ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 230 ไม่เสียเปรียบ!
ตอนที่ 230 ไม่เสียเปรียบ!
วันนี้เถ้าแก่โจวเก็บเกี่ยวได้เยอะมากจริงๆ กระทั่งสามารถบอกได้ว่าไม่ได้เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่แบบนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคะแนนผลงานหรือเงินกระดาษ ครั้งนี้ได้รับเต็มเหนี่ยวไปเลย
ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะทำงานเมื่อไร และไม่ว่าจะทำงานแขนงไหน เงินจากนักเรียนมักจะเป็นเงินที่หาได้ง่ายที่สุด
หลังจากส่งดวงวิญญาณของนักเรียนออกเดินทางแล้ว โจวเจ๋อก็ไปอาบน้ำ จากนั้นขึ้นไปชั้นบนเพื่อเตรียมพักผ่อน ไป๋อิงอิงจัดเตียงเรียบร้อย
โจวเจ๋อเดินไปที่เตียง ไม่รีบร้อนที่จะเข้านอน แต่กลับยืนจุดบุหรี่หนึ่งมวนอยู่ริมหน้าต่างแทน
สวี่ชิงหล่างรู้ว่าโจวเจ๋อติดนิสัยแบบนี้
แต่วันนี้เถ้าแก่โจวสูบ ‘บุหรี่’ หลายมวนติดต่อกันแล้ว ไป๋อิงอิงรู้สึกแปลกๆ จนเกือบจะตะโกนขึ้น
“เถ้าแก่…”
โจวเจ๋อหันกลับมาเห็นอิงอิง จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “โทษที เดิมทีง่วงมาก แต่ตอนนี้ไม่ง่วงแล้ว”
ขณะพูดก็จุดบุหรี่อีกมวน
ไป๋อิงอิงลุกจากเตียง แล้วนำเก้าอี้มาให้โจวเจ๋อนั่ง ส่วนนางก็ยืนอยู่ข้างหลังทุบไหล่ให้โจวเจ๋อ พลางพูดเบาๆ “เถ้าแก่ คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
โจวเจ๋อไม่ตอบ แต่กางมือทั้งสองข้างออกอย่างเงียบๆ เล็บสีดำทั้งสิบนิ้วยาวออกมาอย่างช้าๆ มวลหมอกสีดำก่อตัวขึ้นระหว่างเล็บอย่างต่อเนื่อง
ตัวของไป๋อิงอิงสั่นสะท้านอยู่หลายครั้ง นางมีความกลัวเล็บของโจวเจ๋อตามสัญชาตญาณ
“บอกหน่อยสิ ว่านอกจากเล็บสีดำสองข้างนี้แล้ว ยังเหลืออะไรอีก”
โจวเจ๋อดูเหมือนจะถามไป๋อิงอิง แต่ก็ดูเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง
สาวน้อยโลลิแนะนำให้โจวเจ๋อ ‘ขโมยมาเป็นของตน’ ดังนั้นตอนนี้โจวเจ๋อจึงเริ่มคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ
จะขโมยได้อย่างไร ขโมยอย่างไรดี ขโมยโดยที่ไม่ทำให้รัฐระแคะระคายเลยสักนิด ไม่ก่อให้เกิดผลสะท้อนกลับและไม่ถูกย้อนหาความรับผิดชอบ กระทั่งยังต้องขอบคุณด้วยซ้ำ
นี่เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมากวิชาหนึ่ง
ไป๋อิงอิงไม่เข้าใจว่าเถ้าแก่หมายถึงอะไร ในเมื่อไม่เข้าใจ นางจึงหยุดถาม และตั้งอกตั้งใจนวดให้เถ้าแก่
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือของโจวเจ๋อดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าของสาวน้อยโลลิ
“ฮัลโหล มีอะไร”
เพิ่งจะเจอและคุยกันเมื่อคืนก่อน การที่โทรมาหาอีกครั้งในเวลานี้ ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
“เรื่องเล็กน้อย ยมทูตจากฉางโจวมีเรื่องต้องผ่านทงเฉิงเลยมาทักทายข้า ข้าเลยมาแจ้งให้เจ้าทราบสักหน่อย”
“อ้อ”
สายตัดไปแล้ว โจวเจ๋อนวดขมับของตัวเอง และตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง
มนุษย์มีความสามารถในการเลียนแบบมาแต่กำเนิด ความสามารถแบบนี้ยังสามารถพัฒนาเพิ่มเติมไปจากเดิมได้อีกขั้นหนึ่ง นั่นก็คือ ‘การเรียนรู้’
หลังจากวางโทรศัพท์ลง โจวเจ๋อก็หลับตาลงอย่างช้าๆ ในหัวก็เริ่มนึกถึงความรู้สึกตอนที่จิตสำนึกในร่างของเขาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ
การโจรกรรมที่ดีที่สุด แท้ที่จริงแล้วคือการเลียนแบบ
เรื่องของคนใฝ่รู้ เรียกว่าขโมยได้ไหม
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะพูดมากมายแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นของตัวเองอยู่ดี
ไป๋อิงอิงสังเกตเห็นว่าลมหายใจของเถ้าแก่ยาวขึ้นเรื่อยๆ นางนึกว่าเถ้าแก่หลับไปแล้ว จึงเริ่มลดแรงนวดลงอย่างช้าๆ
อันที่จริงโจวเจ๋อไม่ได้หลับ ความคิดของเขายังคงชัดเจนมาก เขาเพียงแค่ขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปชั่วคราว และเริ่มนำเข้าสู่สภาวะนั้น
ครั้งแรกที่เข้าสู่สภาวะตัวเองแบบนั้น เป็นตอนที่เผชิญหน้ากับเจ้าแม่ชิงอีบนชั้นดาดฟ้า เขายืนอยู่บนขอบดาดฟ้าและโอนเอนไปมา คาบเกี่ยวอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย
ต่อมาก็ที่บ้านตระกูลหลิน ฉากปะทะกับดวงวิญญาณยมทูตของน้องภรรยา จากนั้นก็อยู่ในสถานที่เหล่านี้ เช่น เมืองเหยียนเฉิง เขาเจียงจวิน
ทุกครั้งที่จิตสำนึกนั้นตื่นขึ้นมา ท่าทางที่เหยียดหยามทุกสิ่งทุกอย่างแบบนั้น ความเชื่อมั่นที่แน่นอนแบบนั้น ความรู้สึกราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมแบบนั้น โจวเจ๋อกำลังรวบรวมอารมณ์ในตอนนั้นอย่างช้าๆ
จากนั้น ไป๋อิงอิงที่ยังนวดให้โจวเจ๋ออยู่อีกด้านอย่างช้าๆ จู่ๆ ก็ตัวแข็งทื่อ เพราะนางเห็นว่าผิวของโจวเจ๋อกำลังแห้งซูบไปอย่างช้าๆ ลมหายใจบนร่างเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ แผ่วจนเหมือนว่าไม่รู้สึกถึงลมหายใจในการมีชีวิตอยู่ของเขาเลยด้วยซ้ำ
ในขณะเดียวกัน เล็บของโจวเจ๋อก็เริ่มยาวมากขึ้น เปล่งประกายแสงจางๆ อากาศรอบตัวก็ลดลงอย่างช้าๆ ราวกับว่าทุกอย่างกำลังตกอยู่ในความสงบนิ่ง
หัวใจดวงน้อยๆ ของไป๋อิงอิงเต้น ‘ตึกตักๆ’ ความกดดันที่มาจากสายเลือดแบบนั้นทำให้ไป๋อิงอิงรับไม่ไหว กระทั่งเกิดแรงกระตุ้นให้ต้องคุกเข่าลง
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋อิงอิงเข้าใกล้โจวเจ๋อที่อยู่ในสภาวะแบบนี้อย่างใกล้ชิด ทุกครั้งก่อนหน้านี้คือหลังจากที่โจวเจ๋อเป็นอัมพาตไปแล้วนางถึงค่อยมาดูแล
“เถ้าแก่…เถ้าแก่…”
โจวเจ๋อยังคงหลับตา ยังคงเสาะหาความรู้สึกนั้นอย่างระแวดระวัง ถึงขนาดหมกมุ่นอยู่กับมันมากเกินไป โจวเจ๋อเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเลย
เล็บเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ ตัวของโจวเจ๋อเริ่มงองุ้มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เดิมทีเขาพิงบนเก้าอี้อย่างอ่อนปวกเปียกในท่าขี้เกียจตัวเป็นขน ถึงอย่างไรแบบนี้มันก็ทำให้การนวดของอิงอิงสะดวกสบายขึ้นอีกหน่อย
ตอนนี้ตัวของโจวเจ๋อเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออก เริ่มหดตัวเข้ามา คล้ายกับคนที่เข้าสู่วัยชรา ร่างกายเริ่มสูญเสียน้ำ
แต่เล็บพวกนั้นกลับยาวจนทำให้คนตะลึงจนอ้าปากค้าง มือทั้งสองข้างของโจวเจ๋อวางอยู่บนเข่าของเขา แต่ในเวลานี้เล็บของเขากลับยาวไปถึงจุดที่สามารถแตะพื้นได้แล้ว มันยาวหลายเดซิเมตรเห็นจะได้ แทบจะใช้เป็นเคียวได้อยู่แล้ว
อีกทั้งแต่เดิมเล็บที่เป็นสีดำ ในเวลานี้กลับมีประกายสีแดงเข้มไหลเวียนอยู่
‘แซดๆ แซดๆ…’
ปลายเล็บทั้งสิบนิ้วแตะสัมผัสพื้นกระเบื้อง และขีดข่วนบนพื้นจนเกิดประกายไฟเป็นระลอกๆ กระเบื้องดูเหมือนถูกเผาละลาย ทิ้งรอยลึกเอาไว้
ไป๋อิงอิงตะลึงจนตัวแข็งทื่อไปแล้ว
สาวใช้ข้างตัวมีปฏิกิริยาอย่างไร โจวเจ๋อไม่รู้เลยสักนิด
ดูเหมือนว่ามันง่ายมากทีเดียว แต่ในความเป็นจริง หากไม่มีคำพูดของสาวน้อยโลลิในวันนั้นละก็ โจวเจ๋อก็คงไม่คิดว่าจะสามารถทำอย่างนี้ได้ด้วย นี่อาจจะเป็นดังคำที่ว่าคนในมองไม่ทะลุละมั้ง
แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
‘วืด…’
แต่ทว่า
ในตอนที่โจวเจ๋อยังคงจมอยู่ในความรู้สึกของ ‘การระลึกความทรงจำ’ แบบนี้อยู่นั้น
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อย
ดวงตาของไป๋อิงอิงแข็งค้างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง นางสัมผัสได้ว่าลมหายใจของเถ้าแก่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
ท่ามกลางความมืดมิด โจวเจ๋อรู้สึกว่าจิตสำนึกของเขาจมลงไปในแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยของเหลวหนืด เมื่อตอนที่เขาไหวตัวทัน อยากลืมตาตื่นจากสมาธิกลับพบว่าไม่สามารถทำได้
‘แกรก แกรก แกรก…’
ตัวของโจวเจ๋อเริ่มสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง
เก้าอี้เริ่มปรากฏรอยร้าว จากนั้นมันก็แตกออกทันที กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อน
แม้ว่าด้านล่างจะไม่มีเก้าอี้แล้วก็ตาม แต่โจวเจ๋อยังคงรักษาท่านั่งเอาไว้ ไม่ล้มลงไปเลยสักนิด เพราะน้ำหนักตัวและความสมดุลของเขาถูกเล็บทั้งสิบนิ้วยึดเอาไว้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
ท่าทางประหลาดมาก เป็นภาพที่ไม่สอดคล้องกันเลย
เปลือกตาของโจวเจ๋อเริ่มสั่นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ากำลังดิ้นรนอย่างรุนแรง
จิตสำนึกนั้น
ตอนที่เขากำลังนึกถึง ‘ความทรงจำ’ จิตสำนึกนั้นถูกเขากระตุ้นออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือ
นี่ดูเหมือนจะเป็นแนวทางอย่างหนึ่ง โจวเจ๋อยังไม่เคยลองพยายามหยุดตอนที่มันกำลังตื่นขึ้นเลย เพราะทุกครั้งที่มันตื่นขึ้นล้วนเป็นเจตนาเดิมของโจวเจ๋อเองทั้งสิ้น
เมื่อพบกับสถานการณ์คับขัน ต้องการพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โจวเจ๋อจะเป็นฝ่ายเรียกให้มันตื่นขึ้นมาเอง และหยิบยืมพลังของมันมาใช้
แต่ทว่าในครั้งนี้ โจวเจ๋อไม่ได้เริ่มก่อน
โจวเจ๋อรู้ดีว่า ถ้าเรียกมันออกมาเพราะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ ก็แล้วไปเถอะ เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่าเปรียบเทียบสิ่งเลวร้ายสองสิ่งนี้แล้วเลือกอันที่เบาที่สุด แต่ตอนนี้เขาใกล้จะหลับแล้ว ในร้านหนังสือไม่มีอะไรทำแล้ว แล้วจะเรียกมันให้ตื่นขึ้นมาทำไม
เช่นเดียวกับการทำธุรกิจ มีทั้งได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่มีราคาตายตัวสำหรับความทุ่มเทและการเก็บเกี่ยวผล
ข่มไว้
ข่มไว้
ข่มเอาไว้!
โจวเจ๋อค่อยๆเงยหน้าขึ้น เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะข่มการตื่นขึ้นมาของจิตสำนึกนั้น และกำลังพยายามอย่างหนักที่จะรักษาสิทธิ์ในการควบคุมร่างกายของตัวเองไว้
แกกลับไปเดี๋ยวนี้!
‘พึ่บพั่บๆๆ…’
ในห้องข้างๆ สวี่ชิงหล่างที่กำลังนอนอ่านหนังสือก่อนนอนอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็พบว่าแสงไฟในห้องมีความผิดปกติ เริ่มดับๆ ติดๆ
ในห้องของนักพรตเฒ่า เจ้าลิงรีบกระโดดลงจากเตียงทันทีและส่งเสียงร้อง ‘เจี๊ยกๆๆ’
นักพรตเฒ่าหลับเป็นตาย ใช้แรงขาทั้งสองข้างหนีบผ้าห่มเอาไว้และพลิกตัวนอนต่อ
ส่วนเดดพูลที่นั่งอยู่บนเตียงทั้งคืนในห้องเดียวกันกับนักพรตเฒ่าตรงไปคุกเข่าลงบนพื้นทันที
มีคำโบราณที่ว่า ปีศาจแห่งความแห้งแล้งออกมาครั้งหนึ่งดินแดนแห้งแล้งนับพันลี้ แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของฝั่งโจวเจ๋อเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวเกินจริงเหมือนกับ ‘ดินแดนแห้งแล้งนับพันลี้’ ขนาดนั้น แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวและผู้คนรอบตัวเขาล้วนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
“เอ่อ…”
เสียงกดดันดังมาจากลำคอของโจวเจ๋อ
เขารู้สึกเหมือนกำลังชักเย่อ รางวัลของการชักเย่อก็คือ กุญแจไขประตูบานนี้ท้ายที่สุดแล้วยังจะสามารถห้อยไว้ที่เอวเขาได้หรือไม่
หากอีกฝ่ายยังสามารถตื่นขึ้นมาควบคุมร่างกายนี้ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่เต็มใจได้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายครอบครองสิทธิ์ในการเข้าควบคุมร่างกายเอาไว้ได้แล้ว
มีเสียงดังกร๊อบของข้อต่อกระดูกดังออกมาจากร่างกาย
โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นช้าๆ เส้นเลือดที่คอของเขาปูดโปนออกมา ปากของเขาอ้าออกและคำรามอย่างเงียบงัน
หน้าต่างของห้องต่างๆ บนชั้นสองของร้านหนังสือทั้งหมด รวมถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรทัศน์แตกกระจัดกระจายทั้งหมดในขณะนี้
หลังจากทั้งหมดนี้จบลง ร่างกายของโจวเจ๋อสั่นสะท้านไปชั่วครู่ แต่ยังคงอาศัยเล็บที่ปักยึดลงพื้นรักษาลักษณะท่าทางของเขาเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
‘เฮือก…ฟู่ว…’
อ้าปากกว้างและหอบหายใจไม่หยุด
โจวเจ๋อลืมตาขึ้นช้าๆ แววตายังคงชัดเจน แต่เหงื่อเย็นๆ ทำให้โจวเจ๋อเปียกชุ่มโชกไปทั่วตัว นี่มันน่ากลัวมาก
เพราะเมื่อสักครู่นี้ โจวเจ๋อสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้ถึงเจตนาของเขา และเปิดฉากโต้กลับ!
แม้ว่าครั้งนี้จะข่มลงได้แล้ว แต่ครั้งหน้าถ้ายังอยากจะขโมยของในวิธีแบบเดียวกันนี้ ยังต้องชั่งใจก่อน
แต่ว่าตอนที่โจวเจ๋อมองเล็บทั้งสิบนิ้วของเขาที่ยาวพอที่จะหักออกมามอบให้ลุงชาวนาใช้เป็นเคียวเกี่ยวข้าวสาลีได้นั้น ยังมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
อย่างน้อย ครั้งนี้ก็ไม่เสียเปรียบ
…………………………………………………
Comments
ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 230 ไม่เสียเปรียบ!
ตอนที่ 230 ไม่เสียเปรียบ!
วันนี้เถ้าแก่โจวเก็บเกี่ยวได้เยอะมากจริงๆ กระทั่งสามารถบอกได้ว่าไม่ได้เก็บเกี่ยวครั้งใหญ่แบบนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคะแนนผลงานหรือเงินกระดาษ ครั้งนี้ได้รับเต็มเหนี่ยวไปเลย
ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะทำงานเมื่อไร และไม่ว่าจะทำงานแขนงไหน เงินจากนักเรียนมักจะเป็นเงินที่หาได้ง่ายที่สุด
หลังจากส่งดวงวิญญาณของนักเรียนออกเดินทางแล้ว โจวเจ๋อก็ไปอาบน้ำ จากนั้นขึ้นไปชั้นบนเพื่อเตรียมพักผ่อน ไป๋อิงอิงจัดเตียงเรียบร้อย
โจวเจ๋อเดินไปที่เตียง ไม่รีบร้อนที่จะเข้านอน แต่กลับยืนจุดบุหรี่หนึ่งมวนอยู่ริมหน้าต่างแทน
สวี่ชิงหล่างรู้ว่าโจวเจ๋อติดนิสัยแบบนี้
แต่วันนี้เถ้าแก่โจวสูบ ‘บุหรี่’ หลายมวนติดต่อกันแล้ว ไป๋อิงอิงรู้สึกแปลกๆ จนเกือบจะตะโกนขึ้น
“เถ้าแก่…”
โจวเจ๋อหันกลับมาเห็นอิงอิง จึงยิ้มแล้วพูดขึ้น “โทษที เดิมทีง่วงมาก แต่ตอนนี้ไม่ง่วงแล้ว”
ขณะพูดก็จุดบุหรี่อีกมวน
ไป๋อิงอิงลุกจากเตียง แล้วนำเก้าอี้มาให้โจวเจ๋อนั่ง ส่วนนางก็ยืนอยู่ข้างหลังทุบไหล่ให้โจวเจ๋อ พลางพูดเบาๆ “เถ้าแก่ คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
โจวเจ๋อไม่ตอบ แต่กางมือทั้งสองข้างออกอย่างเงียบๆ เล็บสีดำทั้งสิบนิ้วยาวออกมาอย่างช้าๆ มวลหมอกสีดำก่อตัวขึ้นระหว่างเล็บอย่างต่อเนื่อง
ตัวของไป๋อิงอิงสั่นสะท้านอยู่หลายครั้ง นางมีความกลัวเล็บของโจวเจ๋อตามสัญชาตญาณ
“บอกหน่อยสิ ว่านอกจากเล็บสีดำสองข้างนี้แล้ว ยังเหลืออะไรอีก”
โจวเจ๋อดูเหมือนจะถามไป๋อิงอิง แต่ก็ดูเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง
สาวน้อยโลลิแนะนำให้โจวเจ๋อ ‘ขโมยมาเป็นของตน’ ดังนั้นตอนนี้โจวเจ๋อจึงเริ่มคิดถึงเรื่องนี้จริงๆ
จะขโมยได้อย่างไร ขโมยอย่างไรดี ขโมยโดยที่ไม่ทำให้รัฐระแคะระคายเลยสักนิด ไม่ก่อให้เกิดผลสะท้อนกลับและไม่ถูกย้อนหาความรับผิดชอบ กระทั่งยังต้องขอบคุณด้วยซ้ำ
นี่เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมากวิชาหนึ่ง
ไป๋อิงอิงไม่เข้าใจว่าเถ้าแก่หมายถึงอะไร ในเมื่อไม่เข้าใจ นางจึงหยุดถาม และตั้งอกตั้งใจนวดให้เถ้าแก่
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์มือถือของโจวเจ๋อดังขึ้น เป็นสายเรียกเข้าของสาวน้อยโลลิ
“ฮัลโหล มีอะไร”
เพิ่งจะเจอและคุยกันเมื่อคืนก่อน การที่โทรมาหาอีกครั้งในเวลานี้ ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
“เรื่องเล็กน้อย ยมทูตจากฉางโจวมีเรื่องต้องผ่านทงเฉิงเลยมาทักทายข้า ข้าเลยมาแจ้งให้เจ้าทราบสักหน่อย”
“อ้อ”
สายตัดไปแล้ว โจวเจ๋อนวดขมับของตัวเอง และตกอยู่ในภวังค์ความคิดอีกครั้ง
มนุษย์มีความสามารถในการเลียนแบบมาแต่กำเนิด ความสามารถแบบนี้ยังสามารถพัฒนาเพิ่มเติมไปจากเดิมได้อีกขั้นหนึ่ง นั่นก็คือ ‘การเรียนรู้’
หลังจากวางโทรศัพท์ลง โจวเจ๋อก็หลับตาลงอย่างช้าๆ ในหัวก็เริ่มนึกถึงความรู้สึกตอนที่จิตสำนึกในร่างของเขาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ
การโจรกรรมที่ดีที่สุด แท้ที่จริงแล้วคือการเลียนแบบ
เรื่องของคนใฝ่รู้ เรียกว่าขโมยได้ไหม
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะพูดมากมายแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นของตัวเองอยู่ดี
ไป๋อิงอิงสังเกตเห็นว่าลมหายใจของเถ้าแก่ยาวขึ้นเรื่อยๆ นางนึกว่าเถ้าแก่หลับไปแล้ว จึงเริ่มลดแรงนวดลงอย่างช้าๆ
อันที่จริงโจวเจ๋อไม่ได้หลับ ความคิดของเขายังคงชัดเจนมาก เขาเพียงแค่ขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปชั่วคราว และเริ่มนำเข้าสู่สภาวะนั้น
ครั้งแรกที่เข้าสู่สภาวะตัวเองแบบนั้น เป็นตอนที่เผชิญหน้ากับเจ้าแม่ชิงอีบนชั้นดาดฟ้า เขายืนอยู่บนขอบดาดฟ้าและโอนเอนไปมา คาบเกี่ยวอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย
ต่อมาก็ที่บ้านตระกูลหลิน ฉากปะทะกับดวงวิญญาณยมทูตของน้องภรรยา จากนั้นก็อยู่ในสถานที่เหล่านี้ เช่น เมืองเหยียนเฉิง เขาเจียงจวิน
ทุกครั้งที่จิตสำนึกนั้นตื่นขึ้นมา ท่าทางที่เหยียดหยามทุกสิ่งทุกอย่างแบบนั้น ความเชื่อมั่นที่แน่นอนแบบนั้น ความรู้สึกราวกับทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมแบบนั้น โจวเจ๋อกำลังรวบรวมอารมณ์ในตอนนั้นอย่างช้าๆ
จากนั้น ไป๋อิงอิงที่ยังนวดให้โจวเจ๋ออยู่อีกด้านอย่างช้าๆ จู่ๆ ก็ตัวแข็งทื่อ เพราะนางเห็นว่าผิวของโจวเจ๋อกำลังแห้งซูบไปอย่างช้าๆ ลมหายใจบนร่างเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ แผ่วจนเหมือนว่าไม่รู้สึกถึงลมหายใจในการมีชีวิตอยู่ของเขาเลยด้วยซ้ำ
ในขณะเดียวกัน เล็บของโจวเจ๋อก็เริ่มยาวมากขึ้น เปล่งประกายแสงจางๆ อากาศรอบตัวก็ลดลงอย่างช้าๆ ราวกับว่าทุกอย่างกำลังตกอยู่ในความสงบนิ่ง
หัวใจดวงน้อยๆ ของไป๋อิงอิงเต้น ‘ตึกตักๆ’ ความกดดันที่มาจากสายเลือดแบบนั้นทำให้ไป๋อิงอิงรับไม่ไหว กระทั่งเกิดแรงกระตุ้นให้ต้องคุกเข่าลง
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋อิงอิงเข้าใกล้โจวเจ๋อที่อยู่ในสภาวะแบบนี้อย่างใกล้ชิด ทุกครั้งก่อนหน้านี้คือหลังจากที่โจวเจ๋อเป็นอัมพาตไปแล้วนางถึงค่อยมาดูแล
“เถ้าแก่…เถ้าแก่…”
โจวเจ๋อยังคงหลับตา ยังคงเสาะหาความรู้สึกนั้นอย่างระแวดระวัง ถึงขนาดหมกมุ่นอยู่กับมันมากเกินไป โจวเจ๋อเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเลย
เล็บเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ ตัวของโจวเจ๋อเริ่มงองุ้มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เดิมทีเขาพิงบนเก้าอี้อย่างอ่อนปวกเปียกในท่าขี้เกียจตัวเป็นขน ถึงอย่างไรแบบนี้มันก็ทำให้การนวดของอิงอิงสะดวกสบายขึ้นอีกหน่อย
ตอนนี้ตัวของโจวเจ๋อเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออก เริ่มหดตัวเข้ามา คล้ายกับคนที่เข้าสู่วัยชรา ร่างกายเริ่มสูญเสียน้ำ
แต่เล็บพวกนั้นกลับยาวจนทำให้คนตะลึงจนอ้าปากค้าง มือทั้งสองข้างของโจวเจ๋อวางอยู่บนเข่าของเขา แต่ในเวลานี้เล็บของเขากลับยาวไปถึงจุดที่สามารถแตะพื้นได้แล้ว มันยาวหลายเดซิเมตรเห็นจะได้ แทบจะใช้เป็นเคียวได้อยู่แล้ว
อีกทั้งแต่เดิมเล็บที่เป็นสีดำ ในเวลานี้กลับมีประกายสีแดงเข้มไหลเวียนอยู่
‘แซดๆ แซดๆ…’
ปลายเล็บทั้งสิบนิ้วแตะสัมผัสพื้นกระเบื้อง และขีดข่วนบนพื้นจนเกิดประกายไฟเป็นระลอกๆ กระเบื้องดูเหมือนถูกเผาละลาย ทิ้งรอยลึกเอาไว้
ไป๋อิงอิงตะลึงจนตัวแข็งทื่อไปแล้ว
สาวใช้ข้างตัวมีปฏิกิริยาอย่างไร โจวเจ๋อไม่รู้เลยสักนิด
ดูเหมือนว่ามันง่ายมากทีเดียว แต่ในความเป็นจริง หากไม่มีคำพูดของสาวน้อยโลลิในวันนั้นละก็ โจวเจ๋อก็คงไม่คิดว่าจะสามารถทำอย่างนี้ได้ด้วย นี่อาจจะเป็นดังคำที่ว่าคนในมองไม่ทะลุละมั้ง
แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
‘วืด…’
แต่ทว่า
ในตอนที่โจวเจ๋อยังคงจมอยู่ในความรู้สึกของ ‘การระลึกความทรงจำ’ แบบนี้อยู่นั้น
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อย
ดวงตาของไป๋อิงอิงแข็งค้างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง นางสัมผัสได้ว่าลมหายใจของเถ้าแก่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
ท่ามกลางความมืดมิด โจวเจ๋อรู้สึกว่าจิตสำนึกของเขาจมลงไปในแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยของเหลวหนืด เมื่อตอนที่เขาไหวตัวทัน อยากลืมตาตื่นจากสมาธิกลับพบว่าไม่สามารถทำได้
‘แกรก แกรก แกรก…’
ตัวของโจวเจ๋อเริ่มสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง
เก้าอี้เริ่มปรากฏรอยร้าว จากนั้นมันก็แตกออกทันที กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อน
แม้ว่าด้านล่างจะไม่มีเก้าอี้แล้วก็ตาม แต่โจวเจ๋อยังคงรักษาท่านั่งเอาไว้ ไม่ล้มลงไปเลยสักนิด เพราะน้ำหนักตัวและความสมดุลของเขาถูกเล็บทั้งสิบนิ้วยึดเอาไว้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
ท่าทางประหลาดมาก เป็นภาพที่ไม่สอดคล้องกันเลย
เปลือกตาของโจวเจ๋อเริ่มสั่นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่ากำลังดิ้นรนอย่างรุนแรง
จิตสำนึกนั้น
ตอนที่เขากำลังนึกถึง ‘ความทรงจำ’ จิตสำนึกนั้นถูกเขากระตุ้นออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือ
นี่ดูเหมือนจะเป็นแนวทางอย่างหนึ่ง โจวเจ๋อยังไม่เคยลองพยายามหยุดตอนที่มันกำลังตื่นขึ้นเลย เพราะทุกครั้งที่มันตื่นขึ้นล้วนเป็นเจตนาเดิมของโจวเจ๋อเองทั้งสิ้น
เมื่อพบกับสถานการณ์คับขัน ต้องการพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โจวเจ๋อจะเป็นฝ่ายเรียกให้มันตื่นขึ้นมาเอง และหยิบยืมพลังของมันมาใช้
แต่ทว่าในครั้งนี้ โจวเจ๋อไม่ได้เริ่มก่อน
โจวเจ๋อรู้ดีว่า ถ้าเรียกมันออกมาเพราะตกอยู่ในอันตรายจริงๆ ก็แล้วไปเถอะ เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่าเปรียบเทียบสิ่งเลวร้ายสองสิ่งนี้แล้วเลือกอันที่เบาที่สุด แต่ตอนนี้เขาใกล้จะหลับแล้ว ในร้านหนังสือไม่มีอะไรทำแล้ว แล้วจะเรียกมันให้ตื่นขึ้นมาทำไม
เช่นเดียวกับการทำธุรกิจ มีทั้งได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่มีราคาตายตัวสำหรับความทุ่มเทและการเก็บเกี่ยวผล
ข่มไว้
ข่มไว้
ข่มเอาไว้!
โจวเจ๋อค่อยๆเงยหน้าขึ้น เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะข่มการตื่นขึ้นมาของจิตสำนึกนั้น และกำลังพยายามอย่างหนักที่จะรักษาสิทธิ์ในการควบคุมร่างกายของตัวเองไว้
แกกลับไปเดี๋ยวนี้!
‘พึ่บพั่บๆๆ…’
ในห้องข้างๆ สวี่ชิงหล่างที่กำลังนอนอ่านหนังสือก่อนนอนอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็พบว่าแสงไฟในห้องมีความผิดปกติ เริ่มดับๆ ติดๆ
ในห้องของนักพรตเฒ่า เจ้าลิงรีบกระโดดลงจากเตียงทันทีและส่งเสียงร้อง ‘เจี๊ยกๆๆ’
นักพรตเฒ่าหลับเป็นตาย ใช้แรงขาทั้งสองข้างหนีบผ้าห่มเอาไว้และพลิกตัวนอนต่อ
ส่วนเดดพูลที่นั่งอยู่บนเตียงทั้งคืนในห้องเดียวกันกับนักพรตเฒ่าตรงไปคุกเข่าลงบนพื้นทันที
มีคำโบราณที่ว่า ปีศาจแห่งความแห้งแล้งออกมาครั้งหนึ่งดินแดนแห้งแล้งนับพันลี้ แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของฝั่งโจวเจ๋อเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวเกินจริงเหมือนกับ ‘ดินแดนแห้งแล้งนับพันลี้’ ขนาดนั้น แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวและผู้คนรอบตัวเขาล้วนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
“เอ่อ…”
เสียงกดดันดังมาจากลำคอของโจวเจ๋อ
เขารู้สึกเหมือนกำลังชักเย่อ รางวัลของการชักเย่อก็คือ กุญแจไขประตูบานนี้ท้ายที่สุดแล้วยังจะสามารถห้อยไว้ที่เอวเขาได้หรือไม่
หากอีกฝ่ายยังสามารถตื่นขึ้นมาควบคุมร่างกายนี้ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่เต็มใจได้ นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายครอบครองสิทธิ์ในการเข้าควบคุมร่างกายเอาไว้ได้แล้ว
มีเสียงดังกร๊อบของข้อต่อกระดูกดังออกมาจากร่างกาย
โจวเจ๋อเงยหน้าขึ้นช้าๆ เส้นเลือดที่คอของเขาปูดโปนออกมา ปากของเขาอ้าออกและคำรามอย่างเงียบงัน
หน้าต่างของห้องต่างๆ บนชั้นสองของร้านหนังสือทั้งหมด รวมถึงหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรทัศน์แตกกระจัดกระจายทั้งหมดในขณะนี้
หลังจากทั้งหมดนี้จบลง ร่างกายของโจวเจ๋อสั่นสะท้านไปชั่วครู่ แต่ยังคงอาศัยเล็บที่ปักยึดลงพื้นรักษาลักษณะท่าทางของเขาเอาไว้ได้อย่างมั่นคง
‘เฮือก…ฟู่ว…’
อ้าปากกว้างและหอบหายใจไม่หยุด
โจวเจ๋อลืมตาขึ้นช้าๆ แววตายังคงชัดเจน แต่เหงื่อเย็นๆ ทำให้โจวเจ๋อเปียกชุ่มโชกไปทั่วตัว นี่มันน่ากลัวมาก
เพราะเมื่อสักครู่นี้ โจวเจ๋อสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้ถึงเจตนาของเขา และเปิดฉากโต้กลับ!
แม้ว่าครั้งนี้จะข่มลงได้แล้ว แต่ครั้งหน้าถ้ายังอยากจะขโมยของในวิธีแบบเดียวกันนี้ ยังต้องชั่งใจก่อน
แต่ว่าตอนที่โจวเจ๋อมองเล็บทั้งสิบนิ้วของเขาที่ยาวพอที่จะหักออกมามอบให้ลุงชาวนาใช้เป็นเคียวเกี่ยวข้าวสาลีได้นั้น ยังมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
อย่างน้อย ครั้งนี้ก็ไม่เสียเปรียบ
…………………………………………………
Comments