค่ไปรบกวนขอความช่วยเหลือจากพวกบรรพชน ให้ผ่าเปิดภูเขาโยกย้ายเศษหิน และชาวยุทธจักรระดับห้าขึ้นไปก็สามารถร่วมช่วยกันได้แล้ว”

เฉียวเวิงผู้เป็นหัวหน้าสมาคมการค้าเจี้ยนโจว ก็พูดเสริมว่า “จริงๆ ก็ไม่ได้หรอก มีแต่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากพวกผู้ใจบุญให้ช่วยบริจาคแล้ว”

พวกคนอย่างเจ้าลัทธิหรือหัวหน้ากลุ่มอะไรเช่นนี้ล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลทั้งนั้น ย่อมมีทรัพย์สินอยู่ไม่น้อยด้วย

ฟู่จิงเหมินขมวดคิ้วทันใด และกล่าวออกไปโดยตรงว่า “แต่จำนวนเงินที่พวกเราให้ได้มีจำกัด ไหนจะต้องเอาไปปลอบขวัญผู้ประสบภัยพิบัติในพื้นที่ของเราอีก ทุกคนต่างรู้ดีว่า เดิมทีพึ่งพาแค่เสบียงจากราชสำนัก ก็ไม่สามารถเติมเต็มความกระหายของผู้ประสบภัยพิบัติได้”

หยางชุยเสวี่ยกล่าวเสริมประเด็นอื่น “หากต้องสร้างกองบัญชาการใหม่ในภูเขาแล้วมีค่าใช้จ่ายสูง เช่นนั้นก็พบกันครึ่งทาง ใช้กองทหารแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง และขยายกองบัญชาการจะไม่ดีกว่าหรือ?”

เวินเฉิงปี้รองผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์รีบส่ายหน้าทันควัน “นี่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่บรรพชนกำหนดไว้ การที่ต้องสร้างกองบัญชาการในภูเขามันมีเหตุผลอยู่ ก็เพื่อไม่ให้พวกเราลืมวัตถุประสงค์ที่สร้างกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ขึ้นมา พวกเราจะไม่มีวันเป็นกลุ่มองค์กรในยุทธภพที่เรียบง่ายเช่นนั้น

“แต่เราเป็นกองกำลังทหาร เป็นกองกำลังทหารที่สามารถโจมตีทำลายฝั่งศัตรูในยามโกลาหล”

กองบัญชาการกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ก็เปรียบได้กับการครอบครองป้อมปราการที่ป้องกันภัยธรรมชาติ

เฉาชิงหยางเคาะโต๊ะอยู่หลายที ก่อนจะพูดขัดจังหวะการโต้เถียงของทุกคน “เฉิงปี้ เจ้าจงไปเชิญท่านบรรพชนมาเถิด”

“ข้าเพิ่งไปเจี้ยนโจวมานี่เอง จู่ๆ ก็เหมือนได้กลับช่วงส่งท้ายปีเก่าเลย” ชายชราเอามือไพล่หลัง ทำสีหน้าเศร้าสร้อย “ภัยพิบัติครานี้อยู่เหนือการควบคุม ไม่ปรากฏมาสองปี ในพื้นที่จงหยวนกำลังจะเปลี่ยนยุคสมัยแล้วสินะ”

สวี่ชีอันนิ่งเงียบ

จากนั้นชายชราก็หันกลับมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มอันแฝงความหมายลึกซึ้ง “รู้หรือไม่ว่าทำไมปราณมังกรสองดวงนั้น จึงเลือกกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์?”

“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในเจี้ยนโจวมีอายุมานานหลายร้อยปี อีกทั้งเจี้ยนโจวยังมีความมั่งคงและเป็นระเบียบ ฟ้าฝนต้องตามฤดูกาล เหล่าชาวบ้านล้วนมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ทุกวันนี้ราชวงศ์ต้าฟ่งอ่อนแอกำลังจะสิ้นกำลัง หากให้ปราณมังกรเลือก ก็ย่อมคิดว่ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะมาแทนราชวงศ์ต้าฟ่งได้” สวี่ชีอันตอบอย่างจิตใจนิ่งสงบไม่สะทกสะท้าน

ชายชราพยักหน้าก่อนกล่าว “ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ไม่มีราชวงศ์ที่ไม่ล้มเหลว ครานั้นข้าส่งกองทหารไปให้เขา แต่ยามกลับเมืองเจี้ยนโจว ข้าก็ได้ทำข้อตกลงกับเขาไว้ ในอนาคตหากต้าฟ่งเลือกเดินเส้นทางเก่าเหมือนอย่างต้าโจว เช่นนั้นข้าจะทำให้มันจบลงด้วยน้ำมือของข้าเอง”

เขาไม่รอให้สวี่ชีอันได้ตอบกลับ ก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “แต่ทั้งข้าและเขาก็ไม่คาดคิดว่า ภายหลังคนพวกนางนั่นจะสร้างกลุ่มโหรเอาไว้

“การที่โหรเกิดขึ้นนั้น ทำให้ประชาชนคนรากหญ้าก่อกบฏได้ยากกว่าเดิม จนถึงวันนี้ ถึงมีความช่วยเหลือจากภายนอก ประชาชนชาวจงหยวนก็ยังยากที่จะพึ่งพาตนเองเปลี่ยนแปลงชาติได้”

สวี่ชีอันลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะลองกล่าวหยั่งเชิง “พวกนางนั่นหรือ?”

“ก็พวกโหราจารย์รุ่นแรกไง!” ชายชราตอบอย่างยิ้มแย้ม “พวกนั้นสวยยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก วันๆ เอาแต่ติดตามจักรพรรดิเกาจู่แห่งต้าฟ่งของพวกเจ้า ถ้าไม่รู้ว่าเจ้าพวกไร้ยางอายนั้นชอบผู้หญิง ข้าก็คิดว่า…”

เป็นพี่น้องร่วมสาบานสินะ…สวี่ชีอันตอบแทนเขาในใจ

“และผู้อาวุโสกับท่านโหราจารย์ อืม หมายถึงท่านโหราจารย์คนปัจจุบัน ได้ทำข้อตกลงกันไว้หรือไม่?

“ทำ” ชายชราพยักหน้าตอบ

เป็นไปตามที่คาดคิด ตลอดเวลาที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ก็คือกระดานหมากรุกของท่านโหราจารย์…สวี่ชีอันจึงถามต่อทันที “ข้อตกลงอะไรหรือ ทำไว้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”

…………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด