พลิกชะตาชายาสยบแค้น 65 เลิกราอย่างไม่สบอารมณ์

Now you are reading พลิกชะตาชายาสยบแค้น Chapter 65 เลิกราอย่างไม่สบอารมณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 65 เลิกราอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยงนั้นของมู่จวินฮาน เป็นเหตุให้อันหลิงเกอถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยมิรู้ตัว คิดมิถึงว่ามู่จวินฮานเมื่อเห็นอันหลิงเกอถอยไปหนึ่งก้าว เขาก็ก้าวมาด้านหน้าอีกก้าวหนึ่ง จนในที่สุดก็บีบอันหลิงเกอไปจมมุมกำแพงมิสามารถถอยไปไหนได้อีก เมื่อร่างเพรียวบางของอันหลิงเกอถอยไปจนสุดแนบชิดอยู่กับกำแพงแล้ว ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็ก้มหน้าลง เหยียดแขนยาวออกไปโอบนางให้อยู่ตรงเบื้องหน้าของตน การที่มู่จวินฮานก้มศีรษะลง เป็นเหตุให้ปอยผมสีดำละเอียดห้อยลงมา ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาและมีเสน่ห์แม้จะมิได้ยิ้มออกมา อารมณ์ความรู้สึกในดวงตาของเขาในตอนนี้สะท้อนให้อันหลิงเกอรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจน “อันหลิงเกอ  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอันใดอยู่ ? ” เขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบีบคางของอันหลิงเกอด้วยมือข้างเดียว บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมาสบตา “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหลี่กุ้ยเฟยวางแผนคิดจะฆ่าเจ้าอย่างเงียบ ๆ อยู่ในวังมานานหลายปีแล้ว แต่นี้แค่เรื่องเพียงน้อยนิดเท่านั้น เจ้ายังกล้าเอาตนเองไปเสี่ยงอันตราย ? ถ้าวันนี้ข้ามามิทัน บางทีเจ้าอาจจะกลายป็นวิญญาณที่มิได้รับความยุติธรรมอยู่ในมือของอ๋องติ้งไปแล้ว และเป็นการตายอย่างเงียบ ๆ มิมีสิทธิ์มีเสียงอันใด ! ” อันหลิงเกอมองดูใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของมู่จวินฮาน นางก็กัดริมฝีปากแน่น น้ำตาคลอ ความรู้สึกขอโทษปรากฏขึ้นในดวงตา “เรื่องในวันนี้ข้ารู้ว่าข้าประมาทและเลินเล่อเกินไป ถ้าครั้งต่อไป…” “เจ้ายังคิดว่าจะมีครั้งต่อไปอีกรึ ! ? ” มู่จวินฮานตวาดออกมาเสียงดัง พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์โกรธ แล้วยิ้มเยาะออกมาด้วยความโกรธ ใบหน้าและแววตามีแต่ความเย็นชา “เรื่องอันตรายเยี่ยงนี้ เจ้ายังคิดว่าจะมีครั้งต่อไปอีกรึ อันหลิงเกอ สรุปแล้วเจ้าใส่ใจความปลอดภัยของตนเองบ้างหรือไม่ ? ” ใส่ใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเองบ้างหรือไม่ ? เมื่อได้ฟัง อันหลิงเกอก็หัวเราะเยาะตัวเองอยู่ภายในใจ นางก็เป็นเพียงวิญญาณชั่วร้ายที่กลับชาติมาเกิดใหม่ก็เท่านั้น ความหมายของชีวิตใหม่คือการแก้แค้น ตราบใดที่สามารถแก้แค้นได้ มันคุ้มที่จะเสียสละชีวิตนี้ของตนเอง แต่มู่จวินฮานมิเข้าใจ มิเข้าใจว่าในใจของนางนั้นมีความเกลียดชังเคียดแค้นต่อหลี่ซื่อและอันหลิงอีมากเพียงใด เช่นนั้นถึงได้ตั้งคำถามเยี่ยงนี้กับนาง “มู่ซื่อจื่อช่วยข้าไว้  ข้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจยิ่งนักเจ้าค่ะ แต่เรื่องของข้า ท่านก็อย่าเข้ามายุ่งมากจะดีกว่า” เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว พวกเขาสองคนก็เป็นเพียงแค่ว่าที่สามีภรรยา บางทีสัญญาแต่งงานอาจจะถูกยกเลิกขึ้นมาวันใดวันหนึ่งในอนาคตก็ได้ ถ้านางยังเคยชินกับการดูแลเอาใจใส่จากมู่จวินฮาน คุ้นชินกับการช่วยเหลือของเขาเยี่ยงนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราทั้งสองต้องแยกทางกันแล้ว นางจะทำเยี่ยงไร คำกล่าวของอันหลิงเกอที่กล่าวออกมานั้นเพียงแค่กลัวว่าตัวเองจะเคยชินกับการต้องพึ่งพาผู้ชายคนนี้ แต่มู่จวินฮานกลับเข้าใจไปอีกอย่างว่านางรำคาญตัวเองที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของนาง เป็นเหตุให้ดวงตาหงส์ปรากฏร่องรอยความเจ็บปวดออกมา ริมฝีปากโค้งลงเยาะเย้ยตัวเอง “ดี ! เป็นที่ข้าเองที่ชอบยุ่งวุ่นวายเรื่องเจ้ามากเกินไป จึงเป็นเหตุให้เจ้ารำคาญข้า นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะมิยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าอีก. .” มู่จวินฮานกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา มุมปากยกยิ้มขึ้นด้วยความเย้ยหยันตนเอง และมิรอให้อันหลิงเกอกล่าวอันใด เขาก็ก้าวขายาว ๆ เดินจากไป อันหลิงเกอจ้องมองแผ่นหลังของเขาที่จากไปด้วยความรีบร้อนและเดียวดาย เป็นเหตุให้ภายในใจของนางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาจนแทบหายใจมิออก และดูเหมือนว่าปลายจมูกจะรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา เมื่อรู้สึกเป็นเยี่ยงนั้น อันหลิงเกอก็ยกมือขึ้นสัมผัสน้ำตาที่ไหลออกมาจากขอบตา และคิดมิถึงว่าตนจะรู้สึกเจ็บปวดได้มากถึงเพียงนี้ ? อันหลิงเกอมองตามแผ่นหลังของมู่จวินฮานด้วยความงุนงง มิเข้าใจอารมณ์ที่ว้าวุ่นในใจของตนเอง หลังจากนั้นมินานถึงได้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับขอบตา และเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอย่างมิมีอันใดเกิดขึ้น เมื่อหลี่ซื่อเห็นอันหลิงเกอกลับมาในงานเลี้ยง  ใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที แทบจะปิดบังและซ่อนเร้นความตกตะลึงและความประหลาดใจในแววตาเอาไว้มิได้ เห็นได้ชัดว่านางสั่งให้คนใส่ยานอนหลับไปในแก้วของอันหลิงเกอแล้ว ในตอนนี้อันหลิงเกอควรจะอยู่ในตำหนักของซูเฟย และได้เห็นสัมพันธ์ระหว่างซูเฟยกับอ๋องติ้ง จากนั้นก็ถูกอ๋องติ้งฆ่าตายไปแล้วถึงจะถูก  เหตุใดถึงได้กลับเข้ามาในงานเลี้ยงโดยมิเป็นอันใดเลยเยี่ยงนี้ ? หรือว่านางกำนัลผู้นั้นมิได้พานางไปถึงที่ตำหนักซูเฟย ? การคาดเดานี้แวบเข้ามาในใจของหลี่ซื่อ มองดูอันหลิงเกอที่นั่งลงข้างตัวเอง  มินานนัยน์ตาคู่นั้นก็เป็นประกายด้วยรอยยิ้มร้ายกาจแล้วเอ่ยถามออกมาว่า “เมื่อสักครู่เกอเอ๋อที่ไปไหนมารึ  ข้าหาเจ้าไปทั่วก็หามิเจอ นึกว่าเจ้าไปวิ่งเล่นซุกซนในที่ที่มิมีคนอีกแล้ว” นางเพิ่มระดับเสียงขึ้นเล็กน้อย หางตาเหล่มองไปทางอ๋องติ้ง จากนั้นถึงได้เอ่ยเตือนอันหลิงเกออย่างเป็นห่วงอีกครั้งว่า “มิใช่ว่าข้าจะต่อว่าเกอเอ๋อ แต่เนื่องจากในวังมิใช่จวนโหวของเรา เกอเอ๋อจะวิ่งวุ่นไปทั่วมิได้” เมื่ออ๋องติ้งได้ยินหลี่ซื่อกล่าวออกมาเยี่ยงนั้นแล้ว แววตาที่หวาดระแวงก็จับจ้องมาที่อันหลิงเกอทันที เมื่อครู่หลังจากที่เขาหนีออกมาได้ก็รีบกลับมาที่งานเลี้ยงถึงได้พบว่าฮ่องเต้มิได้ไปที่ตำหนักของซูเฟย มีคนจงใจแกล้งทำลอกเลียนเสียงของฮ่องเต้เพื่อหลอกล่อให้เขาหนีออกมา ความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวระหว่างเขาและซูเฟยถูกค้นพบ แต่มิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนเห็นความลับของพวกเขากันแน่ ตอนนี้เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลี่ซื่อ ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวมิได้อยู่ในงานเลี้ยง ช่างบังเอิญเกินไปหน่อยหรือไม่ ? เมื่อคิดได้เช่นนี้ อ๋องติ้งก็จ้องมองมาทางอันหลิงเกออย่างยากที่จะเดา ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นอายของความโหดเหี้ยมอำมหิตแฝงอยู่ อันหลิงเกอเหมือนมิทันสังเกตเห็นแววตาที่จ้องมองมาอย่างแปลก ๆ นั้น นางเอาแต่จ้องมองมาทางหลี่ซื่อด้วยใบหน้าที่งดงามและสงบนิ่ง แล้วกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้ามิใช่ผู้ที่ชอบเที่ยวเล่นเช่นน้องอีเอ๋อ เหตุใดข้าต้องวิ่งเล่นไปทั่วด้วยเล่าเจ้าคะ ? ข้าก็แค่ดื่มไวน์ผลไม้หวานอร่อยมากไปหน่อย นางกำนัลเลยพาข้าออกไปเดินเล่นสูดอากาศ อี๋เหนียง ท่านนั้นกังวลมากไปแล้วเจ้าค่ะ” หลี่ซื่อที่ได้ฟังคำบอกกล่าวของอันหลิงเกอและฝืนยิ้มส่งไปให้โดยมิคิดที่จะปล่อยอันหลิงเกอไปง่าย ๆ “อ้อ  นางกำนัลพาเจ้าออกไปนี้เอง แล้วนางกำนัลผู้นั้นล่ะ ? “ “นางบอกว่าจะนำของบางอย่างไปส่งให้ที่ตำหนักหลี่กุ้ยเฟย  ข้าเลยกลับมาเอง อี๋เหนียงมีเรื่องจะถามนางกำนัลผู้นั้นรึเจ้าคะ ? ” หลังจากที่อันหลิงเกอกล่าวจบก็ยัดลูกพลัมเข้าปากไปลูกหนึ่ง ดวงตาที่งดงามหยีตาลงเล็กน้อยใบหน้าท่าทีที่ดูผ่อนคลาย ดูมิออกเลยว่าเพิ่งจะเผชิญกับอันตรายมา เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนั้น พร้อมทั้งท่าทีที่ผ่อนคลายของนาง ติ้งอ๋องถึงได้ค่อย ๆ ถอนสายตามองไปทางอื่น หันไปพูดคุยและดื่มกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่อ หลี่ซื่อเมื่อเห็นว่ามิสามารถทำให้ติ้งอ๋องสงสัยในตัวอันหลิงเกอได้  ก็โกรธตัวเองที่พยายามลงทุนลงแรงไปตั้งมาก แต่คิดมิถึงว่าอันหลิงเกอนั้นจะรอดพ้นเงื้อมมือของนางไปได้อย่างง่ายดาย จากนั้นนางก็โบกมือไปมา แล้วเผยรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบมิให้จับผิดได้ แล้วแสร้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง “อี๋เหนียงแค่เป็นห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นกับเจ้าในวังก็เพียงเท่านั้น ในตอนนี้เห็นเกอเอ๋อมิได้เป็นอันใด ข้าก็รู้สึกโล่งใจ” ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ด้านข้างของพวกนาง  กำลังฟังพวกนางพูดคุยตอบโต้กัน แต่จิตใจกลับหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของอันหลิงเฉ่ว เพราะในบรรดาคุณหนูทั้งหมดในจวนโหว คนที่นางรักมากที่สุดคืออันหลิงเฉ่วที่เติบโตขึ้นมาในสายตาของนาง มิใช่เพียงเพราะอันหลิงเฉ่วเป็นบุตรสาวของภริยาเอก  แต่เพราะหลานสาวคนนี้มีมารยาทและมีไหวพริบที่ดี ว่านอนสอนง่าย ปากหวานปานน้ำผึ้ง และมักทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยงนางหัวเราะเสมอ ในตอนนี้อันหลิงเฉ่วรู้สึกอับอายและยังได้รับบาดเจ็บอีก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้สึกสงสารจับใจ มิมีใจอยากอยู่ในงานเลี้ยงต่อแล้ว คิดเพียงแต่ว่าอยากให้งานเลี้ยงนี้จบลงโดยเร็ว จะได้ตามหมอมาดูอาการบาดเจ็บให้อันหลิงเฉ่วอย่างจริงจังเสียที ทางด้านอันหลิงเฉ่วที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อได้ฟังหลี่ซื่อและอันหลิงเกอสนทนากัน นางก็หันหน้ามองมาทางนี้ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแววตาที่คาดเดามิออก  จากนั้นน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ใบหน้าท่าทางดูค่อนข้างเศร้าสร้อย ก็กล่าวออกมาว่า “ชีวิตคนเราเมื่อภาคภูมิใจก็จะมีความสุข  พี่หญิงเพิ่งจะแสดงความสามารถไปเมื่อสักครู่ บรรเลงบทเพลงที่เก่งกาจออกมา  ถ้าบอกว่าทุกคนต่างพากันทึ่งในฝีมือก็มิใช่การกล่าวเกินจริง  พี่หญิงย่อมรู้สึกมีความสุข จึงเป็นเรื่องปกติที่จะดื่มไวน์ผลไม้ไปหลายจอก” ฝีมือการบรรเลงดนตรีของอันหลิงเกอทำให้ผู้คนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน  แต่อันหลิงเฉ่วน่ะสิที่กลายเป็นตัวตลก ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูใบหน้าท่าทางที่เศร้าระทมทุกข์ของอันหลิงเฉ่วที่กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมาก็อดสงสารนางมิได้

ตอนที่ 65 เลิกราอย่างไม่สบอารมณ์

เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยงนั้นของมู่จวินฮาน เป็นเหตุให้อันหลิงเกอถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยมิรู้ตัว คิดมิถึงว่ามู่จวินฮานเมื่อเห็นอันหลิงเกอถอยไปหนึ่งก้าว เขาก็ก้าวมาด้านหน้าอีกก้าวหนึ่ง จนในที่สุดก็บีบอันหลิงเกอไปจมมุมกำแพงมิสามารถถอยไปไหนได้อีก

เมื่อร่างเพรียวบางของอันหลิงเกอถอยไปจนสุดแนบชิดอยู่กับกำแพงแล้ว ทันใดนั้นมู่จวินฮานก็ก้มหน้าลง เหยียดแขนยาวออกไปโอบนางให้อยู่ตรงเบื้องหน้าของตน

การที่มู่จวินฮานก้มศีรษะลง เป็นเหตุให้ปอยผมสีดำละเอียดห้อยลงมา ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาและมีเสน่ห์แม้จะมิได้ยิ้มออกมา อารมณ์ความรู้สึกในดวงตาของเขาในตอนนี้สะท้อนให้อันหลิงเกอรับรู้ถึงความรู้สึกของเขาอย่างชัดเจน

“อันหลิงเกอ  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอันใดอยู่ ? ”

เขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบีบคางของอันหลิงเกอด้วยมือข้างเดียว บังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหลี่กุ้ยเฟยวางแผนคิดจะฆ่าเจ้าอย่างเงียบ ๆ อยู่ในวังมานานหลายปีแล้ว

แต่นี้แค่เรื่องเพียงน้อยนิดเท่านั้น เจ้ายังกล้าเอาตนเองไปเสี่ยงอันตราย ? ถ้าวันนี้ข้ามามิทัน บางทีเจ้าอาจจะกลายป็นวิญญาณที่มิได้รับความยุติธรรมอยู่ในมือของอ๋องติ้งไปแล้ว และเป็นการตายอย่างเงียบ ๆ มิมีสิทธิ์มีเสียงอันใด ! ”

อันหลิงเกอมองดูใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของมู่จวินฮาน นางก็กัดริมฝีปากแน่น น้ำตาคลอ ความรู้สึกขอโทษปรากฏขึ้นในดวงตา

“เรื่องในวันนี้ข้ารู้ว่าข้าประมาทและเลินเล่อเกินไป ถ้าครั้งต่อไป…”

“เจ้ายังคิดว่าจะมีครั้งต่อไปอีกรึ ! ? ”

มู่จวินฮานตวาดออกมาเสียงดัง พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับอารมณ์โกรธ แล้วยิ้มเยาะออกมาด้วยความโกรธ ใบหน้าและแววตามีแต่ความเย็นชา

“เรื่องอันตรายเยี่ยงนี้ เจ้ายังคิดว่าจะมีครั้งต่อไปอีกรึ อันหลิงเกอ สรุปแล้วเจ้าใส่ใจความปลอดภัยของตนเองบ้างหรือไม่ ? ”

ใส่ใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเองบ้างหรือไม่ ?

เมื่อได้ฟัง อันหลิงเกอก็หัวเราะเยาะตัวเองอยู่ภายในใจ นางก็เป็นเพียงวิญญาณชั่วร้ายที่กลับชาติมาเกิดใหม่ก็เท่านั้น ความหมายของชีวิตใหม่คือการแก้แค้น ตราบใดที่สามารถแก้แค้นได้ มันคุ้มที่จะเสียสละชีวิตนี้ของตนเอง

แต่มู่จวินฮานมิเข้าใจ มิเข้าใจว่าในใจของนางนั้นมีความเกลียดชังเคียดแค้นต่อหลี่ซื่อและอันหลิงอีมากเพียงใด เช่นนั้นถึงได้ตั้งคำถามเยี่ยงนี้กับนาง

“มู่ซื่อจื่อช่วยข้าไว้  ข้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจยิ่งนักเจ้าค่ะ แต่เรื่องของข้า ท่านก็อย่าเข้ามายุ่งมากจะดีกว่า”

เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว พวกเขาสองคนก็เป็นเพียงแค่ว่าที่สามีภรรยา บางทีสัญญาแต่งงานอาจจะถูกยกเลิกขึ้นมาวันใดวันหนึ่งในอนาคตก็ได้ ถ้านางยังเคยชินกับการดูแลเอาใจใส่จากมู่จวินฮาน คุ้นชินกับการช่วยเหลือของเขาเยี่ยงนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราทั้งสองต้องแยกทางกันแล้ว นางจะทำเยี่ยงไร

คำกล่าวของอันหลิงเกอที่กล่าวออกมานั้นเพียงแค่กลัวว่าตัวเองจะเคยชินกับการต้องพึ่งพาผู้ชายคนนี้ แต่มู่จวินฮานกลับเข้าใจไปอีกอย่างว่านางรำคาญตัวเองที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องของนาง

เป็นเหตุให้ดวงตาหงส์ปรากฏร่องรอยความเจ็บปวดออกมา ริมฝีปากโค้งลงเยาะเย้ยตัวเอง

“ดี ! เป็นที่ข้าเองที่ชอบยุ่งวุ่นวายเรื่องเจ้ามากเกินไป จึงเป็นเหตุให้เจ้ารำคาญข้า นับแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะมิยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าอีก. .”

มู่จวินฮานกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา มุมปากยกยิ้มขึ้นด้วยความเย้ยหยันตนเอง และมิรอให้อันหลิงเกอกล่าวอันใด เขาก็ก้าวขายาว ๆ เดินจากไป

อันหลิงเกอจ้องมองแผ่นหลังของเขาที่จากไปด้วยความรีบร้อนและเดียวดาย เป็นเหตุให้ภายในใจของนางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาจนแทบหายใจมิออก และดูเหมือนว่าปลายจมูกจะรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา เมื่อรู้สึกเป็นเยี่ยงนั้น อันหลิงเกอก็ยกมือขึ้นสัมผัสน้ำตาที่ไหลออกมาจากขอบตา และคิดมิถึงว่าตนจะรู้สึกเจ็บปวดได้มากถึงเพียงนี้ ?

อันหลิงเกอมองตามแผ่นหลังของมู่จวินฮานด้วยความงุนงง มิเข้าใจอารมณ์ที่ว้าวุ่นในใจของตนเอง

หลังจากนั้นมินานถึงได้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับขอบตา และเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอย่างมิมีอันใดเกิดขึ้น

เมื่อหลี่ซื่อเห็นอันหลิงเกอกลับมาในงานเลี้ยง  ใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที แทบจะปิดบังและซ่อนเร้นความตกตะลึงและความประหลาดใจในแววตาเอาไว้มิได้

เห็นได้ชัดว่านางสั่งให้คนใส่ยานอนหลับไปในแก้วของอันหลิงเกอแล้ว ในตอนนี้อันหลิงเกอควรจะอยู่ในตำหนักของซูเฟย และได้เห็นสัมพันธ์ระหว่างซูเฟยกับอ๋องติ้ง จากนั้นก็ถูกอ๋องติ้งฆ่าตายไปแล้วถึงจะถูก  เหตุใดถึงได้กลับเข้ามาในงานเลี้ยงโดยมิเป็นอันใดเลยเยี่ยงนี้ ? หรือว่านางกำนัลผู้นั้นมิได้พานางไปถึงที่ตำหนักซูเฟย ?

การคาดเดานี้แวบเข้ามาในใจของหลี่ซื่อ มองดูอันหลิงเกอที่นั่งลงข้างตัวเอง  มินานนัยน์ตาคู่นั้นก็เป็นประกายด้วยรอยยิ้มร้ายกาจแล้วเอ่ยถามออกมาว่า “เมื่อสักครู่เกอเอ๋อที่ไปไหนมารึ  ข้าหาเจ้าไปทั่วก็หามิเจอ นึกว่าเจ้าไปวิ่งเล่นซุกซนในที่ที่มิมีคนอีกแล้ว”

นางเพิ่มระดับเสียงขึ้นเล็กน้อย หางตาเหล่มองไปทางอ๋องติ้ง จากนั้นถึงได้เอ่ยเตือนอันหลิงเกออย่างเป็นห่วงอีกครั้งว่า “มิใช่ว่าข้าจะต่อว่าเกอเอ๋อ แต่เนื่องจากในวังมิใช่จวนโหวของเรา เกอเอ๋อจะวิ่งวุ่นไปทั่วมิได้”

เมื่ออ๋องติ้งได้ยินหลี่ซื่อกล่าวออกมาเยี่ยงนั้นแล้ว แววตาที่หวาดระแวงก็จับจ้องมาที่อันหลิงเกอทันที

เมื่อครู่หลังจากที่เขาหนีออกมาได้ก็รีบกลับมาที่งานเลี้ยงถึงได้พบว่าฮ่องเต้มิได้ไปที่ตำหนักของซูเฟย มีคนจงใจแกล้งทำลอกเลียนเสียงของฮ่องเต้เพื่อหลอกล่อให้เขาหนีออกมา ความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวระหว่างเขาและซูเฟยถูกค้นพบ แต่มิรู้ว่าผู้ใดเป็นคนเห็นความลับของพวกเขากันแน่

ตอนนี้เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลี่ซื่อ ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่คุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวมิได้อยู่ในงานเลี้ยง ช่างบังเอิญเกินไปหน่อยหรือไม่ ?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ อ๋องติ้งก็จ้องมองมาทางอันหลิงเกออย่างยากที่จะเดา ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นอายของความโหดเหี้ยมอำมหิตแฝงอยู่

อันหลิงเกอเหมือนมิทันสังเกตเห็นแววตาที่จ้องมองมาอย่างแปลก ๆ นั้น นางเอาแต่จ้องมองมาทางหลี่ซื่อด้วยใบหน้าที่งดงามและสงบนิ่ง แล้วกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้ามิใช่ผู้ที่ชอบเที่ยวเล่นเช่นน้องอีเอ๋อ เหตุใดข้าต้องวิ่งเล่นไปทั่วด้วยเล่าเจ้าคะ ? ข้าก็แค่ดื่มไวน์ผลไม้หวานอร่อยมากไปหน่อย นางกำนัลเลยพาข้าออกไปเดินเล่นสูดอากาศ อี๋เหนียง ท่านนั้นกังวลมากไปแล้วเจ้าค่ะ”

หลี่ซื่อที่ได้ฟังคำบอกกล่าวของอันหลิงเกอและฝืนยิ้มส่งไปให้โดยมิคิดที่จะปล่อยอันหลิงเกอไปง่าย ๆ

“อ้อ  นางกำนัลพาเจ้าออกไปนี้เอง แล้วนางกำนัลผู้นั้นล่ะ ? “

“นางบอกว่าจะนำของบางอย่างไปส่งให้ที่ตำหนักหลี่กุ้ยเฟย  ข้าเลยกลับมาเอง อี๋เหนียงมีเรื่องจะถามนางกำนัลผู้นั้นรึเจ้าคะ ? ”

หลังจากที่อันหลิงเกอกล่าวจบก็ยัดลูกพลัมเข้าปากไปลูกหนึ่ง ดวงตาที่งดงามหยีตาลงเล็กน้อยใบหน้าท่าทีที่ดูผ่อนคลาย ดูมิออกเลยว่าเพิ่งจะเผชิญกับอันตรายมา

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนั้น พร้อมทั้งท่าทีที่ผ่อนคลายของนาง ติ้งอ๋องถึงได้ค่อย ๆ ถอนสายตามองไปทางอื่น หันไปพูดคุยและดื่มกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่อ

หลี่ซื่อเมื่อเห็นว่ามิสามารถทำให้ติ้งอ๋องสงสัยในตัวอันหลิงเกอได้  ก็โกรธตัวเองที่พยายามลงทุนลงแรงไปตั้งมาก แต่คิดมิถึงว่าอันหลิงเกอนั้นจะรอดพ้นเงื้อมมือของนางไปได้อย่างง่ายดาย

จากนั้นนางก็โบกมือไปมา แล้วเผยรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบมิให้จับผิดได้ แล้วแสร้งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง

“อี๋เหนียงแค่เป็นห่วงว่าจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นกับเจ้าในวังก็เพียงเท่านั้น ในตอนนี้เห็นเกอเอ๋อมิได้เป็นอันใด ข้าก็รู้สึกโล่งใจ”

ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ด้านข้างของพวกนาง  กำลังฟังพวกนางพูดคุยตอบโต้กัน แต่จิตใจกลับหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของอันหลิงเฉ่ว

เพราะในบรรดาคุณหนูทั้งหมดในจวนโหว คนที่นางรักมากที่สุดคืออันหลิงเฉ่วที่เติบโตขึ้นมาในสายตาของนาง มิใช่เพียงเพราะอันหลิงเฉ่วเป็นบุตรสาวของภริยาเอก  แต่เพราะหลานสาวคนนี้มีมารยาทและมีไหวพริบที่ดี ว่านอนสอนง่าย ปากหวานปานน้ำผึ้ง และมักทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยงนางหัวเราะเสมอ

ในตอนนี้อันหลิงเฉ่วรู้สึกอับอายและยังได้รับบาดเจ็บอีก ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้สึกสงสารจับใจ มิมีใจอยากอยู่ในงานเลี้ยงต่อแล้ว คิดเพียงแต่ว่าอยากให้งานเลี้ยงนี้จบลงโดยเร็ว จะได้ตามหมอมาดูอาการบาดเจ็บให้อันหลิงเฉ่วอย่างจริงจังเสียที

ทางด้านอันหลิงเฉ่วที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อได้ฟังหลี่ซื่อและอันหลิงเกอสนทนากัน นางก็หันหน้ามองมาทางนี้ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแววตาที่คาดเดามิออก  จากนั้นน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ใบหน้าท่าทางดูค่อนข้างเศร้าสร้อย ก็กล่าวออกมาว่า “ชีวิตคนเราเมื่อภาคภูมิใจก็จะมีความสุข  พี่หญิงเพิ่งจะแสดงความสามารถไปเมื่อสักครู่ บรรเลงบทเพลงที่เก่งกาจออกมา  ถ้าบอกว่าทุกคนต่างพากันทึ่งในฝีมือก็มิใช่การกล่าวเกินจริง  พี่หญิงย่อมรู้สึกมีความสุข จึงเป็นเรื่องปกติที่จะดื่มไวน์ผลไม้ไปหลายจอก”

ฝีมือการบรรเลงดนตรีของอันหลิงเกอทำให้ผู้คนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน  แต่อันหลิงเฉ่วน่ะสิที่กลายเป็นตัวตลก ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูใบหน้าท่าทางที่เศร้าระทมทุกข์ของอันหลิงเฉ่วที่กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมาก็อดสงสารนางมิได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด