ยอดคุณหมอสกุลเฉินตอนที่281 จับชีพจรด้วยสองมือ
ตอนที่281 จับชีพจรด้วยสองมือ
แม้ว่านักพรตซวนจื่อซือจะไม่ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับพลังหยินและหยางนี้ให้กับฉีเล่ยฟัง แต่ดูเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ก็ได้ทำให้เขาเข้าใจอะไรขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย
ฉีเล่ยทดลองโบกฝ่ามือเบาๆ แล้วกลุ่มควันลักษณะขาวขุ่นก็ได้ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขา
ฉีเล่ยลองหลับตาลง และใช้จิตใจสัมผัสเชื่อมต่อกับร่างกายภายใน เขาจึงค้นพบว่า ภายในร่างกายของตนเองเวลานี้ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น
เดิมที ฉีเล่ยไม่สามารถมองเห็น หรือสัมผัสความเปลี่ยนแปลงใดๆได้เลย แต่หลังจากที่เขาสามารถเชื่อมต่อกับลูกแก้วม่วงได้ แล้วดูดซับเอาพลังหยินและหยางเข้าไปในร่างกายของตนเองแล้วนั้น เขาก็เริ่มมองเห็น และรู้สึกคุ้นเคยกับกลุ่มหมอกสีขาวที่ปรากฏอยู่ในร่างกายอย่างชัดเจนได้
“นี่มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?!”
ฉีเล่ยได้แต่คิดว่าตนเองอาจจะตาฝาดหรือคิดไปเอง เดิมทีเขาคิดว่า การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังหยินและหยางนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็นอย่างที่สุด นั่นเพราะที่ผ่านมา ลูกแก้วม่วงนี้ได้อยู่กับเขามาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่กลับไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงใดๆปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากได้ดูดซับเอาพลังหยิน และหยางจากลูกแก้วเข้าไปในร่างแล้ว ฉีเล่ยก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น และอยากจะเข้าไปตรวจดูอาการของชายชราอีกครั้งในตอนนี้เลย แต่เนื่องจากเป็นเวลาดึกดื่นค่ำคืนมากแล้ว หลังใคร่ครวญพิจารณาถึงสภาพร่างกายของผู้ป่วย จึงเห็นว่าควรปล่อยให้ชายชราได้พักผ่อน เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรอให้ถึงเช้าวันใหม่เสียก่อน
แล้วค่ำคืนแรกภายในคฤหาสน์ตระกูลจินของฉีเล่ย ก็ได้ผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
……….
หลังจากตื่นนอนตอนเช้า เขาก็ได้รับแจ้งจากจูกวงหลงว่า วันนี้ตอนเช้าทีมแพทย์แผนจีนทั้งหมดจะเข้าไปตรวจดูอาการของผู้เฒ่าจินอีกครั้ง
แพทย์แผนตะวันตกยังคงมีท่าทางหยิ่งยะโสเหมือนเช่นเคย เมื่อพวกเขาเห็นฉีเล่ยเดินเข้ามาในห้อง เพื่อต้องการจะมาตรวจดูอาการของชายชราอีกครั้ง ทั้งหมดก็เริ่มทำสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ยินยอมที่จะถอยออกมาให้อีกฝ่ายได้เข้าไปตรวจ ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่า นอกจากฉีเล่ยแล้ว ก็ยังมีแพทย์แผนจีนอีกนับสิบคนเดินตามเข้ามาเป็นแถว
“ขอโทษด้วยนะครับ ทีมแพทย์ของเราต้องการมาตรวจดูอาการของผู้เฒ่าจิน ท่านใดที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รบกวนออกไปจากห้องก่อน!”
จูกวงหลงในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมแพทย์แผนจีน เป็นฝ่ายร้องบอกกลุ่มแพทย์แผนตะวันตกด้วยน้ำเสียง และท่าทางที่สุภาพมีมารยาท
แพทย์แผนจีนแต่ละคนที่อยู่ในห้องนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆของวงการแพทย์แผนจีน ต่อให้พวกเขาซึ่งเป็นแพทย์แผนตะวันตกจะหยิ่งยะโสมากแค่ไหน ต่อหน้าผู้ทรงคุณวุฒิของวงการแพทย์ด้วยกัน พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดจาเพ้อเจ้อไม่ให้เกียรติออกมาอย่างแน่นอน
“ผู้อำนวยการจู พวกเราหวังว่าทีมของคุณจะสามารถหาวินิจฉัยหาสาเหตุ และหาหนทางรักษาได้นะครับ!”
หลังจากที่หนึ่งในทีมแพทย์แผนตะวันตกพูดจบ ทั้งหมดก็เดินออกจากห้องของชายชราไปทันที แต่ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง หนึ่งในนั้นยังอุตส่าห์หันไปตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆ พร้อมกับพูดจาถากถางเขาว่า
“คิดไม่ถึงจริงๆว่า หนุ่มๆอายุยังน้อยอย่างเธอ จะสามารถหากินด้วยวิธีง่ายๆแบบนี้”
เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ ความขัดแย้งระหว่างแพทย์แผนจีนกับแพทย์แผนตะวันตกนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ค่อยจะชอบหน้ากันและกัน ฉะนั้น การที่อีกฝ่ายจะดูถูกเรื่องที่เขาอายุยังน้อยดูไม่น่าเชื่อถือนั้น จึงเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ และฉีเล่ยก็คร้านที่จะเก็บเอามาใส่ใจ
ฉีเล่ยเพียงแค่ยืนนิ่ง ไม่ตอบโต้อะไรกลับไป
หลังจากที่กลุ่มแพทย์แผนตะวันตกเดินออกจากห้องไปหมดแล้ว จูกวงหลงจึงได้หันสบตาฉีเล่ยพร้อมกับยิ้มให้ และดูเหมือนว่าฉีเล่ยเองก็จะเข้าใจความหมายในสายตาที่จูกวงหลงส่งมาให้ได้เช่นกัน
แม้ว่า เปลือกตาทั้งสองข้างของชายชราจะยังคงปิดสนิท แต่สีหน้าของเขากลับดูดีกว่าเมื่อวานเล็กน้อย แต่นี่อาจเป็นเพียงภาพลวงตา
จูกวงหลงบอกกับฉีเล่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“เสี่ยวเล่ย นี่เธอคงจะคิดหาวิธีดีๆออกแล้วใช่ไหม?”
แพทย์ทุกคนในห้องต่างก็รู้ดีว่า อาการของผู้เฒ่าจินในเวลานี้นั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนตามที่พวกเขาร่ำเรียนมาอย่างช่ำชอง มีเพียงแค่ต้องพึ่งปาฏิหารย์ หรือจุดเปลี่ยนบางอย่าง แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรสิ่งเหล่านั้นถึงจะเกิดขึ้นได้?
แต่ถึงอย่างนั้น การตรวจอาการคนไข้ทุกเช้าก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ และตอนนี้ จูกวงหลงก็กำลังจ้องมองฉีเล่ย ด้วยแววตาที่บ่งบอกว่า เขาได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่หมอหนุ่มคนนี้
ไม่มีใครรู้เรื่องที่ฉีเล่ยแอบมาตรวจดูอาการของชายชราเมื่อวานนี้ หลังจากเห็นสายตาของจูกวงหลงที่มองมา ฉีเล่ยก็นึกถึงพลังหยินและหยางที่ตนเองได้ดูดซับเข้าไปเมื่อคืนนี้ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยให้กับจูกวงหลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ครับ ผมขอลองดู!”
จูกวงหลงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขารีบส่งสัญญาณให้แพทย์แผนจีนคนอื่นๆ ถอยไปยืนอยู่ด้านหลังของฉีเล่ย
แม้ว่าฉีเล่ยจะได้รับฉายาหมอเทวดา แต่เขาก็ยอมรับว่า ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้น และมีอาการประหม่าเล็กน้อย
อย่าลืมว่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาสิบกว่าคนเวลานี้ ทั้งหมดไม่ใช่แพทย์แผนจีนมือใหม่ที่เพิ่งเข้าไปทำงานในโรงพยาบาล แต่ทั้งหมดล้วนเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ และมีตำแหน่งสำคัญๆ ในโรงพยาบลแพทย์แผนจีนทั่วประเทศ
ท่ามกลางสายตาของแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเหล่านี้ มีหรือที่ฉีเล่ยจะไม่รู้สึกประหม่าและตื่นเต้น
ในตอนแรก ฉีเล่ยเองก็รู้สึกเกร็งๆ ทำตัวไม่ถูก และไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนหลังดี แต่ในระหว่างนั้นเอง จูกวงหลงก็ได้ร้องบอกกับเขาว่า
“เสี่ยวเล่ย ทำตัวให้สบายผ่อนคลาย ทำทุกอย่างไปตามที่ใจของเธอสั่งให้ทำ ทำไปตามความรู้สึกของตัวเอง ไม่ต้องไปสนใจคนอื่น”
ฉีเล่ยผ่อนลมหายใจยาว จากนั้น จึงเริ่มสำรวจใบหน้าของชายชรา ก่อนจะเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไป และแกล้งทำเหมือนว่ากำลังใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างตรวจชีพจรของคนไข้อยู่ แต่ความจริงแล้ว มือขวาของเขาเท่านั้นที่กำลังจับชีพจร ส่วนมือซ้ายได้แอบถ่ายเทพลังหยินและหยางเข้าไปในร่างของผู้ป่วย
แน่นอนว่า มีเพียงฉีเล่ยคนเดียวเท่านั้นที่รู้ดีว่าตนเองกำลังทำอะไร ส่วนหมอคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นไม่ได้รู้อะไรด้วย พวกเขาจึงได้แต่ยืนมองฉีเล่ยที่ใช้สองมือจับคลำชีพจรคนไข้ด้วยความสนอกสนใจ
“ฉันไม่เคยเห็นใครใช้วิธีนี้ตรวจชีพจรคนไข้มาก่อนเลย”
หนึ่งในนั้นทำเสียงกระซิบกระซาบ
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนนั้น สิ่งสำคัญในการตรวจวินิจฉัยโรคก็คือการสำรวจลมปราณภายในร่างผ่านการจับเส้นชีพจร ซึ่งการตรวจจับเส้นชีพจรด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียวนั้น ย่อมเป็นเรื่องปกติที่แพทย์แผนจีนทั่วไปทำกัน แต่การจับชีพจรด้วยสองมือนั้น ดูเหมือนจะขัดกับความรู้ของแพทย์แผนจีนคนอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ การตรวจจับชีพจรด้วยสองมือของฉีเล่ย จึงเป็นเรื่องที่แพทย์แผนจีนอย่างพวกเขาไม่อาจยอมรับได้ หากเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนเห็นเข้า อาจคิดว่านี่เป็นวิธีการอันเป็นความลับเฉพาะตัวของฉีเล่ย แต่สำหรับแพทย์แผนจีนระดับประเทศอย่างพวกเขาแล้ว นี่เป็นเพียงแค่วิธีดึงดูดความสนใจของผู้คน และเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า
หลังจากนั้นไม่นาน ฉีเล่ยก็เริ่มค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายชราผู้นี้!
นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ว่า มีพลังลึกลับบางอย่างกำลังโคจรอยู่อยู่ภายในร่างของชายชรา และพลังลึกลับนี้ก็ไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการจับชีพจรอย่างที่แพทย์แผนจีนทำกัน หรือตรวจด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้
และนี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงไม่มีหมอคนไหนสามารถตรวจหาสาเหตุที่ชายชรานอนหมดสติอยู่แบบนี้ได้ นั่นเพราะพลังลึกลับที่ว่านี้ ได้เข้าไปทำให้ธาตุต่างๆภายในร่างกายของผู้เฒ่าจินเสียสมดุล และทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างหยินและหยางอย่างรุนแรง จนทำให้ชายชราต้องตกอยู่ในอาการเจ็บป่วยสาหัสเช่นนี้ในที่สุด
แต่แน่นอนว่า การหมดสติชั่วคราวย่อมไม่ถึงกับทำให้ใครเสียชีวิตได้ แต่ถ้าหมดสติไปเป็นเวลานานๆล่ะ?
ถึงแม้จะค้นพบหาเหตุแล้ว แต่ฉีเล่ยก็ยังต้องค้นหาวิธีการรักษาต่อไป
หลังจากที่ถอนพลังหยินและหยางกลับคืนแล้ว ฉีเล่ยก็ได้ลุกจากเตียงของผู้เฒ่าจิน แล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาจูกวนหลงอย่างด้วยฝีเท้าที่บางเบา
“เป็นยังไงบ้าง? เธอรู้สาเหตุแล้วใช่ไหม?”
แต่ฉีเล่ยกลับไม่ตอบ และเพียงแค่พยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าไปมาต่อ
ฉีเล่ยล่วงรู้สาเหตุทั้งหมดแล้วก็จริง แต่เขาก็ไม่อาจพูดเรื่องนี้ออกมาได้ ภายในห้องมีคนอยู่มากมาย หากให้คนรู้มาก ก็เกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมา
และเพื่อให้ปลอดภัยกับตัวเอง ฉีเล่ยจึงเลือกที่จะเงียบดีกว่า
“ผมยังไม่รู้แน่ชัดครับ มันยังมีเงื่อนงำที่น่าสงสัยอยู่ ผมคงต้องขอกลับไปศึกษา และค้นหาข้อมูลจากตำราแพทย์โบราณเพิ่มก่อน”
ฉีเล่ยตอบกลับแบบกำกวม แต่จูกวงหลงเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบดี ดูเหมือนเขาจะเข้าใจดีว่าฉีเล่ยกำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้พยักหน้าและตอบกลับไปว่า
“แค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยมีความก้าวหน้าเพียงแค่เล็กน้อยก็ยังดี เอาล่ะ ไว้บ่ายนี้พวกเราค่อยไปประชุมหารือกันอีกที”
ในขณะที่จูกวงหลงคิดแบบนั้น แต่คนอื่นๆกลับไม่คิดเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยพูดจาดูถูกฉีเล่ยในห้องประชุมเมื่อครั้งก่อน เขาถึงกับพูดออกมาว่า
“ดูจากท่าทางของเธอแล้ว คงจะคว้าน้ำเหลวสินะ! เลิกทำท่าทางลึกๆลับๆหลอกพวกเราได้แล้ว ดูก็รู้ว่าปลอม!”
Comments