มรรคาสู่สวรรค์ 173 เขียนหนังสือมาห้าปีแล้ว

Now you are reading มรรคาสู่สวรรค์ Chapter 173 เขียนหนังสือมาห้าปีแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หาก​ไม่ได้​เก็บตัว​เป็นเวลา​นาน​ ทุกปี​ไป๋​เจ่าจะมากินข้าว​กับ​บิดา​มารดา​ ยิ่งไปกว่านั้น​ยังมี​แค่​มื้อ​เดียว​ใน​หนึ่ง​ปี​ ใต้​ต้นไม้​บน​ลาน​เมฆ

บน​โต๊ะ​หิน​มีเพียง​กับข้าว​ง่าย​อยู่​สอง​สามอย่าง​ ปลา​ย่าง​ไม่ได้​แตะ​ ดื่ม​สุรา​ไป​เพียง​ถ้วย​เดียว​ นักพรต​ถาน​และ​นักพรต​ไป๋​ก็​จากไป​

ไป๋​เจ่านิ่งเงียบ​อยู่​ครู่​ จากนั้น​เดิน​ไป​ใต้​ต้นไม้​ ทอดตา​มอง​ไป​ทะเล​เมฆที่อยู่​ด้านนอก​หน้าผา​ ใน​ใจครุ่นคิด​ว่า​หาก​ศิษย์​พี่​ถงเหยียน​อยู่​ที่นี่​ก็​คงจะ​คึกคัก​ขึ้น​มาบ้าง​

สำหรับ​ผู้​บำเพ็ญพรต​แล้ว​ การ​เก็บตัว​ถือ​เป็นเรื่อง​ปกติ​ แต่​นาง​ยังคง​รู้สึก​กังวล​เล็กน้อย​ เพราะ​ถงเหยียน​เก็บตัว​กะทันหัน​เกินไป​

นอกจากนี้​นาง​ยัง​กังวลใจ​เรื่อง​อื่น​อีก​เรื่อง​หนึ่ง​

ยันต์​เซียน​อยู่​ใน​มือ​จิ๋งจิ่ว​ แต่​เขา​อวิ๋นเมิ่ง​กลับ​ไม่มีปฏิกิริยา​ใดๆ​ โดยเฉพาะ​ท่าน​แม่ที่​ยังคง​สงบนิ่ง​ถึงเพียงนี้​ นี่​ทำให้​นาง​รู้สึก​ไม่ค่อย​สบายใจ​

นาง​อยาก​จะเขียนจดหมาย​ไป​ถามชิงซาน​ แต่​สุดท้าย​ก็​ล้มเลิก​ความคิด​ไป​ พลาง​ถอนหายใจ​ออกมา​เบา​ๆ จากนั้น​สะบัด​แถบ​ผ้า​เบา​ๆ ไหม​ฟ้าสีขาว​จำนวน​นับไม่ถ้วน​ตก​โปรยปราย​ลงมา​ราว​หิมะ​ ปกคลุม​ลาน​เมฆเอาไว้​

……

……

ถงเหยียน​กำลัง​ขุด​หลุม​อยู่​ใต้ดิน​ ดิน​และ​เศษหิน​ที่​ขุด​ออกมา​ถูก​เขา​ใช้วิชา​บีบ​อัด​เป็น​ก้อน​อย่าง​เงียบๆ​ หลัง​ขนาด​หด​เล็ก​ลง​แล้วก็​ดัน​ไป​กอง​ไว้​ทั้งสอง​ด้าน​อย่าง​เป็นระเบียบ​ ดูเหมือน​หิน​ลูก​กลม​ๆ

ใน​อุโมงค์​ไม่มีแสงไฟ ทุกที่​ล้วนแต่​อยู่​ใน​ความมืด​ ย่อม​แยก​ไม่ออ​กว่า​เป็นเวลา​กลางคืน​หรือ​กลางวัน​ แต่​เขา​เป็น​ผู้​บำเพ็ญพรต​ ย่อม​ต้อง​รู้​ว่า​เวลานี้​ได้​ผ่าน​มาปีก​ว่าแล้ว​

อย่างไร​เสีย​ก็​ยัง​ต้อง​ใช้เวลา​อีก​หลาย​ปี​กว่า​จะขุด​ลง​ไป​ถึงเส้น​ปราณ​แผ่นดิน​ เขา​ดู​สงบนิ่ง​และ​สุขุม​ เพราะ​อย่างไร​เสีย​ที่นี่​ก็​ไม่มีใคร​พูดคุย​กับ​เขา​

แรงกดดัน​ที่​คล้าย​มีคล้าย​ไม่มีแต่กลับ​ชัดเจน​เสีย​ยิ่งกว่า​อะไร​สาย​นั้น​ยัง​คงอยู่​ข้างหน้า​ อยู่​ไกล​ออก​ไป​ อยู่​สูงขึ้นไป​

กิเลน​ฉีหลิน​ไม่มีทาง​ไป​จาก​เขา​อวิ๋นเมิ่ง​ ถ้าหาก​เขา​เข้าใกล้​คันฉ่อง​ฟ้ากระจ่าง​ อีก​ฝ่าย​จะต้อง​พบเห็น​อย่าง​แน่นอน​ เช่นนั้น​เมื่อ​ถึงเวลา​นั้น​จะทำ​อย่างไร​? เรื่อง​ที่​คิดไม่ออก​ก็​ไม่จำเป็นต้อง​ไป​คิด​ ถึงเวลา​นั้น​ค่อย​ว่า​กัน​แล้วกัน​ เขา​มองดู​ลำธาร​ใต้ดิน​ที่อยู่​ตรงหน้า​สาย​นั้น​ ใน​ใจครุ่นคิด​ว่า​ตัวเอง​ควรจะ​อาบน้ำ​เพื่อ​ฉลอง​ปีใหม่​หน่อย​หรือเปล่า​?

……

……

ใน​ส่วนลึก​ของ​หุบเขา​แห่ง​หนึ่ง​ ก้อน​เมฆลอย​วน​ ย้อม​แสงอาทิตย์​จน​กลายเป็น​เหมือน​สิ่งที่​ดู​คล้าย​น้ำนม​สีขาวนวล​

ภายใน​เมฆหมอก​มีเสาหิน​อยู่​สิบ​กว่า​เสา นักพรต​ไป๋​ยืน​มือ​ไพล่หลัง​อยู่​บน​เสาหิน​แท่ง​หนึ่ง​ ทอดตา​มองออก​ไป​ ไม่รู้​กำลัง​คิด​อะไร​อยู่​

เงาดำ​ขนาดใหญ่​เงาหนึ่ง​ปรากฏ​ขึ้น​ใน​ส่วนลึก​ของ​เมฆหมอก​ ราวกับ​จู่ๆ ก็​มีภูเขา​ลูก​หนึ่ง​ปรากฏ​ขึ้น​มา

สัตว์​เทพ​ผู้พิทักษ์​ของ​สำนัก​จงโจว​ กิเลน​ฉีหลิน​

เมฆหมอก​พลัน​ปั่นป่วน​ขึ้น​มา มืด​สว่าง​สลับ​กัน​ กลายเป็น​ตัวอักษร​แนวตั้ง​หลาย​แถว​ปรากฏ​ขึ้น​ตรงหน้า​นักพรต​ไป๋​

นั่น​คือ​จิต​จำแนก​ของ​กิเลน​ฉีหลิน​

“ข้า​รับรู้​ได้​ว่า​จิต​เซียน​ที่​ท่าน​บรรพ​จารย์​ทิ้ง​เอาไว้​กำลัง​หาย​ไป​ ถึงแม้เชื่องช้า​ แต่​นี่​เป็นเรื่อง​ที่​ไม่ควรจะ​เกิดขึ้น​ ข้า​รู้สึก​กังวลใจ​”

นักพรต​ไป๋​ยังคง​ทอดตา​มองออก​ไป​ กล่าวว่า​ “ทาง​ปู้​เหล่า​หลิน​แจ้งมาชัดเจน​ เขา​กำลัง​เรียน​ธรรมะ​อยู่​ที่วัด​กั่วเฉิง​ ไม่แน่​อาจจะ​มีโอกาส​ทำสำเร็จ​ได้​จริงๆ​”

หาก​มีคน​สามารถ​มอง​เห็นภาพ​นี้​จาก​บน​ท้องฟ้า​ได้​ เขา​ก็​จะเห็น​ว่า​นาง​กำลัง​มอง​ไป​ทาง​ตะวันออกเฉียงใต้​

วัด​กั่วเฉิง​อยู่​ทาง​นั้น​

จิต​ของ​กิเลน​กลายเป็น​ตัวอักษร​อยู่​ใน​เมฆอีกครั้ง​ “ข้า​จะไป​ฆ่าเขา​”

นักพรต​ไป๋​กล่าวว่า​ “ความสัมพันธ์​ของวัด​กั่วเฉิง​และ​ชิงซาน​ไม่แน่ชัด​ อย่า​บุ่มบ่าม​”

ภายใน​เมฆหมอก​มีตัวอักษร​ปรากฏ​ขึ้น​มา “หรือ​พวก​พระ​เหล่านั้น​จะกล้า​ลงมือ​กับ​ข้า​?”

นักพรต​ไป๋​กล่าวว่า​ “เจ้าเป็น​บรรพบุรุษ​ของ​สำนัก​ข้า​ ตาม​กฎ​สำนัก​ห้ามไม่ให้​ออก​ไป​จาก​สำนัก​ ยก​เว้นแต่​จะสละ​ร่าง​”

ภายใน​เมฆเงียบสงบ​ไป​ครู่​ จากนั้น​ครู่หนึ่ง​มีตัวอักษร​ปรากฏ​ขึ้น​มาแถว​หนึ่ง​

“แค่​ฆ่าเจ้าพวก​นี้​ได้​ก็​พอ​”

“ไม่จำเป็น​ เพราะ​ข้า​ไม่เชื่อ​ว่า​เขา​จะหลอม​ยันต์​เซียน​ได้​ ต่อให้​…เขา​จะเป็น​จิ่งหยาง​กลับมา​เกิด​ใหม่​จริงๆ​”

นักพรต​ไป๋​กล่าว​ด้วย​สีหน้า​เฉยชา​ “เพราะ​สภาวะ​ของ​เขา​ตอนนี้​ต่ำ​เกินไป​”

……

……

ใน​เมื่อ​ฤดูหนาว​มาถึงแล้ว​ ฤดูใบไม้ผลิ​ย่อม​ต้อง​ตามมา​

ฝน​ฤดูใบไม้ผลิ​ที่​หนาวเย็น​เล็กน้อย​มาเยือน​ ต้นไม้​ใน​วัด​กั่วเฉิง​เริ่ม​แตกใบอ่อน​

จิ๋งจิ่ว​และ​เจ้าล่า​เยวี่ย​ใช้ชีวิต​อย่าง​เงียบสงบ​อยู่​ใน​สวน​จิ้งหยวน​ เวลา​ที่​หลิ่ว​สือซุ่ย​ใช้ทำงาน​ใน​สวนผัก​มีมากขึ้น​ แต่​ทุกวัน​เขา​ก็​มิได้​ลืม​ที่จะ​มาขอ​คำ​ชี้แนะ​เรื่อง​วิถี​กระบี่​จาก​จิ๋งจิ่ว​

ผ่าน​ไป​สามสี่วัน​เจ้าล่า​เยวี่ย​ก็​จะไป​ฟังไต้​ซือ​สาธยาย​ธรรม​ที่​ตำ​นักแสดง​ธรรม​ครั้งหนึ่ง​ แมว​ขาว​เอง​ก็​มักจะ​ตาม​ไป​ด้วย​ เกาะ​อยู่​บน​ขอบ​หน้าต่าง​ อาบแดด​พลาง​ฟังธรรม​

เหล่า​สณะคุ้นชิน​กับ​แมว​ขาว​ตัว​นี้​แล้ว​ มิได้​รู้สึก​แปลก​อะไร​ บางครั้ง​ก็​จะไป​เล่น​กับ​มัน​ ทุกครั้ง​เล่น​จน​เจ้าล่า​เยวี่ย​รู้สึก​วิตกกังวล​ กลัว​ว่า​จู่ๆ มัน​จะคลุ้มคลั่ง​ขึ้น​มา จน​ส่งผลกระทบ​ต่อ​ความสัมพันธ์​ของ​ชิงซาน​และ​วัด​กั่วเฉิง​

ตอนนี้​จิ๋งจิ่ว​ไม่ค่อย​ได้​ไป​ยัง​ตำหนัก​แสดง​ธรรม​แล้ว​ เวลา​ส่วนใหญ่​จะนอน​อยู่​บน​เก้าอี้​ไม้ไผ่​ บำเพ็ญ​เพียร​ของ​ตนเอง​ไป​โดย​มีสายลม​ แสงแดด​และ​สายฝน​ของ​ฤดูใบไม้ผลิ​อยู่​เป็นเพื่อน​ สภาวะ​มิได้​ขยับ​ขึ้น​แม้แต่น้อย​ แต่​การรับรู้​ใน​วิชา​ของ​สำนัก​ฌาน​และ​ยันต์​เซียน​กลับ​ยิ่ง​ลึกล้ำ​มากขึ้น​

ใน​บ่าย​วันหนึ่ง​เขา​ลืมตา​ขึ้น​ มองเห็น​นอก​กำแพง​เต็มไปด้วย​สีเขียว​ ถึงได้​พบ​ว่า​ถึงปลาย​ฤดูใบไม้ผลิ​แล้ว​ จากนั้น​เหลือบ​มองดู​แมว​ขาว​ คล้าย​ตั้งใจ​แล้วก็​คล้าย​ไม่ตั้งใจ​

แมว​ขาว​ลืม​ไป​แล้ว​ว่า​มัน​อยู่​มานาน​เท่าไร​ เพราะ​อย่างไร​เสีย​ก็​ไม่มีใคร​ที่จะ​อยู่​มานาน​กว่า​มัน​ ยกเว้น​พวก​หยวน​กุย​และ​ฉีหลิน​ เรื่อง​อาการ​ติดสัด​มัน​ก็​มิได้​สน​ใจมานาน​แล้ว​ แต่​ความง่วง​ใน​ฤดูใบไม้ผลิ​กลับ​ยัง​มาตรงเวลา​ แสดงให้เห็น​ว่าความ​หื่น​กระหาย​และ​ความปรารถนา​นั้น​มิใช่สิ่งที่​สำคัญ​ที่สุด​ใน​ชีวิต​ หาก​แต่​เป็นการ​นอน​ต่างหาก​

หลาย​วัน​มานี้​ไม่มีฝนตก​ อาสนะ​ที่อยู่​ตรงหน้า​เจดีย์​ถูก​ตากแดด​จน​แห้ง​ อีก​ทั้ง​หลิ่ว​สือซุ่ย​ยัง​ปู​หญ้า​ที่​ตั้งใจ​เลือก​มาให้​มัน​ นอน​แล้ว​รู้สึก​สบาย​เป็นอย่างมาก​ ทำให้​บางครั้ง​มัน​ถึงกับ​ลืม​ตัก​ของ​สาวน้อย​ไป​

มัน​ลืมตา​ตื่นขึ้น​มา มองดู​ท้องฟ้า​อย่าง​สับสน​งุนงง​ จู่ๆ พลัน​นึก​ขึ้น​มาได้​ว่า​เมื่อ​ตอนต้น​ฤดูใบไม้ผลิ​ปี​ที่แล้ว​ บน​อาสนะ​ใบ​นี้​เหมือน​จะมีกระดาษ​อยู่​สอง​สามแผ่น​

แสงแดด​ใน​ฤดูใบไม้ผลิ​เหมือนกัน​ สายลม​ใน​ฤดูใบไม้ผลิ​เหมือนกัน​ ทิวทัศน์​ใน​ฤดูใบไม้ผลิ​เหมือนกัน​ อาสนะ​เหมือนกัน​ แต่กลับ​ขาด​กระดาษ​สอง​สามแผ่น​นั้น​ไป​

มัน​ลุกขึ้น​ยืน​ เดิน​ออก​ไป​จาก​นอก​สวน​จิ้งหยวน​ ดมกลิ่น​ที่​ลอย​มาใน​อากาศ​ เดินผ่าน​บึง​น้ำ​และ​ป่าทึบ​ สะพาน​เล็ก​และ​เรือน​ของ​ลูกศิษย์​

รอบด้าน​ค่อยๆ​ มีเสียง​ผู้​คนดัง​ขึ้น​มา มัน​กระโดด​ขึ้นไป​บน​กำแพง​อย่าง​แผ่วเบา​ เดิน​เลียบ​ตาม​เงาของ​ชาย​หลังคา​มาถึงส่วนกลาง​ของวัด​กั่วเฉิง​ จากนั้น​เดิน​เข้าไป​ใน​ป่า​เจดีย์​แห่ง​นั้น​

ด้านหน้า​มีตำหนัก​ฌาน​ที่​เงียบสงบ​อยู่​แห่ง​หนึ่ง​ บน​บันได​ไม่มีคน​ ภายใน​ห้อง​ก็​ไม่มีคน​ เงียบสงัด​คล้าย​หลุมศพ​

แมว​ขาว​เดิน​ไป​บน​บันได​หิน​ นอนขด​เป็น​วงกลม​ หลับตา​แล้ว​เริ่ม​นอนหลับ​ไป​

มัน​นอนหลับ​ไป​ทั้งวัน​ กระทั่ง​ตก​เย็น​ถึงจะตื่นขึ้น​มา คิดในใจ​ว่า​นี่​ตนเอง​เป็น​อะไร​ไป​?

เมื่อ​กลับ​มายัง​สวน​จิ้งหยวน​ มัน​ก็​กลับ​ไป​นอน​ฟุบ​อยู่​ตรงหน้า​เจดีย์​เล็ก​เพื่อ​จะนอน​ต่อ​ แต่​มัน​กลับ​ไม่สามารถ​หลับตา​ได้​

มัน​ถูก​ความรู้สึก​ที่​แปลกประหลาด​อย่างหนึ่ง​รบกวน​ จน​ทำให้​ไม่ทันสังเกต​ว่า​จิ๋งจิ่ว​กำลัง​มองดู​ตัวเอง​อย่าง​เงียบๆ​

……

……

ตำหนัก​ฌาน​ไป๋​ซาน​ว่างเปล่า​ไม่มีคน​

ภายใน​ห้องครัว​ของวัด​ด้านหน้า​ก็​ไม่มีนักบวช​ที่ทำงาน​จุกจิก​ที่​ไม่ค่อย​ปรากฏ​ตัวผู้​นั้น​ ส่วน​ชายหนุ่ม​ที่​ปกติ​ไม่เคย​ปรากฏ​ตัวผู้​นั้น​ก็​ยิ่ง​ถูก​ผู้คน​ลืมเลือน​ไป​อย่าง​รวดเร็ว​ แต่​ภายใน​อาราม​หลี่ว์​ถังที่​มีการป้องกัน​เข้มงวด​มาก​ที่สุด​กลับ​มีพระ​หนุ่ม​กับ​พระ​แก่​เพิ่มขึ้น​มาสอง​รูป​ พระ​สอง​รูป​นี้​ย่อม​ต้อง​เป็น​อิน​ซาน​กับ​ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​

อิน​ซาน​โกน​ผม​แล้ว​ยิ่ง​ดู​หล่อเหลา​ เรียก​ได้​ว่า​ค่อนข้าง​น่ารัก​ ส่วน​ปรมาจารย์​โกน​ศีรษะ​แล้ว​กลับ​ยิ่ง​อัปลักษณ์​ โดยเฉพาะ​จมูก​สีแดง​ที่​ยิ่ง​ดู​สะดุดตา​

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​ขยี้​จมูก​ เดิน​ไป​ยัง​ด้านหลัง​ของ​อิน​ซาน​แล้ว​มองดู​

เขา​รับรู้​ได้​อย่าง​ชัดเจน​ว่า​หลังจากที่​รู้​ว่า​จิ๋งจิ่ว​อยู่​ที่วัด​กั่วเฉิง​ เวลา​ที่​อิน​ซาน​ใช้นั่งสมาธิ​ก็​ยิ่ง​มากขึ้น​ แต่​ไม่มีใคร​รู้​ว่า​เขา​กำลัง​คิด​อะไร​

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​สังเกตเห็น​ตรง​ท้ายทอย​ของ​อิน​ซาน​มีบางอย่าง​ปูด​นูน​ขึ้น​มาเล็กน้อย​ ยิ่งไปกว่านั้น​กำลัง​เปลี่ยน​ตำแหน่ง​ไป​อย่าง​ช้าๆ ด้วย​

จากนั้น​เขา​ได้กลิ่น​จางๆ กลิ่น​หนึ่ง​ สีหน้า​เปลี่ยน​เล็กน้อย​ แต่กลับ​ไม่กล้า​พูด​อะไร​

กลิ่น​ที่ว่า​นั้น​เบาบาง​ไม่เหม็น​ แต่​พอ​ดม​แล้ว​กลับ​ทำให้​รู้สึก​ไม่สบาย​ กลิ่น​มัน​เหมือนกับ​ใบไม้​เน่า​จางๆ แล้วก็​คล้าย​ท่อนไม้​เก่า​ที่​วาง​ทิ้ง​เอาไว้​เป็นเวลา​นาน​หลาย​ปี​

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​รู้​ว่า​ร่าง​นี้​ทน​ได้​อีก​แค่​ไม่กี่​ปี​แล้ว​ แล้วก็​ไม่รู้​ว่า​นักพรต​จะสามารถ​หา​วิธี​ทำให้​ดวงจิต​และ​กาย​เนื้อ​หลอม​รวม​เป็นหนึ่ง​ได้​อย่าง​สมบูรณ์​ใน​เวลา​สิบ​ปี​หรือไม่​

พวกเขา​อยู่​ที่วัด​กั่วเฉิง​มาเป็นเวลา​หลาย​ปี​ ทุกอย่าง​ก็​เพื่อ​เป้าหมาย​นี้​

สายตา​ของ​ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​มอง​ไป​ตรง​ด้านหน้า​ของ​อิน​ซาน​ บน​พื้น​ที่อยู่​ตรงหน้า​อาสนะ​มีกระดาษ​วาง​อยู่​แผ่น​หนึ่ง​ บน​กระดาษ​เขียน​ตัวหนังสือ​เอาไว้​สอง​สามแถว​

คำพูด​เหล่านั้น​จิ๋งจิ่ว​เป็น​คนเขียน​

ปรมาจารย์​สำนัก​เสวียน​อิน​ไม่เข้าใจ​ ใน​เมื่อ​นักพรต​ไม่กล้า​เชื่อ​คำพูด​ของ​เขา​ เหตุใด​ถึงยัง​เอา​กระดาษ​แผ่น​นี้​วาง​ไว้​ข้างหน้า​อีก​?

……

……

พริบตา​ก็​ผ่าน​ไป​อีก​หนึ่ง​ปี​ ใน​ช่วง​ที่​ปี​เก่า​และ​ปีใหม่​บรรจบ​กัน​ พลัง​ใน​ฟ้าดิน​เพิ่มพูน​ ภายใน​สวน​จิ้งหยวน​ตก​อยู่​ใน​ความมืด​ มองเห็น​เพียง​ดวงตา​ของ​เจ้าล่า​เยวี่ย​

นาง​มองดู​จิ๋งจิ่ว​อย่าง​ตั้งใจ​

จิ๋งจิ่ว​ลืมตา​ ปลดปล่อย​เจตน์​กระบี่​ ยื่นมือ​จุ่มลง​ไป​ใน​เจตน์​กระบี่​แทน​หมึก​ เขียน​คัมภีร์​บท​หนึ่ง​ขึ้น​มา

ครั้งนี้​เขา​ไม่ได้​เอา​มือซ้าย​จุ่มเข้าไป​ใน​คัมภีร์​ หาก​แต่​ครุ่นคิด​อยู่​ครู่​ จากนั้น​ยื่นมือ​ไป​ดึง​ตัวอักษร​จาก​ใน​คัมภีร์​มาหลาย​ตัว​

เสียง​ผัวะ​ดัง​ขึ้น​ ฝ่ามือ​และ​กำปั้น​ปะทะ​กัน​

มือซ้าย​สว่าง​วาบ​ขึ้น​มา จากนั้น​กลับเป็น​เหมือนปกติ​ ใน​ชั่วเวลา​เพียง​พริบตา​ได้​เกิด​การ​เกิด​ดับ​ขึ้น​รอบ​หนึ่ง​

จิ๋งจิ่ว​หลับตา​ลง​อีกครั้ง​ ผ่าน​ไป​ครู่ใหญ่​ถึงจะลืมตา​ขึ้น​มาใหม่​ ก่อน​จะกล่าว​กับ​เจ้าล่า​เยวี่ย​ที่​ไม่รู้​มาอยู่​ข้าง​กาย​ตั้งแต่​เมื่อไร​ว่า​ “ยัง​ได้​อยู่​”

เจ้าล่า​เยวี่ย​หมอบกราบ​เขา​ลง​ไป​

จิ๋งจิ่ว​กล่าวว่า​ “ยังคง​ไม่มีซอง​แดง​”

เจ้าล่า​เยวี่ย​ยิ้ม​เล็กน้อย​ จากนั้น​กล่าว​อย่าง​จริงจัง​ว่า​ “ข้า​สามารถ​บรรลุ​สภาวะ​ได้​แล้ว​”

จิ๋งจิ่ว​มองดู​นาง​อย่าง​เงียบๆ​ จากนั้น​กล่าวว่า​ “ข้า​คิด​ว่า​รอ​ไป​อีกหน่อย​ สัก​สอง​สามปี​”

เจ้าล่า​เยวี่ย​ไม่ค่อย​เข้าใจ​

สภาวะ​ขั้น​คเนจร​ระดับ​ต้น​ของ​นาง​อยู่ตัว​แล้ว​ ทั้ง​ใจแห่ง​เต๋า​และ​เจตน์​กระบี่​ก็​ล้วนแต่​ถึงจุด​ที่​สมบูรณ์​เต็มที่​ เหตุใด​ถึงต้อง​รอ​ต่อไป​?

จิ๋งจิ่ว​ไม่ได้​อธิบาย​ นาง​ไม่ค่อย​พอใจ​ ดังนั้น​ครั้งนี้​จึงไม่ได้​เข้าไป​นั่ง​ใกล้​เขา​

……

……

ใต้​ต้นไม้​บน​ลาน​เมฆยังคง​มีถาด​ผลไม้​ ถ้วย​ที่​เปื้อน​กลิ่นหอม​จางๆ ของ​สุรา​ กับข้าว​ยังคง​เหลืออยู่​เต็ม​จาน​ มิอาจ​เรียก​ว่า​ของเหลือ​ได้​ด้วยซ้ำ​

ไป๋​เจ่าเดิน​ไป​ยัง​ริม​ผา​ ทอดตา​มองดู​เมฆที่​ลอย​ไปมา​เหล่านั้น​ ใน​ใจครุ่นคิด​ว่า​ใน​เมื่อ​มีเพียง​ศิษย์​พี่​ที่​ชอบ​กิน​ปลา​ย่าง​ อย่างนั้น​ต่อไป​ข้า​ก็​จะไม่ทำให้​พวก​ท่าน​กิน​แล้ว​

ศิษย์​พี่​ถงเหยียน​เก็บตัว​มาสอง​ปี​แล้ว​ ไม่รู้​ว่า​กำลัง​ฝึก​วิชา​อะไร​อยู่​กัน​แน่​? จิ๋งจิ่ว​ท่าน​ไป​ทำ​อะไร​อยู่​ที่ไหน​?

ตอนที่​ฤดูใบไม้ผลิ​มาเยือน​ ในที่สุด​นาง​ก็​เขียนจดหมาย​ส่งไป​ชิงซาน​ จากนั้น​ก็​ได้รับ​จดหมาย​ตอบกลับ​จาก​กู้​ชิง กู้​ชิงมิได้​อธิบาย​อะไร​ใน​จดหมาย​นัก​ เห็นได้ชัด​ว่า​กำลัง​ปิดบัง​อะไร​อยู่​

นาง​หมุนตัว​มองดู​ถ้วย​สุรา​และ​จาน​ผลไม้​ที่อยู่​บน​โต๊ะ​เหล่านั้น​ คิดถึง​เรื่อง​เหล่านี้​ รู้สึก​ว่า​น่าเบื่อ​เป็นอย่างมาก​

……

……

ถงเหยียน​ยังคง​ขุด​โพรง​อยู่​ใต้ดิน​

มิได้​ทำ​เรื่อง​อะไร​อื่น​นอกจาก​เรื่อง​นี้​

……

……

เมฆหมอก​ลอย​วน​ ร่างกาย​ของ​กิเลน​ฉีหลิน​ปรากฏ​ขึ้น​ลาง​ๆ จิต​จำแนก​กระเพื่อม​ กลายเป็น​ตัวหนังสือ​ปรากฏ​ขึ้น​มา

“ข้า​รับรู้​ได้​ว่า​เขา​หลอม​ยันต์​เซียน​ไป​อีกหน่อย​แล้ว​ หาก​ไม่รีบ​หยุด​เขา​ แผนการ​ของ​เจ้าไม่เพียงแต่​จะไม่กลาย​เป็นจริง​ แต่​มัน​จะทำให้​เขา​ได้ประโยชน์​อย่าง​มาก​ด้วย​”

นักพรต​ไป๋​ยืน​อยู่​บน​เสาหิน​ท่ามกลาง​สายลม​ที่​พัด​มา มอง​ไป​ทาง​วัด​กั่วเฉิง​ นิ่งเงียบ​อยู่​ครู่หนึ่ง​ ก่อน​จะกล่าวว่า​ “ข้า​เคย​บอก​แล้ว​ ตาม​กฎ​สำนัก​ เจ้าไม่สามารถ​ออก​ไป​จาก​จงโจว​ได้​”

ฉีหลิน​แสดง​อักษร​ขึ้น​มาใน​เมฆ “ข้า​สามารถ​จำแลง​กาย​ได้​”

นักพรต​ไป๋​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​เรียบ​เฉย​ว่า​ “ตัว​เจ้าที่​สะกด​สภาวะ​เอาไว้​ พลัง​มีไม่ถึงหนึ่ง​ใน​ร้อย​ของ​ร่าง​เดิม​”

ภายใน​หมอก​มีตัวหนังสือ​ปรากฏ​ขึ้น​มาอีก​แถว​

“แต่​ก็​เพียง​พอที่จะ​ฆ่าเขา​ได้​! ยิ่งไปกว่านั้น​ถึงแม้พลัง​ของ​ข้า​จะถูก​สะกด​เอาไว้​ แต่​ร่าง​ศักดิ์สิทธิ์​มิอาจ​ถูก​ทำลาย​ ไม่มีใคร​สามารถ​ทำให้​ข้า​บาดเจ็บ​ได้​!”

นักพรต​ไป๋​ดึง​สายตา​กลับมา​ กล่าวว่า​ “ไม่ได้​”

“ชางหลง​ตาย​เพราะ​เขา​ ข้า​จะต้อง​ฆ่าเขา​ให้ได้​! ใน​เมื่อ​แผนการ​ของ​เจ้าไม่ได้ผล​ อย่างนั้น​ตอนนี้​ก็​ควรจะ​ทำตาม​วิธี​ของ​ข้า​! ข้า​ไม่อาจ​ปล่อย​ให้​เขา​มีโอกาส​ที่จะ​หลอม​ยันต์​เซียน​แม้เพียง​เล็กน้อย​ มิฉะนั้น​ถ้าให้​เขา​ได้​ยันต์​เซียน​ไป​ มัน​จะกลายเป็น​หายนะ​ครั้ง​ใหญ่​!”

ฉีหลิน​โมโห​เป็นอย่างมาก​

เมฆหมอก​ที่อยู่​ใน​ส่วนลึก​ของ​หุบเขา​ปั่นป่วน​

ตัวหนังสือ​แต่ละ​ตัว​ที่​ปรากฏ​ออกมา​เหล่านั้น​เป็น​เหมือน​ดั่ง​มีด​ ทั้ง​แหลมคม​ และ​เต็มไปด้วย​จิต​สังหาร​อัน​รุนแรง​

……

……

เวลา​หลั่งไหล​ไป​เร็ว​กว่า​พู่กัน​ของ​นักกวี​

แต่​กว่า​ที่จะ​รับรู้​ได้​ถึงเวลา​ที่​ไหล​ไป​เหมือน​สายน้ำ​เหล่านั้น​ สิ่งที่​ควรจะ​หาย​มัน​ก็ได้​หาย​ไป​แล้ว​

เพียง​พริบตา​ จิ๋งจิ่ว​และ​เจ้าล่า​เยวี่ย​ก็​มายัง​วัด​กั่วเฉิง​ได้​ห้า​ปี​แล้ว​

ใน​ช่วงนี้​จิ๋งจิ่ว​นับวัน​จะยิ่ง​เงียบ​ขึ้น​ สีหน้า​ก็​ยิ่ง​ขาวซีด​ แต่​สาย​ตากลับ​ยิ่ง​เปล่งประกาย​ ภายใต้​ดวงตา​มีแสงสีทอง​ปรากฏ​ขึ้น​มาลาง​ๆ ช่วย​แต่งเติม​ให้​ใบหน้า​นั้น​ยิ่ง​ดู​งดงาม​เย้ายวน​ขึ้น​กว่า​เดิม​

อีก​ไม่กี่​วัน​ก็​จะเป็น​วัน​ปีใหม่​

ใน​คืน​วันนั้น​จิ๋งจิ่วจะ​เขียน​ธรรมะ​บท​สุดท้าย​ พยายาม​หลอม​ยันต์​เซียน​ทั้งหมด​

หาก​เขา​ทำสำเร็จ​ พลัง​เซียน​อัน​ไร้ขีดจำกัด​ที่อยู่​ใน​ยันต์​เซียน​วัฒนะ​จะกลายเป็น​ของ​เขา​ทั้งหมด​

หาก​ล้มเหลว​ เขา​จะถูก​จิต​เซียน​กลืน​กิน​ และ​อาจจะ​กลายเป็น​หุ่นเชิด​ของ​สำนัก​จงโจว​ได้​ทุกเมื่อ​

เจ้าล่า​เยวี่ย​ไม่เข้าใจ​เลย​ว่า​เหตุใด​จิ๋งจิ่ว​ถึงไม่เห็นด้วย​ที่​นาง​จะบรรลุ​สภาวะ​ แต่​ตัวเอง​กลับ​เร่งความเร็ว​ที่จะ​หลอม​จิต​เซียน​ ถึงยอม​เสีย​ปราณ​กระบี่​และ​ดวงจิต​เป็น​จำนวนมาก​

เขา​กำลัง​ร้อนใจ​อะไร​อยู่​กัน​แน่​?

ปีใหม่​ปี​นี้​ถือว่า​ค่อนข้าง​พิเศษ​สำหรับ​วัด​กั่วเฉิง​

ลู่​กั๋วกง​จะเป็นตัวแทน​ฝ่าบาท​มาแก้บน​

นี่​เป็นเรื่อง​ที่​ต้อง​ทำ​ทุกปี​ แต่​ขนาด​ของ​งาน​ใน​ปี​นี้​กลับ​ใหญ่โต​เป็นอย่างมาก​

จิ๋งจิ่ว​ไม่เข้าใจ​ว่า​นี่​มัน​เกิด​อะไร​ขึ้น​ จนกระทั่ง​ได้ยิน​เสียง​ถอนใจ​ของ​สมณะต้า​ฉาง ถึงได้​นึก​ขึ้น​มาได้​ว่า​คน​ที่อยู่​ใน​เจดีย์​หิน​ผู้​นั้น​ได้​จาก​โลก​นี้​ไป​สามร้อย​ปี​แล้ว​

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด