ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 24 คนนี้เป็นใคร
ตอนที่ 24 คนนี้เป็นใคร
เมื่อออกมาจากคฤหาสน์ โจวเจ๋อไม่ได้รีบเรียกรถ แต่อยากจะเดินเล่นบนถนนยามค่ำคืนนี้เพียงคนเดียว
หวังเคอบอกว่าปัญหาของตัวเองไม่ใหญ่มาก แค่ตัดขาดเครือข่ายความสัมพันธ์ก่อนหน้าของสวีเล่อก็พอ แน่นอนว่าตอนนี้ก็เหมือนตัดขาดไปแล้วจริงๆ
ตัวเองทำแบบนั้นกับหมอหลิน สงสัยช่วงนี้หมอหลินคงไม่สนใจตัวเองอีกแน่นอน ส่วนบ้านพ่อตาแม่ยาย เขาเองก็ไม่ได้กลับไปสองสามวันแล้ว
และสิ่งที่แก้ไขยากเพียงสิ่งเดียวอาจจะเป็นร้านหนังสือของตัวเอง อย่างไรก็ตามเงินของการเปิดร้านหนังสือ ก็เป็นเงินของพ่อตา
งั้นก็ปล่อยแบบนี้ไปก่อน ช่วงนี้ตัวเองต้องการความสงบนิดหน่อย
ข้างหน้ามีสะพานแห่งหนึ่ง โจวเจ๋อเดินขึ้นไปแล้วนั่งลงบนขั้นบันไดชั้นแรก หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ
และด้วยความบังเอิญ โจวเจ๋อดันไปกดเปิดแอปพลิเคชั่นไลฟ์สตรีมมิ่งอันหนึ่ง ตอนที่สวีเล่อยังมีชีวิตอยู่ได้ติดตามผู้ประกาศช่องของเกมและสาวสวยมากมาย แต่โจวเจ๋อไม่สนใจของพวกนี้ จากนั้นเลื่อนลงไป โจวเจ๋อเห็นช่องของนักพรตเฒ่าคนนั้นที่ดูครั้งที่แล้วยังคงไม่เปิดไลฟ์สตรีมเหมือนเดิม
นานขนาดนี้ยังไม่เปิดไลฟ์สตรีม สงสัยคงไม่เล่นแล้วจริงๆ
ธุรกิจไลฟ์สตรีมดูเหมือนสบาย นั่งทำเงินอยู่ในบ้าน แต่มีแรงกดดันเยอะมาก อย่าพูดถึงว่าไม่ทำไลฟ์สตรีมหนึ่งหรือสองเดือนเลย แค่ไม่เปิดไลฟ์สตรีมสองสามวันก็หมดความหมายแล้ว
แต่ในเวลานี้เอง โจวเจ๋อพบว่าบัญชีของตัวเองมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน พอเปิดดู จึงพบว่าเป็นข้อความของนักพรตเฒ่าที่อยากคุยส่วนตัวกับตัวเอง และส่งมาเมื่อวานซืน
“ข้ามาทงเฉิงแล้ว ที่รัก ออกมาเจอกันหน่อยไหม”
จากนั้นแนบเบอร์โทรศัพท์ของนักพรตเฒ่ามาด้วย
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย นักพรตเฒ่านอกจากฝากข้อความแล้วยังมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก จากนั้นโจวเจ๋อจึงเลื่อนเปิดดูข้อมูลในบัญชีของสวีเล่อ
เป็นเบอร์ผู้หญิง
และที่อยู่ก็คือทงเฉิง
สวีเล่อเมื่อก่อนน่าจะเคยลองไลฟ์สดเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีห้องไลฟ์สตรีมมิ่งเป็นของตัวเอง แต่ความนิยมน้อยจนน่าสงสาร
โจวเจ๋อในที่สุดก็เข้าใจว่าความรู้สึกแปลกพวกนั้นมาจากไหน ข้อความของนักพรตเฒ่านี้ มีความหมายเรื่องอย่างว่าอย่างชัดเจน เพราะเรื่องอย่างว่าจึงมาที่ทงเฉิง และตามหาแฟนคลับของตัวเองที่อยู่เมืองทงเฉิงแห่งนี้ จากนั้นก็หว่านแหและกอบโกย
โจวเจ๋อไม่สนใจนักพรตเฒ่าผู้นี้ สิ่งที่เขาสนใจคือ เด็กหนุ่มคนนั้นที่กินข้าวต้มอย่างยากลำบากที่เคยปรากฏตัวอยู่ในวิดีโอของนักพรตเฒ่า
แต่โจวเจ๋อก็ยังตอบข้อความกลับไป โดยใช้เบอร์ของตัวเอง
จากนั้นก็ลุกขึ้น บิดขี้เกียจ ตอนที่โจวเจ๋อเตรียมจะออกไป เขารู้สึกคิดถึงตู้เย็นของตัวเองอยู่บ้าง
ทว่าโทรศัพท์กลับดังขึ้นในตอนนี้
เขาหยิบขึ้นมา สายที่โทรเข้ามาโชว์เบอร์จากเมืองหรงเฉิง
โจวเจ๋อรับสาย
“ฮัลโหล โยม เจ้าอยู่ที่ไหน!”
นักพรตเสียงดังมาก เหมือนกับพูดโทรศัพท์ใส่โทรโข่ง และดูเหมือนจะมีเสียงของรถไฟอยู่รอบๆ
“คุณอยู่ที่ไหน” โจวเจ๋อถาม
นักพรตเฒ่าคนนั้นว่างมากนักหรืออย่างไร เขามีแฟนคลับเยอะแยะไม่ใช่หรือ ทำไมถึงตอบกลับข้อความของตัวเองเร็วทุกครั้ง
หรือว่าแฟนคลับสาวคนนั้นจะน่าดึงดูดมากจริงๆ
“เอ๊ะ…” นักพรตเฒ่าตกใจ เงียบไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าแฟนคลับที่ตัวเองอยากจะนัด กลับเป็นผู้ชาย!
เป็นผู้ชาย…ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง!
เศร้าสร้อย
ผิดหวัง
มืดมน!
จากนั้นนักพรตเฒ่าจึงรีบเปลี่ยนเสียงทันที ร้องไห้เสียงแหบแห้งพลางเอ่ยว่า
“น้องชาย ข้าหิวมาก เรามาเจอกันแล้วดื่มด้วยกันเถอะ!”
…
พอนั่งรถไปหา โจวเจ๋อเจอนักพรตเฒ่าในสถานที่น่าขนลุกใต้สะพานทางรถไฟแห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่าใส่ชุดนักพรตสกปรกตัวหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง และยังมีรอยฟกช้ำอยู่บนใบหน้า ลักษณะเหมือนผู้ลี้ภัยตัวเป็นๆ ก่อนหน้านั้นเขานอนอยู่บนกระดานพลาสติกที่อยู่ข้างล่าง
ในละแวกนั้นมี ‘ร้านอาหารหลงถาน’ แห่งหนึ่ง โจวเจ๋อสั่งก๋วยเตี๋ยวให้เขาสองชาม ไก่ผัดถั่วลิสงพริกแห้งหนึ่งจานและปลาซิวตากแห้งอีกหนึ่งจาน นักพรตเฒ่ากินอย่างเอร็ดอร่อยมาก
“น้องชาย เจ้าช่างมีน้ำใจนัก!” นักพรตเฒ่ากินก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามแล้ว ในที่สุดก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง จากนั้นจึงพูดกับเถ้าแก่ขอเหล้าเหลืองหนึ่งเหยือก แล้วจึงแสยะยิ้มอย่างละอายใจ เขาไม่มีเงินสักหยวน อาหารมื้อนี้สุดท้ายโจวเจ๋อต้องเป็นคนเลี้ยง
“ทำไมคุณมีสภาพเป็นแบบนี้” โจวเจ๋อวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เขาไม่แตะอาหารบนโต๊ะแม้แต่คำเดียว
“เฮ้อ อย่าพูดเลย” นักพรตเฒ่าดื่มน้ำซุปหนึ่งคำ แล้วจึงเบะปาก “ช่วงนี้โชคไม่ดี เดิมทีข้าตามทีมงานกองถ่ายมาดูโลเคชั่นที่ทงเฉิง”
“เปลี่ยนอาชีพแล้วเหรอ”
“นับว่าใช่ ช่วงนี้จึงไม่อยากไลฟ์สดแล้ว” นักพรตเฒ่าถอนหายใจ “คนเรานะ ก็ต้องมีความฝันใช่ไหมเล่า”
“ก็ใช่” โจวเจ๋อพยักหน้า
“ความฝันต่อจากนี้ของข้า ก็คือได้แสดงหนังเรื่อง ‘ผีกัดอย่ากัดตอบ’ ไม่ว่ายังไงขอให้ตัวเองมีความสุขก็พอ” พอพูดถึงความฝัน มาดของนักพรตเฒ่าเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อยู่ในกองถ่ายจนเป็นแบบนี้เหรอ” โจวเจ๋อพูดด้วยความสงสัย
“ฮิๆ เดิมทีข้าเป็นนักแสดงประกอบตัวเล็กๆ อยู่ในกองถ่าย เท่านั้น แต่ใครจะรู้ลิขิตโชคชะตาเล่า”
เหล้ามาแล้ว
นักพรตเฒ่ารินเหล้าให้โจวเจ๋อหนึ่งแก้ว และให้ตัวเองเต็มแก้ว จากนั้นก็จิบที่ละน้อย แล้วหรี่นัยน์ตาขึ้นมา
“จุ๊ๆๆ รสชาติยอดเยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ”
โจวเจ๋อหยิบน้ำร้อนขึ้นมา แล้วดื่มไปหนึ่งจิบ
“ผู้ช่วยผู้กำกับไม่ใช่คน อยากแอบกินลับหลัง หลับนอนกับนักแสดงสาว ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนั้นอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำ เฮ้อ สาวน้อยร้องไห้ ไม่ยอม ข้ามาเห็นเข้าพอดี จึงเข้าไปต่อยผู้ช่วยผู้กำกับคนนั้น”
นักพรตเฒ่ายื่นมือตบหน้าอกของตัวเอง แล้วเอ่ยว่า
“หาเงินก็ส่วนหาเงิน มีชื่อเสียงก็ส่วนของการมีชื่อเสียง แต่พวกเราไม่ว่าทำอะไร จะขัดต่อจิตสำนึกที่ดีไม่ได้ใช่ไหมเล่า น้องชายคิดว่า มีเหตุผลไหม”
“อืม” โจวเจ๋อขานรับหนึ่งที “ดังนั้นคุณจึงถูกไล่ออก”
“เปล่า เขาไม่กล้าทำอะไรข้าเพราะเรื่องนี้” นักพรตเฒ่าแสยะยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าต่อยเขา คนที่รู้เรื่องมีไม่น้อยเขาไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของเขาคงเหม็นฉาวโฉ่”
“จากนั้นล่ะ”
“จากนั้น จากนั้นก็คือนักแสดงสาวที่ถูกข้าช่วยในคืนนั้น เป็นฝ่ายเข้าไปในห้องของผู้ช่วยผู้กำกับด้วยตัวเองในคืนวันถัดไป แล้วก็ไม่ออกมาตลอดทั้งคืน”
ตอนที่นักพรตเฒ่าพูดเรื่องเหล่านี้ มีเสียงเศร้าเล็กน้อย “ต่างก็เป็นคนน่าสงสารด้วยกันทั้งสิ้น แต่ละคนไม่ง่ายเลย”
“แล้วจากนั้นล่ะ”
“จากนั้นก็คือนักแสดงหญิงคนนั้นบอกว่าข้าลวนลามเธอ แต๊ะอั๋งเธอ ผู้ช่วยผู้กำกับก็ไม่ออกหน้า ผู้กำกับใหญ่จึงไล่ข้าออกจากกองถ่าย” นักพรตเฒ่ายิ้มแล้วพูดต่อ ทว่าในรอยยิ้มของเขา มีความขมขื่นเล็กน้อย
“ดื่มเหล้าเถอะ” โจวเจ๋อกล่าว
“มา หมดแก้ว!” นักพรตเฒ่ายกแก้วเหล้าขึ้นมา เมื่อเห็นโจวเจ๋อหยิบน้ำร้อนขึ้นมา จึงรีบพูดทันที “ดูถูกพี่ชายคนนี้ใช่ไหม วันนี้พี่ชายลำบาก ได้น้องชายดูแลช่วยเหลือ ภูเขาและสายน้ำมาบรรจบกัน ต่อไปต้องมีสักวันที่พี่ชายมีเงินอยู่ในมือ และจะกลับมาตอบแทนเจ้า”
โจวเจ๋อส่ายหน้า “ผมแพ้แอลกอฮอล์”
“งั้นก็ได้ ดื่มน้ำชาแทนเหล้า!”
ทั้งสองคนชนแก้วกัน จากนั้นนักพรตเฒ่าก็ดื่มหนึ่งแก้วรวดเดียว
ความน้อยเนื้อต่ำใจของชีวิต ความไร้ค่า ความโกรธ ความไม่เสมอภาค และเรื่องอื่นๆ ล้วนอยู่ในแก้วใบนี้
“คุณไม่มีเงินเหรอ” โจวเจ๋อถาม อันที่จริงคำถามนี้ไม่จำเป็นต้องถาม
“อืม” นักพรตเฒ่าพูดจบพร้อมกับเผยสีหน้าอย่างมีหวัง อยากให้โจวเจ๋อให้เขายืมเงินสักเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นเขายังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง แต่บริจาคหมดไปตั้งแต่ต้นเดือน และตอนนี้ก็โดนไล่ออก ดังนั้นจึงยากจนขึ้นมาในทันใด
“อ้อ” โจวเจ๋อพยักหน้า
นักพรตเฒ่าจู่ๆ ก็รู้สึกว่าวิธีการสนทนาของคนที่อยู่ตรงนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
แม่งเอ๊ย
เจ้าร้อง ‘อ้อ’ ขึ้นมา แล้วยังถามว่าข้ามีเงินไหม
โจวเจ๋อลุกขึ้น เดินไปจ่ายเงิน จากนั้นเตรียมจะออกไป การเลี้ยงข้าวนักพรตเฒ่ามื้อนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าคืนนี้โจวเจ๋อรู้สึกเบื่อเซ็งเล็กน้อย อยากหาคนคุยด้วยเท่านั้นเอง
เดิมทีเขาสามารถกลับไปหาสวี่ชิงหล่างได้ แต่สวี่ชิงหล่างปิดร้านไปแล้ว ปิดประตูม้วนแล้วก็หาไม่เจอ
ตอนนี้เขาเหนื่อยแล้ว อยากจะกลับไปพักผ่อน
“น้องชาย เจ้าเปิดร้านหนังสือใช่ไหม” นักพรตเฒ่าถาม
“ครับ”
“ร้านหนังสือไม่ค่อยมีกำไรใช่ไหม” นักพรตเฒ่าแบฝ่ามือ แล้วนับปลายนิ้ว เหมือนกำลังคำนวณอยู่
“อืม”
“ข้ารู้สึกว่า จริงๆ แล้วเปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายจะทำกำไรดีกว่า” นักพรตเฒ่าเห็นว่าโจวเจ๋อไม่ค่อยสนใจ ‘การทำนาย’ ของเขาเท่าไร โอเค บุคคลที่อยู่เบื้องหน้านี้อยู่ภายใต้ธงแดงไม่สนใจเรื่องไสยศาสตร์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนักพรตเฒ่าจึงเก็บความคิดนี้เอาไว้
“ร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย” โจวเจ๋อส่ายหน้า “ไม่อยากเปิด”
ตัวเขาเองก็เป็นผี เปิดร้านสำหรับคนตายหาพระแสงอะไร
“ข้าขอพูดตรงๆ แบบไม่ปิดบัง ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่หรงเฉิง ก็เปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย” นักพรตเฒ่าหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นเงินกระดาษ “น้องชาย ขอบใจที่เจ้าเลี้ยงข้าวมื้อนี้ พี่ชายอย่างข้าไม่มีของดีอะไรให้เจ้า เงินกระดาษก้อนนี้ เจ้ารับไว้ ไม่ต้องรีบร้อนด่าข้า ถึงแม้ว่าเงินนี้จะใช้ไม่ได้ก็จริง แต่มันมีส่วนบุญที่ติดอยู่บนนั้น เจ้าพกติดตัวไว้ อย่ากลัวว่าจะดวงซวย มันจะนำความโชคดีมาสู่เจ้า”
โจวเจ๋อไม่ได้ยื่นมือไปหยิบเงิน
มีแต่คนบ้าเท่านั้นถึงจะหยิบกระดาษปึกนี้มาพกติดตัว
“น้องชาย อย่าทำเป็นไม่เชื่อ” นักพรตเฒ่าเห็นว่าโจวเจ๋อไม่ต้องการ จึงร้อนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดชุดนักพรตของตัวเองโดยตรง ชี้ไปที่บาดแผลตรงหน้าอกขวาของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ตอนแรกก็เพาะเงินกระดาษปึกนี้ ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“โอเคๆ ผมจะรับไว้”
โจวเจ๋อขี้เกียจที่จะเห็นผู้ชายแก่เปิดหน้าอกโชว์ต่อหน้าตัวเอง จึงได้แต่ยื่นมือไปรับเงินกระดาษเอาไว้
“ผมจำได้ตอนที่ดูวิดีโอของคุณ ในร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายยังมีอีกคนหนึ่ง คนนั้น ดื่มน้ำต้มลำบากมาก” โจวเจ๋อถาม
“อ้อ เขาเหรอ เขาเป็นพนักงานคนหนึ่งของข้า ขี้เกียจมาก วันๆ เอาแต่นอนอาบแดด ไม่ทำอะไรสักอย่าง ข้าด่ามันทั้งวัน บอกว่าคนหนุ่มจะขี้เกียจแบบนี้ไม่ได้”
“อ้อ เขาเป็นโรคเบื่ออาหารหรือเปล่าครับ” โจวเจ๋อถาม
“น่าจะใช่” พอพูดถึงคนนั้น นักพรตเฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ทำไม เขาหล่อมากหรือ”
“เปล่าครับ แค่รู้สึกสนิทสนม”
“สนิทสนมบ้าอะไร” นักพรตเฒ่าเหมือนได้ยินเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
เจ้าสนิทกับผี หรือว่าเจ้าก็เป็นผีเช่นกัน
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
นักพรตขำหนักมาก!
ทั้งสองคนเดินออกมานอกร้านพร้อมกัน โจวเจ๋อแบ่งบุหรี่หนึ่งมวนให้นักพรตเฒ่า ข้างๆ มีซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งยังเปิดอยู่ และมีแผงลอยขายผลไม้อยู่หน้าร้าน
“เจ้ายืนอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน ข้าจะไปซื้อส้มให้เจ้าสองสามลูก” นักพรตเฒ่าหัวเราะฮิ ๆ ล้อเล่น
“ผมจะกินแค่สองลูก ที่เหลือก็ให้คุณครับ” โจวเจ๋อตอบ
“หา” นักพรตเฒ่าคิดว่าโจวเจ๋อล้าสมัยฟังมุกตลกของตัวเองไม่เข้าใจ เมื่อคิดดูก็รู้สึกน่าเบื่อ เถ้าแก่ร้านหนังสือผู้นี้น่าจะเป็นหนอนหนังสือ
โจวเจ๋อก็ไม่ได้อธิบาย
จริงๆ แล้ว “ข้าจะไปซื้อส้มสองสามลูก เจ้ายืนอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน” เป็นบทสนทนาที่พ่อพูดกับลูกชายในบทประพันธ์ร้อยแก้วเรื่อง ‘แผ่นหลังของพ่อ’ ของจูจื้อชิง
และสิ่งที่โจวเจ๋อพูดกลับ กลับเป็นบทสนทนาของปู่ที่พูดกับหลานชายในนิยายเรื่อง ‘คนลากรถ’
สุดท้าย โจวเจ๋อจึงยื่นมือไปตบไหล่ของนักพรตเฒ่า “ผมต้องไปแล้ว คุณดูแลตัวเองนะครับ”
นักพรตเฒ่ากำลังเตรียมจะพูดอะไร
ทันใดนั้นพลันปิดเป้ากางเกงของตัวเอง
จากนั้นกลิ่นของเส้นขนที่ถูกเผาไหม้ได้ส่งกลิ่นออกมา
“แม่งเอ๊ย ข้าร้อนไปหมดแล้ว!”
…………………………………………………………………………
Comments
ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 24 คนนี้เป็นใคร
ตอนที่ 24 คนนี้เป็นใคร
เมื่อออกมาจากคฤหาสน์ โจวเจ๋อไม่ได้รีบเรียกรถ แต่อยากจะเดินเล่นบนถนนยามค่ำคืนนี้เพียงคนเดียว
หวังเคอบอกว่าปัญหาของตัวเองไม่ใหญ่มาก แค่ตัดขาดเครือข่ายความสัมพันธ์ก่อนหน้าของสวีเล่อก็พอ แน่นอนว่าตอนนี้ก็เหมือนตัดขาดไปแล้วจริงๆ
ตัวเองทำแบบนั้นกับหมอหลิน สงสัยช่วงนี้หมอหลินคงไม่สนใจตัวเองอีกแน่นอน ส่วนบ้านพ่อตาแม่ยาย เขาเองก็ไม่ได้กลับไปสองสามวันแล้ว
และสิ่งที่แก้ไขยากเพียงสิ่งเดียวอาจจะเป็นร้านหนังสือของตัวเอง อย่างไรก็ตามเงินของการเปิดร้านหนังสือ ก็เป็นเงินของพ่อตา
งั้นก็ปล่อยแบบนี้ไปก่อน ช่วงนี้ตัวเองต้องการความสงบนิดหน่อย
ข้างหน้ามีสะพานแห่งหนึ่ง โจวเจ๋อเดินขึ้นไปแล้วนั่งลงบนขั้นบันไดชั้นแรก หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ
และด้วยความบังเอิญ โจวเจ๋อดันไปกดเปิดแอปพลิเคชั่นไลฟ์สตรีมมิ่งอันหนึ่ง ตอนที่สวีเล่อยังมีชีวิตอยู่ได้ติดตามผู้ประกาศช่องของเกมและสาวสวยมากมาย แต่โจวเจ๋อไม่สนใจของพวกนี้ จากนั้นเลื่อนลงไป โจวเจ๋อเห็นช่องของนักพรตเฒ่าคนนั้นที่ดูครั้งที่แล้วยังคงไม่เปิดไลฟ์สตรีมเหมือนเดิม
นานขนาดนี้ยังไม่เปิดไลฟ์สตรีม สงสัยคงไม่เล่นแล้วจริงๆ
ธุรกิจไลฟ์สตรีมดูเหมือนสบาย นั่งทำเงินอยู่ในบ้าน แต่มีแรงกดดันเยอะมาก อย่าพูดถึงว่าไม่ทำไลฟ์สตรีมหนึ่งหรือสองเดือนเลย แค่ไม่เปิดไลฟ์สตรีมสองสามวันก็หมดความหมายแล้ว
แต่ในเวลานี้เอง โจวเจ๋อพบว่าบัญชีของตัวเองมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน พอเปิดดู จึงพบว่าเป็นข้อความของนักพรตเฒ่าที่อยากคุยส่วนตัวกับตัวเอง และส่งมาเมื่อวานซืน
“ข้ามาทงเฉิงแล้ว ที่รัก ออกมาเจอกันหน่อยไหม”
จากนั้นแนบเบอร์โทรศัพท์ของนักพรตเฒ่ามาด้วย
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย นักพรตเฒ่านอกจากฝากข้อความแล้วยังมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก จากนั้นโจวเจ๋อจึงเลื่อนเปิดดูข้อมูลในบัญชีของสวีเล่อ
เป็นเบอร์ผู้หญิง
และที่อยู่ก็คือทงเฉิง
สวีเล่อเมื่อก่อนน่าจะเคยลองไลฟ์สดเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีห้องไลฟ์สตรีมมิ่งเป็นของตัวเอง แต่ความนิยมน้อยจนน่าสงสาร
โจวเจ๋อในที่สุดก็เข้าใจว่าความรู้สึกแปลกพวกนั้นมาจากไหน ข้อความของนักพรตเฒ่านี้ มีความหมายเรื่องอย่างว่าอย่างชัดเจน เพราะเรื่องอย่างว่าจึงมาที่ทงเฉิง และตามหาแฟนคลับของตัวเองที่อยู่เมืองทงเฉิงแห่งนี้ จากนั้นก็หว่านแหและกอบโกย
โจวเจ๋อไม่สนใจนักพรตเฒ่าผู้นี้ สิ่งที่เขาสนใจคือ เด็กหนุ่มคนนั้นที่กินข้าวต้มอย่างยากลำบากที่เคยปรากฏตัวอยู่ในวิดีโอของนักพรตเฒ่า
แต่โจวเจ๋อก็ยังตอบข้อความกลับไป โดยใช้เบอร์ของตัวเอง
จากนั้นก็ลุกขึ้น บิดขี้เกียจ ตอนที่โจวเจ๋อเตรียมจะออกไป เขารู้สึกคิดถึงตู้เย็นของตัวเองอยู่บ้าง
ทว่าโทรศัพท์กลับดังขึ้นในตอนนี้
เขาหยิบขึ้นมา สายที่โทรเข้ามาโชว์เบอร์จากเมืองหรงเฉิง
โจวเจ๋อรับสาย
“ฮัลโหล โยม เจ้าอยู่ที่ไหน!”
นักพรตเสียงดังมาก เหมือนกับพูดโทรศัพท์ใส่โทรโข่ง และดูเหมือนจะมีเสียงของรถไฟอยู่รอบๆ
“คุณอยู่ที่ไหน” โจวเจ๋อถาม
นักพรตเฒ่าคนนั้นว่างมากนักหรืออย่างไร เขามีแฟนคลับเยอะแยะไม่ใช่หรือ ทำไมถึงตอบกลับข้อความของตัวเองเร็วทุกครั้ง
หรือว่าแฟนคลับสาวคนนั้นจะน่าดึงดูดมากจริงๆ
“เอ๊ะ…” นักพรตเฒ่าตกใจ เงียบไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าแฟนคลับที่ตัวเองอยากจะนัด กลับเป็นผู้ชาย!
เป็นผู้ชาย…ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง!
เศร้าสร้อย
ผิดหวัง
มืดมน!
จากนั้นนักพรตเฒ่าจึงรีบเปลี่ยนเสียงทันที ร้องไห้เสียงแหบแห้งพลางเอ่ยว่า
“น้องชาย ข้าหิวมาก เรามาเจอกันแล้วดื่มด้วยกันเถอะ!”
…
พอนั่งรถไปหา โจวเจ๋อเจอนักพรตเฒ่าในสถานที่น่าขนลุกใต้สะพานทางรถไฟแห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่าใส่ชุดนักพรตสกปรกตัวหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง และยังมีรอยฟกช้ำอยู่บนใบหน้า ลักษณะเหมือนผู้ลี้ภัยตัวเป็นๆ ก่อนหน้านั้นเขานอนอยู่บนกระดานพลาสติกที่อยู่ข้างล่าง
ในละแวกนั้นมี ‘ร้านอาหารหลงถาน’ แห่งหนึ่ง โจวเจ๋อสั่งก๋วยเตี๋ยวให้เขาสองชาม ไก่ผัดถั่วลิสงพริกแห้งหนึ่งจานและปลาซิวตากแห้งอีกหนึ่งจาน นักพรตเฒ่ากินอย่างเอร็ดอร่อยมาก
“น้องชาย เจ้าช่างมีน้ำใจนัก!” นักพรตเฒ่ากินก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามแล้ว ในที่สุดก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง จากนั้นจึงพูดกับเถ้าแก่ขอเหล้าเหลืองหนึ่งเหยือก แล้วจึงแสยะยิ้มอย่างละอายใจ เขาไม่มีเงินสักหยวน อาหารมื้อนี้สุดท้ายโจวเจ๋อต้องเป็นคนเลี้ยง
“ทำไมคุณมีสภาพเป็นแบบนี้” โจวเจ๋อวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เขาไม่แตะอาหารบนโต๊ะแม้แต่คำเดียว
“เฮ้อ อย่าพูดเลย” นักพรตเฒ่าดื่มน้ำซุปหนึ่งคำ แล้วจึงเบะปาก “ช่วงนี้โชคไม่ดี เดิมทีข้าตามทีมงานกองถ่ายมาดูโลเคชั่นที่ทงเฉิง”
“เปลี่ยนอาชีพแล้วเหรอ”
“นับว่าใช่ ช่วงนี้จึงไม่อยากไลฟ์สดแล้ว” นักพรตเฒ่าถอนหายใจ “คนเรานะ ก็ต้องมีความฝันใช่ไหมเล่า”
“ก็ใช่” โจวเจ๋อพยักหน้า
“ความฝันต่อจากนี้ของข้า ก็คือได้แสดงหนังเรื่อง ‘ผีกัดอย่ากัดตอบ’ ไม่ว่ายังไงขอให้ตัวเองมีความสุขก็พอ” พอพูดถึงความฝัน มาดของนักพรตเฒ่าเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อยู่ในกองถ่ายจนเป็นแบบนี้เหรอ” โจวเจ๋อพูดด้วยความสงสัย
“ฮิๆ เดิมทีข้าเป็นนักแสดงประกอบตัวเล็กๆ อยู่ในกองถ่าย เท่านั้น แต่ใครจะรู้ลิขิตโชคชะตาเล่า”
เหล้ามาแล้ว
นักพรตเฒ่ารินเหล้าให้โจวเจ๋อหนึ่งแก้ว และให้ตัวเองเต็มแก้ว จากนั้นก็จิบที่ละน้อย แล้วหรี่นัยน์ตาขึ้นมา
“จุ๊ๆๆ รสชาติยอดเยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ”
โจวเจ๋อหยิบน้ำร้อนขึ้นมา แล้วดื่มไปหนึ่งจิบ
“ผู้ช่วยผู้กำกับไม่ใช่คน อยากแอบกินลับหลัง หลับนอนกับนักแสดงสาว ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนั้นอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำ เฮ้อ สาวน้อยร้องไห้ ไม่ยอม ข้ามาเห็นเข้าพอดี จึงเข้าไปต่อยผู้ช่วยผู้กำกับคนนั้น”
นักพรตเฒ่ายื่นมือตบหน้าอกของตัวเอง แล้วเอ่ยว่า
“หาเงินก็ส่วนหาเงิน มีชื่อเสียงก็ส่วนของการมีชื่อเสียง แต่พวกเราไม่ว่าทำอะไร จะขัดต่อจิตสำนึกที่ดีไม่ได้ใช่ไหมเล่า น้องชายคิดว่า มีเหตุผลไหม”
“อืม” โจวเจ๋อขานรับหนึ่งที “ดังนั้นคุณจึงถูกไล่ออก”
“เปล่า เขาไม่กล้าทำอะไรข้าเพราะเรื่องนี้” นักพรตเฒ่าแสยะยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าต่อยเขา คนที่รู้เรื่องมีไม่น้อยเขาไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของเขาคงเหม็นฉาวโฉ่”
“จากนั้นล่ะ”
“จากนั้น จากนั้นก็คือนักแสดงสาวที่ถูกข้าช่วยในคืนนั้น เป็นฝ่ายเข้าไปในห้องของผู้ช่วยผู้กำกับด้วยตัวเองในคืนวันถัดไป แล้วก็ไม่ออกมาตลอดทั้งคืน”
ตอนที่นักพรตเฒ่าพูดเรื่องเหล่านี้ มีเสียงเศร้าเล็กน้อย “ต่างก็เป็นคนน่าสงสารด้วยกันทั้งสิ้น แต่ละคนไม่ง่ายเลย”
“แล้วจากนั้นล่ะ”
“จากนั้นก็คือนักแสดงหญิงคนนั้นบอกว่าข้าลวนลามเธอ แต๊ะอั๋งเธอ ผู้ช่วยผู้กำกับก็ไม่ออกหน้า ผู้กำกับใหญ่จึงไล่ข้าออกจากกองถ่าย” นักพรตเฒ่ายิ้มแล้วพูดต่อ ทว่าในรอยยิ้มของเขา มีความขมขื่นเล็กน้อย
“ดื่มเหล้าเถอะ” โจวเจ๋อกล่าว
“มา หมดแก้ว!” นักพรตเฒ่ายกแก้วเหล้าขึ้นมา เมื่อเห็นโจวเจ๋อหยิบน้ำร้อนขึ้นมา จึงรีบพูดทันที “ดูถูกพี่ชายคนนี้ใช่ไหม วันนี้พี่ชายลำบาก ได้น้องชายดูแลช่วยเหลือ ภูเขาและสายน้ำมาบรรจบกัน ต่อไปต้องมีสักวันที่พี่ชายมีเงินอยู่ในมือ และจะกลับมาตอบแทนเจ้า”
โจวเจ๋อส่ายหน้า “ผมแพ้แอลกอฮอล์”
“งั้นก็ได้ ดื่มน้ำชาแทนเหล้า!”
ทั้งสองคนชนแก้วกัน จากนั้นนักพรตเฒ่าก็ดื่มหนึ่งแก้วรวดเดียว
ความน้อยเนื้อต่ำใจของชีวิต ความไร้ค่า ความโกรธ ความไม่เสมอภาค และเรื่องอื่นๆ ล้วนอยู่ในแก้วใบนี้
“คุณไม่มีเงินเหรอ” โจวเจ๋อถาม อันที่จริงคำถามนี้ไม่จำเป็นต้องถาม
“อืม” นักพรตเฒ่าพูดจบพร้อมกับเผยสีหน้าอย่างมีหวัง อยากให้โจวเจ๋อให้เขายืมเงินสักเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นเขายังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง แต่บริจาคหมดไปตั้งแต่ต้นเดือน และตอนนี้ก็โดนไล่ออก ดังนั้นจึงยากจนขึ้นมาในทันใด
“อ้อ” โจวเจ๋อพยักหน้า
นักพรตเฒ่าจู่ๆ ก็รู้สึกว่าวิธีการสนทนาของคนที่อยู่ตรงนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
แม่งเอ๊ย
เจ้าร้อง ‘อ้อ’ ขึ้นมา แล้วยังถามว่าข้ามีเงินไหม
โจวเจ๋อลุกขึ้น เดินไปจ่ายเงิน จากนั้นเตรียมจะออกไป การเลี้ยงข้าวนักพรตเฒ่ามื้อนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าคืนนี้โจวเจ๋อรู้สึกเบื่อเซ็งเล็กน้อย อยากหาคนคุยด้วยเท่านั้นเอง
เดิมทีเขาสามารถกลับไปหาสวี่ชิงหล่างได้ แต่สวี่ชิงหล่างปิดร้านไปแล้ว ปิดประตูม้วนแล้วก็หาไม่เจอ
ตอนนี้เขาเหนื่อยแล้ว อยากจะกลับไปพักผ่อน
“น้องชาย เจ้าเปิดร้านหนังสือใช่ไหม” นักพรตเฒ่าถาม
“ครับ”
“ร้านหนังสือไม่ค่อยมีกำไรใช่ไหม” นักพรตเฒ่าแบฝ่ามือ แล้วนับปลายนิ้ว เหมือนกำลังคำนวณอยู่
“อืม”
“ข้ารู้สึกว่า จริงๆ แล้วเปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายจะทำกำไรดีกว่า” นักพรตเฒ่าเห็นว่าโจวเจ๋อไม่ค่อยสนใจ ‘การทำนาย’ ของเขาเท่าไร โอเค บุคคลที่อยู่เบื้องหน้านี้อยู่ภายใต้ธงแดงไม่สนใจเรื่องไสยศาสตร์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนักพรตเฒ่าจึงเก็บความคิดนี้เอาไว้
“ร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย” โจวเจ๋อส่ายหน้า “ไม่อยากเปิด”
ตัวเขาเองก็เป็นผี เปิดร้านสำหรับคนตายหาพระแสงอะไร
“ข้าขอพูดตรงๆ แบบไม่ปิดบัง ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่หรงเฉิง ก็เปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย” นักพรตเฒ่าหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นเงินกระดาษ “น้องชาย ขอบใจที่เจ้าเลี้ยงข้าวมื้อนี้ พี่ชายอย่างข้าไม่มีของดีอะไรให้เจ้า เงินกระดาษก้อนนี้ เจ้ารับไว้ ไม่ต้องรีบร้อนด่าข้า ถึงแม้ว่าเงินนี้จะใช้ไม่ได้ก็จริง แต่มันมีส่วนบุญที่ติดอยู่บนนั้น เจ้าพกติดตัวไว้ อย่ากลัวว่าจะดวงซวย มันจะนำความโชคดีมาสู่เจ้า”
โจวเจ๋อไม่ได้ยื่นมือไปหยิบเงิน
มีแต่คนบ้าเท่านั้นถึงจะหยิบกระดาษปึกนี้มาพกติดตัว
“น้องชาย อย่าทำเป็นไม่เชื่อ” นักพรตเฒ่าเห็นว่าโจวเจ๋อไม่ต้องการ จึงร้อนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดชุดนักพรตของตัวเองโดยตรง ชี้ไปที่บาดแผลตรงหน้าอกขวาของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ตอนแรกก็เพาะเงินกระดาษปึกนี้ ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“โอเคๆ ผมจะรับไว้”
โจวเจ๋อขี้เกียจที่จะเห็นผู้ชายแก่เปิดหน้าอกโชว์ต่อหน้าตัวเอง จึงได้แต่ยื่นมือไปรับเงินกระดาษเอาไว้
“ผมจำได้ตอนที่ดูวิดีโอของคุณ ในร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายยังมีอีกคนหนึ่ง คนนั้น ดื่มน้ำต้มลำบากมาก” โจวเจ๋อถาม
“อ้อ เขาเหรอ เขาเป็นพนักงานคนหนึ่งของข้า ขี้เกียจมาก วันๆ เอาแต่นอนอาบแดด ไม่ทำอะไรสักอย่าง ข้าด่ามันทั้งวัน บอกว่าคนหนุ่มจะขี้เกียจแบบนี้ไม่ได้”
“อ้อ เขาเป็นโรคเบื่ออาหารหรือเปล่าครับ” โจวเจ๋อถาม
“น่าจะใช่” พอพูดถึงคนนั้น นักพรตเฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ทำไม เขาหล่อมากหรือ”
“เปล่าครับ แค่รู้สึกสนิทสนม”
“สนิทสนมบ้าอะไร” นักพรตเฒ่าเหมือนได้ยินเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
เจ้าสนิทกับผี หรือว่าเจ้าก็เป็นผีเช่นกัน
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
นักพรตขำหนักมาก!
ทั้งสองคนเดินออกมานอกร้านพร้อมกัน โจวเจ๋อแบ่งบุหรี่หนึ่งมวนให้นักพรตเฒ่า ข้างๆ มีซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งยังเปิดอยู่ และมีแผงลอยขายผลไม้อยู่หน้าร้าน
“เจ้ายืนอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน ข้าจะไปซื้อส้มให้เจ้าสองสามลูก” นักพรตเฒ่าหัวเราะฮิ ๆ ล้อเล่น
“ผมจะกินแค่สองลูก ที่เหลือก็ให้คุณครับ” โจวเจ๋อตอบ
“หา” นักพรตเฒ่าคิดว่าโจวเจ๋อล้าสมัยฟังมุกตลกของตัวเองไม่เข้าใจ เมื่อคิดดูก็รู้สึกน่าเบื่อ เถ้าแก่ร้านหนังสือผู้นี้น่าจะเป็นหนอนหนังสือ
โจวเจ๋อก็ไม่ได้อธิบาย
จริงๆ แล้ว “ข้าจะไปซื้อส้มสองสามลูก เจ้ายืนอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน” เป็นบทสนทนาที่พ่อพูดกับลูกชายในบทประพันธ์ร้อยแก้วเรื่อง ‘แผ่นหลังของพ่อ’ ของจูจื้อชิง
และสิ่งที่โจวเจ๋อพูดกลับ กลับเป็นบทสนทนาของปู่ที่พูดกับหลานชายในนิยายเรื่อง ‘คนลากรถ’
สุดท้าย โจวเจ๋อจึงยื่นมือไปตบไหล่ของนักพรตเฒ่า “ผมต้องไปแล้ว คุณดูแลตัวเองนะครับ”
นักพรตเฒ่ากำลังเตรียมจะพูดอะไร
ทันใดนั้นพลันปิดเป้ากางเกงของตัวเอง
จากนั้นกลิ่นของเส้นขนที่ถูกเผาไหม้ได้ส่งกลิ่นออกมา
“แม่งเอ๊ย ข้าร้อนไปหมดแล้ว!”
…………………………………………………………………………
Comments
ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล 24 คนนี้เป็นใคร
ตอนที่ 24 คนนี้เป็นใคร
เมื่อออกมาจากคฤหาสน์ โจวเจ๋อไม่ได้รีบเรียกรถ แต่อยากจะเดินเล่นบนถนนยามค่ำคืนนี้เพียงคนเดียว
หวังเคอบอกว่าปัญหาของตัวเองไม่ใหญ่มาก แค่ตัดขาดเครือข่ายความสัมพันธ์ก่อนหน้าของสวีเล่อก็พอ แน่นอนว่าตอนนี้ก็เหมือนตัดขาดไปแล้วจริงๆ
ตัวเองทำแบบนั้นกับหมอหลิน สงสัยช่วงนี้หมอหลินคงไม่สนใจตัวเองอีกแน่นอน ส่วนบ้านพ่อตาแม่ยาย เขาเองก็ไม่ได้กลับไปสองสามวันแล้ว
และสิ่งที่แก้ไขยากเพียงสิ่งเดียวอาจจะเป็นร้านหนังสือของตัวเอง อย่างไรก็ตามเงินของการเปิดร้านหนังสือ ก็เป็นเงินของพ่อตา
งั้นก็ปล่อยแบบนี้ไปก่อน ช่วงนี้ตัวเองต้องการความสงบนิดหน่อย
ข้างหน้ามีสะพานแห่งหนึ่ง โจวเจ๋อเดินขึ้นไปแล้วนั่งลงบนขั้นบันไดชั้นแรก หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเลื่อนหน้าจอไปเรื่อยๆ
และด้วยความบังเอิญ โจวเจ๋อดันไปกดเปิดแอปพลิเคชั่นไลฟ์สตรีมมิ่งอันหนึ่ง ตอนที่สวีเล่อยังมีชีวิตอยู่ได้ติดตามผู้ประกาศช่องของเกมและสาวสวยมากมาย แต่โจวเจ๋อไม่สนใจของพวกนี้ จากนั้นเลื่อนลงไป โจวเจ๋อเห็นช่องของนักพรตเฒ่าคนนั้นที่ดูครั้งที่แล้วยังคงไม่เปิดไลฟ์สตรีมเหมือนเดิม
นานขนาดนี้ยังไม่เปิดไลฟ์สตรีม สงสัยคงไม่เล่นแล้วจริงๆ
ธุรกิจไลฟ์สตรีมดูเหมือนสบาย นั่งทำเงินอยู่ในบ้าน แต่มีแรงกดดันเยอะมาก อย่าพูดถึงว่าไม่ทำไลฟ์สตรีมหนึ่งหรือสองเดือนเลย แค่ไม่เปิดไลฟ์สตรีมสองสามวันก็หมดความหมายแล้ว
แต่ในเวลานี้เอง โจวเจ๋อพบว่าบัญชีของตัวเองมีหนึ่งข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน พอเปิดดู จึงพบว่าเป็นข้อความของนักพรตเฒ่าที่อยากคุยส่วนตัวกับตัวเอง และส่งมาเมื่อวานซืน
“ข้ามาทงเฉิงแล้ว ที่รัก ออกมาเจอกันหน่อยไหม”
จากนั้นแนบเบอร์โทรศัพท์ของนักพรตเฒ่ามาด้วย
โจวเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย นักพรตเฒ่านอกจากฝากข้อความแล้วยังมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรัก จากนั้นโจวเจ๋อจึงเลื่อนเปิดดูข้อมูลในบัญชีของสวีเล่อ
เป็นเบอร์ผู้หญิง
และที่อยู่ก็คือทงเฉิง
สวีเล่อเมื่อก่อนน่าจะเคยลองไลฟ์สดเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงมีห้องไลฟ์สตรีมมิ่งเป็นของตัวเอง แต่ความนิยมน้อยจนน่าสงสาร
โจวเจ๋อในที่สุดก็เข้าใจว่าความรู้สึกแปลกพวกนั้นมาจากไหน ข้อความของนักพรตเฒ่านี้ มีความหมายเรื่องอย่างว่าอย่างชัดเจน เพราะเรื่องอย่างว่าจึงมาที่ทงเฉิง และตามหาแฟนคลับของตัวเองที่อยู่เมืองทงเฉิงแห่งนี้ จากนั้นก็หว่านแหและกอบโกย
โจวเจ๋อไม่สนใจนักพรตเฒ่าผู้นี้ สิ่งที่เขาสนใจคือ เด็กหนุ่มคนนั้นที่กินข้าวต้มอย่างยากลำบากที่เคยปรากฏตัวอยู่ในวิดีโอของนักพรตเฒ่า
แต่โจวเจ๋อก็ยังตอบข้อความกลับไป โดยใช้เบอร์ของตัวเอง
จากนั้นก็ลุกขึ้น บิดขี้เกียจ ตอนที่โจวเจ๋อเตรียมจะออกไป เขารู้สึกคิดถึงตู้เย็นของตัวเองอยู่บ้าง
ทว่าโทรศัพท์กลับดังขึ้นในตอนนี้
เขาหยิบขึ้นมา สายที่โทรเข้ามาโชว์เบอร์จากเมืองหรงเฉิง
โจวเจ๋อรับสาย
“ฮัลโหล โยม เจ้าอยู่ที่ไหน!”
นักพรตเสียงดังมาก เหมือนกับพูดโทรศัพท์ใส่โทรโข่ง และดูเหมือนจะมีเสียงของรถไฟอยู่รอบๆ
“คุณอยู่ที่ไหน” โจวเจ๋อถาม
นักพรตเฒ่าคนนั้นว่างมากนักหรืออย่างไร เขามีแฟนคลับเยอะแยะไม่ใช่หรือ ทำไมถึงตอบกลับข้อความของตัวเองเร็วทุกครั้ง
หรือว่าแฟนคลับสาวคนนั้นจะน่าดึงดูดมากจริงๆ
“เอ๊ะ…” นักพรตเฒ่าตกใจ เงียบไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าแฟนคลับที่ตัวเองอยากจะนัด กลับเป็นผู้ชาย!
เป็นผู้ชาย…ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง!
เศร้าสร้อย
ผิดหวัง
มืดมน!
จากนั้นนักพรตเฒ่าจึงรีบเปลี่ยนเสียงทันที ร้องไห้เสียงแหบแห้งพลางเอ่ยว่า
“น้องชาย ข้าหิวมาก เรามาเจอกันแล้วดื่มด้วยกันเถอะ!”
…
พอนั่งรถไปหา โจวเจ๋อเจอนักพรตเฒ่าในสถานที่น่าขนลุกใต้สะพานทางรถไฟแห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่าใส่ชุดนักพรตสกปรกตัวหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง และยังมีรอยฟกช้ำอยู่บนใบหน้า ลักษณะเหมือนผู้ลี้ภัยตัวเป็นๆ ก่อนหน้านั้นเขานอนอยู่บนกระดานพลาสติกที่อยู่ข้างล่าง
ในละแวกนั้นมี ‘ร้านอาหารหลงถาน’ แห่งหนึ่ง โจวเจ๋อสั่งก๋วยเตี๋ยวให้เขาสองชาม ไก่ผัดถั่วลิสงพริกแห้งหนึ่งจานและปลาซิวตากแห้งอีกหนึ่งจาน นักพรตเฒ่ากินอย่างเอร็ดอร่อยมาก
“น้องชาย เจ้าช่างมีน้ำใจนัก!” นักพรตเฒ่ากินก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามแล้ว ในที่สุดก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง จากนั้นจึงพูดกับเถ้าแก่ขอเหล้าเหลืองหนึ่งเหยือก แล้วจึงแสยะยิ้มอย่างละอายใจ เขาไม่มีเงินสักหยวน อาหารมื้อนี้สุดท้ายโจวเจ๋อต้องเป็นคนเลี้ยง
“ทำไมคุณมีสภาพเป็นแบบนี้” โจวเจ๋อวางแก้วน้ำลงตรงหน้า เขาไม่แตะอาหารบนโต๊ะแม้แต่คำเดียว
“เฮ้อ อย่าพูดเลย” นักพรตเฒ่าดื่มน้ำซุปหนึ่งคำ แล้วจึงเบะปาก “ช่วงนี้โชคไม่ดี เดิมทีข้าตามทีมงานกองถ่ายมาดูโลเคชั่นที่ทงเฉิง”
“เปลี่ยนอาชีพแล้วเหรอ”
“นับว่าใช่ ช่วงนี้จึงไม่อยากไลฟ์สดแล้ว” นักพรตเฒ่าถอนหายใจ “คนเรานะ ก็ต้องมีความฝันใช่ไหมเล่า”
“ก็ใช่” โจวเจ๋อพยักหน้า
“ความฝันต่อจากนี้ของข้า ก็คือได้แสดงหนังเรื่อง ‘ผีกัดอย่ากัดตอบ’ ไม่ว่ายังไงขอให้ตัวเองมีความสุขก็พอ” พอพูดถึงความฝัน มาดของนักพรตเฒ่าเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อยู่ในกองถ่ายจนเป็นแบบนี้เหรอ” โจวเจ๋อพูดด้วยความสงสัย
“ฮิๆ เดิมทีข้าเป็นนักแสดงประกอบตัวเล็กๆ อยู่ในกองถ่าย เท่านั้น แต่ใครจะรู้ลิขิตโชคชะตาเล่า”
เหล้ามาแล้ว
นักพรตเฒ่ารินเหล้าให้โจวเจ๋อหนึ่งแก้ว และให้ตัวเองเต็มแก้ว จากนั้นก็จิบที่ละน้อย แล้วหรี่นัยน์ตาขึ้นมา
“จุ๊ๆๆ รสชาติยอดเยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ”
โจวเจ๋อหยิบน้ำร้อนขึ้นมา แล้วดื่มไปหนึ่งจิบ
“ผู้ช่วยผู้กำกับไม่ใช่คน อยากแอบกินลับหลัง หลับนอนกับนักแสดงสาว ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนั้นอายุยังไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำ เฮ้อ สาวน้อยร้องไห้ ไม่ยอม ข้ามาเห็นเข้าพอดี จึงเข้าไปต่อยผู้ช่วยผู้กำกับคนนั้น”
นักพรตเฒ่ายื่นมือตบหน้าอกของตัวเอง แล้วเอ่ยว่า
“หาเงินก็ส่วนหาเงิน มีชื่อเสียงก็ส่วนของการมีชื่อเสียง แต่พวกเราไม่ว่าทำอะไร จะขัดต่อจิตสำนึกที่ดีไม่ได้ใช่ไหมเล่า น้องชายคิดว่า มีเหตุผลไหม”
“อืม” โจวเจ๋อขานรับหนึ่งที “ดังนั้นคุณจึงถูกไล่ออก”
“เปล่า เขาไม่กล้าทำอะไรข้าเพราะเรื่องนี้” นักพรตเฒ่าแสยะยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าต่อยเขา คนที่รู้เรื่องมีไม่น้อยเขาไม่กล้าทำอะไรข้าหรอก ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของเขาคงเหม็นฉาวโฉ่”
“จากนั้นล่ะ”
“จากนั้น จากนั้นก็คือนักแสดงสาวที่ถูกข้าช่วยในคืนนั้น เป็นฝ่ายเข้าไปในห้องของผู้ช่วยผู้กำกับด้วยตัวเองในคืนวันถัดไป แล้วก็ไม่ออกมาตลอดทั้งคืน”
ตอนที่นักพรตเฒ่าพูดเรื่องเหล่านี้ มีเสียงเศร้าเล็กน้อย “ต่างก็เป็นคนน่าสงสารด้วยกันทั้งสิ้น แต่ละคนไม่ง่ายเลย”
“แล้วจากนั้นล่ะ”
“จากนั้นก็คือนักแสดงหญิงคนนั้นบอกว่าข้าลวนลามเธอ แต๊ะอั๋งเธอ ผู้ช่วยผู้กำกับก็ไม่ออกหน้า ผู้กำกับใหญ่จึงไล่ข้าออกจากกองถ่าย” นักพรตเฒ่ายิ้มแล้วพูดต่อ ทว่าในรอยยิ้มของเขา มีความขมขื่นเล็กน้อย
“ดื่มเหล้าเถอะ” โจวเจ๋อกล่าว
“มา หมดแก้ว!” นักพรตเฒ่ายกแก้วเหล้าขึ้นมา เมื่อเห็นโจวเจ๋อหยิบน้ำร้อนขึ้นมา จึงรีบพูดทันที “ดูถูกพี่ชายคนนี้ใช่ไหม วันนี้พี่ชายลำบาก ได้น้องชายดูแลช่วยเหลือ ภูเขาและสายน้ำมาบรรจบกัน ต่อไปต้องมีสักวันที่พี่ชายมีเงินอยู่ในมือ และจะกลับมาตอบแทนเจ้า”
โจวเจ๋อส่ายหน้า “ผมแพ้แอลกอฮอล์”
“งั้นก็ได้ ดื่มน้ำชาแทนเหล้า!”
ทั้งสองคนชนแก้วกัน จากนั้นนักพรตเฒ่าก็ดื่มหนึ่งแก้วรวดเดียว
ความน้อยเนื้อต่ำใจของชีวิต ความไร้ค่า ความโกรธ ความไม่เสมอภาค และเรื่องอื่นๆ ล้วนอยู่ในแก้วใบนี้
“คุณไม่มีเงินเหรอ” โจวเจ๋อถาม อันที่จริงคำถามนี้ไม่จำเป็นต้องถาม
“อืม” นักพรตเฒ่าพูดจบพร้อมกับเผยสีหน้าอย่างมีหวัง อยากให้โจวเจ๋อให้เขายืมเงินสักเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นเขายังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง แต่บริจาคหมดไปตั้งแต่ต้นเดือน และตอนนี้ก็โดนไล่ออก ดังนั้นจึงยากจนขึ้นมาในทันใด
“อ้อ” โจวเจ๋อพยักหน้า
นักพรตเฒ่าจู่ๆ ก็รู้สึกว่าวิธีการสนทนาของคนที่อยู่ตรงนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
แม่งเอ๊ย
เจ้าร้อง ‘อ้อ’ ขึ้นมา แล้วยังถามว่าข้ามีเงินไหม
โจวเจ๋อลุกขึ้น เดินไปจ่ายเงิน จากนั้นเตรียมจะออกไป การเลี้ยงข้าวนักพรตเฒ่ามื้อนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าคืนนี้โจวเจ๋อรู้สึกเบื่อเซ็งเล็กน้อย อยากหาคนคุยด้วยเท่านั้นเอง
เดิมทีเขาสามารถกลับไปหาสวี่ชิงหล่างได้ แต่สวี่ชิงหล่างปิดร้านไปแล้ว ปิดประตูม้วนแล้วก็หาไม่เจอ
ตอนนี้เขาเหนื่อยแล้ว อยากจะกลับไปพักผ่อน
“น้องชาย เจ้าเปิดร้านหนังสือใช่ไหม” นักพรตเฒ่าถาม
“ครับ”
“ร้านหนังสือไม่ค่อยมีกำไรใช่ไหม” นักพรตเฒ่าแบฝ่ามือ แล้วนับปลายนิ้ว เหมือนกำลังคำนวณอยู่
“อืม”
“ข้ารู้สึกว่า จริงๆ แล้วเปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายจะทำกำไรดีกว่า” นักพรตเฒ่าเห็นว่าโจวเจ๋อไม่ค่อยสนใจ ‘การทำนาย’ ของเขาเท่าไร โอเค บุคคลที่อยู่เบื้องหน้านี้อยู่ภายใต้ธงแดงไม่สนใจเรื่องไสยศาสตร์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนักพรตเฒ่าจึงเก็บความคิดนี้เอาไว้
“ร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย” โจวเจ๋อส่ายหน้า “ไม่อยากเปิด”
ตัวเขาเองก็เป็นผี เปิดร้านสำหรับคนตายหาพระแสงอะไร
“ข้าขอพูดตรงๆ แบบไม่ปิดบัง ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่หรงเฉิง ก็เปิดร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย” นักพรตเฒ่าหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นเงินกระดาษ “น้องชาย ขอบใจที่เจ้าเลี้ยงข้าวมื้อนี้ พี่ชายอย่างข้าไม่มีของดีอะไรให้เจ้า เงินกระดาษก้อนนี้ เจ้ารับไว้ ไม่ต้องรีบร้อนด่าข้า ถึงแม้ว่าเงินนี้จะใช้ไม่ได้ก็จริง แต่มันมีส่วนบุญที่ติดอยู่บนนั้น เจ้าพกติดตัวไว้ อย่ากลัวว่าจะดวงซวย มันจะนำความโชคดีมาสู่เจ้า”
โจวเจ๋อไม่ได้ยื่นมือไปหยิบเงิน
มีแต่คนบ้าเท่านั้นถึงจะหยิบกระดาษปึกนี้มาพกติดตัว
“น้องชาย อย่าทำเป็นไม่เชื่อ” นักพรตเฒ่าเห็นว่าโจวเจ๋อไม่ต้องการ จึงร้อนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงเปิดชุดนักพรตของตัวเองโดยตรง ชี้ไปที่บาดแผลตรงหน้าอกขวาของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “ตอนแรกก็เพาะเงินกระดาษปึกนี้ ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
“โอเคๆ ผมจะรับไว้”
โจวเจ๋อขี้เกียจที่จะเห็นผู้ชายแก่เปิดหน้าอกโชว์ต่อหน้าตัวเอง จึงได้แต่ยื่นมือไปรับเงินกระดาษเอาไว้
“ผมจำได้ตอนที่ดูวิดีโอของคุณ ในร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตายยังมีอีกคนหนึ่ง คนนั้น ดื่มน้ำต้มลำบากมาก” โจวเจ๋อถาม
“อ้อ เขาเหรอ เขาเป็นพนักงานคนหนึ่งของข้า ขี้เกียจมาก วันๆ เอาแต่นอนอาบแดด ไม่ทำอะไรสักอย่าง ข้าด่ามันทั้งวัน บอกว่าคนหนุ่มจะขี้เกียจแบบนี้ไม่ได้”
“อ้อ เขาเป็นโรคเบื่ออาหารหรือเปล่าครับ” โจวเจ๋อถาม
“น่าจะใช่” พอพูดถึงคนนั้น นักพรตเฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ทำไม เขาหล่อมากหรือ”
“เปล่าครับ แค่รู้สึกสนิทสนม”
“สนิทสนมบ้าอะไร” นักพรตเฒ่าเหมือนได้ยินเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
เจ้าสนิทกับผี หรือว่าเจ้าก็เป็นผีเช่นกัน
ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
นักพรตขำหนักมาก!
ทั้งสองคนเดินออกมานอกร้านพร้อมกัน โจวเจ๋อแบ่งบุหรี่หนึ่งมวนให้นักพรตเฒ่า ข้างๆ มีซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งยังเปิดอยู่ และมีแผงลอยขายผลไม้อยู่หน้าร้าน
“เจ้ายืนอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน ข้าจะไปซื้อส้มให้เจ้าสองสามลูก” นักพรตเฒ่าหัวเราะฮิ ๆ ล้อเล่น
“ผมจะกินแค่สองลูก ที่เหลือก็ให้คุณครับ” โจวเจ๋อตอบ
“หา” นักพรตเฒ่าคิดว่าโจวเจ๋อล้าสมัยฟังมุกตลกของตัวเองไม่เข้าใจ เมื่อคิดดูก็รู้สึกน่าเบื่อ เถ้าแก่ร้านหนังสือผู้นี้น่าจะเป็นหนอนหนังสือ
โจวเจ๋อก็ไม่ได้อธิบาย
จริงๆ แล้ว “ข้าจะไปซื้อส้มสองสามลูก เจ้ายืนอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน” เป็นบทสนทนาที่พ่อพูดกับลูกชายในบทประพันธ์ร้อยแก้วเรื่อง ‘แผ่นหลังของพ่อ’ ของจูจื้อชิง
และสิ่งที่โจวเจ๋อพูดกลับ กลับเป็นบทสนทนาของปู่ที่พูดกับหลานชายในนิยายเรื่อง ‘คนลากรถ’
สุดท้าย โจวเจ๋อจึงยื่นมือไปตบไหล่ของนักพรตเฒ่า “ผมต้องไปแล้ว คุณดูแลตัวเองนะครับ”
นักพรตเฒ่ากำลังเตรียมจะพูดอะไร
ทันใดนั้นพลันปิดเป้ากางเกงของตัวเอง
จากนั้นกลิ่นของเส้นขนที่ถูกเผาไหม้ได้ส่งกลิ่นออกมา
“แม่งเอ๊ย ข้าร้อนไปหมดแล้ว!”
…………………………………………………………………………
Comments