มหากาพย์ดาบเทวะ! 121
ตอนที่ 121 ปัญหา
สุสานจักรพรรดิโจวนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในราชวัง แต่มันตั้งอยู่ที่ด้านล่างของราชวัง หลังจากพวกเขาเข้ามาข้างในเรียบร้อย ราชวังหาได้เป็นแบบที่พวกเขาคิดไม่ มันไม่ได้หรูหรายิ่งใหญ่ แต่กลับเป็นพื้นที่โล่งแทน บางคนดูเหมือนจะทราบดีตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาไม่รอช้ารีบพากันตรงไปยังทางเข้าสีดําที่อยู่บนพื้น
เมื่อสังเกตเห็นอาการประหลาดใจของหยางเย่ ฉินเยว่จึงเริ่มอธิบาย ” บรรพบุรุษจักรวรรดิต้าฉินของข้าได้ต่อสู้กับจักรพรรดิโจวที่นี่เมื่อหลายปีก่อน เจ้าสามารถจินตนาการได้หรือไม่ ระหว่างการต่อสู้ของยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิ? เมื่อเป็นเช่นนั้น ราชวังสิ่งปลูกสร้างต่างโดนทําลายระหว่างการสู้รบ”
หยางเย่รู้สึกตกตะตึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “นี่คือความแข็งแกร่งของขั้นปราณจักรพรรดิ์นั้นหรือ? หากเรามีความแข็งแกร่งถึงขั้นปราณจักรพรรดิ เช่นนั้นคงไม่ต้องกลัวราชวังบุปผาเลยสินะ?”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หยางเย่สูดหายใจลึกก่อนจะหยุดคิดนอกเรื่อง เขาจับดาบแน่นก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า
เขาต้องการเพียงแค่สองสิ่งตอนนี้ อย่างแรกคือก่อตั้งสมาคมเพื่อสนับสนุนเขา อย่างที่สองคือฝึกหนักเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่ง เข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์ และชิงตราครองสวรรค์!
สิ่งที่เขาต้องทําตอนนี้คือหาสิ่งที่มีประโยชน์ในสุสานจักรพรรดิโจว หรืออย่างดีที่สุดคือได้รับหินพลังปราณขั้นสูง
แน่นอนว่ามันจะดียิ่งขึ้นหากเขามีโอกาสสังหารซูเสียวเสี่ยวจากราชวังบุปผา
“สองคนนั้นใช่คนที่ดูหมิ่นราชวังบุปผาของเราก่อนหน้านี้หรือไม่?” ในพื้นที่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก สตรีสวมชุดคลุมราชวังบุปผามองมาที่หยางเย่และฉินเยว่ และด้านหลังนางคือซูเสียวเสี่ยว
“ศิษย์พี่ เป็นพวกมันนั้นแหละ!” ซูเสียวเสี่ยวกล่าวด้วยน้ําเสียงเคารพ
สตรีผู้นั้นมองไปที่ซูเสียวเสี่ยวพร้อมเอ่ย “เสียวเสี่ยว ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเจ้านั้นยอดเยี่ยม หากเจ้าตั้งใจจะบรรลุขั้นพลังปราณ เช่นนั้นในอนาคตจะต้องไปได้ไกลแน่นอน นอกจากนั้น ถึงแม้ราชวังบุปผาของเราจะไม่ได้ห้ามที่จะมีการบ่มเพาะพลังผสาน” เจ้าก็ต้องระวังเรื่องชื่อเสียงด้วย ยิ่งกว่านั้นอย่าคิดว่าตนเองฉลาดเกินไป เจ้าหลอกใช้กงหยวน แต่กลับไม่ทราบว่าตนเองก็ถูกหลอกใช้เช่นกัน!”
ซูเสียวเสี่ยวตัวสั่นเทาก่อนจะรีบตอบ ”เสียวเสี่ยวเข้าใจแล้ว!”
สตรีผู้นั้นพยักหน้าก่อนจะมองไปยังทางเข้าพร้อมกล่าวด้วยน้ําเสียงเย็นชา “ไม่ว่ายังไง เมื่อพวกเขากล้าดูหมิ่นราชวังบุปผาของเรา เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องได้รับบทเรียน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นองค์ชายหรือองค์หญิงของจักรวรรดิต้าฉันก็ตาม!”
ซูเสียวเสียวรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพราะดูเหมือนศิษย์พี่ของนางจะโกรธเกรี้ยวอย่างมาก เช่นนั้นหยางเย่และฉินเยว่จะต้องทุกข์ทรมานแน่นอน!
หลังจากสตรีชุดราชวังเดินไปยังทางเข้าซูเสียวเสี่ยว ซูหยานที่อยู่ข้างกงหยวนกล่าว “ในอนาคตอยู่ให้ห่างจากซูเสียวเสี่ยว เคล็ดบ่มเพาะพลังของนางคือวิชาบ่มเพาะพลังผสาน ถึงแม้ข้าจะทราบวิธีรับมือ มันก็ดีกว่าที่จะไม่ติดต่อกับนาง ราชวังบุปผาหาได้ธรรมดาไม่ นอกจากนั้นเจ้าควรจะถ่อมตนให้มากกว่านี้หากคิดจะทําการใหญ่ในอนาคต ถึงแม้โรงเรียนปราชญ์จะไม่เกรงกลัวผู้ใดหรือมหาอํานาจใด มันก็ไม่จําเป็นที่จะต้องสร้างศัตรูเพิ่ม!”
ใจของกงหยวนสั่นรัว เขาทราบดีว่าศิษย์พี่ค่อนข้างไม่พอใจ เพราะเขาทําให้ยอดฝีมือขั้นปราณราชันขุ่นเคืองเพียงเพราะสตรีคนเดียว เขารีบโค้งคํานับ ”กงหยวนจะจดจําคําสั่งสอนของศิษย์พี่!”
ซูหยานพยักหน้า ทันใดนั้นเขาหันไปมองทางเข้าราชวัง ”ตงอู่ฉาง ตั้งแต่มาถึงเหตุใดจึงไม่ยอมเผยตัว? หรือเจ้าต้องการจะลอบโจมตีข้างั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่า…” ชายหนุ่มร่างสูงเดินออกมาพร้อมเสียงหัวเราะตรงทางเข้า เขาอายุราวยี่สิบปี เขาสวมผ้าคลุมสีน้ําเงินขาว และมีดาบสีดําอยู่ด้านข้าง
ชายหนุ่มนามตงอู่ฉางเดินมาหาซูหยานก่อนจะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ” ข้าไม่คาดคิดว่าจะถูกจับได้โดยพี่ซู! ดูเหมือนหลังจากไม่พบกันมาหนึ่งปี ความแข็งแกร่งของพี่ซูก็ร้ายกาจขึ้นไปอีก แล้วแบบนี้ข้าจะสู้กับท่านได้อย่างไร?”
ซูหยานยิ้ม ” ข้าไม่คาดคิดว่าสํานักดาบจะส่งพี่ตงมา จริงสิ ตามที่ข้าทราบ “หัตถ์ภูตวิญญาณจากสํานักภูตผีได้เข้าไปยังสุสานจักรพรรดิโจวแล้ว ถ้าพี่ตงไม่ต้องการให้ศิษย์ทั้งสามของสํานักดาบราชันพบกับหายนะ เช่นนั้นก็ควรรีบเข้าไปจะดีกว่า มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะกลายเป็นแค่ศพ!”
ท่าที่ตงอู่ฉางเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินพร้อมกล่าวด้วยน้ําเสียงต่ํา “พี่ซู เวลานี้โรงเรียนปราชญ์คงไม่คิดจะเข้าไปร่วมความขัดแย้งระหว่างสํานักดาบราชัน และสํานักภูตผีหรอกใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดเห็นเช่นไรล่ะ?” ซูหยานยิ้มก่อนจะเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นเขาพาคนทั้งสี่เดินตรงไปยังทางเข้าสุสาน
ผ่านไปชั่วครู่ ตงอู่ฉางสูดหายใจลึกพร้อมเดินไปยังทางเข้าสุสาน
หลังจากเข้าไปถึง หยางเย่ชะงักกับสิ่งที่เห็นอยู่ชั่วครู่ ทางเดินนับไม่ถ้วนอยู่ตรงหน้าเขา ทางเดินทั้งหลายยังยาวไปจนไม่มีจุดสิ้นสุด และดูเหมือนมันจะนําพวกเขาไปยังจุดที่ไม่มีใครรู้จัก
“สุสานจักรพรรดิโจวมีห้องหลักหกห้องและห้องเล็กสิบสองห้อง มีเพียงอันเดียวที่เป็นห้องของสุสานจักรพรรดิโจว ส่วนห้องเล็กทั้งสิบสองห้องเป็นขององครักษ์ทองคําของจักรพรรดิโจวลืมเรื่องหกห้องหลักเสีย มันเพียงพอสําหรับเราที่จะหาสิบสองห้องเล็ก แค่นั้นมันก็ยากพอแล้ว!” ฉินเยว่ให้คําอธิบายหยางเย่ขณะเดิน ในฐานะองค์หญิงแห่งจักรวรรดิราชวงศ์จะมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับสุสาน ดังนั้นนางจึงดูคุ้นเคยกับมัน
” เหตุใดพวกเราต้องลืมทั้งหกห้องหลักนั้นด้วย?” หยางเย่สับสนเล็กน้อย “ห้องทั้งหกน่าจะเป็นที่สําหรับจักรพรรดิโจวและคนสําคัญของเขาอยู่ ดังนั้นพวกสมบัติของวิเศษจึงไม่น่าจะธรรมดา ที่ท่านบอกให้ข้าลืมห้องพวกนั้น เพราะมันถูกปล้นโดยหกมหาอํานาจไปแล้วงั้นหรือ?”
ฉินเยว่ส่ายหัว ” แม้กระทั่งหกมหาอํานาจและจักรวรรดิต้าฉินของข้ายังไม่สามารถหาห้องพวกนั้นเจอ เช่นนั้นแล้วจะปล้นไปได้อย่างไร?”
ขณะที่เห็นว่าหยางเย่จะถาม นางจึงกล่าวต่อ “เพราะสุสานถูกสร้างโดยเฉินกงเหมา เขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ในการปิดกั้นห้องเหล่านั้น เว้นแต่หมอผีที่มีพลังฌานล้ําลึกกว่าเฉินกงเหมาปรากฏตัวขึ้น มิเช่นนั้นแม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นจักรพรรดิก็ไม่อาจหาห้องพวกนั้นเจอได้ เว้นแต่จะทําลายสุสานนี้ทิ้งเสีย!”
หลังจากฉินเยว่กล่าวถึงตรงนี้ หยางเยู่ก็เข้าใจในทันที “เหตุผลที่หกมหาอํานาจและจักรวรรดิต้าฉันเปิดสุสานจักรพรรดิโจวสู่สาธารณะ ไม่ใช่แค่พวกเขาจะปล่อยให้คนเข้ามาฝึกฝนเท่านั้น มันยังต้องการให้ผู้ฝึกฝนไร้สังกัดหาห้องพวกนั้นให้ด้วย มีคนเก่งกาจมากมายในโลกนี้ ใครจะทราบว่าวันหนึ่งหมอผีอาจปรากฏตัวขึ้นมา? บางทีหกมหาอํานาจและจักรวรรดิต้าฉันอาจจะมีความคิดเช่นนั้นอยู่ และมันก็หาได้เสียหายไม่สําหรับพวกเขา”
” ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจแล้วสินะ!” ฉินเยว่ “ในตอนแรกหกมหาอํานาจคิดว่าผู้ฝึกฝนไร้สังกัดจะสามารถหาห้องเหล่านั้นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปี พวกเขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป และนํายอดฝีมือที่ปกป้องสถานนี้ออกไป ดังนั้นหากพวกเราสามารถหาห้องเล็กได้ เช่นนั้นไม่ต้องกังวลว่ามันจะเป็นเป้าหมาของหกมหาอํานาจหรือจักรวรรดิต้าฉัน!”
หยางเย่หัวเราะอย่างข่มขืนเมื่อได้ยิน “แม้กระทั่งหกมหาอํานาจและจักรวรรดิต้าฉันยังไม่สามารถหาพบ ท่านคิดว่าพวกเราจะทําได้งั้นหรือ?”
ทันใดนั้นมิงค์ม่วงตรงไหล่หยางเย่สะบัดหน้าไปมาพร้อมใช้กรงเล็บชี้ไปที่ตนเอง
“เจ้าสามารถบอกได้งั้นหรือ?” หยางเย่และฉินเยว่กล่าวด้วยความประหลาดใจ
มิงค์ม่วงส่ายหน้าก่อนจะขยับกรงเล็บไปมา
หลังจากนั้นหยางเย่มองไปที่มิงค์ม่วงอีกครั้ง “เจ้าบอกว่ามีบางอย่างเรียกเจ้าอยู่งั้นหรือ?”
มิงค์ม่วงพยักหน้าโดยเร็ว
หยางเย่ขมวดคิ้ว หากมันอยู่เหนือพื้นดินบางทีเขาคงพามิงค์ม่วงไปดูเอง แต่มันอยู่ในสุสาน ดังนั้นมันจะเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ที่อยู่ข้างในนั้น??
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย สิ่งที่กําลังเรียกเจ้าอยู่เป็นสิ่งดีหรือไม่?”
มิงค์ม่วงกะพริบตาดูเหมือนมันไม่ทราบว่าจะสายหัวหรือพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าคําถามนี้เป็นคําถามที่มันเองก็สงสัยเช่นกัน
ฉินเยว่กลอกตามองหยางเย่พร้อมกล่าว “น้องชาย มันเองก็ยังไม่เห็นเช่นกัน แล้วมันจะทราบได้ยังไงว่ามันชั่วร้ายหรือไม่? เจ้ากําลังทําให้มันคิดหนักอยู่ไม่ใช่หรือ?”
หยางเย่ยิ้มเขินอายก่อนจะเอ่ย” สหายตัวจ้อย เจ้าต้องการจะเข้าไปสินะ?”
มิงค์ม่วงคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
หยางเย่ยังคงลังเลเพราะเขายังกังวลอยู่
ทันใดนั้นฉินเยว่กล่าว ”เข้าไปดูกัน สัตว์อสูรโดยปกติจะเกลียดชังต่อสิ่งที่เป็นอันตราย เมื่อมันต้องการจะเข้าไปดู เช่นนั้นสิ่งที่เรียกต้องไม่ใช่สิ่งที่แย่แน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางเย่จึงไม่ลังเลอีก
แต่ทันใดนั้นเปลือกตาหยางเย่กระตุกก่อนจะหันไปมองด้านหลังอย่างรวดเร็ว สตรีสองคนกําลังมองมาทางเข้าอย่างเย็นเยือกห่างออกไปสามสิบเมตร และหนึ่งในสตรีคนนั้นคือซูเสียวเสี่ยว
Comments