พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 444 เป็นประโยชน์
แสงไฟในห้องโถงหลักของกองกิจการทัพตะวันตกเฉียงเหนือสว่างไสว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและสุรา ทว่าภายในกลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน ไม่สิ มีอยู่คนหนึ่ง เจียงเหวินหยวนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะยังคงนั่งอยู่ใต้แสงสว่าง ใบหน้าของเขาขาวซีดจนน่ากลัว
วันนี้เป็นวันเกิดของเขา แม้ว่างานจะหนักและเหนื่อยล้าเพียงใด แต่ก็ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี
หลังจากที่ได้รับรางวัล จะกำลังจะพ้นตำแหน่งผู้ช่วยออก และถูกเรียกเรียกสั้นๆ ว่าผู้บัญชาการชายแดนได้เต็มปากเต็มคำ ขณะเดียวกันก็จะได้ตั้งรกรากอยู่ที่จือโจว
แน่นอนว่าชีวิตมักมีเรื่องที่ไม่น่าพอใจอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่นพี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานที่ดูไม่สำคัญ แต่กลับน่าขยะแขยงเพราะต่อสู้แย่งชิงความดีความชอบ
แต่สุดท้ายปัญหาก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น
นอกจากนี้ หลายวันก่อน อนุภรรยาของเขาได้คลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง นี่นับเป็นลูกชายคนที่สิบสามของเขา และเป็นที่อิจฉาสำหรับคนมากมายที่มีทายาทได้ยาก
แน่นอน งานวันเกิดปีที่สี่สิบหก เจียงเหวินหยวนจัดขึ้นอย่างชื่นมื่น แต่เขากลับคาดไม่ถึงว่างานเลี้ยงยังไม่ทันได้เริ่ม ก็ตกใจกับสารลับที่ส่งมาจากเมืองหลวง
โจว!เฟิ่ง!เสียง!
เสียงตะโกนนี้ ทำให้เจียงเหวินหยวนพลิกโต๊ะตรงหน้าจนคว่ำ ถ้วย จาน ชาม จานรอง กาเหล้าล้มระเนระนาดกระจายเต็มพื้น
“ฆ่ามันเสีย!ฆ่ามันเสีย!”
เขาตะโกนแล้วรีบเดินออกไปคว้ามีดจากเอวของบ่าวที่ยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน ก่อนมุ่งตรงไปที่ประตูใหญ่
“ใต้เท้า ใต้เท้าไม่ได้นะขอรับ!”
ผู้ติดตามคนสนิทพาเหล่าเสนาธิการชิงเค่อวิ่งกรูเข้ามาขวางแล้วรีบแย่งมีดอย่างไม่คิดชีวิต
“ฆ่ามัน ไปฆ่ามันเดี๋ยวนี้” เจียงเหวินหยวนตะโกนด้วยสีหน้าดุดัน
“ใต้เท้า อย่าว่าแต่ใต้เท้าเลย มีคนมากมายของทัพตะวันตกเฉียงเหนืออยากจะฆ่าเขา” เสนาธิการเกลี้ยกล่อมเขา “อันที่จริง มันไม่ยากเลยที่จะสังหารเขาในสนามรบ ไม่ว่าจะทำให้ม้าตกใจจนตัวตายหรือธนูยิงใส่ล้วนฟังขึ้นทั้งนั้น แต่ตอนนี้อยู่ที่เมืองหลงกู่และไม่มีศึกสงคราม จะสังหารเขาอย่างไร”
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้รับสารลับ เขาก็ส่งคนให้ไปหาโจวเฟิ่งเสียง กลับพบว่าโจวเฟิ่งเสียงที่อ้างว่าล้มป่วยเลยไม่ได้มางานเลี้ยงถูกถอดออกจากตำแหน่งและเข้าคุกด้วยตัวเอง บอกว่าตนทำผิดและคำสั่งจากราชสำนัก
“เขาเข้าคุกเอง ตายไปในคุกเสียจะเป็นไรไป!” เจียงเหวินหยวนดวงตาแดงก่ำและกัดฟันเอ่ย
หากขุนนางทหารตายไปคงไม่เป็นไร แต่โจวเฟิ่งเสียงเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นและอยู่ระหว่างกราบทูลรับผิด”
“ใต้เท้า ตอนนี้เขายังตายไม่ได้ หากเขาตาย พวกเราไม่มีข้ออ้างแน่นอนขอรับ” เสนาธิการถอนหายใจเอ่ย
เจียงเหวินหยวนจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“แต่ตอนนี้เขายังไม่ตาย พวกเราก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน!” เขาตะโกน
เขาเดินไปมาราวกับเสือดุร้ายที่พร้อมกระโจนด้วยความโกรธแต่กลับถูกขังไว้ในกรง
ทันทีที่เขาได้รับสารลับ เขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดในทันที ความกังวลที่อธิบายไม่ได้ในใจมาหลายวันก็คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์
ไม่แปลกใจที่เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ!
เป็นเช่นนี้นี่เอง!เป็นเช่นนี้นี่เอง!
ใครเป็นคนปล่อยข่าวว่าสวีซื่อเกินโดนทุบตีในเรือนจำ เหตุใดทหารอาสาสมัครแต่ละที่ถึงบังเอิญอยู่ละแวกนั้นพอดี และเหตุใดฟางจ้งเหอที่หลบหนีถึงถูกทหารเฝ้าประตูเมืองรั้งไว้ได้อย่างบังเอิญ…
ทั้งหมดนี้เตรียมไว้สำหรับพวกเขาที่ยอมรับเหตุการณ์ป้อมหลินกวนและเขียนไว้ในสาส์นกราบทูล และสำหรับตราประทับของเขาที่ประทับไว้บนสาส์นกราบทูลนั่น!
“พวกเขาตั้งใจหลอกลวง!นี่เป็นการบิดเบือนข้อมูล!” เจียงเหวินหยวนตะโกน “นี่คือการวางแผนใส่ร้าย!อีกอย่าง การรายงานเท็จเรื่องความดีความชอบทางทหารไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร นี่ก็ไม่ใช่การรายงานความดีความชอบเท็จเสียหน่อย นี่เป็นเพียงการคุยโอ้อวดหลังสงครามเท่านั้น!พวกเราแค่พูดโอ้อวดเกินจริงไปบ้าง ฆ่าคนดีเอาความดีความชอบก็มีถมไป…”
เหล่าเสนาธิการรีบเกลี้ยกล่อมเขาเพื่อไม่ให้พูดต่อ
ถูกต้องแล้ว การายงานความดีความชอบเท็จไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พวกเขากล้ารับประกันว่าทุกครั้งที่สงครามสิ้นสุดลง ทุกกองทัพล้วนพูดจาโอ้อวดเกินจริงกันทั้งนั้น
แต่เรื่องราวบนโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้แล เมื่อครั้นไม่เป็นไรคือไม่เป็นไร เมื่อเกิดปัญหาก็ถูกเล่นงาน ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดเพียงอย่างเดียว
อีกอย่างจังหวะเวลาที่รายงานคราวนี้ก็ส่งไปถึงก็ไม่สู้ดีนัก
ดันส่งไปถึงเมืองหลวงตอนที่พิจารณาเรื่องการแย่งชิงความดีความชอบในศึกป้อมหลินกวนพอดี ทั้งยังเป็นตอนที่ฮ่องเต้ถูกหญิงนางนั้นบีบบังคับให้ตบปากรับคำ
“นี่มันเหมือนตบหน้าฮ่องเต้ชัดๆ ทำให้ฮ่องเต้เสียหน้า” เหล่าเสนาธิการถอนหายใจ
ฮ่องเต้ไม่กริ้วสิถึงจะแปลก
การเคลื่อนไหวของโจวเฟิ่งเสียงครั้งนี้ ทั้งดุดันและอำมหิตเสียจริง
เจียงเหวินหยวนเตะชั้นวางจนลอย อาวุธและสิ่งของต่างๆ ตกลงกระทบพื้นเสียงดัง
“ใต้เท้า เราต้องขอชี้แจงเหตุผลของตน” เสนาธิการเอ่ย “แต่สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือ ท่านจะถูกเรียกตัวไปเมืองหลวงไม่ได้”
หากท่านไปเมืองหลวง ท่านก็จะต้องเสียเวลาไปกับการถกเถียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าสุดท้ายท่านจะชนะ เกรงว่าคงยาก หากจะกลับมายังทัพตะวันตกเฉียงเหนืออีก
ถูกต้อง เขาไปไม่ได้ หากเขาไปจริงๆ ก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว
“แล้วจะไม่ให้ไปหรือ” เขากัดฟันเอ่ย
เรื่องของโจวเฟิ่งเสียงรุนแรงนัก ทางเมืองหลวงคงกัดไม่ปล่อยแน่ รวมทั้งฮ่องเต้ยังคงโกรธอยู่ในอารมณ์ จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร
“เรามาหาทางออกก่อนที่ราชทูตจะมาถึงเถิด” เหล่าเสนาธิการไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคำพูดนี้
ยามยืนอยู่ตรงลานบ้าน สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน แม้ว่าจะยังไม่ถึงฤดูหนาวของเดือนสิบสอง เจียงเหวินหยวนกลับรู้สึกถึงลมหนาวเย็นเยือกไปถึงกระดูก
พอท้องฟ้าสว่าง สายตาของผู้คนในห้องโถงว่าการเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แม้จะอดนอนมาทั้งคืน แต่ก็ไม่มีใครง่วง หรือกล่าวได้ว่ารู้สึกเย็นชาไร้ความรู้สึกกันไปเสียหมดแล้ว
เอกสารทางทหารจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายอยู่เต็มพื้น แต่พวกเขากลับหาวิธีแก้ไขปัญหาเร่งด่วนตรงหน้าไม่ได้
“ข้าจะฆ่าโจวเฟิ่งเสียงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!” เจียงเหวินหยวนตะโกนอย่างฉุนเฉียว
เหล่าเสนาธิการรีบห้ามเขาไว้อย่างสุดพลัง
“ใต้เท้า สละชีวิตเช่นนี้ไม่คุ้มหรอก!”
“ใช่ เรื่องยังไม่มีข้อสรุป แม้ต้องออกจากทัพตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ยังมีที่อื่นรออยู่ ใต้เท้าเกาต้องช่วยท่านอย่างแน่นอน และท่านจะได้กลับมาโดยเร็ว!”
อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่และไม่เข้าเมืองเหลวงเหมือนเมื่อคืนแล้ว
เจียงเหวินหยวนยิ้มเยาะในใจ รู้สึกสิ้นหวังไม่น้อย เขาพ่ายแพ้ไปแล้วครึ่งทาง…
“…รายงาน...”
เสียงตะโกนว่ารายงานลากยาวในห้องโถงของว่าการ ก่อนจะมีทหารรีบวิ่งเข้ามา
“รายงานเร่งด่วนจากป้อมชิงซาน มีกลุ่มโจรตะวันตกรวมตัวกันทางตะวันออกเฉียงใต้ เป้าหมายคือชนเผ่าฟานจากเขาเฮยซานที่สวามิภักดิ์ ชนเผ่าฟานจากเขาเฮยซานขอความช่วยเหลือ!”
ผู้คนในห้องโถงตกตะลึงและแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
“จำนวนคนเท่าไหร่” เจียงเหวินหยวนไม่เสียแรงที่เป็นแม่ทัพและเป็นคนแรกที่ได้สติแล้วถามขึ้น
“สองหมื่น!” ทหารม้าเร็วคุกเข่ารายงานและส่งจดหมายที่ลงตราประทับครั่งพร้อมกับเหรียญทองที่พิสูจน์ตัวตน
สองหมื่น!
ใบหน้าที่เดิมทีขาวซีดของผู้คนเหล่านั้นก็ยิ่งดูไร้เลือดเนื้อยิ่งกว่าเดิม แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็คิดบางอย่างออก ใบหน้าได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“มาได้พอเหมาะพอเจาะ!ฮ่า!ฮ่า!ฮ่า! มาได้พอเหมาะพอเจาะ!”
เสียงหัวเราะที่ทำให้คนหูหนวกระเบิดขึ้นในห้องโถงว่าการทันที มีเพียงทหารม้าเร็วที่ยิ้มอย่างงวยงง
ศัตรูสองหมื่นนาย น่ายินดีนักหรืออย่างไร
แน่นอนว่ามีคนที่ไม่ได้ดีใจรวมอยู่ด้วย ทันทีที่โจวเฟิ่งเสียงที่นั่งรออยู่ในคุกทราบข่าว สีหน้าเฉยเมยของเขาก็เปลี่ยนเป็นเหม่อลอยในทันใด ใบหน้าเขาไร้เลือดฝาด แม้ว่าร่างกายจะยังไม่สูญเสียการควบคุม แต่ถ้าหากยืนอยู่ในระยะใกล้ก็จะมองเห็นว่ามือที่วางอยู่บนตักทั้งสองกำลังสั่นอยู่
“ถึงเวลา ฟ้าลิขิต…” เขาพึมพำ
เมื่อเทียบกับทหารระดับสูงที่สามารถทราบข่าวในทันที ทหารชั้นผู้น้อยกลับล่าช้ากว่ามาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกทหารที่อยู่ในเรือนจำ
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ หลังจากที่ได้ยิน
“…ก็ไม่รู้ว่าจะให้พวกเราออกรบด้วยหรือไม่…”
“… ทำคุณไถ่โทษนะหรือ”
มีคนพูดล้อเล่นขึ้น
แต่สวีซื่อเกินและหลิวขุยซึ่งนั่งอยู่ด้านในสุดกลับหัวเราะไม่ออก พวกเขาสบตากันและมองเห็นความสิ้นหวังในดวงตาของพวกเขา
จบแล้ว…
เจียงเหวินหยวนไปไม่ได้แล้ว…
สวรรค์ช่วยเขาจริงๆ หรือ
เช่นเดียวกับปฏิกิริยาของชาวกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อสารทางทหารเร่งด่วนมาถึงเมืองหลวง บางคนหัวเราะ บางคนใบหน้าขาวซีด
ที่หัวเราะไม่ใช่เพราะชินชาในสงคราม ใบหน้าขาวซีดก็ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวสงคราม แต่เป็นการแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่อเวลาและโชคชะตา
ประตูภายในตำหนักว่าราชการของวังหลวงถูกปิดอีกครั้ง ทว่าข่าวนั้นได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นเคย
“… สงครามใกล้เข้ามา ครั้งนี้เจียงเหวินหยวนไม่เป็นไรแล้ว…”
“…ใช่ ข้อห้ามเข้มงวดที่สุดก่อนออกศึกคือเปลี่ยนแม่ทัพ ครั้งนี้ฮ่องเต้ก็ไม่กล้าลงมือกับเขา…”
“…เจียงเหวินหยวนผู้นี้ช่างโชคดีเสียจริง…”
แม้ยังไม่มีข่าวจากราชสำนัก แต่ชาวเมืองภายนอกและคนที่พอรู้หนังสือบ้างก็พากันได้ตัดสินแทนราชสำนักแล้ว
นายใหญ่จางวางกรรไกรในมือลง มองดูถาดด้านหน้าแล้วถอนหายใจเสียงเบา
“อย่างน้อยก็ไม่ได้ผิดหวังไปเสียทั้งหมด อย่างน้องก็กอบกู้ชื่อเสียงได้” เขาเอ่ย
แต่คิ้วยังคงขมวดไม่คลาย
กอบกู้ชื่อเสียงได้แล้วมีประโยชน์อันใดเล่า พี่น้องจากเขาเม่าหยวนซานเปลี่ยนจากไร้ชื่อมามีชื่อเสียง ถ้าเป็นเช่นนั้น กองกิจการทหารตะวันตกเฉียงเหนือก็สามารถทำได้เช่นกัน
“ถึงเวลาฟ้าลิขิตจริงๆ จนปัญญา จนปัญญา” ในที่สุดนายใหญ่จางก็ส่ายหน้า ทิ้งกรรไกรลง แล้วหันหลังกลับเข้าบ้านไป
แม้ว่าครั้งสุดท้ายออกจากสะพานอวี้ไต้ด้วยความโมโหและสาบานว่าจะไม่กลับมาอีก แต่เมื่อทราบข่าว ท่านชายโจวหกก็รีบวิ่งมาโดยเร็ว
แต่เขาก็ยังมาช้าไปหนึ่งก้าว
“นายหญิงไปที่เรือนของอำมาตย์เฉินแล้วขอรับ” บ่าวที่ถูกทิ้งอยู่บ้านเอ่ย
ไปเรือนเฉินเซ่าอย่างนั้นหรือ
ไปหาเขาทำไมกัน ไปหาเขาจะได้ประโยชน์อะไร ครั้งนี้เฉินเซ่าไม่ใช่แค่หลอกเกาหลิงปอ ยิ่งไปกว่านั้นอย่าว่าแต่จะปกป้องใครเลย ตอนนี้ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด
เมื่อได้ยินว่าเฉิงเจียวเหนียงมาเยี่ยมเยียน คนของตระกูลเฉินก็ประหลาดใจยิ่งนัก
พอแม่นางเฉินสิบแปดรีบตามมา นางหยุดมองร่างที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกตาจากระยะไกลอย่างอดไม่ได้
“แม่นางสิบแปดไม่ไปหรือ” เฉินตันเหนียงที่ดึงแขนนางถามอย่างสงสัย
“นางมีธุระคุยกับท่านพ่อ ไว้พวกเราค่อยไปหานางทีหลัง” แม่นางเฉินสิบแปดพูดพลางมองไปยังหญิงสาวที่เดินเข้าไปในห้องหนังสือของท่านพ่อตน
เมื่อเทียบกับสองปีที่แล้ว นางดูสูงขึ้นมาก...
“แม่นางสิบแปด แม่นางผู้นั้นคือแม่นางเฉิงหรือ” เฉินตันเหนียงถาม
“เจ้าสนิทกับนางเป็นที่สุด ลืมนางไปแล้วรึ” แม่นางเฉินสิบแปดดันหน้าผากของนางแล้วเอ่ย
“ก็นานมาแล้วนี่ ข้าเลยหลงลืม” เฉินตันเนียงทำหน้ามุ่ย มองไปทางแผ่นหลังที่ถูกประตูบดบัง แม้ความทรงจำจะเลือนลางแต่กลับรู้สึกถึงความสนิทสนมไม่น้อย
“พวกเรารออยู่ตรงนี้ก่อน” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ย พลางมองไปยังห้องนั้น คิ้วของนางขมวดเข้าหากันแลดูเป็นกังวล
เฉินเซ่าเพิ่งกลับจากวังหลวง สีหน้าดูเหนื่อยล้า
“แม่นางเฉิง เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ทั้งยังไม่ต้องกังวล ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองมาที่เขาแล้วยิ้มเล็กน้อย
“ใต้เท้า เมื่อวิถีธรรมเป็นไป ความยุติธรรมย่อมก็จะเกิดขึ้นบนแผ่นดิน ข้าไม่กังวล” นางเอ่ย
รอยยิ้มนี้ในสายตาของเฉินเซ่ากลับทำให้สีหน้าเขาตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว
เมื่อวิถีธรรมอย่างนั้นหรือ…
ใต้เท้าเฉินเล่นพรรคเล่นพวก ไม่คำนึงถึงความถูกผิด นี่คือสิ่งที่ตอนนี้ท่านต้องเข้าใจถึงวิถีธรรม
ประโยคนี้ดังก้องข้างหูเขา
ถูกต้อง สิ่งที่เขาทำในครั้งนี้ไม่ได้คำนึงถึงความถูกผิดจริงๆ และใช้วิธีบางอย่างที่สองปีก่อนตนเห็นว่าน่าอับอาย
เหตุผลที่เขาจงใจขับไล่เกาหลิงปอออกจากราชสำนัก ก็เพราะบุคคลผู้นี้ขัดขวางงานของราชสำนักและการดูแลประชาชน คนเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ ไม่ควรเลี้ยงไว้ในราชสำนัก
เขาก็รู้ดีกว่าพวกเกาหลิงปอเคยใช้วิธีเหล่านี้กับเขา แต่เขาไม่เคยใส่ใจและใช้วิธีการแบบเดียวกันโต้ตอบ เพราะเขาเชื่อเสมอว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นไม่ใช่การต่อสู้กับพรรคพวก แต่เป็นวิถีธรรมแห่งความจงรักภักดีของเหล่าขุนนาง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนเขาจะเปลี่ยนไปโดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะครั้งนี้ ในระหว่างที่เหล่าเสนาธิการและผู้ติดตามรวมตัวกันหารือ เขากลับไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของพวกเขาทั้งยังยอมรับไปโดยปริยาย ไม่ ไม่เพียงยอมรับ เขายังลงมือทำด้วยตัวเอง
และวิธีการเหล่านี้ย่อมทำร้ายผู้บริสุทธิ์จำนวนไม่น้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น…
เฉินเซ่ามองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น วิธีการที่เขาเคยสนับสนุนก็เกิดขึ้นกับเขาเอง ไม่รู้ว่านางจะคิดเช่นไร นี่ช่างเป็นเรื่องของเวลาและโชคชะตาเสียจริงๆ
“…เพียงแต่ใต้เท้าโชคไม่ค่อยดีนัก”
เสียงพูดข้างหูยังคงดังก้องต่อไป
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เฉินเซ่ารู้สึกแสบแก้วหูจากคำพูดที่ประชดประชัน
สำหรับแม่นางผู้นี้แล้ว การประชดประชันไม่นับว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาท
“แม่นางเฉิง เรื่องนี้ข้ามีคำอธิบายให้กับเจ้าได้อย่างแน่นอน สบายใจได้และไม่ต้องกังวล” เขาถอนหายใจเสียงเบาและพูดอย่างเคร่งขรึม
“จะไม่ให้กังวลได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เฉินเซ่าแล้วยิ้มเล็กน้อย “แล้วใต้เท้าไม่กังวลหรอกหรือ”
ไม่กังวลหรือ หากไม่กังวลปากคงไม่พุพองในชั่วข้ามคืนหรอก!
“แม่นางเฉิง ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า แต่แค่ตอนนี้ยังไม่ควรรีบร้อน ต้องค่อยเป็นค่อยไป” เฉินเซ่าสูดหายใจเข้าลึกแล้วนั่งตัวตรงเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงมองมาที่เขาแล้วตอบรับ
“ถ้าเช่นนั้น เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่” นางเอ่ย “ให้ข้าช่วยท่านแทน ดีหรือไม่”
Comments