พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 235 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 26)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 235 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 26) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

***

สิ่งที่เทียเรนพูดเป็นความจริง แถมยังไม่มีผลข้างเคียงเลยด้วย

แม้จะดื่มน้ำทะเลสาบมาเป็นเวลาสักพักแล้ว แต่เทียเรนก็ยังดูปกดีทุกอย่าง

เทียเรนอธิบายเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนที่เธอกลับไปยังหมู่บ้านรวมทั้งเรื่องก่อสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เธอวางแผนเอาไว้ด้วย

“แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงมากแต่เพื่อให้ราชอาณาจักรรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น หม่อมฉันจึงอยากเสนอให้สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าได้ประทานพรแด่พระชายาและองค์รัชทายาทอัสเทอโรพีที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ในอีกไม่ช้านี้ค่ะ”

ไม่น่าเชื่อว่าในหัวของเทียเรนกำลังคิดเรื่องที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นอยู่

ไอเดียของเธอทำให้อาเรียรู้สึกประทับใจขึ้นมา

‘วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำทะเลสาบซึ่งมีอิทธิฤทธิ์รักษาโรคได้ทุกโรคอย่างนั้นหรือ’

นั่นจะทำให้สามัญชนทั่วไปกับขุนนางที่ไม่เคยนับถืออะไรเกิดความศรัทธาและมีที่ยึดเหนี่ยวทางใจขึ้นมา และจะหลงเหลืออยู่ในประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน

ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมเอามากๆ หากเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปในช่วงที่จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ละก็ ผู้คนจะต้องเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่เทพเจ้าประทานพรให้กับอาซและตนอย่างแน่นอน

หากเป็นเช่นนั้นละก็จะไม่มีอำนาจใดลุกขึ้นมาต่อต้านอาซและตนได้

ไม่สิ แม้แต่จักรพรรดิต่างแดนก็คงจะคุกเข่าร้องขอพระกรุณาธิคุณของน้ำทะเลสาบและยอมปฏิบัติตามคำสั่งเข้าสักวัน

อาเรียสบตากับอาซที่นั่งอยู่ข้างๆ

ท่าทางอาซเองก็จะคิดเช่นเดียวกับตน เขาไม่สามารถซ่อนแววตาที่สั่นไหวนั่นได้เลย

“ไม่ใช่อัญมณีธรรมดา แต่เป็นถึงเพชรเม็ดงามสินะเนี่ย”

“พระ พระชายา…! ”

ทั้งที่คิดว่าความจงรักภักดีของเทียเรนเป็นเหมือนอัญมณีธรรมดาๆ เท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่ใช่เพียงอัญมณีทั่วไป แต่เป็นเพชรเม็ดงามที่พราวแสงระยิบระยับ

‘…แน่นอนว่าฉันรู้สึกขอบคุณเทียเรนเป็นอย่างมาก แต่ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ก็คงต้องยกความดีความชอบให้บลิสด้วย’

นอกจากจะทำให้อาเรียหาทางแก้ได้แล้ว ยังทำให้อาเรียได้บุคลากรที่ชาญฉลาดมาด้วย

แม้ทุกอย่างจะเริ่มมาจากการกระทำบุ่มบ่ามที่ตั้งใจจะห้ามไม่ให้คลอดตนออกมาก็ตาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับยอดเยี่ยมเกินคาด

ถึงขนาดที่ว่าแม้จะต้องเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาทุ่มให้กับการสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ อาเรียก็ยินดีที่จะทำ

อาเรียคิดเช่นนั้นและพูดกับเทียเรนที่ถูกชมจนทำตัวไม่ถูกว่า

“ทำตามที่เธอคิดได้เลย แล้วก็เรียบเรียงเอกสารมารายงานฉันด้วยล่ะ จะใช้งบประมาณเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยคำนวณเรื่องจำนวนทหารที่จะใช้ปกป้องวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อป้องกันผู้บุกรุกมาด้วยก็จะดีมาก”

“รับ รับทราบค่ะ! หม่อมฉันจะทำอย่างสุดความสามารถเลยค่ะ! “

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นงานที่ลำบากไม่ใช่เล่น แต่เทียเรนก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

อาเรียยิ้มกว้างขึ้นมาเมื่อได้ฟังคำตอบที่ว่าจะทำงานให้สำเร็จเป็นอย่างดีต่อให้ต้องอดหลับอดนอนหลายคืนหรือต้องนอนซมหลังจากนั้นก็ตาม

“ดีมาก พรุ่งนี้เช้าก็รีบมาทำงานที่ห้องทำงานของฉันด้วยล่ะ”

“ห้องทำงานของพระชายา…หรือคะ”

กะทันหันขนาดนั้นเลยหรือ คงไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอทำรายงานให้เสร็จภายในคืนเดียวหรอกใช่ไหม

แม้ว่าเทียเรนจะมุ่งมั่นในการทำงานมากแค่ไหน แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

เพราะเหตุนั้นเทียเรนจึงไม่สามารถสลัดสีหน้าตะลึงงันออกไปได้ อาเรียที่พอจะอ่านความรู้สึกของเทียเรนออกก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบว่า

“ดูจากที่เธอถามกลับมาแล้ว ท่าทางเธอจะไม่ต้องการอย่างนั้นสินะเนี่ย ฉันอุตส่าห์คิดเอาไว้ว่าจะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยฉันแท้ๆ เชียว”

ในตอนนั้นเองที่เทียเรนตระหนักได้ถึงเจตนาของอาเรีย เธอรีบหุบปากที่อ้าค้างไว้อย่างรวดเร็วและคำนับศีรษะอย่างนอบน้อม

“มะ มะ ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ! หม่อมฉันยินดีรับใช้พระชายาจนกว่ากระดูกของหม่อมฉันจะมอดไหม้กลายเป็นฝุ่นผงค่ะ! “

“ฉันไม่ใช้งานเธออย่างโหดร้ายขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ารู้สึกว่ากระดูกกำลังกลายเป็นฝุ่นขึ้นมาละก็รีบบอกให้ฉันรู้ด้วยล่ะ ฉันน่ะออกจะใจดีกับคนของตัวเองจะตายไป”

อาจจะล่ะนะ อาเรียไม่พูดคำต่อท้ายนั้นออกไปและยิ้มออกมาอย่างมีเมตตา

เทียเรนเงยหน้าขึ้นมองอาเรีย เธอกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งใจเอาไว้และก้มศีรษะลงอีกครั้ง

“ค่ะ! หม่อมฉันขออุทิศตนรับใช้ข้างกายจนกว่าชีวิตจะหาไม่ค่ะ! “

***

หลังจากเทียเรนบอกว่าจะไปจัดการเอกสารและหายออกไป อาซก็หยิบกระบอกน้ำขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือไปหาอาเรีย

ไม่จำเป็นต้องถามถึงเหตุผลเลย

อาเรียจับมืออาซอย่างหนักแน่นไร้ซึ่งความลังเลใดๆ จากนั้นอาซก็ใช้พลังหายตัวไปยังห้องของบลิสในทันที

ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ไกลถึงขนาดที่ต้องใช้พลังเลยสักนิด แต่เพราะร้อนใจขึ้นมาจึงได้ทำเช่นนั้น

พวกเขาอยากจะเห็นบลิสแข็งแรงขึ้นเร็วกว่านี้สักชั่วยามหนึ่งก็ยังดี

“ฮะ หืม…! ”

ลิเป้ตกใจจนทำหนังสือที่อ่านร่วงลงพื้นดังตุ้บเมื่ออยู่ๆ อาเรียกับอาซก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า

ส่วนบลิสก็ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่

หลังจากที่หมดสติลงในงานเทศกาล แม้จะถูกบังคับไม่ให้ฝืนร่างกายมากเกินไปก็ตาม แต่สีหน้าของเด็กน้อยก็ยังดูเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก

“อย่าบอกนะว่าบลิสแอบหนีออกไปจากพระราชวังโดยไม่มีใครรู้น่ะ”

หากไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่เด็กนิสัยร่าเริงคนหนึ่งจะยังนอนหลับได้จนถึงตอนที่ตะวันส่องแสงจ้าลอยอยู่กลางเหนือหัวแน่ๆ

อาเรียถามออกมาราวกับจะบอกว่าสภาพของบลิสดูแปลกๆ ไป และตอนนั้นเองที่ลิเป้ตั้งสติขึ้นมาได้ เธอตอบออกไปอย่างสุขุมว่า

“เปล่าค่ะ ปกติบลิสมักจะนอนทั้งวันอยู่แล้วค่ะ นี่เป็นสภาพปกติของเธอค่ะ”

แม้ว่าบลิสจะแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวอาเรียและตัวอาซในอนาคตอยู่บ้าง แต่ร่างกายของบลิสก็ไม่แข็งแรงจริงๆ เกินกว่าจะเอาแต่ตำหนิเธออย่างเดียว

“พอมาที่นี่ก็แสร้งทำตัวร่าเริงมากเกินเหตุไปอย่างนั้นแหละค่ะ บางที…อาจจะคิดว่านี่เป็นคงเป็นครั้งสุดท้ายละมั้งคะ…”

ลิเป้พูดออกมาอย่างกำกวมก่อนจะเงียบไป เธอคิดว่าแม้เหตุผลที่บลิสกลับมายังอดีตจะเป็นเพราะไม่อยากให้อาเรียเจ็บป่วยไปมากกว่านี้ก็ตาม แต่บางทีบลิสอาจจะไม่อยากใช้ชีวิตด้วยร่างกายที่ป่วยไปมากกว่านี้แล้วก็ได้

มันเป็นความเศร้าและความทรมานที่ตนเองไม่สามารถจินตนาการได้เลย

ลิเป้หันหลังเพื่อซ่อนสีหน้าอันเศร้าหมองเอาไว้ก่อนจะเดินวนไปมาเพื่อกลบอาการ

อาเรียมองลิเป้สลับกับบลิสที่ยังคงหลับปุ๋ยอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามออกมาเรื่องที่สงสัยมาตลอดเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“ลิเป้ ถ้าอดีตถูกเปลี่ยนไปจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันและพวกเธอหรือ ฉันจะยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนได้ไหม”

“ไม่ค่ะ มีเพียงแค่หนูกับบลิสเท่านั้นที่ยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้ ท่านแม่กับท่านพ่อจะจำไม่ได้ค่ะ ความทรงจำจะถูกเปลี่ยนไปหรือไม่ก็จะเกิดช่องว่างของความทรงจำขึ้นมาเพื่อให้ตรงกับเหตุการณ์ในอนาคตค่ะ”

“แล้วถ้าหากหาวิธีช่วยบลิสขึ้นมาได้ล่ะ ถ้าบลิสไม่ต้องเกิดมาพร้อมร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่แรก และพลังยังไม่ตื่นตัวขึ้นมาล่ะ”

หากว่าอนาคตได้เปลี่ยนไป หากว่าเด็กๆ ไม่ได้เกิดออกมาพร้อมกับพลัง และบลิสกับลิเป้ในวัยเจ็ดขวบไม่สามารถย้อนกลับมาในอดีตได้ล่ะ

หากเปลี่ยนเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดแล้วล่ะก็ เด็กสองคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นอย่างไร

“ไม่รู้สิคะ แต่ถึงอย่างไรหนูก็คิดว่าพวกหนูสองคนน่าจะยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้เหมือนเดิมนะคะ”

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าแม้จะแข็งแรงขึ้นแล้วก็ตาม แต่เด็กๆ จะต้องเก็บความเจ็บปวดและความทุกข์ที่เผชิญมาตลอดเจ็ดปีไว้กับตัวพวกเขาเพียงฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ

เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเลยสักนิด ถ้าเด็กๆ ตระหนักขึ้นมาได้ว่าแม้แต่พ่อแม่ของพวกเขายังไม่สามารถเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขาได้ละก็ มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าต่างกับสุขภาพอันแข็งแรงที่ได้มา

“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังในภายหลังนะ ฉันเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะฉะนั้นจะให้พวกเธอรู้อยู่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่ยุติธรรมเลยนี่นา”

“ค่ะ”

นั่นพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ หรือกำลังสมมุติว่า‘ถ้าหาก’หาทางแก้ไขได้ขึ้นมาอย่างนั้นหรือ

และก่อนที่ลิเป้จะได้คลายข้อสงสัย อาเรียก็กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างเร่งรีบก่อนจะเทน้ำทะเลสาบลงในแก้วน้ำแล้วปลุกบลิสให้ตื่นขึ้นมา

“บลิส ตื่นเถอะ เร็วเข้า”

ทว่าบลิสยังหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย อาเรียจึงปลุกบลิสอีกรอบหนึ่ง

“ฉันตั้งใจว่าจะพาเธอไปเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน เธอจะเอาแต่นอนอยู่อย่างนี้เหรอ”

“..งานเทศกาลเหรอ”

พอพูดถึงงานเทศกาลขึ้นมา บลิสก็เด้งตัวขึ้นมาอย่างกับลวดสปริงราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอแกล้งทำเป็นหลับอยู่ตลอดเวลา

หรือว่าจะงอนที่โดนสั่งให้อยู่เฉยๆ เงียบๆ กันนะ

ในระหว่างที่อาเรียสงสัย บลิสก็ขยี้ตาที่ยังไม่หายจากความง่วงอย่างแรงและถามออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง

“หนูไปงานเทศกาลได้จริงๆ เหรอ! จริงรึเปล่า! จริงๆ นะ! หนูไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม! ”

น้ำเสียงที่บลิสถามออกมาฟังดูเหมือนกับว่าหากมันไม่จริงละก็ เธอคงจะร้องไห้ไปสามคืนสี่วันเลยทีเดียว

ใช่แล้วล่ะ ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็จะได้ทำตามที่ใจอยากแล้ว

อาเรียเก็บคำตอบนั้นเอาไว้ ก่อนจะลูบผมอันยุ่งเหยิงของบลิสอย่างอ่อนโยน

“แน่สิ ถ้าเธอดื่มน้ำนี้และตั้งสติให้ดีละก็นะ”

ก่อนที่อาเรียจะพูดจบบลิสก็คว้าเอาแก้วน้ำไปแล้ว

และบลิสก็ดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วใหญ่นั้นหมดในพรวดเดียวอย่างกับว่าน้ำปริมาณมากขนาดนั้นไม่ได้เกินกำลังของเธอเลย

“ตั้งสติแล้ว! ตอนนี้หนูไม่ป่วยเลยสักนิดเดียว! ”

ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยว่าบลิสพูดจริงหรือไม่

เพราะสีหน้าที่ดูหมองๆ เมื่อครู่ค่อยๆ สดใสขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“หนูไปงานเทศกาลได้ใช่ไหม ใช่ไหม ได้ใช่ไหม! ”

บลิสลุกออกมาจากเตียงและหมุนตัวไปมารอบๆ อาเรียพร้อมกับถามออกมา

เธอเร่งเอาคำตอบพร้อมกับกระโดดกระย่องกระแย่งราวกับกระต่าย

“ได้สิ”

“เยยยยยยย้! ”

ตึงตังๆ พอได้รับอนุญาตบลิสก็ตื่นเต้นดีใจและหายออกไปนอกประตูเร็วประหนึ่งลูกศร

“ฉันไม่ได้บอกให้ออกไปทั้งชุดนอนแบบนั้นเลยนะ”

แม้ว่าบลิสจะทำตัวไม่เรียบร้อยและสมควรถูกดุก็ตาม แต่พอเห็นว่าบลิสวิ่งหายออกไปอย่างรวดเร็วและแข็งแรงกว่าครั้งไหนๆ อาเรียก็ยิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวงขึ้นมา

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นมาจากโถงทางเดิน อาเรียจึงหุบยิ้มลงและวิ่งตามหลังบลิสไปในทันที

และลิเป้ที่เฝ้ามองสถานการณ์ด้วยสีหน้างุนงงจนถึงตอนนั้นก็ถามอาซออกมาพร้อมกับสีหน้าไม่เข้าใจว่า

“บลิสไปงานเทศกาลได้จริงๆ หรือคะ เธอไม่น่าจะไปได้นี่นา…! ”

เดี๋ยวก็ต้องเป็นลมอีกแน่ๆ ไม่สิ เธอวิ่งออกไปยังโถงทางเดินเร็วขนาดนั้น คงไม่เหลือแรงไปเที่ยวงานเทศกาลแล้วล่ะ เดี๋ยวก็คงจะไข้ขึ้นไม่สบายอีกแน่ๆ

อาซรินน้ำทะเลสาบที่เหลืออยู่ในกระบอกน้ำให้ลิเป้ที่เป็นกังวล เขายิ้มขึ้นมาและตอบว่า

“ก็พระชายาคนฉลาดของฉันหาทางออกได้แล้วน่ะสิ”

จริงเหรอ…ได้อย่างไรกัน! ด้วยวิธีไหนกันน่ะ!

อาซเหล่ตาไปยังแก้วชาให้กับลิเป้ที่กำลังต้องการคำอธิบายอย่างละเอียด

จะบอกว่าให้ดื่มมันแล้วทำใจให้สงบอย่างนั้นเหรอ ตั้งใจจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังอย่างช้าๆ อย่างนั้นเหรอ

ลิเป้เข้าใจผิดไปแบบนั้น เธอพยักหน้าและดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วไปสองสามอึก

จากนั้นจู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่เปี่ยมล้นอยู่ในร่างกายขึ้นมาทันที

ไม่สิ ไม่ใช่แค่รู้สึกเท่านั้น แต่ว่าพลังกายมันล้นขึ้นมาจริงๆ

เหมือนกับที่บลิสวิ่งออกไปยังโถงทางเดิน ลิเป้เองก็รู้สึกว่าตัวเองอยากจะใช้พลังที่เปี่ยมล้นขึ้นมากับอะไรสักอย่าง

อย่าบอกนะว่า

ลิเป้ที่ตระหนักขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วหันไปขอคำตอบจากอาซด้วยดวงตาที่สั่นระริก

“ใช่แล้วล่ะ น้ำนั่นเป็นยารักษาน่ะ”

หาทางแก้ไขได้เร็วขนาดนี้จริงๆ น่ะเหรอ!

ลิเป้ตกใจ เธอรีบจับแก้วน้ำที่เกือบจะทำหล่นเอาไว้ได้อย่างทุลักทุเล

“ถ้า ถ้า ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นน้ำอันมีค่าที่หนูไม่ควรดื่ม…! ”

“นั่นไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เป็นแค่น้ำส่วนหนึ่งที่ได้มาจากทะเลสาบอันกว้างใหญ่ และตอนนี้อาเรียก็เป็นคนได้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว”

ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถดื่มน้ำทะเลสาบนี้เพื่อรักษาโรคได้ ต่อจากนี้ทั้งอาเรียและบลิสก็จะไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไป

ไม่สิ ลิเป้ที่ตระหนักขึ้นมาได้ว่าจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่แรกถึงกับทรุดลงกับพื้น

ในตาของเธอปริ่มไปด้วยน้ำตา

เพราะลิเป้มักจะทำตัวเข้มแข็งและสุขุมอยู่เสมอ อาซจึงคิดว่าเธอไม่ค่อยจะสะทกสะท้านต่ออะไร แต่เธอกลับทำสีหน้ารวดร้าวออกมาให้เห็นถึงขนาดนี้ อาซคิดว่าลิเป้กับบลิสเหมือนกันจริงๆ ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยให้ลุกขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเองก็ต้องเตรียมตัวแล้วล่ะ ไม่ว่าบลิสจะแข็งแรงกว่าเดิมมากแค่ไหนก็ตาม แต่เราคงปล่อยให้บลิสเที่ยวงานเทศกาลคนเดียวไม่ได้หรอกใช่ไหม”

น้ำเสียงอันอ่อนโยนนั้น ทำให้ลิเป้ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ เธอวิ่งพรวดเข้าไปกอดเอวของอาซ

แม้จะทำอย่างนั้นแต่เธอก็ไม่ลืมพยักหน้าตอบเขาไป

เมื่อเห็นดังนั้นอาซก็หัวเราะเบาๆ ขึ้นมาพร้อมกับตบไหล่ลิเป้อย่างเงียบๆ

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 235 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 26)

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 235 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม 26) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

***

สิ่งที่เทียเรนพูดเป็นความจริง แถมยังไม่มีผลข้างเคียงเลยด้วย

แม้จะดื่มน้ำทะเลสาบมาเป็นเวลาสักพักแล้ว แต่เทียเรนก็ยังดูปกดีทุกอย่าง

เทียเรนอธิบายเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนที่เธอกลับไปยังหมู่บ้านรวมทั้งเรื่องก่อสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เธอวางแผนเอาไว้ด้วย

“แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงมากแต่เพื่อให้ราชอาณาจักรรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น หม่อมฉันจึงอยากเสนอให้สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าได้ประทานพรแด่พระชายาและองค์รัชทายาทอัสเทอโรพีที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ในอีกไม่ช้านี้ค่ะ”

ไม่น่าเชื่อว่าในหัวของเทียเรนกำลังคิดเรื่องที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นอยู่

ไอเดียของเธอทำให้อาเรียรู้สึกประทับใจขึ้นมา

‘วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำทะเลสาบซึ่งมีอิทธิฤทธิ์รักษาโรคได้ทุกโรคอย่างนั้นหรือ’

นั่นจะทำให้สามัญชนทั่วไปกับขุนนางที่ไม่เคยนับถืออะไรเกิดความศรัทธาและมีที่ยึดเหนี่ยวทางใจขึ้นมา และจะหลงเหลืออยู่ในประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน

ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมเอามากๆ หากเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปในช่วงที่จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ละก็ ผู้คนจะต้องเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่เทพเจ้าประทานพรให้กับอาซและตนอย่างแน่นอน

หากเป็นเช่นนั้นละก็จะไม่มีอำนาจใดลุกขึ้นมาต่อต้านอาซและตนได้

ไม่สิ แม้แต่จักรพรรดิต่างแดนก็คงจะคุกเข่าร้องขอพระกรุณาธิคุณของน้ำทะเลสาบและยอมปฏิบัติตามคำสั่งเข้าสักวัน

อาเรียสบตากับอาซที่นั่งอยู่ข้างๆ

ท่าทางอาซเองก็จะคิดเช่นเดียวกับตน เขาไม่สามารถซ่อนแววตาที่สั่นไหวนั่นได้เลย

“ไม่ใช่อัญมณีธรรมดา แต่เป็นถึงเพชรเม็ดงามสินะเนี่ย”

“พระ พระชายา…! ”

ทั้งที่คิดว่าความจงรักภักดีของเทียเรนเป็นเหมือนอัญมณีธรรมดาๆ เท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่ใช่เพียงอัญมณีทั่วไป แต่เป็นเพชรเม็ดงามที่พราวแสงระยิบระยับ

‘…แน่นอนว่าฉันรู้สึกขอบคุณเทียเรนเป็นอย่างมาก แต่ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ก็คงต้องยกความดีความชอบให้บลิสด้วย’

นอกจากจะทำให้อาเรียหาทางแก้ได้แล้ว ยังทำให้อาเรียได้บุคลากรที่ชาญฉลาดมาด้วย

แม้ทุกอย่างจะเริ่มมาจากการกระทำบุ่มบ่ามที่ตั้งใจจะห้ามไม่ให้คลอดตนออกมาก็ตาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับยอดเยี่ยมเกินคาด

ถึงขนาดที่ว่าแม้จะต้องเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาทุ่มให้กับการสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ อาเรียก็ยินดีที่จะทำ

อาเรียคิดเช่นนั้นและพูดกับเทียเรนที่ถูกชมจนทำตัวไม่ถูกว่า

“ทำตามที่เธอคิดได้เลย แล้วก็เรียบเรียงเอกสารมารายงานฉันด้วยล่ะ จะใช้งบประมาณเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยคำนวณเรื่องจำนวนทหารที่จะใช้ปกป้องวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อป้องกันผู้บุกรุกมาด้วยก็จะดีมาก”

“รับ รับทราบค่ะ! หม่อมฉันจะทำอย่างสุดความสามารถเลยค่ะ! “

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นงานที่ลำบากไม่ใช่เล่น แต่เทียเรนก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

อาเรียยิ้มกว้างขึ้นมาเมื่อได้ฟังคำตอบที่ว่าจะทำงานให้สำเร็จเป็นอย่างดีต่อให้ต้องอดหลับอดนอนหลายคืนหรือต้องนอนซมหลังจากนั้นก็ตาม

“ดีมาก พรุ่งนี้เช้าก็รีบมาทำงานที่ห้องทำงานของฉันด้วยล่ะ”

“ห้องทำงานของพระชายา…หรือคะ”

กะทันหันขนาดนั้นเลยหรือ คงไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอทำรายงานให้เสร็จภายในคืนเดียวหรอกใช่ไหม

แม้ว่าเทียเรนจะมุ่งมั่นในการทำงานมากแค่ไหน แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย

เพราะเหตุนั้นเทียเรนจึงไม่สามารถสลัดสีหน้าตะลึงงันออกไปได้ อาเรียที่พอจะอ่านความรู้สึกของเทียเรนออกก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบว่า

“ดูจากที่เธอถามกลับมาแล้ว ท่าทางเธอจะไม่ต้องการอย่างนั้นสินะเนี่ย ฉันอุตส่าห์คิดเอาไว้ว่าจะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยฉันแท้ๆ เชียว”

ในตอนนั้นเองที่เทียเรนตระหนักได้ถึงเจตนาของอาเรีย เธอรีบหุบปากที่อ้าค้างไว้อย่างรวดเร็วและคำนับศีรษะอย่างนอบน้อม

“มะ มะ ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ! หม่อมฉันยินดีรับใช้พระชายาจนกว่ากระดูกของหม่อมฉันจะมอดไหม้กลายเป็นฝุ่นผงค่ะ! “

“ฉันไม่ใช้งานเธออย่างโหดร้ายขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ารู้สึกว่ากระดูกกำลังกลายเป็นฝุ่นขึ้นมาละก็รีบบอกให้ฉันรู้ด้วยล่ะ ฉันน่ะออกจะใจดีกับคนของตัวเองจะตายไป”

อาจจะล่ะนะ อาเรียไม่พูดคำต่อท้ายนั้นออกไปและยิ้มออกมาอย่างมีเมตตา

เทียเรนเงยหน้าขึ้นมองอาเรีย เธอกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งใจเอาไว้และก้มศีรษะลงอีกครั้ง

“ค่ะ! หม่อมฉันขออุทิศตนรับใช้ข้างกายจนกว่าชีวิตจะหาไม่ค่ะ! “

***

หลังจากเทียเรนบอกว่าจะไปจัดการเอกสารและหายออกไป อาซก็หยิบกระบอกน้ำขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือไปหาอาเรีย

ไม่จำเป็นต้องถามถึงเหตุผลเลย

อาเรียจับมืออาซอย่างหนักแน่นไร้ซึ่งความลังเลใดๆ จากนั้นอาซก็ใช้พลังหายตัวไปยังห้องของบลิสในทันที

ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ไกลถึงขนาดที่ต้องใช้พลังเลยสักนิด แต่เพราะร้อนใจขึ้นมาจึงได้ทำเช่นนั้น

พวกเขาอยากจะเห็นบลิสแข็งแรงขึ้นเร็วกว่านี้สักชั่วยามหนึ่งก็ยังดี

“ฮะ หืม…! ”

ลิเป้ตกใจจนทำหนังสือที่อ่านร่วงลงพื้นดังตุ้บเมื่ออยู่ๆ อาเรียกับอาซก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า

ส่วนบลิสก็ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่

หลังจากที่หมดสติลงในงานเทศกาล แม้จะถูกบังคับไม่ให้ฝืนร่างกายมากเกินไปก็ตาม แต่สีหน้าของเด็กน้อยก็ยังดูเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก

“อย่าบอกนะว่าบลิสแอบหนีออกไปจากพระราชวังโดยไม่มีใครรู้น่ะ”

หากไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่เด็กนิสัยร่าเริงคนหนึ่งจะยังนอนหลับได้จนถึงตอนที่ตะวันส่องแสงจ้าลอยอยู่กลางเหนือหัวแน่ๆ

อาเรียถามออกมาราวกับจะบอกว่าสภาพของบลิสดูแปลกๆ ไป และตอนนั้นเองที่ลิเป้ตั้งสติขึ้นมาได้ เธอตอบออกไปอย่างสุขุมว่า

“เปล่าค่ะ ปกติบลิสมักจะนอนทั้งวันอยู่แล้วค่ะ นี่เป็นสภาพปกติของเธอค่ะ”

แม้ว่าบลิสจะแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวอาเรียและตัวอาซในอนาคตอยู่บ้าง แต่ร่างกายของบลิสก็ไม่แข็งแรงจริงๆ เกินกว่าจะเอาแต่ตำหนิเธออย่างเดียว

“พอมาที่นี่ก็แสร้งทำตัวร่าเริงมากเกินเหตุไปอย่างนั้นแหละค่ะ บางที…อาจจะคิดว่านี่เป็นคงเป็นครั้งสุดท้ายละมั้งคะ…”

ลิเป้พูดออกมาอย่างกำกวมก่อนจะเงียบไป เธอคิดว่าแม้เหตุผลที่บลิสกลับมายังอดีตจะเป็นเพราะไม่อยากให้อาเรียเจ็บป่วยไปมากกว่านี้ก็ตาม แต่บางทีบลิสอาจจะไม่อยากใช้ชีวิตด้วยร่างกายที่ป่วยไปมากกว่านี้แล้วก็ได้

มันเป็นความเศร้าและความทรมานที่ตนเองไม่สามารถจินตนาการได้เลย

ลิเป้หันหลังเพื่อซ่อนสีหน้าอันเศร้าหมองเอาไว้ก่อนจะเดินวนไปมาเพื่อกลบอาการ

อาเรียมองลิเป้สลับกับบลิสที่ยังคงหลับปุ๋ยอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามออกมาเรื่องที่สงสัยมาตลอดเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“ลิเป้ ถ้าอดีตถูกเปลี่ยนไปจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันและพวกเธอหรือ ฉันจะยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนได้ไหม”

“ไม่ค่ะ มีเพียงแค่หนูกับบลิสเท่านั้นที่ยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้ ท่านแม่กับท่านพ่อจะจำไม่ได้ค่ะ ความทรงจำจะถูกเปลี่ยนไปหรือไม่ก็จะเกิดช่องว่างของความทรงจำขึ้นมาเพื่อให้ตรงกับเหตุการณ์ในอนาคตค่ะ”

“แล้วถ้าหากหาวิธีช่วยบลิสขึ้นมาได้ล่ะ ถ้าบลิสไม่ต้องเกิดมาพร้อมร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่แรก และพลังยังไม่ตื่นตัวขึ้นมาล่ะ”

หากว่าอนาคตได้เปลี่ยนไป หากว่าเด็กๆ ไม่ได้เกิดออกมาพร้อมกับพลัง และบลิสกับลิเป้ในวัยเจ็ดขวบไม่สามารถย้อนกลับมาในอดีตได้ล่ะ

หากเปลี่ยนเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดแล้วล่ะก็ เด็กสองคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นอย่างไร

“ไม่รู้สิคะ แต่ถึงอย่างไรหนูก็คิดว่าพวกหนูสองคนน่าจะยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้เหมือนเดิมนะคะ”

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าแม้จะแข็งแรงขึ้นแล้วก็ตาม แต่เด็กๆ จะต้องเก็บความเจ็บปวดและความทุกข์ที่เผชิญมาตลอดเจ็ดปีไว้กับตัวพวกเขาเพียงฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ

เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเลยสักนิด ถ้าเด็กๆ ตระหนักขึ้นมาได้ว่าแม้แต่พ่อแม่ของพวกเขายังไม่สามารถเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขาได้ละก็ มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าต่างกับสุขภาพอันแข็งแรงที่ได้มา

“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังในภายหลังนะ ฉันเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะฉะนั้นจะให้พวกเธอรู้อยู่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่ยุติธรรมเลยนี่นา”

“ค่ะ”

นั่นพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ หรือกำลังสมมุติว่า‘ถ้าหาก’หาทางแก้ไขได้ขึ้นมาอย่างนั้นหรือ

และก่อนที่ลิเป้จะได้คลายข้อสงสัย อาเรียก็กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างเร่งรีบก่อนจะเทน้ำทะเลสาบลงในแก้วน้ำแล้วปลุกบลิสให้ตื่นขึ้นมา

“บลิส ตื่นเถอะ เร็วเข้า”

ทว่าบลิสยังหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย อาเรียจึงปลุกบลิสอีกรอบหนึ่ง

“ฉันตั้งใจว่าจะพาเธอไปเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน เธอจะเอาแต่นอนอยู่อย่างนี้เหรอ”

“..งานเทศกาลเหรอ”

พอพูดถึงงานเทศกาลขึ้นมา บลิสก็เด้งตัวขึ้นมาอย่างกับลวดสปริงราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอแกล้งทำเป็นหลับอยู่ตลอดเวลา

หรือว่าจะงอนที่โดนสั่งให้อยู่เฉยๆ เงียบๆ กันนะ

ในระหว่างที่อาเรียสงสัย บลิสก็ขยี้ตาที่ยังไม่หายจากความง่วงอย่างแรงและถามออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง

“หนูไปงานเทศกาลได้จริงๆ เหรอ! จริงรึเปล่า! จริงๆ นะ! หนูไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม! ”

น้ำเสียงที่บลิสถามออกมาฟังดูเหมือนกับว่าหากมันไม่จริงละก็ เธอคงจะร้องไห้ไปสามคืนสี่วันเลยทีเดียว

ใช่แล้วล่ะ ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็จะได้ทำตามที่ใจอยากแล้ว

อาเรียเก็บคำตอบนั้นเอาไว้ ก่อนจะลูบผมอันยุ่งเหยิงของบลิสอย่างอ่อนโยน

“แน่สิ ถ้าเธอดื่มน้ำนี้และตั้งสติให้ดีละก็นะ”

ก่อนที่อาเรียจะพูดจบบลิสก็คว้าเอาแก้วน้ำไปแล้ว

และบลิสก็ดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วใหญ่นั้นหมดในพรวดเดียวอย่างกับว่าน้ำปริมาณมากขนาดนั้นไม่ได้เกินกำลังของเธอเลย

“ตั้งสติแล้ว! ตอนนี้หนูไม่ป่วยเลยสักนิดเดียว! ”

ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยว่าบลิสพูดจริงหรือไม่

เพราะสีหน้าที่ดูหมองๆ เมื่อครู่ค่อยๆ สดใสขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“หนูไปงานเทศกาลได้ใช่ไหม ใช่ไหม ได้ใช่ไหม! ”

บลิสลุกออกมาจากเตียงและหมุนตัวไปมารอบๆ อาเรียพร้อมกับถามออกมา

เธอเร่งเอาคำตอบพร้อมกับกระโดดกระย่องกระแย่งราวกับกระต่าย

“ได้สิ”

“เยยยยยยย้! ”

ตึงตังๆ พอได้รับอนุญาตบลิสก็ตื่นเต้นดีใจและหายออกไปนอกประตูเร็วประหนึ่งลูกศร

“ฉันไม่ได้บอกให้ออกไปทั้งชุดนอนแบบนั้นเลยนะ”

แม้ว่าบลิสจะทำตัวไม่เรียบร้อยและสมควรถูกดุก็ตาม แต่พอเห็นว่าบลิสวิ่งหายออกไปอย่างรวดเร็วและแข็งแรงกว่าครั้งไหนๆ อาเรียก็ยิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวงขึ้นมา

แต่แล้วก็ได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นมาจากโถงทางเดิน อาเรียจึงหุบยิ้มลงและวิ่งตามหลังบลิสไปในทันที

และลิเป้ที่เฝ้ามองสถานการณ์ด้วยสีหน้างุนงงจนถึงตอนนั้นก็ถามอาซออกมาพร้อมกับสีหน้าไม่เข้าใจว่า

“บลิสไปงานเทศกาลได้จริงๆ หรือคะ เธอไม่น่าจะไปได้นี่นา…! ”

เดี๋ยวก็ต้องเป็นลมอีกแน่ๆ ไม่สิ เธอวิ่งออกไปยังโถงทางเดินเร็วขนาดนั้น คงไม่เหลือแรงไปเที่ยวงานเทศกาลแล้วล่ะ เดี๋ยวก็คงจะไข้ขึ้นไม่สบายอีกแน่ๆ

อาซรินน้ำทะเลสาบที่เหลืออยู่ในกระบอกน้ำให้ลิเป้ที่เป็นกังวล เขายิ้มขึ้นมาและตอบว่า

“ก็พระชายาคนฉลาดของฉันหาทางออกได้แล้วน่ะสิ”

จริงเหรอ…ได้อย่างไรกัน! ด้วยวิธีไหนกันน่ะ!

อาซเหล่ตาไปยังแก้วชาให้กับลิเป้ที่กำลังต้องการคำอธิบายอย่างละเอียด

จะบอกว่าให้ดื่มมันแล้วทำใจให้สงบอย่างนั้นเหรอ ตั้งใจจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังอย่างช้าๆ อย่างนั้นเหรอ

ลิเป้เข้าใจผิดไปแบบนั้น เธอพยักหน้าและดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วไปสองสามอึก

จากนั้นจู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่เปี่ยมล้นอยู่ในร่างกายขึ้นมาทันที

ไม่สิ ไม่ใช่แค่รู้สึกเท่านั้น แต่ว่าพลังกายมันล้นขึ้นมาจริงๆ

เหมือนกับที่บลิสวิ่งออกไปยังโถงทางเดิน ลิเป้เองก็รู้สึกว่าตัวเองอยากจะใช้พลังที่เปี่ยมล้นขึ้นมากับอะไรสักอย่าง

อย่าบอกนะว่า

ลิเป้ที่ตระหนักขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วหันไปขอคำตอบจากอาซด้วยดวงตาที่สั่นระริก

“ใช่แล้วล่ะ น้ำนั่นเป็นยารักษาน่ะ”

หาทางแก้ไขได้เร็วขนาดนี้จริงๆ น่ะเหรอ!

ลิเป้ตกใจ เธอรีบจับแก้วน้ำที่เกือบจะทำหล่นเอาไว้ได้อย่างทุลักทุเล

“ถ้า ถ้า ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นน้ำอันมีค่าที่หนูไม่ควรดื่ม…! ”

“นั่นไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เป็นแค่น้ำส่วนหนึ่งที่ได้มาจากทะเลสาบอันกว้างใหญ่ และตอนนี้อาเรียก็เป็นคนได้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว”

ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถดื่มน้ำทะเลสาบนี้เพื่อรักษาโรคได้ ต่อจากนี้ทั้งอาเรียและบลิสก็จะไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไป

ไม่สิ ลิเป้ที่ตระหนักขึ้นมาได้ว่าจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่แรกถึงกับทรุดลงกับพื้น

ในตาของเธอปริ่มไปด้วยน้ำตา

เพราะลิเป้มักจะทำตัวเข้มแข็งและสุขุมอยู่เสมอ อาซจึงคิดว่าเธอไม่ค่อยจะสะทกสะท้านต่ออะไร แต่เธอกลับทำสีหน้ารวดร้าวออกมาให้เห็นถึงขนาดนี้ อาซคิดว่าลิเป้กับบลิสเหมือนกันจริงๆ ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยให้ลุกขึ้นมา

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเองก็ต้องเตรียมตัวแล้วล่ะ ไม่ว่าบลิสจะแข็งแรงกว่าเดิมมากแค่ไหนก็ตาม แต่เราคงปล่อยให้บลิสเที่ยวงานเทศกาลคนเดียวไม่ได้หรอกใช่ไหม”

น้ำเสียงอันอ่อนโยนนั้น ทำให้ลิเป้ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ เธอวิ่งพรวดเข้าไปกอดเอวของอาซ

แม้จะทำอย่างนั้นแต่เธอก็ไม่ลืมพยักหน้าตอบเขาไป

เมื่อเห็นดังนั้นอาซก็หัวเราะเบาๆ ขึ้นมาพร้อมกับตบไหล่ลิเป้อย่างเงียบๆ

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+