พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 220 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 11)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 220 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพราะแอนนี่บอกให้เปลี่ยนที่คุย ทั้งสองจึงย้ายไปนั่งคุยกันที่ห้องรับรองซึ่งไม่มีใครอยู่เลย

ดูเหมือนแอนนี่ตั้งใจจะเล่าความลับให้ฟัง อาเรียจึงไม่ได้เรียกข้ารับใช้เข้ามา

แอนนี่มองไปรอบข้างเพื่อดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ ก่อนจะพูดว่า

“เอ่อ ที่จริงแล้ว…”

ดูไม่สมกับเป็นแอนนี่ที่ช่างพูดช่างจาเสียเลย

อาเรียอยากรู้ว่าแอนนี่ตั้งใจจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ เธอจดจ่อไปยังริมฝีปากที่เผยอออกของแอนนี่

“ดิฉันตั้งครรภ์ค่ะ! ”

“…”

“เฮ้อ ในที่สุดดิฉันก็ได้บอกออกไปสักที! ”

แอนนี่ยิ้มสดใสราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก

เพราะแบบนั้น นี่หมายความว่าเธอทำให้คนอื่นรู้สึกกระสับกระส่ายถึงขนาดนี้ เพราะตั้งใจจะบอกว่าตัวเองท้องอย่างนั้นหรือ

เพราะคาดไม่ถึงว่าแอนนี่จะพูดเรื่องนี้ อาเรียจึงหลุดหัวเราะออกมา พอเห็นท่าทีตอบสนองที่ไม่ได้คาดคิดเข้า แอนนี่ก็ทำหน้าเหยเกขึ้นมา

“ทำไม ทำไมถึงหัวเราะแบบนั้นล่ะคะ! ดิฉันอุตส่าห์ปิดเงียบเอาไว้เพราะอยากบอกให้พระชายารู้เป็นคนแรกเลยนะคะ! ”

แม้จะรู้ว่าอาเรียคงไม่ได้แสดงท่าทียินดีอะไรมากมาย เพราะนิสัยเธอเป็นแบบนั้น แต่ก็คิดว่าเธอคงจะพูดแสดงความยินดีออกมาบ้าง แต่เธอกลับหัวเราะออกมาเสียได้

ในตอนนั้นเองที่อาเรียรู้ตัวว่าตัวเองหัวเราะมากเกินควร จึงแก้ต่างด้วยคำที่ฟังดูแล้วไม่เหมือนกับคำแก้ตัวสักเท่าไหร่

“ก็บรรยากาศมันพาไปนี่นา ฉันก็เป็นกังวลขึ้นมา นึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นน่ะสิ”

“นั่นน่ะเป็นเพราะจะให้คนอื่นสังเกตเห็นไม่ได้ยังไงล่ะคะ ดิฉันอยากบอกให้พระชายารู้เป็นคนแรกจริงๆ  แม้แต่สามีของดิฉันก็ยังไม่รู้ถึงเรื่องนี้เลยค่ะ”

บารอนเวอร์บูมยังไม่รู้อย่างนั้นหรือ ทั้งที่บอกเขาก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยแท้ๆ

เอาเถอะ อย่างไรความภักดีของแอนนี่ก็เป็นที่น่าชื่นชม อาเรียถอนหายใจไล่ความกังวลและความวุ่นวายใจออกไป ก่อนจะยินดีกับการตั้งครรภ์ของแอนนี่

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ยินดีด้วยนะ ขอให้เป็นเด็กที่ตรงไปตรงมาเหมือนกับเธอนะ”

“ขอบพระคุณค่ะ พระชายา! ดิฉันอยากได้คำอวยพรจากพระชายาเป็นคนแรกเลยค่ะ ดีใจจังเลยค่ะ”

แก้มของแอนนี่แดงเรื่อขึ้นมา พร้อมกับยิ้มจนตาหยี

ถึงฉันจะอวยพรไปตามมารยาทก็เถอะ แต่การมีลูกมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ

อยู่ๆ อาเรียก็คิดแบบนั้นขึ้นมา แล้วถามแอนนี่ออกไป

“ดีใจที่จะมีลูกขนาดนั้นเลยเหรอ”

แอนนี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบว่า

“อืม ไม่รู้สิคะ ที่จริงแล้วดิฉันยุ่งจนมากจนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ลูกงั้นหรือ ดิฉันไม่เคยคิดฝันถึงเรื่องนี้เลยค่ะ”

หลังจากแต่งงานแอนนี่ก็กลายมาเป็นขุนนาง นอกจากต้องปรับตัวให้กับสถานะภาพชนชั้นสูงแล้ว เธอยังต้องช่วยธุรกิจของสามีและดูแลวงศ์ตระกูลอีกด้วย

พอมีเวลาว่างขึ้นมานิดหน่อยก็มักจะมาเยี่ยมอาเรียที่พระราชวัง

อีกทั้งการพบปะร่วมดื่มชากับเหล่าคุณผู้หญิงที่สนิทกับตระกูลของบารอนก็เป็นเรื่องที่ละเว้นไม่ได้ด้วย

“นอกจากนั้นก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ดิฉันยังเป็นแค่สาวใช้อยู่เลยค่ะ ปกติแล้วสาวใช้ประจำตระกูลขุนนางก็มักจะไม่แต่งงานกันอยู่แล้ว นี่เลยเป็นเรื่องที่ดิฉันไม่เคยวางแผนเอาไว้ในชีวิตเลยค่ะ”

แม้จะพูดอ้อมแล้วอ้อมอีก แต่สุดท้ายก็เป็นการบอกว่าเพราะอาเรียเธอจึงมีวันนี้

แอนนี่ขอบคุณอาเรียอย่างไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร

อาเรียทำหน้าไม่พอใจต่อแอนนี่ที่ตอบไม่ตรงคำถามและเอาแต่พูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกมา ก่อนจะถามเธออีกครั้ง

“แล้วสรุปเธอชอบหรือไม่ชอบกันล่ะ รู้สึกแบบไหนกันแน่”

“อืม ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ ถ้าคิดให้ดีละก็ คงชอบค่ะ ตอนที่ดิฉันได้ยินหมอประจำตระกูลบอกว่าดิฉันตั้งครรภ์เข้า ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ลูกของดิฉันกับสามีนี่นา อยากรู้ว่าจะหน้าตาเหมือนใครกันค่ะ นอกจากนั้น-“

แอนนี่พึมพำว่าหากหลังจากนี้อาเรียมีลูกแล้วละก็ ตนก็คิดอยากจะช่วยเลี้ยงดูร่วมกับลูกของตนเอง

และยังพูดเพ้อเจ้อร่ายยาวว่าหากเป็นเด็กที่เพศตรงข้ามกันละก็ อาจจะมีวาสนาต่อกันอย่างไม่คาดคิดก็ได้

หากฟังแอนนี่พูดจนจบ อาเรียก็คงจะหัวเราะออกมา เพียงแต่เธอกำลังคิดเรื่องอยู่

‘เด็กที่เหมือนสามีกับตัวเองหรือ…’

ความจริงแล้วอาเรียเองก็เคยคิดแบบนั้นมาก่อน

พูดให้ถูกเธอเคยคิดถึงเด็กที่คล้ายอาซ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร

‘แต่ดูเหมือนว่าเด็กจะคล้ายฉันเสียมากกว่านะ’

ไม่ใช่แค่คล้าย แต่บลิสหน้าตาเหมือนอาเรียราวกับถอดแบบกันมา

แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าบลิสเป็นลูกของอาเรียจริงหรือเปล่า

‘ก็ไม่แย่เท่าไหร่’

ไม่สิ ไม่ใช่ไม่แย่ แต่น่ารักมากเลยต่างหาก

ใบหน้างดงามไร้ที่ติเหมือนกับตน และยังมีดวงตาที่งดงามเหมือนกับอาซอีกด้วย

บลิสเกิดมาพร้อมกับจุดเด่นของตนและอาซ ดูแล้วสวยกว่าอาเรียตอนเด็กด้วยซ้ำ

“ไม่ว่ายังไงดิฉันก็สำนึกในบุญคุณเสมอค่ะ ที่มอบชีวิตเหนือความคาดฝันให้กับดิฉัน แน่นอนว่าดิฉันเสียใจที่จะได้เจอกับพระชายาน้อยลง ต้องขอโทษด้วยค่ะ”

“มีเรื่องให้ขอโทษเยอะจังเลยนะ”

ทั้งที่พรั่งพรูความรู้สึกหลายๆ อย่างออกไป แต่อาเรียกลับแสดงทีท่าตอบกลับมาอย่างห้วนๆ แอนนี่จึงทำหน้าเหยเกขึ้นมา

“พระชายาไม่เป็นอะไรเลยเหรอคะที่จะไม่มีดิฉันอยู่ด้วย”

“ไม่ได้อยู่ไกลกันมากมายเสียหน่อย จะเป็นอะไรเล่า”

“ฮึก พระชายาพูดเกินไปนะคะ! ”

แอนนี่มุดหน้าลงบนฝ่ามือ แน่นอนว่าเธอไม่ได้ร้องไห้หรือรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ

แล้วแอนนี่ก็เกี่ยวแขนอาเรียพร้อมกับยิ้มอ่อนหวานกลับมาเป็นปกติอีกครั้งราวกับตัวเองไม่ได้ทำทีร้องไห้มาก่อน

“แต่ถึงยังไงหากมีเวลาว่างขึ้นมา ดิฉันจะมาหานะคะ เพราะถ้าไม่มีดิฉันอยู่ด้วยละก็ พระชายาคงจะลำบากน่าดู ใช่ไหมล่ะคะ”

พูดออกมาอย่างไม่อายปากเสียจริง แต่เพราะนิสัยแบบนั้นจึงอดทนและอยู่เคียงข้างรับใช้อาเรียมาได้หลายปี

อาเรียส่งยิ้มที่ไม่มีความหมายกลับไปแทนคำตอบ

ดูเหมือนนั่นจะเพียงพอแล้วสำหรับแอนนี่ เธอถูไถแก้มตัวเองเข้ากับแขนของอาเรียที่กำลังเกาะอยู่และหัวเราะแหะๆ

“อ๊ะ จริงด้วย! ดิฉันลืมบอกไปค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดเรื่องนี้ออกไปหรือเปล่า”

ราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้ แอนนี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดต่อไป

“รูบี้น่ะค่ะ ดูเหมือนเธอจะทำตัวก้าวก่ายไปหน่อยนะคะ ทำเรื่องที่ไม่ได้สั่งทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากพระชายาเลยละค่ะ”

แอนนี่เบ้ปากขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่รูบี้ตักเตือนบลิส

อาเรียนึกถึงตอนที่รูบี้สั่งให้ทหารยืนเฝ้ารักษาการณ์เพราะเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาเรียขึ้นมา

แม้จะเป็นการกระทำที่ก้าวก่ายเกินหน้าที่จริงๆ แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์ ดูเหมือนว่ารูบี้พยายามทำตัวให้ดูดีในสายตาอาเรีย

เพราะอย่างนั้นคนที่ก้าวก่ายจริงๆ ก็คือแอนนี่ที่ว่าร้ายให้กับคนใกล้ชิดของตนอย่างไร้สาระนั่นเอง และสมควรจะถูกลงโทษด้วย

แต่ว่า

“…งั้นหรือ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ดูเหมือนต้องฟังเธอเล่าให้ละเอียดเสียแล้ว”

แอนนี่ไม่ใช่คนที่จะว่าร้ายให้ผู้อื่นแบบมั่วซั่ว

แม้บางครั้งจะพูดจาโผงผางดูไร้มารยาทไปบ้าง แต่เธอไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องผู้อื่น

ไม่สิ ที่จริงแล้วแอนนี่ไม่สนใจคนพวกนั้นตั้งแต่แรกเลยต่างหาก

เมื่อเห็นว่าอาเรียยอมรับฟังอย่างรวดเร็ว แอนนี่ก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา

เธอพยายามเล่าเรื่องของบลิสและรูบี้ที่ได้เห็นเมื่อตอนกลางวันออกไปอย่างเต็มที่

“เพราะอย่างนั้น สรุปว่ารูบี้ตั้งใจจะกำหนดห้องให้บลิสและยังให้คำแนะนำเพื่อให้ใช้ชีวิตในพระราชวังได้เป็นอย่างดี ส่วนแนะนำเรื่องอะไรนั้นเธอเองไม่ได้ยินเรื่องนั้นอย่างละเอียดงั้นหรือ”

แม้จะเรียบเรียงได้เป็นอย่างดี แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป ฟังดูแล้วเหมือนกับว่ารูบี้ทำหน้าที่ได้ดีมากอย่างไรอย่างนั้น

“อืมม ก็ใช่ค่ะ…แต่ว่าห้องที่จะจัดให้นั้นเป็นห้องที่อยู่ใกล้สวนหลังพระราชวังค่ะ ยิ่งกว่านั้นสีหน้าของคุณหนูบลิสดูแย่มากเลยละค่ะ! ถึงกับขอร้องกับดิฉันว่าอยากพักอยู่ใกล้ๆ กับห้องของพระชายาเลยนะคะ”

พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้สึกสงสารขึ้นมา แอนนี่จึงทุบอกตนเอง

“รูบี้น่ะ เอาแต่พูดว่าที่ตัวเองทำแบบนั้น ก็เพื่อพระชายา! หากดิฉันไม่เข้าไปในตอนนั้นละก็ เรื่องนี้ก็คงจะผ่านไปโดยที่ไม่มีใครรู้แน่นอนค่ะ”

แอนนี่ถอนหายใจและพูดว่าหากรูบี้ใส่ใจบลิสจริงๆ บลิสก็คงไม่ทำสีหน้าหม่นหมองเช่นนั้น

ซึ่งนั่นก็ไม่ผิด

เพราะบลิสดูเป็นเด็กอ่อนโยนมาก หากเจอกับสถานการณ์ที่พอรับได้ ก็คงจะไม่เป็นเช่นนั้น อาเรียคิด

แต่ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจู่ๆ เธอจะสามารถเรียกรูบี้มาซักถามว่าเกิดอะไรขึ้นได้ในทันที

เพราะนั่นเป็นความใส่ใจของรูบี้เอง หากเธอแก้ต่างว่าตัวเองคงพูดจาอะไรผิดไปละก็ ปัญหานี้ก็จะถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย

อาเรียคิดว่าก่อนอื่นคงต้องเฝ้าดูไปก่อน เธอกะพริบตาช้าๆ และถามว่า

“เธอบอกว่าตัวเองท้องนี่นา แต่คนท้องโกรธได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”

แอนนี่คิดว่าอาเรียไม่ได้ใส่ใจฟังเรื่องที่เธอพูดสักเท่าไหร่ จึงถอนหายใจและเบ้ปากขึ้นมา

“เรื่องนั้นมันเป็นไปตามที่ใจนึกเสียที่ไหนกันล่ะคะ ก็ดิฉันเห็นภาพที่ทำให้ไม่สบายใจขึ้นมานี่ค่ะ”

“งั้นเหรอ ไม่เห็นเธอพูดเรื่องของขวัญแสดงความยินดีเลย คงไม่อยากได้สินะ”

“ของ ของขวัญแสดงความยินดีเหรอคะ”

ทว่าคำที่พูดต่อจากนั้น ทำให้ความไม่พอใจของแอนนี่หายไปจนหมดเกลี้ยง

แอนนี่เป็นคนหูตาไว เธอคงเดาได้แล้วว่าอาเรียกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่เพราะเธอถามกลับมา อาเรียจึงตอบออกมาว่า

“ใช่ เพราะในบรรดาคนใกล้ชิดของฉัน เธอเป็นคนแรกเลยที่ตั้งท้อง ฉะนั้นแล้วฉันควรจะให้อะไรที่พิเศษกับเธอหน่อย”

“กรี๊ดด…! ”

แอนนี่ตั้งใจจะกรีดร้องออกมา แต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว

ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถปิดเสียงที่เล็ดลอดออกมาเบาๆ ได้

“อุ๊ย! ที่จริงแล้วดิฉันมีของขวัญอย่างหนึ่งที่อยากได้จากพระชายาค่ะ”

หากความไร้ยางอายมีมากเกินแล้วละก็ จากที่โมโหอยู่สุดท้ายก็กลายเป็นยิ้มออกมา

แอนนี่ขอของขวัญซึ่งๆ หน้าอย่างที่เคย อาเรียหัวเราะและถามออกไป

“เธออยากได้อะไรล่ะ”

“ชื่อค่ะ! ดิฉันอยากให้พระชายาตั้งชื่อให้ลูกของดิฉันค่ะ! ดิฉันไม่หวังถึงขั้นให้เป็นแม่ทูนหัวหรอกค่ะ! เพราะบุญคุณที่ดิฉันได้รับมาก็มากล้นเกินกว่าภูเขาแล้ว จะขอให้เป็นแม่ทูนหัวก็ถือว่าขอมากเกินไปค่ะ”

แม้จะพูดแบบนั้น แต่แววตากลับส่อความปรารถนาว่าอยากให้อาเรียเป็นแม่ทูนหัวของลูกของตนเองอย่างแรงกล้า

เพราะแอนนี่เป็นคนที่อยู่ร่วมกับอาเรียมานาน นั่นจึงไม่ใช่คำขอร้องที่เหลือบ่ากว่าแรงเลย

แต่ถ้าบอกว่าจะรับฟังในสิ่งที่เธอขอออกไปง่ายๆ ก็แกล้งแอนนี่ไม่สนุกกันพอดี

อาเรียหลุบตาลงอย่างอ่อนช้อยราวกับจะมอบความเอื้ออารีให้ เธอกะพริบตาครั้งหนึ่งก่อนจะตอบว่า

“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นแค่ตั้งชื่อให้ก็พอแล้วสินะ เข้าใจแล้วล่ะ”

จากนั้นอาเรียก็ออกไปจากห้องรับรองอย่างไม่มีเยื่อใย แอนนี่หน้าซีดขึ้นมาและรีบวิ่งตามไปอย่างลนลาน

“มะ ไม่ ไม่ใช่นะคะ! เป็นแม่ทูนหัวให้ด้วยเถอะค่ะ! นะคะ นะคะ! “

เสียงหัวเราะเล็กๆ ของอาเรียดังไปทั่วโถงทางเดินที่นำไปยังห้องรับรอง

***

“เจ้าชาย ผมได้ยินว่าคุณหนูบลิสเพิ่งจะกลับมาถึงพระราชวังขอรับ มาร์เชอเนสวินเซนต์และบารอนเนสเวอร์บูมก็มาเยี่ยมเยียนพร้อมกันด้วยขอรับ”

อาซเอามือค้ำหน้าผาก เมื่อได้ยินข้ารับใช้รายงานถึงการกลับมาอย่างสะเพร่าของบลิส

แม้จะได้ยินว่าออกไปข้างนอกกับเจสซี่และแอนนี่มาแล้ว แต่เหตุใดถึงกลับมาพร้อมกับซาร่าได้เล่านี่

หรือเธอคิดจะไปเจอคนรู้จักทุกคนก่อนวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อบอกลากันนะ

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและเจ็บปวดมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย

‘หากมีใครสักคนในบรรดานั้นสงสัยขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ’

แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่จะถูกจับได้นั้นเท่ากับศูนย์ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่

‘น่าปวดหัวจริงๆ’

ทำไมตัวเขาในอนาคตถึงได้เลี้ยงดูบลิสให้ทำตามใจได้ขนาดนี้นะ

เพราะทั้งอาเรียและตนเองก็ถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวด จึงไม่ได้มีนิสัยปล่อยปละละเลยเสียหน่อย

แต่พอลองคิดดูแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเท่าไหร่ เพราะตอนนี้บลิสกำลังพบเจอกับผู้คนมากขึ้นตามกาลเวลาและยังเที่ยวสำรวจในเมืองหลวงอีกด้วย

“…ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกันน่ะ”

“ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องนอนร่วมกับพระชายาและคุณผู้หญิงท่านอื่นขอรับ ได้ยินว่าตั้งใจจะใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ชมน่ะขอรับ”

แค่ออกไปเจอคนยังไม่พอ นี่ยังคิดจะจัดแฟชั่นโชว์ด้วยงั้นเหรอ อาซหลับตาแน่น

เขาถอนหายใจออกมา แล้วใครกันที่มาขอร้องให้เขาช่วยปิดบังความลับให้ แต่ตัวเองกลับไม่รู้สึกถึงความอันตรายอะไรเลยทั้งนั้น

ไม่ว่ายังไงก็คงต้องไปหาบลิสและสั่งสอนให้หลาบจำว่าสถานการณ์ในตอนนี้ และการกระทำของเธอมันอันตรายมากแค่ไหน

อาซไล่ข้ารับใช้ออกไปข้างนอก ก่อนจะวางปากกาขนนกลงแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง

…………………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 220 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 11)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 220 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 11) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เพราะแอนนี่บอกให้เปลี่ยนที่คุย ทั้งสองจึงย้ายไปนั่งคุยกันที่ห้องรับรองซึ่งไม่มีใครอยู่เลย

ดูเหมือนแอนนี่ตั้งใจจะเล่าความลับให้ฟัง อาเรียจึงไม่ได้เรียกข้ารับใช้เข้ามา

แอนนี่มองไปรอบข้างเพื่อดูว่ามีใครอยู่หรือไม่ ก่อนจะพูดว่า

“เอ่อ ที่จริงแล้ว…”

ดูไม่สมกับเป็นแอนนี่ที่ช่างพูดช่างจาเสียเลย

อาเรียอยากรู้ว่าแอนนี่ตั้งใจจะพูดเรื่องอะไรกันแน่ เธอจดจ่อไปยังริมฝีปากที่เผยอออกของแอนนี่

“ดิฉันตั้งครรภ์ค่ะ! ”

“…”

“เฮ้อ ในที่สุดดิฉันก็ได้บอกออกไปสักที! ”

แอนนี่ยิ้มสดใสราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก

เพราะแบบนั้น นี่หมายความว่าเธอทำให้คนอื่นรู้สึกกระสับกระส่ายถึงขนาดนี้ เพราะตั้งใจจะบอกว่าตัวเองท้องอย่างนั้นหรือ

เพราะคาดไม่ถึงว่าแอนนี่จะพูดเรื่องนี้ อาเรียจึงหลุดหัวเราะออกมา พอเห็นท่าทีตอบสนองที่ไม่ได้คาดคิดเข้า แอนนี่ก็ทำหน้าเหยเกขึ้นมา

“ทำไม ทำไมถึงหัวเราะแบบนั้นล่ะคะ! ดิฉันอุตส่าห์ปิดเงียบเอาไว้เพราะอยากบอกให้พระชายารู้เป็นคนแรกเลยนะคะ! ”

แม้จะรู้ว่าอาเรียคงไม่ได้แสดงท่าทียินดีอะไรมากมาย เพราะนิสัยเธอเป็นแบบนั้น แต่ก็คิดว่าเธอคงจะพูดแสดงความยินดีออกมาบ้าง แต่เธอกลับหัวเราะออกมาเสียได้

ในตอนนั้นเองที่อาเรียรู้ตัวว่าตัวเองหัวเราะมากเกินควร จึงแก้ต่างด้วยคำที่ฟังดูแล้วไม่เหมือนกับคำแก้ตัวสักเท่าไหร่

“ก็บรรยากาศมันพาไปนี่นา ฉันก็เป็นกังวลขึ้นมา นึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นน่ะสิ”

“นั่นน่ะเป็นเพราะจะให้คนอื่นสังเกตเห็นไม่ได้ยังไงล่ะคะ ดิฉันอยากบอกให้พระชายารู้เป็นคนแรกจริงๆ  แม้แต่สามีของดิฉันก็ยังไม่รู้ถึงเรื่องนี้เลยค่ะ”

บารอนเวอร์บูมยังไม่รู้อย่างนั้นหรือ ทั้งที่บอกเขาก่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยแท้ๆ

เอาเถอะ อย่างไรความภักดีของแอนนี่ก็เป็นที่น่าชื่นชม อาเรียถอนหายใจไล่ความกังวลและความวุ่นวายใจออกไป ก่อนจะยินดีกับการตั้งครรภ์ของแอนนี่

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ยินดีด้วยนะ ขอให้เป็นเด็กที่ตรงไปตรงมาเหมือนกับเธอนะ”

“ขอบพระคุณค่ะ พระชายา! ดิฉันอยากได้คำอวยพรจากพระชายาเป็นคนแรกเลยค่ะ ดีใจจังเลยค่ะ”

แก้มของแอนนี่แดงเรื่อขึ้นมา พร้อมกับยิ้มจนตาหยี

ถึงฉันจะอวยพรไปตามมารยาทก็เถอะ แต่การมีลูกมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ

อยู่ๆ อาเรียก็คิดแบบนั้นขึ้นมา แล้วถามแอนนี่ออกไป

“ดีใจที่จะมีลูกขนาดนั้นเลยเหรอ”

แอนนี่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบว่า

“อืม ไม่รู้สิคะ ที่จริงแล้วดิฉันยุ่งจนมากจนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ลูกงั้นหรือ ดิฉันไม่เคยคิดฝันถึงเรื่องนี้เลยค่ะ”

หลังจากแต่งงานแอนนี่ก็กลายมาเป็นขุนนาง นอกจากต้องปรับตัวให้กับสถานะภาพชนชั้นสูงแล้ว เธอยังต้องช่วยธุรกิจของสามีและดูแลวงศ์ตระกูลอีกด้วย

พอมีเวลาว่างขึ้นมานิดหน่อยก็มักจะมาเยี่ยมอาเรียที่พระราชวัง

อีกทั้งการพบปะร่วมดื่มชากับเหล่าคุณผู้หญิงที่สนิทกับตระกูลของบารอนก็เป็นเรื่องที่ละเว้นไม่ได้ด้วย

“นอกจากนั้นก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี ดิฉันยังเป็นแค่สาวใช้อยู่เลยค่ะ ปกติแล้วสาวใช้ประจำตระกูลขุนนางก็มักจะไม่แต่งงานกันอยู่แล้ว นี่เลยเป็นเรื่องที่ดิฉันไม่เคยวางแผนเอาไว้ในชีวิตเลยค่ะ”

แม้จะพูดอ้อมแล้วอ้อมอีก แต่สุดท้ายก็เป็นการบอกว่าเพราะอาเรียเธอจึงมีวันนี้

แอนนี่ขอบคุณอาเรียอย่างไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร

อาเรียทำหน้าไม่พอใจต่อแอนนี่ที่ตอบไม่ตรงคำถามและเอาแต่พูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกมา ก่อนจะถามเธออีกครั้ง

“แล้วสรุปเธอชอบหรือไม่ชอบกันล่ะ รู้สึกแบบไหนกันแน่”

“อืม ไม่ค่อยแน่ใจค่ะ ถ้าคิดให้ดีละก็ คงชอบค่ะ ตอนที่ดิฉันได้ยินหมอประจำตระกูลบอกว่าดิฉันตั้งครรภ์เข้า ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ลูกของดิฉันกับสามีนี่นา อยากรู้ว่าจะหน้าตาเหมือนใครกันค่ะ นอกจากนั้น-“

แอนนี่พึมพำว่าหากหลังจากนี้อาเรียมีลูกแล้วละก็ ตนก็คิดอยากจะช่วยเลี้ยงดูร่วมกับลูกของตนเอง

และยังพูดเพ้อเจ้อร่ายยาวว่าหากเป็นเด็กที่เพศตรงข้ามกันละก็ อาจจะมีวาสนาต่อกันอย่างไม่คาดคิดก็ได้

หากฟังแอนนี่พูดจนจบ อาเรียก็คงจะหัวเราะออกมา เพียงแต่เธอกำลังคิดเรื่องอยู่

‘เด็กที่เหมือนสามีกับตัวเองหรือ…’

ความจริงแล้วอาเรียเองก็เคยคิดแบบนั้นมาก่อน

พูดให้ถูกเธอเคยคิดถึงเด็กที่คล้ายอาซ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร

‘แต่ดูเหมือนว่าเด็กจะคล้ายฉันเสียมากกว่านะ’

ไม่ใช่แค่คล้าย แต่บลิสหน้าตาเหมือนอาเรียราวกับถอดแบบกันมา

แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าบลิสเป็นลูกของอาเรียจริงหรือเปล่า

‘ก็ไม่แย่เท่าไหร่’

ไม่สิ ไม่ใช่ไม่แย่ แต่น่ารักมากเลยต่างหาก

ใบหน้างดงามไร้ที่ติเหมือนกับตน และยังมีดวงตาที่งดงามเหมือนกับอาซอีกด้วย

บลิสเกิดมาพร้อมกับจุดเด่นของตนและอาซ ดูแล้วสวยกว่าอาเรียตอนเด็กด้วยซ้ำ

“ไม่ว่ายังไงดิฉันก็สำนึกในบุญคุณเสมอค่ะ ที่มอบชีวิตเหนือความคาดฝันให้กับดิฉัน แน่นอนว่าดิฉันเสียใจที่จะได้เจอกับพระชายาน้อยลง ต้องขอโทษด้วยค่ะ”

“มีเรื่องให้ขอโทษเยอะจังเลยนะ”

ทั้งที่พรั่งพรูความรู้สึกหลายๆ อย่างออกไป แต่อาเรียกลับแสดงทีท่าตอบกลับมาอย่างห้วนๆ แอนนี่จึงทำหน้าเหยเกขึ้นมา

“พระชายาไม่เป็นอะไรเลยเหรอคะที่จะไม่มีดิฉันอยู่ด้วย”

“ไม่ได้อยู่ไกลกันมากมายเสียหน่อย จะเป็นอะไรเล่า”

“ฮึก พระชายาพูดเกินไปนะคะ! ”

แอนนี่มุดหน้าลงบนฝ่ามือ แน่นอนว่าเธอไม่ได้ร้องไห้หรือรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ

แล้วแอนนี่ก็เกี่ยวแขนอาเรียพร้อมกับยิ้มอ่อนหวานกลับมาเป็นปกติอีกครั้งราวกับตัวเองไม่ได้ทำทีร้องไห้มาก่อน

“แต่ถึงยังไงหากมีเวลาว่างขึ้นมา ดิฉันจะมาหานะคะ เพราะถ้าไม่มีดิฉันอยู่ด้วยละก็ พระชายาคงจะลำบากน่าดู ใช่ไหมล่ะคะ”

พูดออกมาอย่างไม่อายปากเสียจริง แต่เพราะนิสัยแบบนั้นจึงอดทนและอยู่เคียงข้างรับใช้อาเรียมาได้หลายปี

อาเรียส่งยิ้มที่ไม่มีความหมายกลับไปแทนคำตอบ

ดูเหมือนนั่นจะเพียงพอแล้วสำหรับแอนนี่ เธอถูไถแก้มตัวเองเข้ากับแขนของอาเรียที่กำลังเกาะอยู่และหัวเราะแหะๆ

“อ๊ะ จริงด้วย! ดิฉันลืมบอกไปค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดเรื่องนี้ออกไปหรือเปล่า”

ราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้ แอนนี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดต่อไป

“รูบี้น่ะค่ะ ดูเหมือนเธอจะทำตัวก้าวก่ายไปหน่อยนะคะ ทำเรื่องที่ไม่ได้สั่งทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากพระชายาเลยละค่ะ”

แอนนี่เบ้ปากขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่รูบี้ตักเตือนบลิส

อาเรียนึกถึงตอนที่รูบี้สั่งให้ทหารยืนเฝ้ารักษาการณ์เพราะเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาเรียขึ้นมา

แม้จะเป็นการกระทำที่ก้าวก่ายเกินหน้าที่จริงๆ แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์ ดูเหมือนว่ารูบี้พยายามทำตัวให้ดูดีในสายตาอาเรีย

เพราะอย่างนั้นคนที่ก้าวก่ายจริงๆ ก็คือแอนนี่ที่ว่าร้ายให้กับคนใกล้ชิดของตนอย่างไร้สาระนั่นเอง และสมควรจะถูกลงโทษด้วย

แต่ว่า

“…งั้นหรือ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ดูเหมือนต้องฟังเธอเล่าให้ละเอียดเสียแล้ว”

แอนนี่ไม่ใช่คนที่จะว่าร้ายให้ผู้อื่นแบบมั่วซั่ว

แม้บางครั้งจะพูดจาโผงผางดูไร้มารยาทไปบ้าง แต่เธอไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องผู้อื่น

ไม่สิ ที่จริงแล้วแอนนี่ไม่สนใจคนพวกนั้นตั้งแต่แรกเลยต่างหาก

เมื่อเห็นว่าอาเรียยอมรับฟังอย่างรวดเร็ว แอนนี่ก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา

เธอพยายามเล่าเรื่องของบลิสและรูบี้ที่ได้เห็นเมื่อตอนกลางวันออกไปอย่างเต็มที่

“เพราะอย่างนั้น สรุปว่ารูบี้ตั้งใจจะกำหนดห้องให้บลิสและยังให้คำแนะนำเพื่อให้ใช้ชีวิตในพระราชวังได้เป็นอย่างดี ส่วนแนะนำเรื่องอะไรนั้นเธอเองไม่ได้ยินเรื่องนั้นอย่างละเอียดงั้นหรือ”

แม้จะเรียบเรียงได้เป็นอย่างดี แต่กลับให้ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป ฟังดูแล้วเหมือนกับว่ารูบี้ทำหน้าที่ได้ดีมากอย่างไรอย่างนั้น

“อืมม ก็ใช่ค่ะ…แต่ว่าห้องที่จะจัดให้นั้นเป็นห้องที่อยู่ใกล้สวนหลังพระราชวังค่ะ ยิ่งกว่านั้นสีหน้าของคุณหนูบลิสดูแย่มากเลยละค่ะ! ถึงกับขอร้องกับดิฉันว่าอยากพักอยู่ใกล้ๆ กับห้องของพระชายาเลยนะคะ”

พอนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้สึกสงสารขึ้นมา แอนนี่จึงทุบอกตนเอง

“รูบี้น่ะ เอาแต่พูดว่าที่ตัวเองทำแบบนั้น ก็เพื่อพระชายา! หากดิฉันไม่เข้าไปในตอนนั้นละก็ เรื่องนี้ก็คงจะผ่านไปโดยที่ไม่มีใครรู้แน่นอนค่ะ”

แอนนี่ถอนหายใจและพูดว่าหากรูบี้ใส่ใจบลิสจริงๆ บลิสก็คงไม่ทำสีหน้าหม่นหมองเช่นนั้น

ซึ่งนั่นก็ไม่ผิด

เพราะบลิสดูเป็นเด็กอ่อนโยนมาก หากเจอกับสถานการณ์ที่พอรับได้ ก็คงจะไม่เป็นเช่นนั้น อาเรียคิด

แต่ถึงอย่างนั้นใช่ว่าจู่ๆ เธอจะสามารถเรียกรูบี้มาซักถามว่าเกิดอะไรขึ้นได้ในทันที

เพราะนั่นเป็นความใส่ใจของรูบี้เอง หากเธอแก้ต่างว่าตัวเองคงพูดจาอะไรผิดไปละก็ ปัญหานี้ก็จะถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย

อาเรียคิดว่าก่อนอื่นคงต้องเฝ้าดูไปก่อน เธอกะพริบตาช้าๆ และถามว่า

“เธอบอกว่าตัวเองท้องนี่นา แต่คนท้องโกรธได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”

แอนนี่คิดว่าอาเรียไม่ได้ใส่ใจฟังเรื่องที่เธอพูดสักเท่าไหร่ จึงถอนหายใจและเบ้ปากขึ้นมา

“เรื่องนั้นมันเป็นไปตามที่ใจนึกเสียที่ไหนกันล่ะคะ ก็ดิฉันเห็นภาพที่ทำให้ไม่สบายใจขึ้นมานี่ค่ะ”

“งั้นเหรอ ไม่เห็นเธอพูดเรื่องของขวัญแสดงความยินดีเลย คงไม่อยากได้สินะ”

“ของ ของขวัญแสดงความยินดีเหรอคะ”

ทว่าคำที่พูดต่อจากนั้น ทำให้ความไม่พอใจของแอนนี่หายไปจนหมดเกลี้ยง

แอนนี่เป็นคนหูตาไว เธอคงเดาได้แล้วว่าอาเรียกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่เพราะเธอถามกลับมา อาเรียจึงตอบออกมาว่า

“ใช่ เพราะในบรรดาคนใกล้ชิดของฉัน เธอเป็นคนแรกเลยที่ตั้งท้อง ฉะนั้นแล้วฉันควรจะให้อะไรที่พิเศษกับเธอหน่อย”

“กรี๊ดด…! ”

แอนนี่ตั้งใจจะกรีดร้องออกมา แต่ก็ต้องรีบปิดปากตัวเองอย่างรวดเร็ว

ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถปิดเสียงที่เล็ดลอดออกมาเบาๆ ได้

“อุ๊ย! ที่จริงแล้วดิฉันมีของขวัญอย่างหนึ่งที่อยากได้จากพระชายาค่ะ”

หากความไร้ยางอายมีมากเกินแล้วละก็ จากที่โมโหอยู่สุดท้ายก็กลายเป็นยิ้มออกมา

แอนนี่ขอของขวัญซึ่งๆ หน้าอย่างที่เคย อาเรียหัวเราะและถามออกไป

“เธออยากได้อะไรล่ะ”

“ชื่อค่ะ! ดิฉันอยากให้พระชายาตั้งชื่อให้ลูกของดิฉันค่ะ! ดิฉันไม่หวังถึงขั้นให้เป็นแม่ทูนหัวหรอกค่ะ! เพราะบุญคุณที่ดิฉันได้รับมาก็มากล้นเกินกว่าภูเขาแล้ว จะขอให้เป็นแม่ทูนหัวก็ถือว่าขอมากเกินไปค่ะ”

แม้จะพูดแบบนั้น แต่แววตากลับส่อความปรารถนาว่าอยากให้อาเรียเป็นแม่ทูนหัวของลูกของตนเองอย่างแรงกล้า

เพราะแอนนี่เป็นคนที่อยู่ร่วมกับอาเรียมานาน นั่นจึงไม่ใช่คำขอร้องที่เหลือบ่ากว่าแรงเลย

แต่ถ้าบอกว่าจะรับฟังในสิ่งที่เธอขอออกไปง่ายๆ ก็แกล้งแอนนี่ไม่สนุกกันพอดี

อาเรียหลุบตาลงอย่างอ่อนช้อยราวกับจะมอบความเอื้ออารีให้ เธอกะพริบตาครั้งหนึ่งก่อนจะตอบว่า

“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นแค่ตั้งชื่อให้ก็พอแล้วสินะ เข้าใจแล้วล่ะ”

จากนั้นอาเรียก็ออกไปจากห้องรับรองอย่างไม่มีเยื่อใย แอนนี่หน้าซีดขึ้นมาและรีบวิ่งตามไปอย่างลนลาน

“มะ ไม่ ไม่ใช่นะคะ! เป็นแม่ทูนหัวให้ด้วยเถอะค่ะ! นะคะ นะคะ! “

เสียงหัวเราะเล็กๆ ของอาเรียดังไปทั่วโถงทางเดินที่นำไปยังห้องรับรอง

***

“เจ้าชาย ผมได้ยินว่าคุณหนูบลิสเพิ่งจะกลับมาถึงพระราชวังขอรับ มาร์เชอเนสวินเซนต์และบารอนเนสเวอร์บูมก็มาเยี่ยมเยียนพร้อมกันด้วยขอรับ”

อาซเอามือค้ำหน้าผาก เมื่อได้ยินข้ารับใช้รายงานถึงการกลับมาอย่างสะเพร่าของบลิส

แม้จะได้ยินว่าออกไปข้างนอกกับเจสซี่และแอนนี่มาแล้ว แต่เหตุใดถึงกลับมาพร้อมกับซาร่าได้เล่านี่

หรือเธอคิดจะไปเจอคนรู้จักทุกคนก่อนวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพื่อบอกลากันนะ

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและเจ็บปวดมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย

‘หากมีใครสักคนในบรรดานั้นสงสัยขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ’

แน่นอนว่าความเป็นไปได้ที่จะถูกจับได้นั้นเท่ากับศูนย์ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่

‘น่าปวดหัวจริงๆ’

ทำไมตัวเขาในอนาคตถึงได้เลี้ยงดูบลิสให้ทำตามใจได้ขนาดนี้นะ

เพราะทั้งอาเรียและตนเองก็ถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวด จึงไม่ได้มีนิสัยปล่อยปละละเลยเสียหน่อย

แต่พอลองคิดดูแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเท่าไหร่ เพราะตอนนี้บลิสกำลังพบเจอกับผู้คนมากขึ้นตามกาลเวลาและยังเที่ยวสำรวจในเมืองหลวงอีกด้วย

“…ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกันน่ะ”

“ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องนอนร่วมกับพระชายาและคุณผู้หญิงท่านอื่นขอรับ ได้ยินว่าตั้งใจจะใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ชมน่ะขอรับ”

แค่ออกไปเจอคนยังไม่พอ นี่ยังคิดจะจัดแฟชั่นโชว์ด้วยงั้นเหรอ อาซหลับตาแน่น

เขาถอนหายใจออกมา แล้วใครกันที่มาขอร้องให้เขาช่วยปิดบังความลับให้ แต่ตัวเองกลับไม่รู้สึกถึงความอันตรายอะไรเลยทั้งนั้น

ไม่ว่ายังไงก็คงต้องไปหาบลิสและสั่งสอนให้หลาบจำว่าสถานการณ์ในตอนนี้ และการกระทำของเธอมันอันตรายมากแค่ไหน

อาซไล่ข้ารับใช้ออกไปข้างนอก ก่อนจะวางปากกาขนนกลงแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง

…………………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+