ยอดนักรบจอมราชัน 973 ศึกตัดสิน (3)

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 973 ศึกตัดสิน (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อนที่ 973 ศึกตัดสิน (3)

บางครั้งการใช้ชีวิตไม่จำเป็นต้องได้รับชัยชนะเสมอไปและการตายก็ไม่จำเป็นต้องเป็นความล้มเหลวเสมอไปเช่นกัน ไม่มีใครสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเย่เชียนกับไป๋ฮวยได้และแม้แต่หลินเฟิงที่ดูเหมือนจะเข้าใจพวกเขาทั้งสองเป็นอย่างดีก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าพวกเขามีมิตรภาพแบบไหน บางทีทั้งหมดนี้อาจได้รับการแก้ไขแล้วในความมืดมิดที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้

หวงฟู่ชิงเตี๋ยนและคนอื่นๆมองก็ดูพวกเขาอย่างงุนงงและไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงและมีเพียงหวังยู่ที่อยู่ด้านข้างเท่านั้นที่มีน้ำตาคลอเบ้าและตัวสั่นไปทั้งตัวเพราะในความเป็นจริงแล้วเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับไป๋ฮวยเลยและมันก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบคู่รัก ซึ่งที่งานศพของพ่อของเย่เชียนในวันนั้นเธอแค่แสดงละครต่อหน้าเย่เชียนเท่านั้น

หวังยู่นั้นแท้ที่จริงแล้วเธอสนใจในตัวของเย่เชียนมากแต่อย่างไรก็ตามการจากลาของเย่เชียนในเมืองหนานจิงนั้นทำให้เธอรู้สึกขุ่นเคืองอย่างสุดซึ้งต่อเย่เชียนและรู้สึกว่าเย่เชียนนั้นไม่แยแสความรู้สึกของเธอเลย ซึ่งค่อนข้างยอมรับไม่ได้และเธอก็ได้พบกับไป๋ฮวยโดยไม่ได้ตั้งใจจากนั้นเธอก็พยายามเข้าหาไป๋ฮวยเพื่อที่จะทำให้เย่เชียนรู้สึกหึงหวงเธอ แต่ทว่าดูเหมือนว่าเธอจะประเมินมิตรภาพของเย่เชียนกับไป๋ฮวยต่ำเกินไปและความพยายามทั้งหมดของเธอก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากใช้เวลาอยู่กับไป๋ฮวยมาเป็นเวลานานหวังยู่ก็ชื่นชมคนที่เงียบขรึมคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจและเธอก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของไป๋ฮวยกับเย่เชียนจากการพูดคุยกับไป๋ฮวยและเธอก็พยายามที่จะโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งเรื่องมิตรภาพระหว่างผู้ชายนั้นมักยากที่ผู้หญิงจะเข้าใจได้และเมื่อเธอพยายามที่จะแก้ไขแต่มันก็ไม่เป็นผลและไป๋ฮวยก็ยังคงยืนกรานที่จะทำเช่นนี้

แน่นอนว่าเธอไม่ต้องการให้เย่เชียนตายและมันเป็นเพราะความรักที่เธอมีต่อเย่เชียนและเธอก็ไม่ต้องการให้ไป๋ฮวยตายเพราะนั่นเป็นความสงสาร ซึ่งความเป็นผู้หญิงทำให้เธอรู้สึกเห็นใจอย่างมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับไป๋ฮวยและทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตของไป๋ฮวยช่างน่าสังเวชเพียงใดจนหัวใจของหวังยู่รู้สึกราวกับว่ามันถูกแทงด้วยใบมีดคมและเมื่อเธอเห็นว่าไป๋ฮวยอยากที่จะฆ่าเย่เชียนจริงๆเช่นนี้เธอก็ทำได้เพียงแค่ต้องทำใจ

หลินโรวโร่วนั้นเป็นผู้หญิงคนแรกของเย่เชียนแต่หวังยู่ก็เป็นผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับเย่เชียนเป็นคนแรกตั้งแต่เขามาที่ประเทศจีนและเย่เชียนก็ยังจูบแรกของเธออีกแต่เธอกลับถูกเย่เชียนกีดกันอย่างไร้เยื่อใย ดังนั้นจากช่วงเวลานั้นจิตใจของเธอก็เต็มไปด้วยความคิดความผิดหวังอยู่ตลอดเวลา เพราะเย่เชียนนั้นดูมีเสน่ห์มากจนทำให้หวังยู่หลงใหลและเธอก็ยังจำเหตุการณ์ที่ร้านอาหารข้างทางในวันนั้นที่เย่เชียนอยู่กับฉินหยูซึ่งทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเหมือนถูกเข็มฝังอยู่ในอกและเธอก็ต่อสู้กับฉินหยูโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของเธอเลยแม้แต่น้อย

ที่จริงแล้วในหัวใจของเย่เชียนเองเขาก็ยังคงมีความรู้สึกบางอย่างต่อหวังยู่ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เลือกที่จะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอนและอาจเป็นเพราะโชคชะตาที่ยังมาไม่ถึงและเพราะสิ่งต่างๆนั้นไม่เอื้ออำนวยจนทำให้สถานการณ์เป็นไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

ในเวลานี้เย่เชียนก็หยิบมีดคลื่นโลหิตออกมาและพลังปราณของเขาก็ถูกส่งไปที่มีดคลื่นโลหิตจนทำให้เกิดแสงสีแวววับที่มีดราวกับว่าเลือดกำลังไหลเวียนอยู่ในนั้น ซึ่งเมื่อเห็รเช่นนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของไป๋ฮวยและเขาก็หยิบมีดของตัวเองและเขาก็หยิบดาบมุรามาสะซึ่งว่ากันว่าดาบนั้นมีจิตวิญญาณของปีศาจซึ่งก็จริงและมันก็เหมือนจะมีปฏิกิริยากับมีดคลื่นโลหิตจนสั่นสะท้านและมีความอาฆาตที่แผ่ซ่านไปทั่ว

หากการเผชิญหน้าในตอนนั้นเป็นเพียงการทดสอบเล็กๆน้อยๆล่ะก็คราวนี้คือการเผชิญหน้ากันแบบเอาเป็นเอาตายอย่างแท้จริง ซึ่งทั้งสองก็รู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะไม่เหมือนที่ผ่านๆมาอย่างสิ้นเชิง

พลังปราณในร่างกายของเย่เชียนก็เริ่มหมุนเวียนอย่างดุเดือดในตันเถียนและสิ่งที่เหมือนกับเมล็ดถั่วเหลืองก็ยังคงหมุนอย่างบ้าคลั่งจนเสื้อผ้าของเย่เชียนเริ่มสะบัดอย่างรุนแรงโดยที่ไม่มีกระแสลมพัดเลยแม้แต่น้อย

ทางด้านของไป๋ฮวยก็เช่นกันเพราะร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกบางๆและดาบในมือของเขาก็เรืองแสงด้วยแสงสีแดงเข้ม ในการต่อสู้ครั้งนี้ดูเหมือนว่าทั้งคู่ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตัวเองออกมาซึ่งเป็นพลังของนักสู้ที่แท้จริงและถึงแม้ว่ามันจะไม่เสถียรมากแต่ก็ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกถึงพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมา

“แกร๊ง!” ทันใดนั้นทั้งสองก็วิ่งเข้าหากันและปะทะกันด้วยอาวุธของตัวเองและได้ยินเสียงเหล็กที่คมชัด จากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างรวดเร็วและนี่คือการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างมังกรกับเสือจนทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ชม อย่างไรก็ตามในเวลานี้หวังยู่ก็สั่นไปทั้งตัวและหวาดกลัวอย่างมาก

ดูเหมือนทั้งสองจะไม่ได้ต่อสู้กันแต่ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะฆ่ากัน อย่างไรก็ตามตราบใดที่พวกเขาทั้งสองตั้งใจต่อสู้ล่ะก็พวกเขาก็ฆ่ากันได้ยาก ในการต่อสู้ที่เด็ดขาดนั้นถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ตามแต่ทั้งคู่ก็สามารถรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้

การต่อสู้ของทั้งสองเร็วจนคนอื่นมองไม่เห็นและมีดคลื่นโลหิตในมือของเย่เชียนดูราวกับอสูรจากนรกเพราะตัดผ่านเป็นแสงสีแดงเข้มและแทงหน้าอกของไป๋ฮวย แน่นอนว่าไป๋ฮวยเอ็งก็ไม่หย่อนยานเช่นกันเขาจึงรีบใช้ดาบปีศาจฟันออกไปราวกับสายฟ้าฟาดฟันไปที่ช่วงคอของเย่เชียนจนดูเหมือนทุกคนจะได้เห็นจุดจบและเป็นจุดจบที่น่าอนาถที่ทั้งคู่ตายพร้อมกัน

อย่างไรก็ตามมันจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่? เมื่อไป๋ฮวยเห็นว่ามีดของเย่เชียนกำลังจะแทงเข้าไปที่หน้าอกของเขาไป๋ฮวยก็พลิกข้อมือของเขาและดาบปีศาจก็เบี่ยงออกไปเล็กน้อยจากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋ฮวยและเป็นรอยยิ้มที่ดูโล่งใจและผ่อนคลายอย่างมาก

เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะผงะกับการโจมตีอย่างกะทันหันของไป๋ฮวยและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะรู้ว่าไป๋ฮวยนั้นตั้งใจที่จะไม่ฆ่าเขาก็ตามแต่เขานั้นไม่สามารถฆ่าไป๋ฮวยได้ ซึ่งเย่เชียนเองก็ไม่มีทางที่จะหยุดการโจมตีของเขาเอาไว้ได้อีกดังนั้นเขาจึงหมุนข้อมือของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงจุดตายของไป๋ฮวยและแทงเข้าไปในร่างกายของเขา “ฉึบ” เสียงมีดแทงผิวหนังดังอย่างชัดเจนและเย่เชียนก็ตกตะลึงในทันที จากนั้นเย่เชียนก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงร่างของไป๋ฮวยและถามด้วยความสั่นเทาว่า “ทำไมพี่ถึงทำแบบนี้?”

ไป๋ฮวยก็ยิ้มอย่างน่าสังเวชและพูดว่า “แบบนี้ดีที่สุดแล้วและอย่างน้อยๆฉันก็ได้หยุดสงครามในโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณแล้วใช่มั้ย?” หลังจากหยุดไปชั่วขณะไป๋ฮวยก็พูดต่อ “เย่เชียน!..นายคือเพื่อนรักและน้องชายของฉันมาโดยตลอดเพราะงั้นฉันจะฆ่านายลงได้ยังไง?..หลายปีมานี้ฉันถูกความเกลียดชังครอบงำตัวเองมาอย่างทรมาน..พี่ชายของฉันตายไปแล้วเพราะงั้นถ้าฉันตายไปฉันก็จะเป็นอิสระได้และในที่สุดฉันก็จะได้ไปหาพี่ชายของฉันสักที”

“ไม่พี่ตายไม่ได้” เย่เชียนพูด “พี่จะเห็นแก่ตัวแบบนี้ได้ยังไง..ถ้าพี่ตายไปแล้วผมล่ะ?..ในเมื่อพี่ปฏิบัติกับผมเหมือนพี่น้องเพราะงั้นพี่เคยคิดบ้างไหมว่าผมจะเสียใจและเจ็บปวดจากการฆ่าพี่ชายตัวเอง..พี่ไป๋จะให้ผมทนทุกข์ทรมานเพราะการฆ่าพี่ชายด้วยมือของผมเองงั้นเหรอ?”

“ฉันก็เห็นแก่ตัวมาตลอดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ไป๋ฮวยพูด

“ไม่..พี่แค่หลอกตัวเอง..ผมรู้ว่าในใจพี่ต้องการกลับไปยังเขี้ยวหมาป่ามาโดยตลอด..พี่ไม่เคยลืมเขี้ยวหมาป่าเลยแม้แต่น้อย..ไม่งั้นพี่คงจะไม่ช่วยผมนับครั้งไม่ถ้วนแบบนั้นหรอก” เย่เชียนพูด “พี่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”

“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันต้องบอกกับนายให้ชัดเจนว่าอันที่จริงแล้วระหว่างฉันกับหวังยู่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน..ฉันแค่ต้องการใช้หวังยู่เพื่อทำให้นายเกลียดฉันและต่อสู้กับฉันอย่างจริงจังเพื่อที่นายจะได้ฆ่าฉันอย่างหมดกังวล” ไป๋ฮวยพูดต่อ “ฉันอิจฉานายจริงๆที่นายมีผู้หญิงดีๆแบบนี้คอยเป็นห่วงนายอย่างเงียบๆ..หวังยู่น่ะเป็นผู้หญิงที่ควรค่าแก่การปกป้องของนาย..ฉันหวังว่านายจะดูแลเธอได้เป็นอย่างดี”

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้วพี่ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น..ผมจะพาพี่ไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้แหละ” เย่เชียนพูดอย่างกระตือรือร้นและน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาของเขา

เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป๋ฮวยก็ส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่เย่เชียน..อย่าพาฉันไปที่โรงพยาบาลไม่งั้นฉันจะไม่ยกโทษให้นายตลอดชีวิตที่เหลือของฉัน..ปล่อยให้ฉันนอนหลับอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆเถอะ..ฉันเหนื่อยมากแล้วจริงๆ” หลังจากพูดจบไป๋ฮวยก็ค่อยๆหลับตาลงและปล่อยให้เย่เชียนตะโกนต่อไปและเขาก็ไม่ตอบสนองใดๆอีกเลยเลย

“ผมจะพาพี่ไปโรงพยาบาล..รอก่อนสิเดี๋ยวผมจะพาพี่ไปโรงพยาบาลเอง” เย่เชียนพูดด้วยความโศกเศร้าและหันไปมองหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแล้วตะโกนว่า “เรียกรถพยาบาลที..เรียกรถพยาบาลมารอที่เชิงเขาเดี๋ยวนี้เลย”

หวงฟู่ชิงเตี๋ยนก็ไม่กล้าที่จะลังเลใดๆและรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาแล้วโทรออก ในตอนนี้เย่เชียนนั้นไม่สนใจว่าไป๋ฮวยจะเกลียดตัวเองหรือไม่ที่ทำเช่นนี้แต่เขาแค่ต้องการส่งตัวไป๋ฮวยไปยังโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเพราะเขาปล่อยให้ไป๋ฮวยตายไม่ได้ จากนั้นเย่เชียนก็อุ้มร่างของไป๋ฮวยเอาไว้แล้ววิ่งลงไปจากภูเขาอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อเห็นเช่นนี้หยานตงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อยราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของหยานตงและเขาก็พูดว่า “บรรพบุรุษแห่งลัทธิมารเอ๋ย..ตัวแทนของพวกเราได้พ่ายแพ้แล้วเพราะงั้นเราก็ควรรักษาสัญญาของเขาเอาไว้ให้มันจบลงที่นี่” นี่ดูเหมือนจะเป็นคำปล่อยวางและมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

เมื่อหยานตงได้พบกับไป๋ฮวยและหลังจากใช้เวลากับเขามาสักระยะหนึ่งเขาก็รู้แล้วว่าไป๋ฮวยต้องการที่จะต่อสู้กับเย่เชียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีนี้เพื่อตัดสินเจตจำนงที่เขาได้นับมาและเขาก็รู้ดีว่าถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่เห็นด้วยกับวิธีดังกล่าวแต่เขาก็เลือกที่จะเห็นด้วย นั่นเป็นเพราะเขาไม่ชอบชีวิตในเมืองศิวิไลแต่เขาชอบชีวิตปัญญาชนคนธรรมดาทางภาคตะวันตกของประเทศจีนเสียมากกว่า แต่เขาก็ต้องสานต่อเจตจำนงของบรรพบุรุษที่เคร่งครัดด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกวิธีนี้เพื่อที่จะปลดโซ่ตรวนและหินในใจลงได้ หลังจากนั้นหยานตงก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ชายหนุ่มผู้น่านับถือ..ฉันจะจดจำเอ็งไปตลอดชีวิต..หมาป่าผีไป๋ฮวยเป็นชื่อที่น่ายกย่องมากจริงๆ” หลังจากเสียงนั้นจบลงหยานตงก็หันหลังและเดินลงไปจากภูเขาอีกทางหนึ่ง

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด