ยอดคุณหมอสกุลเฉินตอนที่292 พิษร้ายแรงและแปลกประหลาด
ตอนที่292 พิษร้ายแรงและแปลกประหลาด
หลังจากได้ยินคำพูดของฉีเล่ย ใจที่หนักอึ้งของฮวาโหล่วจึงได้เบาลงอย่างมาก
แม้ว่าก่อนออกเดินทาง ฮวาโหล่วจะคิดมาก่อนแล้วว่า ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดในครั้งนี้ ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่อาจปรากฏขึ้นในเขาจิ่วเหลียน แต่กลับเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจคาดเดาจิตใจได้ต่างหาก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมเช่นนี้เข้า เธอกลับรู้สึกว่า การได้พบเจอผู้คนที่มากมายกว่านี้ กลับทำให้เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นได้มาก
หลังจากเดินลึกเข้าไปอีกราวสองสามร้อยเมตร ความมืดภายในจึงค่อยๆอันตรธานหายไป และมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาแทน
“หลับตาก่อน ไม่งั้นตาคุณจะพร่าถ้าเจอแสงสว่างจ้าทันที”
ฉีเล่ยรีบร้องเตือนหญิงสาวด้วยความหวังดี
และไม่รู้ว่าตัวเธอเองได้เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่นเพราะเวลานี้ ฮวาโหล่วนั้นดูไม่ต่างจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ว่านอนสอนง่ายเป็นอย่างมาก
และทันทีที่ได้ยินคำพูดของฉีเล่ย ฮัวโหล่วก็รีบหลังตาลงทันที
แล้วก็เป็นอย่างที่ฉีเล่ยคิดไว้จริงๆ ไกลออกไปไม่มากนัก ได้เกิดความแตกต่างขึ้นจากบริเวณที่พวกเขาเพิ่งเดินผ่านมาอย่างมาก และจู่ๆ ก็มีแสงสว่างขาวโพลนปรากฏขึ้นให้เห็น
ฮวาโหล่วที่ยังคงหลับตาอยู่นั้น ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ และเมื่อเธอกำลังจะมองสำรวจบริเวณโดยรอบด้วยความรู้สึกตื่นเต้นนั้น กลับกลายเป็นว่าต้องพบกับความตกใจอย่างที่สุดแทน
นั่นเพราะตรงหน้าเธอเวลานี้ ปรากฏซากศพอยู่สองสามร่าง และจากสภาพศพนั้น ดูเหมือนน่าจะเพิ่งตายมาได้เพียงแค่สองสามวัน
แม้แต่ฉีเล่ยเองนั้น ทันทีที่ได้เห็นภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า หัวใจของเขาก็ถึงกับเต้นแรง และเริ่มมีลางสงหรณ์ไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น
หากเป็นศพของพวกนักโบราณคดี หรือโจรขุดสุสานเมื่อยี่สิบปีก่อน ป่านนี้สภาพศพน่าจะเหลือเพียงแค่โครงกระดูกขาวโพลนถึงจะถูก แต่สภาพศพที่ได้เห็นอยู่ตอนนี้ ดูเหมือนน่าจะเพิ่งเสียชีวิตได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น
ฉีเล่ยถึงกับขนหัวลุกชันไปทั่วทั้งตัว และไม่รู้จริงๆว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ฮวาโหล่วที่ก่อนหน้านี้หลับตาอยู่ เมื่อสังเกตเห็นว่าฉีเล่ยนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปนาน เธอจึงค่อยๆแอบลืมตาขึ้นมอง เพื่อที่จะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เธอก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ จึงรีบร้องถามฉีเล่ยทันที
“นี่.. นี่มันอะไรกัน?! มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?!”
เห็นได้ชัดว่าฮวาโหล่วมีอาการตกอกตกใจอย่างมาก เมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นซากศพตรงหน้าแบบนี้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ฮวาโหล่วจ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าตกอกตกใจ ปากก็ระล่ำระลักถามไม่หยุด ครั้งแรกที่เข้ามาที่นี่ เธอกลับต้องมาพบเจอเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ เธอเองจึงยากที่จะจินตนาการได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องตกใจ! สังเกตจากบาดแผลตามร่างกายของศพพวกนี้ ผมว่าคงจะไม่ใช่การตายแบบธรรมดาแน่ ดูท่าที่นี่คงจะมีอะไรที่ไม่ปกติแล้วล่ะ คุณค่อยๆเดินตามผมมาก็แล้วกัน ที่สำคัญ ห้ามแตะต้องอะไรอย่างเด็ดขาด แล้วก็พยายามอย่าเดินห่างจากผมด้วย เข้าใจไหม?”
ในสถานการณ์เช่นนี้ คำพูดที่ว่าความอยากรู้อยากเห็นมักพาไปตาย ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่ชาญฉลาดอย่างมาก
“แล้วนี่พวกเราจะทำยังไงต่อไปดี?”
ฮวาโหล่วที่เคยคึกคะนอง และห้าวหาญอยากจะเข้ามาก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นคนที่ตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ก็ต้องเดินหน้าต่อไปสิ อุตส่าห์เข้ามาจนถึงที่นี่แล้ว ถ้าจะไม่เดินต่อ มันออกจะฟังดูไร้เหตุผลไปหน่อยนะ”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบยิ้มๆ
ระหวา่งที่ทั้งคู่กำลังเดินผ่านกองซากศพเหล่านั้น จู่ๆฉีเล่ยก็เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเฉยๆ เขาจึงหยุด และค่อยๆย่อตัวลงเพื่อสำรวจดูตามร่างกายของซากศพเหล่านั้น และในที่สุดก็พบเจอบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดเข้า
นั่นเพราะศพทุกศพล้วนมีสีติดอยู่ที่ริมฝีปาก คล้ายกับว่าถูกพิษมายังไงยังงั้น ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อฉีเล่ยลองเอื้อมมือไปเปิดเปลือกตาของศพเหล่านั้นดู กลับพบว่า รูม่านตานั้นหดแคบลงในทันที
“พวกเขาถูกพิษงั้นเหรอ?”
ใช่แล้ว! นี่เป็นลักษณะอาการของคนที่ถูกยาพิษ และดูเหมือนจะเป็นพิษร้ายแรงมากด้วย ไม่อย่างนั้น ลูกนัยน์ตาของศพคงจะไม่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้
“เท่าที่สังเกตดูจากซากศพ ดูเหมือนบริเวณนี้น่าจะมีปุ่มบางอย่าง ที่เมื่อไปโดนเข้า มันก็จะสามารถปล่อยควันพิษรุนแรงออกมาได้ และมีฤทธิ์สามารถทำให้คนๆนั้นเสียชีวิตได้ในทันที”
ฉีเล่ยวิเคราะห์และคาดเดาสถานการณ์เพียงคร่าวๆ ก่อนจะรีบเดินตรงไปข้างหน้าต่อทันที อีกอย่าง นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เขาคุ้นเคยอะไรนัก ขืนอยู่นานกว่านี้เพียงแค่สองสามวินาที ไม่แน่ว่ามันอาจนำอันตรายถึงชีวิตมาสู่พวกเขาสองคนก็เป็นได้
ฮวาโหล่วเองก็ดูเหมือนจะตระหนักถึงปัญหาใหญ่ และอันตรายอันยิ่งยวดนี้ได้เช่นกัน เธอจึงรีบเดินตามฉีเล่ยไปติดๆทันที และแทบไม่ยอมให้คลาดกันเลยแม้แต่ก้าวเดียว แต่ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวตามฉีเล่ยออกไปอีกนั้น จู่ๆเธอก็รู้สึกเวียนหัว และแขนขาอ่อนแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“นี่! ฉัน.. ฉันรู้สึกไม่ไหวแล้ว!”
และทันทีที่ฮวาโหล่วพูดจบ ร่างของเธอก็ค่อยๆทรุดลงกับพื้น ฝ่ามือที่จับแขนของฉีเล่ยไว้แน่นนั้น ค่อยๆคลายออกและตกลงอย่างช้าๆ
ฉีเล่ยเองก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเช่นกัน เขารีบคว้าข้อมือของฮวาโหล่วไว้แน่น เพื่อไม่ให้หญิงสาวล้มลงกระแทกกับพื้นได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะค่อยๆนั่งยองๆลงตาม
จากนั้น ฉีเล่ยจึงได้รีบหยิบเอาขวดยาแก้พิษจากกระเป๋าเป้ด้านหลังออกมา แล้วรีบเทเข้าไปในปากของหญิงสาวทันที
“นี่! อย่าเป็นอะไรไปล่ะ คุณยังเป็นอะไรไม่ได้นะ พวกเราเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง คัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงก็ยังไม่ทันได้เห็น จะมาเป็นอะไรไปก่อนแบบนี้ได้ยังไง?”
เวลานี้ ตามร่างกายของฮวาโหล่ก็เริ่มปรากฏร่องรอยสีม่วงขึ้น ริมฝีปากกลายเป็นสีคล้ายๆกับริมฝีปากของศพที่พวกเขาพบเห็นก่อนหน้านี้ ฉีเล่ยรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติขึ้นแล้ว และรู้ว่าครั้งนี้ ยาแก้พิษของเขาดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผล
“นี่มัน…”
ฉีเล่ยรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย จากสภาพของฮวาโหล่วเวลานี้ ทำให้เขาเริ่มตระหนักได้ว่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพิษร้ายแรง
เพียงแต่… เขากลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย!
หรือจะเป็นเพราะพลังหยินและหยางในร่างกายของเขาเวลานี้?
ฉีเล่ยครุ่นคิดสงสัยอยู่ราวสองสามวินาที แม้เขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดนั้นผิดหรือถูก แต่อย่างน้อยครั้งนี้ เขาก็ต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง
หลังจากที่ได้เคยใช้พลังหยินและพลังหยางช่วยรักษาผู้เฒ่าจินมาก่อนหน้านี้ ทำให้ฉีเล่ยเริ่มมีความชำนาญในการควบคุมพลังหยินและหยางในร่างของตนเองได้มากขึ้น เขาจึงไม่รีรอ และค่อยๆถ่ายเทพลังทั้งสองชนิดเข้าสู่ร่างของฮวาโหล่วอย่างช้าๆ แล้วพิษในร่างของเธอก็ค่อยๆจางหายไป
“นี่ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?”
ฮวาโหล่วไม่รู้ว่าระหว่างที่หมดสติไปนั้น เกิดอะรขึ้นกับตนเองบ้าง เธอลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงีย พร้อมกับเอ่ยถามฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าอย่างมาก
หากไม่ใช่เพราะฉีเล่ยใช้พลังหยินและพลังหยางช่วยรักษา ฮวาโหล่วอาจจะเสียเวลาไปในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำไป
“นี่! ทำไมถึงได้พูดจาไร้สาระไม่เป็นมงคลแบบนี้?”
ฉีเล่ยตำหนิฮวาโหล่วด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างมาก ก่อนจะบอกเธอด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า “อยู่หน้าหมอเทวดาอย่างผม คุณจะตายง่ายๆได้ยังไง?”
ด้วยความตกใจ ฉีเล่ยจึงได้เผลอตัวเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองออกไป ฮวาโหล่เองก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย และรู้สึกคุ้นหูกับคำว่า ‘หมอเทวดา’ แต่ตอนนี้เธอเองก็คิดอะไรไม่ออก จึงได้แต่ตอบกลับไปเพียงแค่สั้นๆ
“ขอบคุณมาก!”
ตลอดระยะเวลาที่อยู่บนรถไฟด้วยกัน ฉีเล่ยก็รู้สึกและเห็นฮวาโหล่วเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง แต่ยิ่งได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เขากลับยิ่งเห็นเธอเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ
เมื่อครู่ที่คิดว่าหมดทางรักษาฮวาโหล่วนั้น ฉีเล่ยกลับรู้สึกกระวนกระวายใจ และตกใจจนทำอะไรแทบไม่ถูก ซึ่งในการรักษาผู้เฒ่าจินนั้น เขายังไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
“ว่าแต่… เมื่อครู่นายช่วยฉันไว้ใช่ไหม?”
ฉีเล่ยรีบขับไล่ความรู้สึกแปลกๆนี้ออกไปจากหัว ก่อนจะรีบตอบหญิงสาวไปว่า
“เปล่านี่! ผมจะไปช่วยอะไรคุณได้ ผมเดินนำหน้าคุณอยู่ตลอด กว่าจะรู้ตัวอีกทีคุณก็รู้สึกตัวแล้ว!”
ฮวาโหล่วจ้องมองฉีเล่ยด้วยแววตาไร้เดียงสา ก่อนจะถามย้ำอีกครั้งว่า
“เมื่อครู่นายไม่ได้ทำอะไรจริงๆน่ะเหรอ?”
Comments