ยอดคุณหมอสกุลเฉินตอนที่283 เกมการแข่งขัน
ตอนที่283 เกมการแข่งขัน
แม้จะคิดวิธีการที่ดีได้ แต่ในทางปฏิบัตินั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะไม่รู้ว่าเมื่อลงมือจริงๆแล้ว จะต้องเผชิญกับปัญหาอะไรบ้าง?
ซึ่งเรื่องนี้ฉีเล่ยเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกัน!
อีกอย่าง เขาเองก็เพิ่งจะได้รับพลังหยินและหยางเข้ามาในร่างได้ไม่นาน หากเขาสามารถควบคุมพลังทั้งสองในร่างได้จริงๆก็เรื่องหนึ่ง แต่หากเขาไม่สามารถควบคุมพลังเหล่านั้นได้ล่ะ จะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างการรักษา ถึงตอนนั้น ชายชราจะไม่ยิ่งอาการสาหัสมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้งั้นเหรอ?
หรือบางที… อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตกับชายชราก็เป็นได้!
ด้วยความเสี่ยงที่สูง และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ฉีเล่ยจึงรู้สึกหนักใจอย่างมาก ที่จะต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้เพียงลำพัง
แต่ในฐานะที่เป็นแพทย์ สิ่งหนึ่งที่ควรมีก็คือความห่วงใยเอาใจใส่ และปฏิบัติต่อชีวิตของคนไข้ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉีเล่ยคำนึงถึงอยู่เสมอ
แต่ก็นับโชคยังเข้าข้าง อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถหาสาเหตุของโรคพบแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำอย่างเร่งด่วนในเวลานี้ก็คือ พยายามทำความคุ้นเคยกับพลังหยินและหยางในตัว เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากมันให้ได้สูงสุด แต่ปัญหาสำคัญของเขาในเวลานี้ก็คือ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้วิธีที่จะควบคุมมัน!
หลังจากสิ้นสุดการประชุม จูกวงหลงก็ได้เดินมาหาฉีเล่ยที่ห้องพักอีกครั้ง เขาต้องการที่จะรู้ว่า เวลานี้การคิดหาวิธีการรักษาของฉีเล่ยนั้นก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของชายหนุ่ม เขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบแทน
“ผู้อำนวยการซู คงจะมาเพื่อถามถึงเรื่องวิธีการรักษาผู้เฒ่าจินสินะครับ?”
แม้จูกวงหลงจะไม่เอ่ยปาก แต่มีหรือที่ฉีเล่ยจะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่? หลังจากเอ่ยถามออกไปแล้ว เขาก็ไม่รอคำตอบจากอีกฝ่าย และเอ่ยตอบกลับไปทันที
“ผมคิดหาวิธีการรักษาได้แล้ว เพียงแต่ยังต้องขอเวลาอีกหน่อย”
“กี่วัน?”
ดูเหมือนจูกวงหลงจะเป็นห่วงเรื่องของระยะเวลามาก นั่นเพราะการรักษาผู้เฒ่าจินในครั้งนี้ เปรียบเสมือนเกมเดิมพันระหว่างแพทย์แผนจีนกับแพทย์แผนตะวันตก
หากระหว่างนี้ แพทย์แผนตะวันตกสามารถหาวิธีรักษาชายชราให้หายได้ก่อนล่ะก็ จริงอยู่ เรื่องนี้ย่อมเป็นข่าวดีสำหรับคนสกุลจิน แต่กลับจะส่งผลร้ายต่อชื่อเสียงของการแพทย์แผนจีนอย่างแน่นอน และชื่อเสียงของแพทย์แผนจีนคงต้องย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย
หลายปีที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่การแพทย์แผนตะวันตกแผ่ขยายเข้ามาภายในประเทศ การแพทย์แผนจีนก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ส่วนหนึ่งมาจากการรักษาด้วยวิชาแพทย์แผนจีนนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาที่เนิ่นนานกว่าแพทย์แผนตะวันตก และนั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้ความนิยมในแพทย์แผนจีนเริ่มถดถอยลง และไม่อาจสู้การแพทย์แผนตะวันตกได้ อีกทั้งแพทย์แผนจีนเองนั้น กว่าจะมาเป็นแพทย์ที่เก่งและมีชื่อเสียงได้ ก็ต้องใช้เวลาในการศึกษาและสั่งสมประสบการณ์กันเป็นเวลานาน จึงไม่แปลกที่จะถูกการแพทย์แผนตะวันตกข้ามหัวไปแบบนี้
และในตอนนี้ ในขณะที่ผู้เฒ่าจินเกิดเป็นโรคแปลกประหลาดขึ้น หมอที่อยู่ภายในคฤหาสน์หลังนี้ก็มีทั้งทีมแพทย์แผนจีน และทีมแพทย์แผนตะวันตก หากทีมไหนสามารถรักษาคนไข้ให้หายได้ก่อน ย่อมต้องเป็นฝ่ายชนะ
ฉีเล่ยเองก็เข้าใจเหตุผลของผู้อำนวยการจูดีว่า เพราะเหตุใดเขาจึงต้องร้อนใจขนาดนี้ และดูเหมือนว่าแทบไม่อยากจะให้มีการทิ้งช่วงเวลา และต้องการให้ฉีเล่ยลงมือในทันที
“ราวสองถึงสามวันครับ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้ ซึ่งตอนนี้ผมเองก็ยังให้คำตอบที่แน่นอนไม่ได้ ต้องดูว่าโชคจะเข้าข้างแค่ไหน”
ฉีเล่ยหัวเราะหึๆ อย่างไรเสียเขาก็จะให้คนอื่นล่วงรู้เรื่องพลังหยิน และหยางที่ได้รับมานี้ไม่ได้ เพราะนี่นับเป็นความลับของเขาที่จะต้องปกปิด
แต่ดูเหมือนจูกวงหลงที่อยู่ในห้องของฉีเล่ยนั้น ยังคงมีท่าทีว่าจะอยู่ต่ออีกนาน จึงไม่ยอมออกไปเสียที ทำให้ฉีเล่ยอดที่จะอึดอัดไม่ได้ จนต้องเอ่ยปากบอกออกไปตามตรง เพราะคร้านที่จะมาเสียเวลาบอกเป็นนัยๆ
“เอ่อ… ผู้อำนวยการจูครับ คือว่าผมมีเรื่องส่วนตัวที่จะต้องทำต่อ ขอเวลาส่วนตัวให้ผมหน่อยจะได้ไหมครับ?”
“อ่อๆ ได้สิๆ เธอทำธุระส่วนตัวเถอะนะ ฉันจะออกไปก่อน แล้วถ้าต้องการให้ฉันช่วยอะไรก็โทรหาฉันได้ทันที”
ฉีเล่ยเพียงแค่พยักหน้าหงึกๆ
หลังจากที่จูกวงหลงเดินออกจากห้อง ฉีเล่ยจึงค่อยรู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นมาบ้าง จากนั้น เขาจึงเริ่มฝึกปลดปล่อยพลังหยิน และหยางออกมาจากปลายนิ้วมือทั้งสิบของตนเอง
กระบวนการปลดปล่อยพลังหยินและพลังหยางออกจากร่างกายนั้น สร้างความเจ็บปวดให้กับฉีเล่ยอย่างมาก ซึ่งอาจเกิดจากการที่เขายังไม่ชำนิชำนาญ หรืออาจเกิดจากพลังหยินและหยางนี้ยังไม่คุ้นเคยกับเจ้านายผู้คบคุมคนใหม่ก็เป็นได้
นักพรตซวนจื่อซือได้บอกไว้ว่า พลังหยินและพลังหยางนั้น นับเป็นพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และลูกแก้วม่วงลูกนี้ก็น่าจะก่อตัวขึ้นก่อนที่ผู้บำเพ็ญพรตหยินหยางจะสิ้นใจตาย หรือพูดง่ายๆก็คือ พลังหยินและพลังหยางที่ผู้บำเพ็ญพรตชราฝึกฝนมานานนับร้อยๆปีนั้น ล้วนอัดแน่นอยู่ในลูกแก้วลูกนี้นั่นเอง
แต่สิ่งที่ฉีเล่ยได้ครอบครองในเวลานี้ นับเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่เพียงแค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ฉีเล่ยมีคุณสมบัติที่ข้ามเกณฑ์นี้ได้
เวลานี้ ฉีเล่ยรู้สึกราวกับว่า ร่างกายของตนกำลังถูกพลังที่แข็งแกร่งทั้งสองนี้ฉีกกระชากอย่างรุนแรง จนเขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่านี่เขากำลังทำอะไรอยู่ และเกือบจะกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวด แต่เพราะเกรงว่าคนอื่นจะได้ยินเข้า และจะทำให้ความลับของเขาถูกเปิดเผย จึงจำต้องกัดฟันทน
ฉีเล่ยกัดฟันอดทนต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มสัมผัสได้ว่า มีกระแสไออุ่นพุ่งออกมาจากจุดตันเถียนของตนเอง แล้ววิ่งไปตามเส้นลมปราณทั่วร่าง ก่อนจะไปรวมกันอยู่ในจุดที่ฉีเล่ยรวมรวมสติไว้เป็นหนึ่งเดียว
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที…
แต่ละวินาทีที่ผ่านไปนั้น แลกมาด้วยความเจ็บปวด และความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของฉีเล่ย และตอนนี้ร่างกายของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลโชกออกมาจนเปียกโซฟาที่นั่งอยู่
แต่ในวินาทีที่ฉีเล่ยรับรู้ได้ถึงพลังหยินและหยางที่กำลังจะพ่วยพุ่งออกจากปลายนิ้วนั้น จู่ๆ กลับกลายเป็นความรู้สึกว่างเปล่าแทน
เฮ้อ! หายไปแล้วเหรอนี่?
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉีเล่ยรู้สึกผ่อนคลายมากจนเกินไปหรืออย่างไร เพราะพลังหยินและพลังหยางที่พุ่งออกจากจุดตันเถียนของเขา และกำลังจะพุ่งออกจากปลายนิ้วนั้น จู่ๆก็ย้อนกลับไปที่จุดตันเถียนของเขาตามเดิม
“นี่มัน…”
ฉีเล่ยได้แต่บ่นพึมพำออกมาด้วยความเสียดาย และไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเช่นกัน เขาสู้อุตส่าห์อดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมาตั้งนาน แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ความพยายามทั้งหมดของเขาจะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าแบบนี้
เฮ้อ! ดูเหมือนเส้นทางนี้ยากเย็นมากจริงๆ!
ฉีเล่ยเริ่มรู้สึกท้อแท้ขึ้นมา จึงได้แต่ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง และนอนแน่นิ่งไม่ขยับตัวอยู่อย่างนั้น
ฉีเล่ยยังจำได้ว่า เมื่อครั้งที่นักพรตซวนจื่อซือไปพบเขานั้น ได้ขอให้เขาเริ่มเรียนรู้ฝึกฝนเรื่องการบำเพ็ญเพียร แต่เขาเขาอยากจะมุ่งมั่นเพียงแค่เรื่องการรักษาผู้ป่วย และใช้วิชาแพทย์ช่วยชีวิตคนเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของนักพรตซวนจื่อซือนัก
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ในตอนนี้เขากลับกำลังพบเจอกับปัญหาหนักหน่วง!
ในที่สุด ฉีเล่ยก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ฉายาหมอเทวดาของบรรดาแพทย์แผนจีนในประวัติศาสตร์นั้นได้มาอย่างไร?
เป็นเพราะพวกเขาต้องฝึกบำเพ็ญเพียรจนสามารถควบคุมพลัง ที่แพทย์คนอื่นไม่สามารถทำได้นั่นเอง แต่การจะได้มาซึ่งพลังเหล่านี้ กระทั่งควบคุมมันได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตรงกันข้าม มันเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญอย่างมาก
ในโลกใบนี้มีแพทย์แผนจีนที่มีพรสวรรค์อยู่มากมาย แต่น้อยคนนักที่จะสามารถไปถึงจุดสูงสุดได้!
ฉีเล่ยคิดอยากจะยอมแพ้และล้มเลิกความตั้งใจ แต่เมื่อนึกถึงผู้เฒ่าจินที่ยังคงนอนหมดสติอยู่บนเตียง และอีกหลายชีวิตที่ยังต้องเผชิญกับปัญหาจากโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ไหนจะยังมีปัญหาเกี่ยวกับคนเผ่าเหมี่ยวอีก ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ฉีเล่ยไม่อาจยอมแพ้ได้!
หลังจากต่อสู้กับความขัดแย้งภายในใจอยู่นาน ในที่สุด ฉีเล่ยก็ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาอีกครั้ง!
“บ้าเอ๊ย! จะยอมแพ้แบบนี้ง่ายๆได้ยังไง?”
ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมา และนึกขันในความอ่อนแอของตัวเอง จากนั้น จึงเริ่มสงบจิตใจให้แน่นิ่ง และดำดิ่งสู่การฝึกฝนควบคุมพลังหยินและหยางในร่างต่อทันที
ฉีเล่ยนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อเช้าในระหว่างตรวจร่างกายของผู้เฒ่าจินนั้น เขาสามารถปลดปล่อยพลังหยิน และพลังหยางออกจากร่างของตนเองได้เล็กน้อย และดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายที่จะส่งผ่านพลังทั้งสองนี้ผ่านฝ่ามือ แต่กลับกลายเป็นเรื่องยากเย็นที่จะส่งผ่านปลายนิ้ว
แม้ทั้งสองสิ่งจะฟังดูคล้ายกัน แต่ผลที่ได้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่สิ่งที่ฉีเล่ยไม่รู้ก็คือ ในระหว่างที่เขากำลังเตรียมการรักษาอยู่นั้น ทางด้านแพทย์แผนตะวันตกก็กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดเช่นกัน
“ด็อกเตอร์สมิธ คุณดูคลื่นพลังงานนี่สิ? คุณเคยพบเห็นมาก่อนมั๊ย?”
นายแพทย์ท่านหนึ่งชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมกับร้องตะโกนบอกด็อกเตอร์สมิธด้วยสีหน้าตื่นเต้น
Comments