ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 154 ประลองรอบสอง(2)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 154 ประลองรอบสอง(2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่154 ประลองรอบสอง(2)

เป่ยฉวนเทียนหันกลับไปสอบถามความคิดเห็นของฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอมีอะไรจะถามบ้างไหม?”

“ไม่มีครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

เป่ยฉวนเทียนพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันได้เลย กติกาการประลองยังคงเหมือนกับครั้งแรก สุ่มเลือกคนไข้มาเพื่อวินิจฉัยอาการและทำการรักษา ในเมื่อฉันเป็นเจ้าบ้าน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ก่อตั้งคลินิกแห่งนี้ ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันการโกง คนไข้ทั้งหมดจะถูกสุ่มเลือก เธอมีปัญหาอะไรไหม?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยทันที

“เอาตามที่อาวุโสเป่ยเสนอไดเ้เลยครับ”

เขาทราบดีว่า ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียน ชายผู้นี้ไม่มีวันทำเรื่องสกปรก หรือฉกฉวยโอกาสใดๆอย่างแน่นอน เพราะเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ย่อมกระทบต่อชื่อเสียงของเขาโดยตรง หากเรื่องราวได้แพร่สะพรัดออกไป

อีกอย่าง… การประลองแบบนี้ยังมีอะไรให้โกงได้อีก?

เมื่อเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ผู้มากทักษะทางการแพทย์อย่างแท้จริงเช่นนี้ แผนการหรือกลอุบายใดล้วนกลายเป็นเพียงแค่เสือกระดาษทันที

เป่ยจ้าวหยวนรีบเดินออกไปเรียนเชิญกลุ่มคนไข้ ที่ได้ลงทะเบียนกรอกข้อมูลไว้ให้เข้ามาด้านในทันที และเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเขา เป่ยฉวนเทียนจึงได้ขอให้ฉีเล่ยสุ่มเลือกหมายเลขของคนไข้ก่อนโดยสามารถเลือกได้ตามใจชอบ

“ฉีเล่ย เธอเลือกสุ่มหมายเลขคนไข้ก่อนเลย”

ฉีเล่ยเอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า

“ผมขอเลือกหมายเลข7ครับ”

เมื่อฉีเล่ยประกาศหมายเลขคนไข้ที่ต้องการออกไปแล้ว เป่ยจ้าวหยวนจึงได้อาสาออกไปเรียกผู้ป่วยที่ได้เลขคิวเบอร์ 7ให้ทันที

เป่ยจ้าวหยวนเปิดแฟ้มข้อมูลขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกนเรียกว่า

“ซูเฉา เพศชาย อายุ 38ปี”

หลัวไป๋ซิ่วที่รออยู่ในห้องตรวจด้านใน จึงได้ร้องบอกว่า

“เรียกเขาเข้ามาในห้องนี้เลย”

ในไม่ช้า หญิงสาวในชุดกี่เพ้าก็ได้เดินนำชายผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าโศกเศร้าอย่างมาก เข้ามาภายในห้องตรวจ VIP ทันที เมื่อเห็นว่าหญิงสาวในชุดกี่เพ้าพาขึ้นมายังห้องตรวจชั้นที่สอง เขาก็ถึงกับชะงักและรีบร้องร้องถามออกไปทันที

“นี่เรามาผิดห้องรึเปล่าครับ?”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ายิ้มให้และกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ผิดค่ะ วันนี้อาจารย์เป่ยได้เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญมาหลายคน พวกเขาจะทำการตรวจรักษาให้คุณเป็นการส่วนตัวค่ะ”

คำกล่าวของหญิงสาวในชุดกี่เพ้าทำให้ชายคนนั้นดูผิดหวังและตกอกตกใจอย่างมาก ก่อนจะร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ว่า

“นี่ผมเป็นโรคอะไรกันแน่? มันร้ายแรงจนถึงขั้นที่ต้องเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามากลุ้มรุมตรวจกันขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวในชุดกี่เพ้าเองก็ค่อนข้างรับมือได้ดี เธอยิ้มตอบพร้อมปลอบคนไข้อย่างใจเย็นไปว่า

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ เนื่องจากในในทุกเดือนอาจารย์เป่ยจะเรียนเชิญบรรดาผู้เชี่ยวชาญให้แวะเวียนกันเข้ามาอยู่แล้ว และคุณเป็นผู้โชคดีที่ได้รับการสุ่มเลือกในวันนี้ค่ะ”

เมื่อได้ยินว่า เขาจะได้รักษากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและเป่ยฉวนเทียนเป็นการส่วนตัว สีหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนจากตกใจมาเป็นยิ้มแย้มจนแก้มแทบปริ และใบหน้าเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งทันที

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องรบกวนแล้วล่ะครับ”

ในเวลานั้นเอง คนไข้ชายก็ได้เดินเข้าไปถึงห้องพอดี และได้พบเห็นกลุ่มชายชราที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิกันอยู่สี่ทิศ ดูประหนึ่งเหล่าปรมาจารย์ลงมาจุติ ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองช่างโชคดีที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ และการได้รับการรักษากับเหล่าปรมาจารย์ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว

เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าพร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยว่า

“เอาล่ะฉีเล่ย เธอเริ่มก่อนได้เลย”

ฉีเล่ยเดินตรงออกมาจากมุมห้อง เอื้อมมือไปจับชีพจรบริเวณข้อมือของอีกฝ่ายทันที แต่เมื่อชายคนนั้นเห็นฉีเล่ยอาสาออกมารักษาตนเองแทนเหล่าอาวุโส เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

“ทำไมถึงให้แพทย์ฝึกหัดมาล่ะ? ไหนบอกว่าผมจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?”

ฉีเล่ยปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย พร้อมกับก่นเสียงเย็นชาออกมาเบาๆ

“เงียบก่อน”

เมื่อได้เห็นสีหน้าการแสดงออกที่จริงจังเคร่งเครียดของฉีเล่ย ชายคนนั้นก็ถึงกับชะงักไปพร้อมกับปิดปากเงียบทันที เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกกดดันและหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก

ครั้งนี้ฉีเล่ยใช้เวลาจับชีพจรนานถึงสามนาทีเต็มๆ ขณะตรวจจับชีพจรก็เฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

ใบหน้าซีดขาว นัยน์ตาแดงก่ำ แก้วตาขุ่นมัว เมื่อสักครู่ที่ปริปากพูดออกมา ก็สัมผัสได้ถึงไอกลิ่นคาวเล็กน้อยพวยพุ่งออกมา

หลังจากที่ฉีเล่ยจับชีพจรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปพยักหน้าให้ชายชราที่เหลือ จากนั้นก็เป็นเป่ยฉวนเทียนที่เข้ามาจับชีพจรของชายคนนั้นต่อจากฉีเล่ย

หลังจากที่แต่ละคนได้ทำการจับชีพจรของคนไข้ชายครบทุกคนแล้ว หลัวไป่ซิ่วก็ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“มีใครอยากจะสอบถามอะไรคนไข้บ้างไหม?”

ฉีเล่ยส่ายหัว

“ไม่มีครับ”

“ฉันเองก็ไม่มี”

ดูเหมือนว่าทั้งชายหนุ่มและชายชราเหล่านั้น จะตระหนักชัดแจ้งได้ตั้งแต่จับชีพจรและสังเกตสีหน้าท่าทางของชายผู้นั้นแล้ว เพียงรูปลักษณ์และสัญญาณการเต้นของหัวใจ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ทำให้ปรมาจารย์แพทย์แผนจีนทั้งหมดรู้ได้ว่า ชายคนนี้ป่วยเป็นโรคอะไร?

หลิวไป๋ซิ่วพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“ถ้าอย่างนั้น ก็เริ่มเขียนใบสั่งยากันได้เลย จากนั้นจึงค่อยเอาใบสั่งยาของแต่ละคนมาเปรียบเทียบกัน”

ฉีเล่ยและเป่ยฉวนเทียนเดินตรงไปที่โต๊ะซึ่งมีพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษ วางเตรียมพร้อมให้อยู่แล้ว

เป่ยฉวนเทียนตวัดร่ายเรียงเขียนอักษรได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ในฐานะแพทย์แผนจีนที่เขียนใบสั่งยาให้คนไข้อยู่เป็นประจำ นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร

หลังจากวางพู่กันในมือลง เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะเหลือบมองไปทางโต๊ะของฉีเล่ยไม่ได้ และกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะของฉีเล่ยนั้นก็เตะตาชายชราเข้าอย่างจัง

ตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันของฉีเล่ยนั้นไม่ธรรมดาเลย บางจังหวะลายเส้นดูแข็งกร้าว บางจังหวะเส้นกลับตวัดร่ายรำพริ้วไหวดูอ่อนโยน แสงที่สาดสะท้อนเส้นหมึกก่อให้เกิดเป็นประกายสีทองและเงินสลับไสวดูวิจิตรตายิ่ง

เมื่อได้เห็นแผ่นกระดาษของฉีเล่ย หลัวไป๋ซิ่วผู้รักการเขียนอักษรพู่กันเป็นชีวิตจิตใจก็ถึงกับเอ่ยปากชมว่า

“ช่างเป็นอักษรที่สวยงามมากจริงๆ”

อาวุโสเหวินถึงกับต้องร้องอุทานออกมาพร้อมกับปรบมือ

“ดูจากโครงอักษรแล้ว สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ทักษะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะสมามารถฝึกฝนกันได้ด้วยเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน”

ปิงโหย่วหลินยิ้มและกล่าวว่า

“หาได้ยากมากเลยนะในยุคสมัยนี้ ที่จะมีหนุ่มสาวคนไหนสามารถเขียนพู่กันออกมาได้สวยขนาดนี้”

แม้จะได้รับคำยกย่องชมเชยไม่หยุด แต่สีหน้าของฉีเล่ยกลับปราศจากคลื่นอารมณ์แปรปวนใดๆปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพราะเขาหนังหน้าหนามาก

แม้ว่าคนหนุ่มสาวในสมัยนี้จะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ตัวเองควรจะต้องทำอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะเสียเวลาไปกับการเล่นเกม ร้องเพลง แล้วก็ขับรถ แต่กลับไม่เคยรู้ว่า สิ่งใดที่จำเป็นกับชีวิตของพวกเขากันแน่?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กในเมืองยุคใหม่ ที่ลายมือถูกแทนที่ด้วยแป้นพิมพ์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปหมดแล้ว คนที่จะสามารถเขียนอักษรพู่กันได้สวยงามขนาดนี้ น่าจะเหลือแต่เพียงคนแก่คนเฒ่าแล้ว น้อยนักที่จะเสาะหาพบในกลุ่มคนหนุ่มสาว

เป่ยฉวนเทียนเฝ้ามองอักษรบนแผ่นกระดาษของฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นว่า

“เฮ้อ..ถ้าให้พูดตามตรง แค่ลายมือฉันก็แพ้เธอไปแล้วหนึ่งเรื่อง มีเรื่องหนึ่งที่เธอควรต้องรู้ ลายมือมักสะท้อนให้เห็นถึงความลึกล้ำของบุคคลนั้น”

ฉีเล่ยยิ้มตอบพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“อาวุโสชมเกินไปแล้วครับ”

หลิวไป่ซิ่วอากัปกิริยาของฉีเลีย จึงอดที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ได้

“การรู้จักมารยาทเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าถ่อมตัวมากจนเกินไป มันจะกลับกลายเป็นว่าดูหยิ่งผยองแทนนะ”

แม้น้ำเสียงของหลิวไป่ซิ่วจะฟังดูแข็งกร้าว แต่ทุกคนในห้องที่ได้ยินต่างก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังชื่นชมฉีเล่ยอยู่ลึก

อาวุโสเหวินยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า

“เอาล่ะ มาดูใบสั่งยาที่เขียนกันเลยดีกว่า”

ทั้งสามรวบรวมใบสั่งยาที่เป่ยฉวนเทียนกับฉีเล่ยเขียนเอาไว้ จากนั้นจึงได้เอามานั่งดูเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด

และเป็นหลิวไป่ซิ่วที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า

“เบื้องต้นทั้งสองวินิจฉัยอาการออกมาเหมือนกัน พลังฉีที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของคนไข้นั้นไม่เพียงอ่อนแอแต่ยังไหลเวียนไม่ดีด้วย จึงนำมาซึ่งสภาวะการสั่งสมพลังความร้อนไว้ภายในกายมากจนเกินไป ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ใจสั่นจนถึงขั้นนอนไม่หลับ”

อาวุโสเหวินขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้างว่า

“แต่ใบสั่งยาของทั้งคู่กลับค่อนข้างแตกต่างกันมาก ดูเหมือนว่าแต่ละคนก็จะมีแนวทางการรักษาในแบบฉบับของตัวเองสินะ? งั้นมาดูกันดีกว่าว่า ใบสั่งยาไหนจะมีประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุด”

ปิงโหย่วหลินกวาดสายตามองใบสั่งยาทั้งสองใบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ของตาเฒ่าเป่ย ใช้ยาถางเซียวเหยาซาน(อิสระไพศาล) องค์ประกอบหลักมี เปลือกดอกโบตั๋น, ตะไคร่เหลือง, หวงเหลียน, เปลือกส้มตากแห้งและไฉหู องค์ประกอบเสริม ลูกพลู หวงเหลียน หวงหลุน อืมม…เข้าใจเลือกดีนะ เปลือกส้มตากแห้งไม่เพียงจะช่วยระบายแก๊สในม้ามและตับอ่อน แต่ยังช่วยบำรุงน้ำย่อยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่วนสมุนไพรเสริมทั้งหมดมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไฟในร่างกาย ยิ่งนำเปลือกดอกโบตั๋นเข้ามาผสมด้วย ยังสามารถช่วยบำรุงถุงน้ำดี ปรับระดับหยินหยางให้เกิดความสมดุล นี่เป็นสูตรยาที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ส่วนของฉีเล่ย ใช้ยาต้มหลงตัน(มังกรคะนอง) องค์ประกอบหลักได้แก่ ยอดดอกโบตั๋น หอยนางรมฟู่เสิน ไขกระดูกงู สมุนไพรทรายแดง องค์ประกอบรองจะเป็น ตะไคร่แดง ลูกพลับตากแห้ง อืม อืม…เน้นรักษาในส่วนตับ ม้ามและถุงน้ำดีเฉพาะทาง มิหนำซ้ำยังช่วยล้างไฟที่สั่งสมในตับอ่อนได้อีกด้วย ส่วนไขกระดูกงู กับหอยนางรมฟู่เสินมีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบ นอนหลับได้ดีขึ้น ส่วนสมุนไพรทรายแดงกับตะไคร่แดงหากใช้ด้วยกันจะมีฤทธิ์เกื้อกูล ช่วยในการขับถ่ายระบายความร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี”

เมื่อได้อ่านใบสั่งยาของฉีเล่ย ปิงโหย่วหลินจึงได้แต่เอ่ยถามด้วยความลังเลว่า

“แต่ใบสั่งยาตัวนี้จะแรงเกินไปรึเปล่า? อย่างการใช้ตะไคร่แดงกับสมุนไรทรายแดงควบคู่กัน แม้จะช่วยเรื่องการระบายขับถ่ายก็จริง แต่เกรงว่าถ้าคุมปริมาณได้ไม่ดีพอ อาจจะทำให้คนไข้เกิดอาการท้องร่วงแทรกซ้อนขึ้นมารึเปล่า? ดูเหมือนจะอันตรายไปหน่อยนะ?”

ฉีเล่ยเหลือบมองชายชราที่กำลังปั้นหน้าฉงนใจ พร้อมกับอธิบายให้ฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เพราะการทำงานของสมุนไพรทั้งสองชนิดมีฤทธิ์รุนแรงเกินไปครับ ผมก็เลยใช้ลูกพลับตากแห้งเข้ามาถ่วงสมดุลสร้างความเสถียรขึ้นมา อันที่จริงถ้าเป็นคลินิกที่อื่นผมคงไม่กล้าเขียนใบสั่งยาแบบนี้ให้แน่นอน แต่เพราะที่นี่เป็นมืออาชีพมากพอ ผมก็เลยไม่กังวลเรื่องการชั่งวัดปริมาณครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 154 ประลองรอบสอง(2)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 154 ประลองรอบสอง(2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่154 ประลองรอบสอง(2)

เป่ยฉวนเทียนหันกลับไปสอบถามความคิดเห็นของฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอมีอะไรจะถามบ้างไหม?”

“ไม่มีครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

เป่ยฉวนเทียนพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันได้เลย กติกาการประลองยังคงเหมือนกับครั้งแรก สุ่มเลือกคนไข้มาเพื่อวินิจฉัยอาการและทำการรักษา ในเมื่อฉันเป็นเจ้าบ้าน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ก่อตั้งคลินิกแห่งนี้ ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันการโกง คนไข้ทั้งหมดจะถูกสุ่มเลือก เธอมีปัญหาอะไรไหม?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยทันที

“เอาตามที่อาวุโสเป่ยเสนอไดเ้เลยครับ”

เขาทราบดีว่า ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียน ชายผู้นี้ไม่มีวันทำเรื่องสกปรก หรือฉกฉวยโอกาสใดๆอย่างแน่นอน เพราะเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ย่อมกระทบต่อชื่อเสียงของเขาโดยตรง หากเรื่องราวได้แพร่สะพรัดออกไป

อีกอย่าง… การประลองแบบนี้ยังมีอะไรให้โกงได้อีก?

เมื่อเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ผู้มากทักษะทางการแพทย์อย่างแท้จริงเช่นนี้ แผนการหรือกลอุบายใดล้วนกลายเป็นเพียงแค่เสือกระดาษทันที

เป่ยจ้าวหยวนรีบเดินออกไปเรียนเชิญกลุ่มคนไข้ ที่ได้ลงทะเบียนกรอกข้อมูลไว้ให้เข้ามาด้านในทันที และเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเขา เป่ยฉวนเทียนจึงได้ขอให้ฉีเล่ยสุ่มเลือกหมายเลขของคนไข้ก่อนโดยสามารถเลือกได้ตามใจชอบ

“ฉีเล่ย เธอเลือกสุ่มหมายเลขคนไข้ก่อนเลย”

ฉีเล่ยเอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า

“ผมขอเลือกหมายเลข7ครับ”

เมื่อฉีเล่ยประกาศหมายเลขคนไข้ที่ต้องการออกไปแล้ว เป่ยจ้าวหยวนจึงได้อาสาออกไปเรียกผู้ป่วยที่ได้เลขคิวเบอร์ 7ให้ทันที

เป่ยจ้าวหยวนเปิดแฟ้มข้อมูลขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกนเรียกว่า

“ซูเฉา เพศชาย อายุ 38ปี”

หลัวไป๋ซิ่วที่รออยู่ในห้องตรวจด้านใน จึงได้ร้องบอกว่า

“เรียกเขาเข้ามาในห้องนี้เลย”

ในไม่ช้า หญิงสาวในชุดกี่เพ้าก็ได้เดินนำชายผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าโศกเศร้าอย่างมาก เข้ามาภายในห้องตรวจ VIP ทันที เมื่อเห็นว่าหญิงสาวในชุดกี่เพ้าพาขึ้นมายังห้องตรวจชั้นที่สอง เขาก็ถึงกับชะงักและรีบร้องร้องถามออกไปทันที

“นี่เรามาผิดห้องรึเปล่าครับ?”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ายิ้มให้และกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ผิดค่ะ วันนี้อาจารย์เป่ยได้เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญมาหลายคน พวกเขาจะทำการตรวจรักษาให้คุณเป็นการส่วนตัวค่ะ”

คำกล่าวของหญิงสาวในชุดกี่เพ้าทำให้ชายคนนั้นดูผิดหวังและตกอกตกใจอย่างมาก ก่อนจะร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ว่า

“นี่ผมเป็นโรคอะไรกันแน่? มันร้ายแรงจนถึงขั้นที่ต้องเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามากลุ้มรุมตรวจกันขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวในชุดกี่เพ้าเองก็ค่อนข้างรับมือได้ดี เธอยิ้มตอบพร้อมปลอบคนไข้อย่างใจเย็นไปว่า

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ เนื่องจากในในทุกเดือนอาจารย์เป่ยจะเรียนเชิญบรรดาผู้เชี่ยวชาญให้แวะเวียนกันเข้ามาอยู่แล้ว และคุณเป็นผู้โชคดีที่ได้รับการสุ่มเลือกในวันนี้ค่ะ”

เมื่อได้ยินว่า เขาจะได้รักษากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและเป่ยฉวนเทียนเป็นการส่วนตัว สีหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนจากตกใจมาเป็นยิ้มแย้มจนแก้มแทบปริ และใบหน้าเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งทันที

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องรบกวนแล้วล่ะครับ”

ในเวลานั้นเอง คนไข้ชายก็ได้เดินเข้าไปถึงห้องพอดี และได้พบเห็นกลุ่มชายชราที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิกันอยู่สี่ทิศ ดูประหนึ่งเหล่าปรมาจารย์ลงมาจุติ ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองช่างโชคดีที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ และการได้รับการรักษากับเหล่าปรมาจารย์ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว

เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าพร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยว่า

“เอาล่ะฉีเล่ย เธอเริ่มก่อนได้เลย”

ฉีเล่ยเดินตรงออกมาจากมุมห้อง เอื้อมมือไปจับชีพจรบริเวณข้อมือของอีกฝ่ายทันที แต่เมื่อชายคนนั้นเห็นฉีเล่ยอาสาออกมารักษาตนเองแทนเหล่าอาวุโส เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

“ทำไมถึงให้แพทย์ฝึกหัดมาล่ะ? ไหนบอกว่าผมจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?”

ฉีเล่ยปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย พร้อมกับก่นเสียงเย็นชาออกมาเบาๆ

“เงียบก่อน”

เมื่อได้เห็นสีหน้าการแสดงออกที่จริงจังเคร่งเครียดของฉีเล่ย ชายคนนั้นก็ถึงกับชะงักไปพร้อมกับปิดปากเงียบทันที เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกกดดันและหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก

ครั้งนี้ฉีเล่ยใช้เวลาจับชีพจรนานถึงสามนาทีเต็มๆ ขณะตรวจจับชีพจรก็เฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

ใบหน้าซีดขาว นัยน์ตาแดงก่ำ แก้วตาขุ่นมัว เมื่อสักครู่ที่ปริปากพูดออกมา ก็สัมผัสได้ถึงไอกลิ่นคาวเล็กน้อยพวยพุ่งออกมา

หลังจากที่ฉีเล่ยจับชีพจรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปพยักหน้าให้ชายชราที่เหลือ จากนั้นก็เป็นเป่ยฉวนเทียนที่เข้ามาจับชีพจรของชายคนนั้นต่อจากฉีเล่ย

หลังจากที่แต่ละคนได้ทำการจับชีพจรของคนไข้ชายครบทุกคนแล้ว หลัวไป่ซิ่วก็ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“มีใครอยากจะสอบถามอะไรคนไข้บ้างไหม?”

ฉีเล่ยส่ายหัว

“ไม่มีครับ”

“ฉันเองก็ไม่มี”

ดูเหมือนว่าทั้งชายหนุ่มและชายชราเหล่านั้น จะตระหนักชัดแจ้งได้ตั้งแต่จับชีพจรและสังเกตสีหน้าท่าทางของชายผู้นั้นแล้ว เพียงรูปลักษณ์และสัญญาณการเต้นของหัวใจ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ทำให้ปรมาจารย์แพทย์แผนจีนทั้งหมดรู้ได้ว่า ชายคนนี้ป่วยเป็นโรคอะไร?

หลิวไป๋ซิ่วพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“ถ้าอย่างนั้น ก็เริ่มเขียนใบสั่งยากันได้เลย จากนั้นจึงค่อยเอาใบสั่งยาของแต่ละคนมาเปรียบเทียบกัน”

ฉีเล่ยและเป่ยฉวนเทียนเดินตรงไปที่โต๊ะซึ่งมีพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษ วางเตรียมพร้อมให้อยู่แล้ว

เป่ยฉวนเทียนตวัดร่ายเรียงเขียนอักษรได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ในฐานะแพทย์แผนจีนที่เขียนใบสั่งยาให้คนไข้อยู่เป็นประจำ นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร

หลังจากวางพู่กันในมือลง เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะเหลือบมองไปทางโต๊ะของฉีเล่ยไม่ได้ และกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะของฉีเล่ยนั้นก็เตะตาชายชราเข้าอย่างจัง

ตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันของฉีเล่ยนั้นไม่ธรรมดาเลย บางจังหวะลายเส้นดูแข็งกร้าว บางจังหวะเส้นกลับตวัดร่ายรำพริ้วไหวดูอ่อนโยน แสงที่สาดสะท้อนเส้นหมึกก่อให้เกิดเป็นประกายสีทองและเงินสลับไสวดูวิจิตรตายิ่ง

เมื่อได้เห็นแผ่นกระดาษของฉีเล่ย หลัวไป๋ซิ่วผู้รักการเขียนอักษรพู่กันเป็นชีวิตจิตใจก็ถึงกับเอ่ยปากชมว่า

“ช่างเป็นอักษรที่สวยงามมากจริงๆ”

อาวุโสเหวินถึงกับต้องร้องอุทานออกมาพร้อมกับปรบมือ

“ดูจากโครงอักษรแล้ว สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ทักษะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะสมามารถฝึกฝนกันได้ด้วยเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน”

ปิงโหย่วหลินยิ้มและกล่าวว่า

“หาได้ยากมากเลยนะในยุคสมัยนี้ ที่จะมีหนุ่มสาวคนไหนสามารถเขียนพู่กันออกมาได้สวยขนาดนี้”

แม้จะได้รับคำยกย่องชมเชยไม่หยุด แต่สีหน้าของฉีเล่ยกลับปราศจากคลื่นอารมณ์แปรปวนใดๆปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพราะเขาหนังหน้าหนามาก

แม้ว่าคนหนุ่มสาวในสมัยนี้จะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ตัวเองควรจะต้องทำอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะเสียเวลาไปกับการเล่นเกม ร้องเพลง แล้วก็ขับรถ แต่กลับไม่เคยรู้ว่า สิ่งใดที่จำเป็นกับชีวิตของพวกเขากันแน่?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กในเมืองยุคใหม่ ที่ลายมือถูกแทนที่ด้วยแป้นพิมพ์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปหมดแล้ว คนที่จะสามารถเขียนอักษรพู่กันได้สวยงามขนาดนี้ น่าจะเหลือแต่เพียงคนแก่คนเฒ่าแล้ว น้อยนักที่จะเสาะหาพบในกลุ่มคนหนุ่มสาว

เป่ยฉวนเทียนเฝ้ามองอักษรบนแผ่นกระดาษของฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นว่า

“เฮ้อ..ถ้าให้พูดตามตรง แค่ลายมือฉันก็แพ้เธอไปแล้วหนึ่งเรื่อง มีเรื่องหนึ่งที่เธอควรต้องรู้ ลายมือมักสะท้อนให้เห็นถึงความลึกล้ำของบุคคลนั้น”

ฉีเล่ยยิ้มตอบพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“อาวุโสชมเกินไปแล้วครับ”

หลิวไป่ซิ่วอากัปกิริยาของฉีเลีย จึงอดที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ได้

“การรู้จักมารยาทเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าถ่อมตัวมากจนเกินไป มันจะกลับกลายเป็นว่าดูหยิ่งผยองแทนนะ”

แม้น้ำเสียงของหลิวไป่ซิ่วจะฟังดูแข็งกร้าว แต่ทุกคนในห้องที่ได้ยินต่างก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังชื่นชมฉีเล่ยอยู่ลึก

อาวุโสเหวินยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า

“เอาล่ะ มาดูใบสั่งยาที่เขียนกันเลยดีกว่า”

ทั้งสามรวบรวมใบสั่งยาที่เป่ยฉวนเทียนกับฉีเล่ยเขียนเอาไว้ จากนั้นจึงได้เอามานั่งดูเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด

และเป็นหลิวไป่ซิ่วที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า

“เบื้องต้นทั้งสองวินิจฉัยอาการออกมาเหมือนกัน พลังฉีที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของคนไข้นั้นไม่เพียงอ่อนแอแต่ยังไหลเวียนไม่ดีด้วย จึงนำมาซึ่งสภาวะการสั่งสมพลังความร้อนไว้ภายในกายมากจนเกินไป ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ใจสั่นจนถึงขั้นนอนไม่หลับ”

อาวุโสเหวินขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้างว่า

“แต่ใบสั่งยาของทั้งคู่กลับค่อนข้างแตกต่างกันมาก ดูเหมือนว่าแต่ละคนก็จะมีแนวทางการรักษาในแบบฉบับของตัวเองสินะ? งั้นมาดูกันดีกว่าว่า ใบสั่งยาไหนจะมีประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุด”

ปิงโหย่วหลินกวาดสายตามองใบสั่งยาทั้งสองใบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ของตาเฒ่าเป่ย ใช้ยาถางเซียวเหยาซาน(อิสระไพศาล) องค์ประกอบหลักมี เปลือกดอกโบตั๋น, ตะไคร่เหลือง, หวงเหลียน, เปลือกส้มตากแห้งและไฉหู องค์ประกอบเสริม ลูกพลู หวงเหลียน หวงหลุน อืมม…เข้าใจเลือกดีนะ เปลือกส้มตากแห้งไม่เพียงจะช่วยระบายแก๊สในม้ามและตับอ่อน แต่ยังช่วยบำรุงน้ำย่อยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่วนสมุนไพรเสริมทั้งหมดมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไฟในร่างกาย ยิ่งนำเปลือกดอกโบตั๋นเข้ามาผสมด้วย ยังสามารถช่วยบำรุงถุงน้ำดี ปรับระดับหยินหยางให้เกิดความสมดุล นี่เป็นสูตรยาที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ส่วนของฉีเล่ย ใช้ยาต้มหลงตัน(มังกรคะนอง) องค์ประกอบหลักได้แก่ ยอดดอกโบตั๋น หอยนางรมฟู่เสิน ไขกระดูกงู สมุนไพรทรายแดง องค์ประกอบรองจะเป็น ตะไคร่แดง ลูกพลับตากแห้ง อืม อืม…เน้นรักษาในส่วนตับ ม้ามและถุงน้ำดีเฉพาะทาง มิหนำซ้ำยังช่วยล้างไฟที่สั่งสมในตับอ่อนได้อีกด้วย ส่วนไขกระดูกงู กับหอยนางรมฟู่เสินมีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบ นอนหลับได้ดีขึ้น ส่วนสมุนไพรทรายแดงกับตะไคร่แดงหากใช้ด้วยกันจะมีฤทธิ์เกื้อกูล ช่วยในการขับถ่ายระบายความร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี”

เมื่อได้อ่านใบสั่งยาของฉีเล่ย ปิงโหย่วหลินจึงได้แต่เอ่ยถามด้วยความลังเลว่า

“แต่ใบสั่งยาตัวนี้จะแรงเกินไปรึเปล่า? อย่างการใช้ตะไคร่แดงกับสมุนไรทรายแดงควบคู่กัน แม้จะช่วยเรื่องการระบายขับถ่ายก็จริง แต่เกรงว่าถ้าคุมปริมาณได้ไม่ดีพอ อาจจะทำให้คนไข้เกิดอาการท้องร่วงแทรกซ้อนขึ้นมารึเปล่า? ดูเหมือนจะอันตรายไปหน่อยนะ?”

ฉีเล่ยเหลือบมองชายชราที่กำลังปั้นหน้าฉงนใจ พร้อมกับอธิบายให้ฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เพราะการทำงานของสมุนไพรทั้งสองชนิดมีฤทธิ์รุนแรงเกินไปครับ ผมก็เลยใช้ลูกพลับตากแห้งเข้ามาถ่วงสมดุลสร้างความเสถียรขึ้นมา อันที่จริงถ้าเป็นคลินิกที่อื่นผมคงไม่กล้าเขียนใบสั่งยาแบบนี้ให้แน่นอน แต่เพราะที่นี่เป็นมืออาชีพมากพอ ผมก็เลยไม่กังวลเรื่องการชั่งวัดปริมาณครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 154 ประลองรอบสอง(2)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 154 ประลองรอบสอง(2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่154 ประลองรอบสอง(2)

เป่ยฉวนเทียนหันกลับไปสอบถามความคิดเห็นของฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอมีอะไรจะถามบ้างไหม?”

“ไม่มีครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

เป่ยฉวนเทียนพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันได้เลย กติกาการประลองยังคงเหมือนกับครั้งแรก สุ่มเลือกคนไข้มาเพื่อวินิจฉัยอาการและทำการรักษา ในเมื่อฉันเป็นเจ้าบ้าน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ก่อตั้งคลินิกแห่งนี้ ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันการโกง คนไข้ทั้งหมดจะถูกสุ่มเลือก เธอมีปัญหาอะไรไหม?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยทันที

“เอาตามที่อาวุโสเป่ยเสนอไดเ้เลยครับ”

เขาทราบดีว่า ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียน ชายผู้นี้ไม่มีวันทำเรื่องสกปรก หรือฉกฉวยโอกาสใดๆอย่างแน่นอน เพราะเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ย่อมกระทบต่อชื่อเสียงของเขาโดยตรง หากเรื่องราวได้แพร่สะพรัดออกไป

อีกอย่าง… การประลองแบบนี้ยังมีอะไรให้โกงได้อีก?

เมื่อเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ผู้มากทักษะทางการแพทย์อย่างแท้จริงเช่นนี้ แผนการหรือกลอุบายใดล้วนกลายเป็นเพียงแค่เสือกระดาษทันที

เป่ยจ้าวหยวนรีบเดินออกไปเรียนเชิญกลุ่มคนไข้ ที่ได้ลงทะเบียนกรอกข้อมูลไว้ให้เข้ามาด้านในทันที และเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเขา เป่ยฉวนเทียนจึงได้ขอให้ฉีเล่ยสุ่มเลือกหมายเลขของคนไข้ก่อนโดยสามารถเลือกได้ตามใจชอบ

“ฉีเล่ย เธอเลือกสุ่มหมายเลขคนไข้ก่อนเลย”

ฉีเล่ยเอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า

“ผมขอเลือกหมายเลข7ครับ”

เมื่อฉีเล่ยประกาศหมายเลขคนไข้ที่ต้องการออกไปแล้ว เป่ยจ้าวหยวนจึงได้อาสาออกไปเรียกผู้ป่วยที่ได้เลขคิวเบอร์ 7ให้ทันที

เป่ยจ้าวหยวนเปิดแฟ้มข้อมูลขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกนเรียกว่า

“ซูเฉา เพศชาย อายุ 38ปี”

หลัวไป๋ซิ่วที่รออยู่ในห้องตรวจด้านใน จึงได้ร้องบอกว่า

“เรียกเขาเข้ามาในห้องนี้เลย”

ในไม่ช้า หญิงสาวในชุดกี่เพ้าก็ได้เดินนำชายผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าโศกเศร้าอย่างมาก เข้ามาภายในห้องตรวจ VIP ทันที เมื่อเห็นว่าหญิงสาวในชุดกี่เพ้าพาขึ้นมายังห้องตรวจชั้นที่สอง เขาก็ถึงกับชะงักและรีบร้องร้องถามออกไปทันที

“นี่เรามาผิดห้องรึเปล่าครับ?”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ายิ้มให้และกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ผิดค่ะ วันนี้อาจารย์เป่ยได้เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญมาหลายคน พวกเขาจะทำการตรวจรักษาให้คุณเป็นการส่วนตัวค่ะ”

คำกล่าวของหญิงสาวในชุดกี่เพ้าทำให้ชายคนนั้นดูผิดหวังและตกอกตกใจอย่างมาก ก่อนจะร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ว่า

“นี่ผมเป็นโรคอะไรกันแน่? มันร้ายแรงจนถึงขั้นที่ต้องเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามากลุ้มรุมตรวจกันขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวในชุดกี่เพ้าเองก็ค่อนข้างรับมือได้ดี เธอยิ้มตอบพร้อมปลอบคนไข้อย่างใจเย็นไปว่า

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ เนื่องจากในในทุกเดือนอาจารย์เป่ยจะเรียนเชิญบรรดาผู้เชี่ยวชาญให้แวะเวียนกันเข้ามาอยู่แล้ว และคุณเป็นผู้โชคดีที่ได้รับการสุ่มเลือกในวันนี้ค่ะ”

เมื่อได้ยินว่า เขาจะได้รักษากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและเป่ยฉวนเทียนเป็นการส่วนตัว สีหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนจากตกใจมาเป็นยิ้มแย้มจนแก้มแทบปริ และใบหน้าเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งทันที

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องรบกวนแล้วล่ะครับ”

ในเวลานั้นเอง คนไข้ชายก็ได้เดินเข้าไปถึงห้องพอดี และได้พบเห็นกลุ่มชายชราที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิกันอยู่สี่ทิศ ดูประหนึ่งเหล่าปรมาจารย์ลงมาจุติ ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองช่างโชคดีที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ และการได้รับการรักษากับเหล่าปรมาจารย์ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว

เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าพร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยว่า

“เอาล่ะฉีเล่ย เธอเริ่มก่อนได้เลย”

ฉีเล่ยเดินตรงออกมาจากมุมห้อง เอื้อมมือไปจับชีพจรบริเวณข้อมือของอีกฝ่ายทันที แต่เมื่อชายคนนั้นเห็นฉีเล่ยอาสาออกมารักษาตนเองแทนเหล่าอาวุโส เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

“ทำไมถึงให้แพทย์ฝึกหัดมาล่ะ? ไหนบอกว่าผมจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?”

ฉีเล่ยปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย พร้อมกับก่นเสียงเย็นชาออกมาเบาๆ

“เงียบก่อน”

เมื่อได้เห็นสีหน้าการแสดงออกที่จริงจังเคร่งเครียดของฉีเล่ย ชายคนนั้นก็ถึงกับชะงักไปพร้อมกับปิดปากเงียบทันที เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกกดดันและหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก

ครั้งนี้ฉีเล่ยใช้เวลาจับชีพจรนานถึงสามนาทีเต็มๆ ขณะตรวจจับชีพจรก็เฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

ใบหน้าซีดขาว นัยน์ตาแดงก่ำ แก้วตาขุ่นมัว เมื่อสักครู่ที่ปริปากพูดออกมา ก็สัมผัสได้ถึงไอกลิ่นคาวเล็กน้อยพวยพุ่งออกมา

หลังจากที่ฉีเล่ยจับชีพจรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปพยักหน้าให้ชายชราที่เหลือ จากนั้นก็เป็นเป่ยฉวนเทียนที่เข้ามาจับชีพจรของชายคนนั้นต่อจากฉีเล่ย

หลังจากที่แต่ละคนได้ทำการจับชีพจรของคนไข้ชายครบทุกคนแล้ว หลัวไป่ซิ่วก็ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“มีใครอยากจะสอบถามอะไรคนไข้บ้างไหม?”

ฉีเล่ยส่ายหัว

“ไม่มีครับ”

“ฉันเองก็ไม่มี”

ดูเหมือนว่าทั้งชายหนุ่มและชายชราเหล่านั้น จะตระหนักชัดแจ้งได้ตั้งแต่จับชีพจรและสังเกตสีหน้าท่าทางของชายผู้นั้นแล้ว เพียงรูปลักษณ์และสัญญาณการเต้นของหัวใจ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ทำให้ปรมาจารย์แพทย์แผนจีนทั้งหมดรู้ได้ว่า ชายคนนี้ป่วยเป็นโรคอะไร?

หลิวไป๋ซิ่วพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“ถ้าอย่างนั้น ก็เริ่มเขียนใบสั่งยากันได้เลย จากนั้นจึงค่อยเอาใบสั่งยาของแต่ละคนมาเปรียบเทียบกัน”

ฉีเล่ยและเป่ยฉวนเทียนเดินตรงไปที่โต๊ะซึ่งมีพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษ วางเตรียมพร้อมให้อยู่แล้ว

เป่ยฉวนเทียนตวัดร่ายเรียงเขียนอักษรได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ในฐานะแพทย์แผนจีนที่เขียนใบสั่งยาให้คนไข้อยู่เป็นประจำ นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร

หลังจากวางพู่กันในมือลง เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะเหลือบมองไปทางโต๊ะของฉีเล่ยไม่ได้ และกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะของฉีเล่ยนั้นก็เตะตาชายชราเข้าอย่างจัง

ตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันของฉีเล่ยนั้นไม่ธรรมดาเลย บางจังหวะลายเส้นดูแข็งกร้าว บางจังหวะเส้นกลับตวัดร่ายรำพริ้วไหวดูอ่อนโยน แสงที่สาดสะท้อนเส้นหมึกก่อให้เกิดเป็นประกายสีทองและเงินสลับไสวดูวิจิตรตายิ่ง

เมื่อได้เห็นแผ่นกระดาษของฉีเล่ย หลัวไป๋ซิ่วผู้รักการเขียนอักษรพู่กันเป็นชีวิตจิตใจก็ถึงกับเอ่ยปากชมว่า

“ช่างเป็นอักษรที่สวยงามมากจริงๆ”

อาวุโสเหวินถึงกับต้องร้องอุทานออกมาพร้อมกับปรบมือ

“ดูจากโครงอักษรแล้ว สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ทักษะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะสมามารถฝึกฝนกันได้ด้วยเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน”

ปิงโหย่วหลินยิ้มและกล่าวว่า

“หาได้ยากมากเลยนะในยุคสมัยนี้ ที่จะมีหนุ่มสาวคนไหนสามารถเขียนพู่กันออกมาได้สวยขนาดนี้”

แม้จะได้รับคำยกย่องชมเชยไม่หยุด แต่สีหน้าของฉีเล่ยกลับปราศจากคลื่นอารมณ์แปรปวนใดๆปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพราะเขาหนังหน้าหนามาก

แม้ว่าคนหนุ่มสาวในสมัยนี้จะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ตัวเองควรจะต้องทำอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะเสียเวลาไปกับการเล่นเกม ร้องเพลง แล้วก็ขับรถ แต่กลับไม่เคยรู้ว่า สิ่งใดที่จำเป็นกับชีวิตของพวกเขากันแน่?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กในเมืองยุคใหม่ ที่ลายมือถูกแทนที่ด้วยแป้นพิมพ์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปหมดแล้ว คนที่จะสามารถเขียนอักษรพู่กันได้สวยงามขนาดนี้ น่าจะเหลือแต่เพียงคนแก่คนเฒ่าแล้ว น้อยนักที่จะเสาะหาพบในกลุ่มคนหนุ่มสาว

เป่ยฉวนเทียนเฝ้ามองอักษรบนแผ่นกระดาษของฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นว่า

“เฮ้อ..ถ้าให้พูดตามตรง แค่ลายมือฉันก็แพ้เธอไปแล้วหนึ่งเรื่อง มีเรื่องหนึ่งที่เธอควรต้องรู้ ลายมือมักสะท้อนให้เห็นถึงความลึกล้ำของบุคคลนั้น”

ฉีเล่ยยิ้มตอบพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“อาวุโสชมเกินไปแล้วครับ”

หลิวไป่ซิ่วอากัปกิริยาของฉีเลีย จึงอดที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ได้

“การรู้จักมารยาทเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าถ่อมตัวมากจนเกินไป มันจะกลับกลายเป็นว่าดูหยิ่งผยองแทนนะ”

แม้น้ำเสียงของหลิวไป่ซิ่วจะฟังดูแข็งกร้าว แต่ทุกคนในห้องที่ได้ยินต่างก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังชื่นชมฉีเล่ยอยู่ลึก

อาวุโสเหวินยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า

“เอาล่ะ มาดูใบสั่งยาที่เขียนกันเลยดีกว่า”

ทั้งสามรวบรวมใบสั่งยาที่เป่ยฉวนเทียนกับฉีเล่ยเขียนเอาไว้ จากนั้นจึงได้เอามานั่งดูเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด

และเป็นหลิวไป่ซิ่วที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า

“เบื้องต้นทั้งสองวินิจฉัยอาการออกมาเหมือนกัน พลังฉีที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของคนไข้นั้นไม่เพียงอ่อนแอแต่ยังไหลเวียนไม่ดีด้วย จึงนำมาซึ่งสภาวะการสั่งสมพลังความร้อนไว้ภายในกายมากจนเกินไป ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ใจสั่นจนถึงขั้นนอนไม่หลับ”

อาวุโสเหวินขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้างว่า

“แต่ใบสั่งยาของทั้งคู่กลับค่อนข้างแตกต่างกันมาก ดูเหมือนว่าแต่ละคนก็จะมีแนวทางการรักษาในแบบฉบับของตัวเองสินะ? งั้นมาดูกันดีกว่าว่า ใบสั่งยาไหนจะมีประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุด”

ปิงโหย่วหลินกวาดสายตามองใบสั่งยาทั้งสองใบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ของตาเฒ่าเป่ย ใช้ยาถางเซียวเหยาซาน(อิสระไพศาล) องค์ประกอบหลักมี เปลือกดอกโบตั๋น, ตะไคร่เหลือง, หวงเหลียน, เปลือกส้มตากแห้งและไฉหู องค์ประกอบเสริม ลูกพลู หวงเหลียน หวงหลุน อืมม…เข้าใจเลือกดีนะ เปลือกส้มตากแห้งไม่เพียงจะช่วยระบายแก๊สในม้ามและตับอ่อน แต่ยังช่วยบำรุงน้ำย่อยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่วนสมุนไพรเสริมทั้งหมดมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไฟในร่างกาย ยิ่งนำเปลือกดอกโบตั๋นเข้ามาผสมด้วย ยังสามารถช่วยบำรุงถุงน้ำดี ปรับระดับหยินหยางให้เกิดความสมดุล นี่เป็นสูตรยาที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ส่วนของฉีเล่ย ใช้ยาต้มหลงตัน(มังกรคะนอง) องค์ประกอบหลักได้แก่ ยอดดอกโบตั๋น หอยนางรมฟู่เสิน ไขกระดูกงู สมุนไพรทรายแดง องค์ประกอบรองจะเป็น ตะไคร่แดง ลูกพลับตากแห้ง อืม อืม…เน้นรักษาในส่วนตับ ม้ามและถุงน้ำดีเฉพาะทาง มิหนำซ้ำยังช่วยล้างไฟที่สั่งสมในตับอ่อนได้อีกด้วย ส่วนไขกระดูกงู กับหอยนางรมฟู่เสินมีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบ นอนหลับได้ดีขึ้น ส่วนสมุนไพรทรายแดงกับตะไคร่แดงหากใช้ด้วยกันจะมีฤทธิ์เกื้อกูล ช่วยในการขับถ่ายระบายความร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี”

เมื่อได้อ่านใบสั่งยาของฉีเล่ย ปิงโหย่วหลินจึงได้แต่เอ่ยถามด้วยความลังเลว่า

“แต่ใบสั่งยาตัวนี้จะแรงเกินไปรึเปล่า? อย่างการใช้ตะไคร่แดงกับสมุนไรทรายแดงควบคู่กัน แม้จะช่วยเรื่องการระบายขับถ่ายก็จริง แต่เกรงว่าถ้าคุมปริมาณได้ไม่ดีพอ อาจจะทำให้คนไข้เกิดอาการท้องร่วงแทรกซ้อนขึ้นมารึเปล่า? ดูเหมือนจะอันตรายไปหน่อยนะ?”

ฉีเล่ยเหลือบมองชายชราที่กำลังปั้นหน้าฉงนใจ พร้อมกับอธิบายให้ฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เพราะการทำงานของสมุนไพรทั้งสองชนิดมีฤทธิ์รุนแรงเกินไปครับ ผมก็เลยใช้ลูกพลับตากแห้งเข้ามาถ่วงสมดุลสร้างความเสถียรขึ้นมา อันที่จริงถ้าเป็นคลินิกที่อื่นผมคงไม่กล้าเขียนใบสั่งยาแบบนี้ให้แน่นอน แต่เพราะที่นี่เป็นมืออาชีพมากพอ ผมก็เลยไม่กังวลเรื่องการชั่งวัดปริมาณครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 154 ประลองรอบสอง(2)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 154 ประลองรอบสอง(2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่154 ประลองรอบสอง(2)

เป่ยฉวนเทียนหันกลับไปสอบถามความคิดเห็นของฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย เธอมีอะไรจะถามบ้างไหม?”

“ไม่มีครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

เป่ยฉวนเทียนพับแขนเสื้อขึ้นทันทีและเอ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มกันได้เลย กติกาการประลองยังคงเหมือนกับครั้งแรก สุ่มเลือกคนไข้มาเพื่อวินิจฉัยอาการและทำการรักษา ในเมื่อฉันเป็นเจ้าบ้าน มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ก่อตั้งคลินิกแห่งนี้ ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันการโกง คนไข้ทั้งหมดจะถูกสุ่มเลือก เธอมีปัญหาอะไรไหม?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยทันที

“เอาตามที่อาวุโสเป่ยเสนอไดเ้เลยครับ”

เขาทราบดีว่า ด้วยฐานะและชื่อเสียงของเป่ยฉวนเทียน ชายผู้นี้ไม่มีวันทำเรื่องสกปรก หรือฉกฉวยโอกาสใดๆอย่างแน่นอน เพราะเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ย่อมกระทบต่อชื่อเสียงของเขาโดยตรง หากเรื่องราวได้แพร่สะพรัดออกไป

อีกอย่าง… การประลองแบบนี้ยังมีอะไรให้โกงได้อีก?

เมื่อเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์ผู้มากทักษะทางการแพทย์อย่างแท้จริงเช่นนี้ แผนการหรือกลอุบายใดล้วนกลายเป็นเพียงแค่เสือกระดาษทันที

เป่ยจ้าวหยวนรีบเดินออกไปเรียนเชิญกลุ่มคนไข้ ที่ได้ลงทะเบียนกรอกข้อมูลไว้ให้เข้ามาด้านในทันที และเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของเขา เป่ยฉวนเทียนจึงได้ขอให้ฉีเล่ยสุ่มเลือกหมายเลขของคนไข้ก่อนโดยสามารถเลือกได้ตามใจชอบ

“ฉีเล่ย เธอเลือกสุ่มหมายเลขคนไข้ก่อนเลย”

ฉีเล่ยเอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า

“ผมขอเลือกหมายเลข7ครับ”

เมื่อฉีเล่ยประกาศหมายเลขคนไข้ที่ต้องการออกไปแล้ว เป่ยจ้าวหยวนจึงได้อาสาออกไปเรียกผู้ป่วยที่ได้เลขคิวเบอร์ 7ให้ทันที

เป่ยจ้าวหยวนเปิดแฟ้มข้อมูลขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกนเรียกว่า

“ซูเฉา เพศชาย อายุ 38ปี”

หลัวไป๋ซิ่วที่รออยู่ในห้องตรวจด้านใน จึงได้ร้องบอกว่า

“เรียกเขาเข้ามาในห้องนี้เลย”

ในไม่ช้า หญิงสาวในชุดกี่เพ้าก็ได้เดินนำชายผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าโศกเศร้าอย่างมาก เข้ามาภายในห้องตรวจ VIP ทันที เมื่อเห็นว่าหญิงสาวในชุดกี่เพ้าพาขึ้นมายังห้องตรวจชั้นที่สอง เขาก็ถึงกับชะงักและรีบร้องร้องถามออกไปทันที

“นี่เรามาผิดห้องรึเปล่าครับ?”

หญิงสาวในชุดกี่เพ้ายิ้มให้และกล่าวตอบไปว่า

“ไม่ผิดค่ะ วันนี้อาจารย์เป่ยได้เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญมาหลายคน พวกเขาจะทำการตรวจรักษาให้คุณเป็นการส่วนตัวค่ะ”

คำกล่าวของหญิงสาวในชุดกี่เพ้าทำให้ชายคนนั้นดูผิดหวังและตกอกตกใจอย่างมาก ก่อนจะร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ว่า

“นี่ผมเป็นโรคอะไรกันแน่? มันร้ายแรงจนถึงขั้นที่ต้องเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามากลุ้มรุมตรวจกันขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสาวในชุดกี่เพ้าเองก็ค่อนข้างรับมือได้ดี เธอยิ้มตอบพร้อมปลอบคนไข้อย่างใจเย็นไปว่า

“อย่ากังวลไปเลยค่ะ เนื่องจากในในทุกเดือนอาจารย์เป่ยจะเรียนเชิญบรรดาผู้เชี่ยวชาญให้แวะเวียนกันเข้ามาอยู่แล้ว และคุณเป็นผู้โชคดีที่ได้รับการสุ่มเลือกในวันนี้ค่ะ”

เมื่อได้ยินว่า เขาจะได้รักษากับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและเป่ยฉวนเทียนเป็นการส่วนตัว สีหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนจากตกใจมาเป็นยิ้มแย้มจนแก้มแทบปริ และใบหน้าเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งทันที

“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องรบกวนแล้วล่ะครับ”

ในเวลานั้นเอง คนไข้ชายก็ได้เดินเข้าไปถึงห้องพอดี และได้พบเห็นกลุ่มชายชราที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิกันอยู่สี่ทิศ ดูประหนึ่งเหล่าปรมาจารย์ลงมาจุติ ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองช่างโชคดีที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ และการได้รับการรักษากับเหล่าปรมาจารย์ก็นับว่าเป็นบุญมากแล้ว

เป่ยฉวนเทียนพยักหน้าพร้อมกับร้องบอกฉีเล่ยว่า

“เอาล่ะฉีเล่ย เธอเริ่มก่อนได้เลย”

ฉีเล่ยเดินตรงออกมาจากมุมห้อง เอื้อมมือไปจับชีพจรบริเวณข้อมือของอีกฝ่ายทันที แต่เมื่อชายคนนั้นเห็นฉีเล่ยอาสาออกมารักษาตนเองแทนเหล่าอาวุโส เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

“ทำไมถึงให้แพทย์ฝึกหัดมาล่ะ? ไหนบอกว่าผมจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ?”

ฉีเล่ยปรายตามองอีกฝ่ายเล็กน้อย พร้อมกับก่นเสียงเย็นชาออกมาเบาๆ

“เงียบก่อน”

เมื่อได้เห็นสีหน้าการแสดงออกที่จริงจังเคร่งเครียดของฉีเล่ย ชายคนนั้นก็ถึงกับชะงักไปพร้อมกับปิดปากเงียบทันที เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกกดดันและหวาดกลัวอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก

ครั้งนี้ฉีเล่ยใช้เวลาจับชีพจรนานถึงสามนาทีเต็มๆ ขณะตรวจจับชีพจรก็เฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

ใบหน้าซีดขาว นัยน์ตาแดงก่ำ แก้วตาขุ่นมัว เมื่อสักครู่ที่ปริปากพูดออกมา ก็สัมผัสได้ถึงไอกลิ่นคาวเล็กน้อยพวยพุ่งออกมา

หลังจากที่ฉีเล่ยจับชีพจรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปพยักหน้าให้ชายชราที่เหลือ จากนั้นก็เป็นเป่ยฉวนเทียนที่เข้ามาจับชีพจรของชายคนนั้นต่อจากฉีเล่ย

หลังจากที่แต่ละคนได้ทำการจับชีพจรของคนไข้ชายครบทุกคนแล้ว หลัวไป่ซิ่วก็ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“มีใครอยากจะสอบถามอะไรคนไข้บ้างไหม?”

ฉีเล่ยส่ายหัว

“ไม่มีครับ”

“ฉันเองก็ไม่มี”

ดูเหมือนว่าทั้งชายหนุ่มและชายชราเหล่านั้น จะตระหนักชัดแจ้งได้ตั้งแต่จับชีพจรและสังเกตสีหน้าท่าทางของชายผู้นั้นแล้ว เพียงรูปลักษณ์และสัญญาณการเต้นของหัวใจ นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะให้ทำให้ปรมาจารย์แพทย์แผนจีนทั้งหมดรู้ได้ว่า ชายคนนี้ป่วยเป็นโรคอะไร?

หลิวไป๋ซิ่วพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

“ถ้าอย่างนั้น ก็เริ่มเขียนใบสั่งยากันได้เลย จากนั้นจึงค่อยเอาใบสั่งยาของแต่ละคนมาเปรียบเทียบกัน”

ฉีเล่ยและเป่ยฉวนเทียนเดินตรงไปที่โต๊ะซึ่งมีพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษ วางเตรียมพร้อมให้อยู่แล้ว

เป่ยฉวนเทียนตวัดร่ายเรียงเขียนอักษรได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ในฐานะแพทย์แผนจีนที่เขียนใบสั่งยาให้คนไข้อยู่เป็นประจำ นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร

หลังจากวางพู่กันในมือลง เป่ยฉวนเทียนก็อดที่จะเหลือบมองไปทางโต๊ะของฉีเล่ยไม่ได้ และกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะของฉีเล่ยนั้นก็เตะตาชายชราเข้าอย่างจัง

ตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันของฉีเล่ยนั้นไม่ธรรมดาเลย บางจังหวะลายเส้นดูแข็งกร้าว บางจังหวะเส้นกลับตวัดร่ายรำพริ้วไหวดูอ่อนโยน แสงที่สาดสะท้อนเส้นหมึกก่อให้เกิดเป็นประกายสีทองและเงินสลับไสวดูวิจิตรตายิ่ง

เมื่อได้เห็นแผ่นกระดาษของฉีเล่ย หลัวไป๋ซิ่วผู้รักการเขียนอักษรพู่กันเป็นชีวิตจิตใจก็ถึงกับเอ่ยปากชมว่า

“ช่างเป็นอักษรที่สวยงามมากจริงๆ”

อาวุโสเหวินถึงกับต้องร้องอุทานออกมาพร้อมกับปรบมือ

“ดูจากโครงอักษรแล้ว สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ทักษะเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะสมามารถฝึกฝนกันได้ด้วยเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน”

ปิงโหย่วหลินยิ้มและกล่าวว่า

“หาได้ยากมากเลยนะในยุคสมัยนี้ ที่จะมีหนุ่มสาวคนไหนสามารถเขียนพู่กันออกมาได้สวยขนาดนี้”

แม้จะได้รับคำยกย่องชมเชยไม่หยุด แต่สีหน้าของฉีเล่ยกลับปราศจากคลื่นอารมณ์แปรปวนใดๆปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพราะเขาหนังหน้าหนามาก

แม้ว่าคนหนุ่มสาวในสมัยนี้จะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า ตัวเองควรจะต้องทำอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่พวกเขามักจะเสียเวลาไปกับการเล่นเกม ร้องเพลง แล้วก็ขับรถ แต่กลับไม่เคยรู้ว่า สิ่งใดที่จำเป็นกับชีวิตของพวกเขากันแน่?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กในเมืองยุคใหม่ ที่ลายมือถูกแทนที่ด้วยแป้นพิมพ์บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปหมดแล้ว คนที่จะสามารถเขียนอักษรพู่กันได้สวยงามขนาดนี้ น่าจะเหลือแต่เพียงคนแก่คนเฒ่าแล้ว น้อยนักที่จะเสาะหาพบในกลุ่มคนหนุ่มสาว

เป่ยฉวนเทียนเฝ้ามองอักษรบนแผ่นกระดาษของฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นว่า

“เฮ้อ..ถ้าให้พูดตามตรง แค่ลายมือฉันก็แพ้เธอไปแล้วหนึ่งเรื่อง มีเรื่องหนึ่งที่เธอควรต้องรู้ ลายมือมักสะท้อนให้เห็นถึงความลึกล้ำของบุคคลนั้น”

ฉีเล่ยยิ้มตอบพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“อาวุโสชมเกินไปแล้วครับ”

หลิวไป่ซิ่วอากัปกิริยาของฉีเลีย จึงอดที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ได้

“การรู้จักมารยาทเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าถ่อมตัวมากจนเกินไป มันจะกลับกลายเป็นว่าดูหยิ่งผยองแทนนะ”

แม้น้ำเสียงของหลิวไป่ซิ่วจะฟังดูแข็งกร้าว แต่ทุกคนในห้องที่ได้ยินต่างก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายกำลังชื่นชมฉีเล่ยอยู่ลึก

อาวุโสเหวินยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า

“เอาล่ะ มาดูใบสั่งยาที่เขียนกันเลยดีกว่า”

ทั้งสามรวบรวมใบสั่งยาที่เป่ยฉวนเทียนกับฉีเล่ยเขียนเอาไว้ จากนั้นจึงได้เอามานั่งดูเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด

และเป็นหลิวไป่ซิ่วที่เอ่ยขึ้นก่อนว่า

“เบื้องต้นทั้งสองวินิจฉัยอาการออกมาเหมือนกัน พลังฉีที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของคนไข้นั้นไม่เพียงอ่อนแอแต่ยังไหลเวียนไม่ดีด้วย จึงนำมาซึ่งสภาวะการสั่งสมพลังความร้อนไว้ภายในกายมากจนเกินไป ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ใจสั่นจนถึงขั้นนอนไม่หลับ”

อาวุโสเหวินขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้างว่า

“แต่ใบสั่งยาของทั้งคู่กลับค่อนข้างแตกต่างกันมาก ดูเหมือนว่าแต่ละคนก็จะมีแนวทางการรักษาในแบบฉบับของตัวเองสินะ? งั้นมาดูกันดีกว่าว่า ใบสั่งยาไหนจะมีประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุด”

ปิงโหย่วหลินกวาดสายตามองใบสั่งยาทั้งสองใบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ของตาเฒ่าเป่ย ใช้ยาถางเซียวเหยาซาน(อิสระไพศาล) องค์ประกอบหลักมี เปลือกดอกโบตั๋น, ตะไคร่เหลือง, หวงเหลียน, เปลือกส้มตากแห้งและไฉหู องค์ประกอบเสริม ลูกพลู หวงเหลียน หวงหลุน อืมม…เข้าใจเลือกดีนะ เปลือกส้มตากแห้งไม่เพียงจะช่วยระบายแก๊สในม้ามและตับอ่อน แต่ยังช่วยบำรุงน้ำย่อยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ส่วนสมุนไพรเสริมทั้งหมดมีฤทธิ์เย็นช่วยลดไฟในร่างกาย ยิ่งนำเปลือกดอกโบตั๋นเข้ามาผสมด้วย ยังสามารถช่วยบำรุงถุงน้ำดี ปรับระดับหยินหยางให้เกิดความสมดุล นี่เป็นสูตรยาที่สมบูรณ์แบบอย่างไม่ต้องสงสัย”

“ส่วนของฉีเล่ย ใช้ยาต้มหลงตัน(มังกรคะนอง) องค์ประกอบหลักได้แก่ ยอดดอกโบตั๋น หอยนางรมฟู่เสิน ไขกระดูกงู สมุนไพรทรายแดง องค์ประกอบรองจะเป็น ตะไคร่แดง ลูกพลับตากแห้ง อืม อืม…เน้นรักษาในส่วนตับ ม้ามและถุงน้ำดีเฉพาะทาง มิหนำซ้ำยังช่วยล้างไฟที่สั่งสมในตับอ่อนได้อีกด้วย ส่วนไขกระดูกงู กับหอยนางรมฟู่เสินมีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบ นอนหลับได้ดีขึ้น ส่วนสมุนไพรทรายแดงกับตะไคร่แดงหากใช้ด้วยกันจะมีฤทธิ์เกื้อกูล ช่วยในการขับถ่ายระบายความร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี”

เมื่อได้อ่านใบสั่งยาของฉีเล่ย ปิงโหย่วหลินจึงได้แต่เอ่ยถามด้วยความลังเลว่า

“แต่ใบสั่งยาตัวนี้จะแรงเกินไปรึเปล่า? อย่างการใช้ตะไคร่แดงกับสมุนไรทรายแดงควบคู่กัน แม้จะช่วยเรื่องการระบายขับถ่ายก็จริง แต่เกรงว่าถ้าคุมปริมาณได้ไม่ดีพอ อาจจะทำให้คนไข้เกิดอาการท้องร่วงแทรกซ้อนขึ้นมารึเปล่า? ดูเหมือนจะอันตรายไปหน่อยนะ?”

ฉีเล่ยเหลือบมองชายชราที่กำลังปั้นหน้าฉงนใจ พร้อมกับอธิบายให้ฟังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เพราะการทำงานของสมุนไพรทั้งสองชนิดมีฤทธิ์รุนแรงเกินไปครับ ผมก็เลยใช้ลูกพลับตากแห้งเข้ามาถ่วงสมดุลสร้างความเสถียรขึ้นมา อันที่จริงถ้าเป็นคลินิกที่อื่นผมคงไม่กล้าเขียนใบสั่งยาแบบนี้ให้แน่นอน แต่เพราะที่นี่เป็นมืออาชีพมากพอ ผมก็เลยไม่กังวลเรื่องการชั่งวัดปริมาณครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+