มู่หนานจือ บทที่ 82 เปลี่ยนแปลง
คำพูดของซุนเต๋อกงเหมือนเมฆดำปกคลุมอยู่บนศีรษะของทุกคน ทำให้ทุกคนรู้สึกหนักอึ้ง จนพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ราวกับการหายใจในตำหนักไผอวิ๋นก็กลายเป็นหนักอึ้งขึ้นมา
คนที่มาร่วมงานล้วนเป็นสตรีจากตระกูลขุนนาง ทุกคนต่างมีประสบการณ์ของตนเอง ซุนเต๋อกงพูดจาให้ภายนอกดูสง่าผ่าเผย แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นได้แค่ไหน ทุกคนก็รู้ดีเช่นกัน เฉาไทเฮามอบอำนาจคืนให้ฮ่องเต้แล้ว!
เมื่อวานตอนที่เฉาไทเฮาให้พวกนางเข้าพบ ยังมุ่งมั่นที่จะทำให้เป็นจริงและพอใจมาก แถมคิดว่าไม่คุ้มที่จะคุยกับสตรีและเด็กจากตระกูลมั่งคั่งอย่างพวกนางอีกด้วยซ้ำ ท่าทางยังอยากกุมอำนาจต่อไปอีกสามสิบปี ทว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน!
ในนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น
ก็เหมือนกับเมื่อก่อนที่สถานการณ์ในราชสำนักไม่แน่นอน มีใครออกแรงหรือสร้างความดีความชอบในนี้บ้าง? แล้วมีใครยืนผิดฝ่าย และสุดท้ายอาจจะถูกเนรเทศไปพันลี้หรือริบทรัพย์และสังหารทั้งตระกูลบ้าง…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องที่ยังไม่รู้
ทว่าบังเอิญว่าความไม่รู้นี้ทำให้คนหวาดกลัวและกังวลที่สุด
เหล่าสตรีในตำหนักกังวลและไม่สบายใจ สีหน้าตื่นตระหนก
แต่เจียงเซี่ยนกลับโล่งอก
ไม่ว่าอย่างไร คนที่จัดการเฉาไทเฮาก็คิดเหมือนกับนาง ไม่ได้กังวลกับหน้าตาของราชสำนักและศักดิ์ศรีของฮ่องเต้มากเกินไป ทว่าบังคับให้เฉาไทเฮาประกาศมอบอำนาจคืนให้จ้าวอี้อย่างเด็ดขาด ตระกูลเจียงของพวกนางก็ถือว่าผ่านความลำบากในด่านแรกไปได้แล้วเช่นกัน!
นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีกระมัง?
ถึงอย่างไรท่านหญิงตงหยางกับท่านหญิงอู่หยางก็อายุมากกว่าเจียงเซี่ยน แล้วก็มีบิดาอย่างอ๋องเจี่ยน…สมัยก่อนอ๋องเจี่ยนผู้เป็นน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้เซี่ยวจง ก็เคยถูกฮ่องเต้เซี่ยวจงซึ่งเป็นองค์รัชทายาทหวาดกลัวเช่นกัน ยิ่งเรื่องที่อ๋องเจี่ยนสนับสนุนให้เฉาไทเฮาสำเร็จราชการแทนเป็นเรื่องที่รู้กันทั้งราชสำนัก พวกนางก็ยิ่งกลัวมากกว่าสตรีคนอื่นในตำหนัก
ทั้งสองคนอดที่จะมองไปทางเจียงเซี่ยนที่ว่ากันว่ากล้าสั่งแม้กระทั่งฮ่องเต้ไม่ได้
เจียงเซี่ยนสีหน้าผ่อนคลาย
ทั้งสองคนใจเต้นตึกตัก ต่างรู้ว่าแม้เจียงเซี่ยนจะไม่รู้สาเหตุของเรื่องนี้ ตระกูลเจียงก็ยืนถูกตำแหน่งแล้วเช่นกัน
หลังจากนี้ฮ่องเต้ว่าราชการด้วยตนเอง เจียงเจิ้นหยวนก็จะก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น กลายเป็นหนึ่งในคนที่มีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน ส่วนท่านหญิงที่เติบโตมาพร้อมกับฮ่องเต้ตั้งแต่เด็กอย่างเจียงเซี่ยน ก็จะกลายเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดและเป็นแก้วตาดวงใจที่เจิดจ้าที่สุดในราชวงศ์ปัจจุบัน
ท่านหญิงตงหยางกับท่านหญิงอู่หยางก็เหมือนกับพี่น้องที่สนิทรู้ใจกันทั่วๆ ไป ต่างใจตรงกัน และต่างก้าวเข้ามาหาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คนหนึ่งจับมือของเจียงเซี่ยน อีกคนก็ยืนเคียงข้างเจียงเซี่ยน และเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เป่าหนิง สายแล้ว ในเมื่อฝ่าบาทมีรับสั่งลงมา พวกเราก็รีบไปตำหนักอี๋อวิ๋นดีกว่ากระมัง? ช้ากว่านี้ เกรงว่าทุกคนจะหิวจนเป็นลมระหว่างทางแล้ว” แล้วก็ให้นางในกับขันทีที่รับใช้ข้างกายไปเอาของพวกเตาอุ่นมือของเจียงเซี่ยนมาจากนางในและขันทีที่ติดตามอยู่ข้างกายเจียงเซี่ยน ถึงแม้จะไม่ถึงกับเอาใจ ทว่าต่อหน้าเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ที่สายตาคมกริบและมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ท่าทางประจบประแจงนั้นก็ไม่มีอะไรจะชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้ว
หานถงซินกัดฟันกรอด นางดึงคุณหนูใหญ่ไช่ไว้และเดินอยู่หลังทุกคน พลางซุบซิบกับคุณหนูไช่เบาๆ “เจ้าเห็นหรือไม่ แม้แต่แม่ของข้ากับท่านน้าก็ต้องประจบเจียงเซี่ยน ทำไมนางถึงโชคดีขนาดนี้? เจ้าว่านางจะได้เป็นฮองเฮาหรือไม่?”
นางเกิดมาร่ำรวย บิดามารดารักใคร่กัน ในครอบครัวก็ไม่มีเรื่องกวนใจที่ยุ่งวุ่นวาย และนางก็เป็นลูกสาวคนเล็กที่ได้รับความรักมากที่สุด ถึงแม้จะรู้ว่าจ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเองไม่เป็นผลดีต่อตาของตนเอง แต่ยังไม่ได้คิดถึงผลกระทบต่อครอบครัวของตนเองหากอ๋องเจี่ยนไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว แถมยังมีกะจิตกะใจไปวิจารณ์คนอื่นอีก
ทว่าคุณหนูใหญ่ไช่กลับไม่เหมือนกัน ตระกูลไช่มีทายาทมากมาย สายตรงสายรอบข้างนอกเจ็ดครอบครัวข้างในเก้าครอบครัวเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง นางรู้ถึงความแตกต่างของตนเองกับเจียงเซี่ยนในวันข้างหน้าเป็นอย่างดี จึงเอ่ยอย่างกังวลว่า “ด้วยฐานะของตระกูลของเจียงเซี่ยน ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นฮองเฮาไม่ได้ แต่ต่อไปเฉาเซวียนจะทำอย่างไร? ข้าได้ยินคนบอกว่า ฝ่าบาทกับเฉาเซวียนติดต่อกันส่วนตัวน้อยมาก เฉาไทเฮาก็คิดแต่จะให้เจียงเซี่ยนแต่งงานกับเฉาเซวียน หากฝ่าบาทอยากแต่งงานกับเจียงเซี่ยนและให้นางเป็นฮองเฮา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภายภาคหน้าฝ่าบาทจะกลั่นแกล้งเฉาเซวียนหรือไม่?” นางถามหานถงซิน “เจ้าเข้าวังบ่อย ฝ่าบาทมีความบาดหมางกับเฉาเซวียนหรือไม่?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!” หานถงซินเอ่ยพลางทำแก้มป่อง “ทุกครั้งที่ฝ่าบาทปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราก็ตีหน้าขรึม และคุยแต่กับเจียงเซี่ยน…ข้าไม่เคยเห็นฝ่าบาทกับเฉาเซวียนอยู่ด้วยกันเลย”
คุณหนูใหญ่ไช่ถอนหายใจ
เจียงเซี่ยนก็ถอนหายใจในใจเช่นกัน
ข้างกายนางรายล้อมไปด้วยผู้คน
ทุกคนเป็นสตรีบรรดาศักดิ์ที่อายุมากกว่านาง
ตานางมองอะไรก็มีคนสามารถพูดต่อได้ตลอด
เป็นครั้งแรกที่เจียงเซี่ยนรู้ว่าที่แท้เหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ที่เมื่อก่อนรู้จักแต่ทำตัวเชื่อฟังต่อหน้านางยังช่างพูดแบบนี้ด้วย
เปลี่ยนฮ่องเต้ก็ต้องเปลี่ยนขุนนางที่อยู่เบื้องล่างตามไปด้วย จ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเองก็ต้องใช้คนของตนเองในตำแหน่งสำคัญอย่างแน่นอน สตรีบรรดาศักดิ์เหล่านี้ก็เพียงแค่อยากทุ่มเทสุดกำลังเพื่อสามีและลูกชายของตนเองเท่านั้น
ยามที่มีภัยเข้ามากล้ำกราย ทั้งครอบครัวสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เจียงเซี่ยนพลันนับถือพวกนางมากขึ้นมาในทันใด
รอยยิ้มที่นางมอบให้ฮูหยินเหล่านี้จึงจริงใจมากขึ้นเล็กน้อย
ทุกคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข ราวกับเมฆดำเมื่อครู่ไม่เคยปรากฏขึ้นมา
ตำหนักอี๋อวิ๋นเก็บกวาดเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ทว่าตำหนักอี๋อวิ๋นเล็กกว่าตำหนักไผอวิ๋นมาก บรรดาสตรีที่มาอวยพรวันเกิดเฉาไทเฮาต่างก็พาสาวใช้และแม่นมที่ติดตามรับใช้ข้างกายมาด้วยอีก เผื่อตอนที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยหรือเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาและจำเป็นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า กระเป๋าผ้าสักหลาดสักใบสองใบก็ยิ่งขาดไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้สถานที่จึงไม่ค่อยพอแล้ว
ตำหนักหลักต้องเก็บไว้ให้เฉาไทเฮา ถึงเฉาไทเฮาจะไม่สำเร็จราชการแทนแล้ว ขอเพียงนางยังมีชีวิตอยู่ ก็เป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในราชสำนัก
พวกเจียงเซี่ยนจึงจำเป็นต้องเบียดกันอยู่ที่ตำหนักข้างสองฝั่งตำหนักอี๋อวิ๋น
ทว่าเหล่าหญิงรับใช้ที่ติดตามมานั้นกลับถูกซุนเต๋อกงจัดให้อยู่ที่ตำหนักอี๋เล่อที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักอี๋อวิ๋น
ทางนั้นบรรดาคณะงิ้วยังคงรอให้เฉาไทเฮาเลือกงิ้วเรื่องที่จะแสดงอยู่ ส่วนทางนี้ตำหนักข้างตำหนักอี๋อวิ่นต่างเตาจุดไฟใต้ตำหนักคลายหนาวแล้ว ทุกคนเดินมาไกลขนาดนี้ บางคนเหงื่อออกแล้วก็ไม่กล้าถอดเสื้อผ้า กลิ่นเครื่องสำอางปะปนกับกลิ่นเหงื่อ ทำให้เจียงเซี่ยนรู้สึกอึดอัดมาก
นางจึงถือโอกาสหาข้ออ้างไปยืนสูดอากาศสดชื่นที่ระเบียงทางเดิน
อากาศหนาวเย็น ลมพัดต้นตงชิง[1]ข้างบันไดที่กิ่งและใบยังคงเขียวขจีส่งเสียงแซกแซก
ทำไมพวกจ้าวอี้ถึงตัดสินใจใช้ตำหนักอี๋อวิ๋นเป็นสถานที่อวยพรวันเกิด?
เป็นเพราะจ้าวอี้จำเป็นต้องต้อนรับและปลอบใจเหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักและทำให้สถานการณ์มั่นคงที่ตำหนักเหรินโซ่ว แต่ก็กลัวเฉาไทเฮาจะก่อความวุ่นวาย จึงจำเป็นต้องให้เฉาไทเฮาอยู่ข้างกายหรือ?
แล้วเฉาไทเฮาจะกลับวังเมื่อไร?
หากเฉาไทเฮาตัดสินใจไปอยู่ที่วังฉือหนิง จะจัดสรรวังนี้กันอย่างไรอีก?
วังของไทฮองไทเฮาคือวังโซ่วคังข้างวังฉือหนิง
ทว่าตามปกติไทฮองไทเฮาจะเป็นคนย้ายเข้าไปในวังฉือหนิงก่อน ส่วนฮองไทเฮาซึ่งเป็นลูกสะใภ้นั้นหากไม่อยู่ร่วมกับไทฮองไทเฮาก็จะย้ายไปที่วังโซ่วคังเอง ไม่มีทางให้แม่สามีเจียดสถานที่ให้ตนเอง
แต่เฉาไทเฮาไม่ใช่ลูกสะใภ้ธรรมดา
นางสามารถสำเร็จราชการแทนได้ ก็อาจจะให้ไทฮองไทเฮาย้ายวังตามกฎ เพื่อระบายความแค้นส่วนตัว
ทว่านางเพิ่งจะหลีกทางและมอบอำนาจคืนให้จ้าวอี้ ไม่ว่าจ้าวอี้จะทำไปเพื่อชดเชยหรือแสดงความกตัญญูของตนเอง อุดปากคนทั่วหล้า ก็เกรงว่าเขาจะยืนอยู่ฝ่ายเฉาไทเฮา
เวลานี้เจียงเซี่ยนคิดดูแล้ว เหมือนตนเองทำเรื่องโง่ลงไป
ไม่รู้ว่าจะโน้มน้าวจ้าวอี้ให้เฉาไทเฮาไปอยู่ที่วังฉางชุนหรือวังเสียนฝูได้หรือไม่
นางขบคิดอย่างหนักอยู่ตรงนั้น ทว่าเวลานี้เฉาไทเฮากลับพิงอยู่บนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างในตำหนักหลักของตำหนักอวี้หลานเหมือนร่างกายทรุดหนัก
ฮูหยินอันเฉิงยกชาร้อนเข้ามาอย่างแผ่วเบา
เฉาไทเฮาหยิบขึ้นมาและขว้างลงบนพื้น
นางในและขันทีทุกคนในตำหนักหลักของตำหนักอวี้หลานคุกเข่าลง แต่ละคนต่างตกใจจนหน้าถอดสี
———————————-
[1] ต้นตงชิง = ต้นฮอลลี่
Related
Comments