ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 823 การล่าเริ่มต้นขึ้น
ตอนที่ 823 การล่าเริ่มต้นขึ้น
“เถ้าแก่ เถ้าแก่ ไม่นะ อย่า อย่าบุ่มบ่าม อย่ามุทะลุ!”
“เถ้าแก่ ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ!”
“เถ้าแก่ เฮ้ย! โอ๊ย! ว้าก!”
ทนายอันรั้งแขนโจวเจ๋อไว้ แต่กลับถูกพลังอันแข็งแกร่งบนร่างของโจวเจ๋อลากขาทั้งสองข้างไปตามพื้น เขารั้งไม่อยู่จริงๆ นะ
“ปล่อย!” โจวเจ๋อคำรามต่ำ
“เถ้าแก่ อย่าบุ่มบ่ามสิ!” ทนายอันตะโกน
“ผมจะฆ่าเขา!”
เขาขโมยอาหารของผมไป!
เถ้าแก่โจวหลับตาอยู่ข้างๆ เขาตามหาสภาวะนี้อยู่นานพอสมควร กว่าจะหาสภาวะนี้เจอมันไม่ง่ายเลย แต่ของดันหายไปเสียแล้ว!
ฉะนั้นเรื่องราวต่างๆ ในโลกจึงแปลกประหลาดเอามากๆ การเปลี่ยนจุดยืนมักจะสลับซับซ้อนอยู่เสมอ
ก่อนหน้านี้ ทนายอันยืนอยู่ข้างๆ อดรนทนไม่ไหวจนอยากจะตะโกนบอกเถ้าแก่ให้ฆ่าศัตรูเก่าของตัวเองโดยด่วน แต่เถ้าแก่กลับลังเลอยากจะไว้ชีวิตเขา ทว่าตอนนี้ทนายอันดันโน้มน้าวให้เถ้าแก่ของตัวเองหายใจเข้าลึกๆ แต่เถ้าแก่กลับเกลียดชังเข้าไส้จนอยากจะฆ่าเจ้าหมอนี่ตรงหน้าให้ได้!
ทารกดูเหนื่อยล้ามาก เขามองโจวเจ๋อที่ใกล้เข้ามาทางด้านหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด พฤติกรรมของเขา การเลือกของเขา ท่าทีของเขา ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความขัดแย้งอยู่เสมอ เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตได้เหนื่อยมากๆ
เมื่อโจวเจ๋อเดินเข้าไปใกล้เขา เขาเพียงแค่ปรือเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่ายอมแพ้ล้มเลิกการต่อต้านไปหมดแล้วหรือไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้านอีกต่อไป
แต่เวลานี้ทนายอันกลับตะโกนขึ้น “เถ้าแก่ เขาปิดได้ก็ต้องเปิดได้อีกแน่ๆ ถ้าฆ่าเขาไปก็เปิดไม่ได้อีกแล้วนะ!”
โจวเจ๋อได้ยินดังนั้นจึงหยุดฝีเท้าลง มองทารกด้านหน้าด้วยสายตาขรึมลงเล็กน้อย
ทารกพยักหน้าและพูดว่า “เดิมทีข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว”
โจวเจ๋อเผยแววตาสับสน
ทนายอันเลียริมฝีปากอยู่ด้านโน้น เห็นได้ชัดว่าเขาเดาอะไรออกบ้างแล้ว มองเข้าไปในแววตาของทารก นอกจากจะเก็บความรู้สึกไม่พอใจไว้แล้ว ยังเห็นอกเห็นใจเป็นพิเศษด้วย
“เมื่อก่อนตาเฒ่าจางเคยบอกข้าว่า ให้ข้าตามหาร้านหนังสือแห่งหนึ่งในทงเฉิง บอกว่ามีหนทางแก้ไข ข้าก็คิดอยู่ว่า กะอีแค่ผู้จับกุมคนหนึ่ง ต่อให้วิเศษวิโสขนาดไหน ต่อให้น่าอัศจรรย์เพียงใด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตประเภทนี้จะมีหนทางไหนได้เล่า แต่ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว ดูเจ้าอดใจรอไม่ไหวขนาดนี้ ดูเจ้าโมโหขุ่นเคืองขนาดนี้ ข้าเชื่อแล้ว”
ตาเฒ่าจางเหรอ
ชายชราจมูกแดงหรือเปล่า
ปู่ทวดของเหล่าจางใช่ไหม
สีหมึกในดวงตาของโจวเจ๋อเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ สะบัดหัวเล็กน้อย แล้วมองทารกตรงหน้า “พูดให้มันชัดเจนหน่อย”
“ชัดเจนมากแล้ว ข้าไม่อยากรู้ว่าเจ้าคิดจะใช้วิธีอะไร แต่ตราบใดที่เจ้ามีหนทางกำจัดเจ้าสิ่งมีชีวิตนั่น ข้าก็ช่วยเจ้าได้ ช่วยเจ้าตามหาพวก ‘สหาย’ เหล่านั้นของข้า ช่วยเจ้ากำจัดพวกมันทีละคนๆ”
“เฮอะ การเปลี่ยนจุดยืนของแกแปลกจริงๆ”
ทารกชี้ทนายอันที่อยู่ข้างๆ และถามว่า “อันปู้ฉี่ เจ้าเชื่อไหม”
ทนายอันเดาะปาก อยากจะส่ายหน้าอยู่หรอก แต่พอมาคิดๆ ดูก็ยังพยักหน้าอยู่ดี และกระซิบอธิบายให้โจวเจ๋อฟัง “เถ้าแก่ น่าจะจริงนะ เจ้าหมอนี่น่ะ ให้คุณเข้าใจเสียว่าเขาเป็นคนมีความทุกข์ประเภทที่ถูกหักหลัง ถูกวางแผนปองร้าย ถูกถ่วงความเจริญ แต่กลับยังคงเสียสละและกล้าหาญอย่างในละครทีวีพวกนั้นก็พอแล้ว”
โจวเจ๋อเม้มปาก ก่อนจะอมยิ้มมุมปากพูดว่า “บทบาทที่แกกำลังเล่นก็คือ ตัวอยู่ที่ค่ายโจโฉ ใจภักดีราชวงค์ฮั่นงั้นเหรอ ”
“รับผิดชอบต่อหน้าที่เท่านั้น ในเมื่อหยุดยั้งไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีกำจัดมัน” ขณะที่พูด ทารกก็อ้าปาก มีม้วนกระดาษสีทองคายออกมาจากปากเขา ร่วงกลิ้งลงบนพื้นเสียงดัง ‘ตุ้บ’
ทนายอันก้าวไปข้างหน้า หยิบม้วนกระดาษขึ้นมา และใช้นิ้วลูบเบาๆ พลางเอ่ยว่า “นี่เป็นกระดาษจดหมายที่มีแต่ผู้พิพากษาของยมโลกใช้ได้ มีเจ้านี่อยู่ แม้จะอยู่ในโลกมนุษย์ก็สามารถส่งข้อมูลไปยังยมโลกได้อย่างรวดเร็ว”
โจวเจ๋อเหลือบตามองม้วนกระดาษแล้วจ้องทารกต่อ
‘คุณ…’
‘เชื่อ…เขา…’
‘คุณหุบปากซะ!’
‘เชื่อ…เขา…’
ตามคำพูดของทารก มันไม่ใช่อาหารเพียงชุดเดียว แต่จะมีอาหารอีกหลายๆ ชุดเลย!!!
“ในเมื่อเจ้าถูกจับมาเป็นตัวประกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือเจ้าเป็นสายลับ แต่ทำไมถึงไม่ส่งข่าวรายงานยมโลกไปตรงๆ แล้วปล่อยยมโลกส่งคนมาจัดการ”
“คนที่ยมโลกส่งมาเพื่อติดต่อกับข้า ถูกคนของพวกเจ้าฆ่าตายหมดแล้ว”
ทนายอันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ทารกเงยหน้าขึ้นและพูดต่อ “ฝั่งนรกยังเกิดเรื่องขึ้นเรื่อยๆ ยมโลกอาจจะมีพลังงานไม่เพียงพอให้ลงมือจัดการเรื่องราวที่นี่ อย่างน้อยๆ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการเรื่องนี้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อคนบริสุทธิ์ในโลกมนุษย์ ยมโลกไม่ใช่ยมโลกในอดีตอีกต่อไปแล้ว”
ทนายอันได้ยินดังนั้นก็พูดยิ้มๆ “เจ้าเพิ่งรู้หรือไง เรือลำนี้ได้อับปางไปนานแล้ว”
ทารกจ้องทนายอันด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยาม และพูดอย่างไร้ความยำเกรงใดๆ “ก็ไม่ใช่เพราะคนประเภทเดียวกับเจ้านับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หรืออย่างไร”
“…” ทนายอัน
“ยืนตะโกนว่าพายุมาแล้วเรือกำลังจะล่มอยู่ด้านข้าง แต่กลับไม่สังเกตเห็นว่าตัวเจ้าเองจริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในผู้ที่ช่วยเจาะเรือ”
ทนายอันหรี่ตาลง
“ข้าได้รับคำสั่งให้เฝ้าสถานที่ที่ถูกผนึกที่สุดแดนตะวันตก พวกเขาต้องการก่อกบฏ ข้าไม่มีอำนาจไปยับยั้งได้ ทำได้เพียงเลือกเข้าร่วมกับพวกเขาชั่วคราว และคอยหาวิธีจัดการเรื่องนี้ ตอนนี้ข้ายืนอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ถามว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ และไม่อยากซักถามความลับของเจ้าให้มากความ ในเมื่อเจ้ามีความสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ข้าช่วยเจ้าได้ ขอแค่สรรพชีวิตในโลกมนุษย์ไม่ต้องรับความทุกข์ทรมานจากเหตุนี้ ข้าจะช่วยเจ้า! ส่วนเจ้าจะเชื่อหรือไม่นั้น สิทธิ์ในการเลือกอยู่ในมือของเจ้า”
“อะแฮ่มๆ…” โจวเจ๋อกระแอม แล้วเอ่ยถามพลางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา “จะเคลื่อนไหวเมื่อไร”
ทารกตอบกลับทันที “ยิ่งเร็วยิ่งดี พวกมันเสื่อมลงเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้นัก”
“แกให้ฉันจัดการส่วนที่แกครอบครองอยู่ไปก่อนแล้วกัน”
“หากสูญเสียส่วนนั้นไป ข้าก็หมดหนทางที่จะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของส่วนอื่นๆ ข้าต้องอาศัยมันตามหาคนอื่นๆ นี่เป็นวิธีเดียวที่เราใช้ติดต่อกัน”
‘เจ้า…ยัง…ลัง…เล…สิ่ง…ใด…อยู่…’
‘คุณหุบปากไปเลย ผมว่าสมัยโบราณของพวกคุณคงเป็นเพราะผลผลิตตกต่ำใช่ไหม ถึงได้หาข้าวกินอิ่มยากมาก’
โจวเจ๋อด่าไปฉาดหนึ่ง จากนั้นก็กินปูนร้อนท้องรออยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้าโง่ไม่โมโห โจวเจ๋อก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วโยนโทรศัพท์มือถือไปทางทนายอัน พร้อมกับเอ่ยว่า “เรียกคนมาให้หมดเลย ให้เขานำทาง พวกเราจะไปรับอาหาร”
พูดจบ โจวเจ๋อก็หมุนตัวเดินไปนั่งยองๆ ที่ขอบถนนด้านหน้า แล้วล้วงบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน
ทารกยังลอยอยู่เหนือสวนดอกไม้เช่นเดิม
ขณะที่ทนายอันใช้โทรศัพท์ก็เหลือบมองทารกด้วยหางตา พลางถามว่า “เจ้าไม่ได้คิดจะฆ่าข้าตั้งแต่แรกใช่ไหม เจ้าหมายความว่ายังไง แค่อยากทำให้ข้าตกใจกลัวหรือ”
“ข้าอยากฆ่าเจ้า เพราะเดิมทีข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะมีความสามารถจัดการเรื่องนี้ได้”
“จิ๊ เอาเหอะ เจ้ายิ่งใหญ่ เจ้าแข็งแกร่ง” ทนายอันส่ายหัว แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรออกจึงถามขึ้น “แล้วตาเฒ่าจางไปไหนล่ะ สรุปว่าเขาไปแล้วหรือโดนพวกเจ้าฆ่าตาย”
“ไปแล้ว ไม่ได้ฆ่า”
“ก่อนหน้านี้เขาเคยส่งข่าวคราวให้ข้า แต่พอข้าตอบไป เขาก็ดันไม่ตอบกลับ เดาว่าตอนนั้นเขาคงอยากจะบอกข้าเรื่องเจ้าละมั้ง แต่ตัวเขาเองไปไหนเสียแล้วละ”
“เขาไปทางตะวันตก”
“เหอะๆ ข้าว่าหากในพญายมสิบตำหนักมีคนอย่างพวกเจ้าสักสองคน สถานการณ์ของยมโลกในตอนนี้ก็คงมาไม่ถึงจุดนี้หรอกใช่ไหม”
ทารกเอ่ยพลางส่ายหน้า “อันปู้ฉี่”
“พูดก็พูดไปสิ จะเรียกชื่อข้าอีกรอบทำไมอีก”
“มีข่าวลือว่า สิ่งที่พระกษิตครรภ์โพธิสัตว์แสวงหามาโดยตลอดคือ อยากจะวางพระพุทธเจ้าที่สามารถทำให้พระองค์คุกเข่ากราบไหว้ได้ไว้บนแท่นบูชาที่ว่างเปล่าของพระองค์”
“เหอะๆ ใช่น่ะสิ ทำไม ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เมื่อก่อนข้าก็ยังรู้สึกว่าเป็นข่าวลือที่ตลกมาก แต่ใครจะไปรู้ว่าข่าวลือนี้ดันเป็นเรื่องจริง”
เรื่องนี้ทนายอันได้รับการยืนยันจากเถ้าแก่แล้ว และก็เป็นสิ่งที่พระกษิตครรภ์โพธิสัตว์ได้พูดกับอิ๋งโกวเมื่อตอนที่ยมโลกโกลาหลเองเสียด้วยซ้ำ
ทารกมองทนายอันด้วยความหมายลึกซึ้ง พลางกล่าวว่า “นี่ไม่ตลก และไม่น่าขัน เพราะคนแบบเดียวกับเขามันมีเยอะมากจริงๆ รวมถึงเจ้าที่เพิ่งพูดคำพูดประเภทนี้ด้วย”
ทนายอันอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแค่นหัวเราะพูดว่า “น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งห้ามเถ้าแก่ไม่ให้ฆ่าเจ้า ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจขึ้นมานิดนึงแล้ว”
…
“พวกเถ้าแก่ทำไมยังไม่กลับมาอีก”
เหล่าจางที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ในร้านหนังสือรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เขามีความรีบร้อนอยากจะรู้ข่าวคราวของปู่ทวดของตัวเอง
เยวี่ยหยา เจิ้งเฉียง และหลิวฉู่อวี่ ยมทูตทั้งสามนั่งดื่มชาไปพลางรอไปพลางอยู่ตรงโซฟาไกลๆ
สาวน้อยโลลินั่งริมโต๊ะรับแขกช่วยลอกการบ้านให้เด็กชายที่ไม่อยู่บ้านต่อไป
ยมทูตทั้งห้าที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเถ้าแก่โจวกลับเข้าร้านหนังสือกันหมดแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อให้พวกเขามีสถานที่ปลอดภัย อย่างน้อยๆ ก็หลบเลี่ยงการถูกตามล่าหนังสือรับรองยมทูตในครั้งนี้
นักพรตเฒ่าเอาเตาเล็กๆ มา และวางหม้อน้อยๆ ที่ต้มโอเด้งไว้ข้างบน กินไปด้วยจิบเหล้าไปด้วย ส่วนเจ้าลิงน้อยนั่งข้างๆ ช่วยเขาแกะถั่วลิสงอย่างขะมักเขม้น ช่างสมัครสมานสามัคคีมีความสุข
“นี่มันตั้งกี่โมงกี่ยามแล้ว”
เหล่าจางเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ เดินวนไปเวียนมา
นักพรตเฒ่าดื่มเหล้าขาวแก้วเล็กจนเรอเอิ๊ก แล้วพูดขึ้น “เหล่าจางข้าว่านะ เจ้าเลิกเดินไปเดินมาได้แล้ว ข้าเวียนหัวไปหมด ไม่ได้ดื่มจนเมาแต่ถูกเจ้าเดินวนจนเวียนหัวนี่แหละ”
เหล่าจางมองนักพรตเฒ่า และเอ่ยพูด “พวกเราออกไปตามหาดีไหม”
นักพรตเฒ่ารีบยกมือขึ้น “อย่า อย่าเพิ่มความวุ่นวาย พวกเจ้าล้วนเป็นทรัพย์สินในบ้านที่เถ้าแก่เสาะหาและรวบรวมมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้อย่าเที่ยวเพ่นพ่านไปไหนโดยเด็ดขาด ถ้าหากถูกฆ่าขึ้นมาจะทำยังไง วางใจเถอะ นี่เพิ่งจะกี่โมงเอง เดาว่าพวกเถ้าแก่ก็คงใกล้จะกลับมาแล้ว หรือไม่ก็รอให้ทารกคลอดออกมาให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยกลับมาละมั้ง”
นักพรตเฒ่าพูดจนตัวเองหลุดขำ จากนั้นสายตาก็สอดส่องไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้นก็เห็นรถของทนายอันขับเข้ามาจอดหน้าประตูร้านหนังสือ
“เจ้าดูสิ กลับมาแล้วนี่ไง” นักพรตเฒ่าผุดลุกขึ้นยืน เตรียมจะออกไปต้อนรับ
จากนั้นนักพรตเฒ่าก็เห็นพวกเถ้าแก่ลงจากรถตามลำดับ มองเห็นอิงอิงเดินอยู่ตรงกลาง และดันอุ้มเด็กทารกไว้ในอ้อมแขนจริงๆ
“เอิ๊ก…”
นักพรตเฒ่าที่เมากรึ่มๆ อยู่เล็กน้อย สติยังกู่ไม่กลับจึงพูดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “แม่เจ้า คลอดเด็กกลับมาจริงด้วย!”
……………………………………………………………
Comments