ยอดนักรบจอมราชัน 53 บอดี้การ์ด

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 53 บอดี้การ์ด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่หวังยู่กำลังอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรู้สึกที่หลากหลายจู่ๆหยางเหว่ยก็มาขัดจังหว่ะและดึงเธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง สิ่งนี้ทำให้เธอไม่สบอารมณ์และจ้องมองหยางเหว่ยอย่างโกรธเคืองและพูดว่า “หยางเหว่ย! ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปฏิบัติการในครั้งนี้ หน้าที่ของคุณคือรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่เพื่อเป็นผู้ช่วยฉันเท่านั้น คุณมีคุณสมบัติอะไรถึงได้มาบอกให้ฉันทำนู่นทำนี่?”

หยางเหว่ยจ้องไปที่หวังยู่ด้วยความประหลาดใจเขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆผู้หญิงคนนี้ถึงได้โกรธจัดขนาดนี้ และคิดในใจว่าเธอเกลียดเย่เชียนไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมเธอถึงช่วยเขาในตอนนี้? อย่างไรก็ตามเขารู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาไม่ควรพูดอะไรที่เป็นการยั่วยุหวังยู่อีก เขาได้แต่สาปแช่งเธอในใจว่า ‘ยัยผู้หญิงอวดดีถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเธอที่มีอำนาจฉันก็จะไม่ทนเธออีกต่อไป’

อาจเป็นไปได้ว่าคนที่สะกดรอยตามพวกเขานั้นหนีไปแล้ว? เมื่อเย่เชียนไปถึงตรอกมืดๆมันก็ว่างเปล่าไร้สิ่งใด แต่เมื่อเขาเห็นร่องรอยของหลักฐานที่ทำให้รู้ว่าเคยมีคนอยู่ที่นั่น ซอยนี้มันห่างไกลและมืดมากและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเข้าไป แต่ทว่าเย่เชียนสามารถตรวจจับกลิ่นของน้ำหอมได้ ถึงกลิ่นจะไม่แรงมากและจัดได้ว่าเป็นกลิ่นชนิดของดอกไม้ จึงอาจเป็นไปได้ว่าคนที่มีจิตสังหารเหล่านั้นเป็นผู้หญิง สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าบุคคลนั้นไม่ได้มาจากองค์กรเซเว่นคิล นั่นก็เพราะสมาชิกทั้งหมดขององค์กรเซเว่นคิลล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งหมด

เย่เชียนไม่ใช่ตำแหน่งไล่ล่าโดยตรงของหน่วยเขี้ยวหมาป่าและเนื่องจากศัตรูได้หนีไปแล้วและเย่เชียนก็ไม่สามารถที่จะตามรอยได้ เขาจึงยักไหล่และเดินออกจากตรอกมา เย่เชียนยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของเธอคือใครกันแน่ แต่เขาเดาว่าน่าจะเป็นฉินหยู ถ้าเขาต้องการหาสาเหตุจริงๆก่อนอื่นเลยเขาต้องหาตัวตนที่แท้จริงของฉินหยูก่อนและอย่างไรก็ตามฉินหยูเองเธอก็ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่อยากถามเธอเช่นกัน ถ้าเย่เชียนอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของครอบครัวของฉินยูสิ่งที่เขาทำได้ก็คือต้องส่งคนไปสืบเท่านั้น ด้วยความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อเธอแล้วเขาไม่ควรไปขุดขุ้ยหรือดื้อดึงเพื่อหาข้อมูลจากเธอโดยตรงและสิ่งที่ดีที่สุดคือต้องรอฉินหยูบอกเขาด้วยความสมัครใจของเธอเองในสักวันหนึ่ง

เมื่อเขาเดินกลับมาที่ด้านข้างของหวังยู่แล้วเธอถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “ไม่มีอะไรเขาหายไปแล้ว”

หวังยู่พยักหน้าและพูดว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว..โปรดมากับฉันด้วย”

“ผมจะนั่งไปกับฉินหยู..ผมจะไปรถของเธอ..คุณไม่ต้องกังวลนะผมจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูจริงใจ

ในระหว่างทางไปยังสถานีตำรวจอยู่ๆฉินหยูก็ถามขึ้นมาว่า “เย่เชียน แม่สาวตำรวจคนนั้นดูเหมือนจะชอบเธอนะ ความสัมพันธ์ของพวกเธอสองเป็นยังไง?”

เย่เชียนหัวเราะเบาๆและตอบว่า “คุณหึงหรอ?”

“หึงเหรอ?” ฉินหยูพูดอย่างฉุนเฉียวและตอกกลับไปว่า “ฉันจะหึงทำไม? ฉันเป็นอาจารย์ของเธอและเธอก็เป็นนักเรียนของฉัน!”

เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและไม่ได้เถียงฉินหยูกลับ เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นเป็นสถานที่ที่น่าเหลือเชื่อเมืองแห่งนี้ให้ความสนใจแก่เย่เชียนยิ่งนัก หากคิดที่จะขยายกองกำลังหน่วยรบหทารรับจ้างเขี้ยวมาป่าในประเทศจีนแล้วล่ะก็เมืองเซี่ยงไฮ้นี่แหละตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่เป็นหัวใจทางการเงินของประเทศจีนแล้วเมืองนี้ยังใกล้กับเมืองหลวงศูนย์กลางของประเทศนี้อีก เมื่อถึงเวลาที่ NSB ‘สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ’ จะสามารถค้นพบหน่วยเขี้ยวหมาป่าได้แล้ว กองกำลังของพวกเขาก็คงจะเติบโตยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ทางการจะรับมือได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่ารัฐบาลต่างๆต้องการที่จะยุบหรือกำจัดหน่วยเขี้ยวหมาป่าแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้แล้ว

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยทำงานร่วมกันกับกองทัพของจีนและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติมาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างโดยเฉพาะข้อตกลงทางธุรกิจนั้นรวมทั้งการปฏิบัติภารกิจนอกดินแดนของประเทศจีน ผู้นำของประเทศจีนไม่ได้โง่พวกเขามีไฟล์และแฟ้มลับของบุคลอันตรายระดับชาติอยู่ในคลังของพวกเขาและแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีของเย่เชียนด้วยเช่นกัน บุคลอันตรายระดับแนวหน้าของชาติต่างก็ต้องหวั่นเกรงหากรู้ว่าเย่เชียนอยู่ที่ประเทศจีน

ฉินหยูก็ตกใจกับความเงียบงันของเย่เชียนเมื่อเธอคิดว่ามันแปลกที่เขาไม่โต้เถียงกับเธอเหมือนทุกครั้งเธอจึงอยากชวนเขาคุยโดยพูดขึ้นมาว่า “เป็นอะไรไป? เธอรู้มั้ยว่าใครเป็นคนสะกดรอยตามพวกเรา?”

เย่เชียนส่ายหัวและตอบว่า “เขาหนีไปแล้ว อาจเป็นเพราะพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจมามมันจึงไม่ใช่เวลาที่พอเหมาะพอควรที่จะทำการเคลื่อนไหวใดๆอย่างโจ่งแจ้ง และผมก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนๆนั้นคือคุณหรือผม แต่ผมที่เพิ่งกลับมาที่ประเทศนี้ความเป็นไปได้ที่จะเป็นผมนั้นมีน้อยมาก ดังนั้นคุณควรระมัดระวังให้มากขึ้นนะในครั้งต่อๆไป”

“เธอไงปกป้องฉันได้” ฉินหยูพูดพร้อมยิ้มอ่อนๆ

“การปกป้องคุณมันไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ผมไม่สามารถอยู่ข้างๆคุณได้ตลอดทั้งวัน24ชั่วโมง ดังนั้นคุณควรระมัดระวังให้มากขึ้นนะ” เย่เชียนพูดตรงไปตรงมาอย่างจริงจัง

ฉินหยูยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนั้นแต่เธอกลับพูดว่า “เธอคงสงสัยสินะว่าฉันคงไม่ใช่ครูบาอาจารย์ธรรมดา..เธอไม่อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันหรอ?”

“ถ้าคุณเต็มใจที่จะพูดคุณก็พูด แต่ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะพูดผมก็จะไม่รั้นให้คุณต้องพูดมัน” เย่เชียนพูดอย่างแผ่วเบา

“เธอนี่เป็นคนแปลกจริงๆ เธอไม่อยากรู้อยากเห็นสิ่งที่เกี่ยวกับฉันบ้างเลยหรอ?” ฉินหยูตอบอย่างสงสัยและขุ่นเคืองเล็กน้อย

เย่เชียนยิ้มอย่างเฉยเมยและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาพ่อของเขาและบอกว่าตนจะไปพักที่บ้านเพื่อนในคืนนี้และจะไม่กลับไปบ้านเพื่อให้พ่อไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขา พ่อก็ไม่ได้ถามคำถามใดๆเขาเพียงบอกให้เย่เชียนประพฤติตัวดีๆจากนั้นก็วางสายไป

“เย่เชียนฉันอยากรู้มากๆเลยว่าจริงๆแล้วเธอกำลังทำอะไรอยู่” ฉินหยูถามอย่างคาดหวัง

“ผมเป็นนักศึกษา” เย่เชียนตอบอย่างเฉยเมย

“เธอโกหก!..เธอไม่เหมือนนักเรียนหรือนักศึกษาธรรมดาทั่วๆไป เธอบอกว่าตัวเองจะอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ไม่นานนัก และแม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอแค่อยากใช้เวลาที่ขาดหายไปในชีวิตเธอแต่ฉันก็ไม่เชื่อเธอหรอก!..ฉันรู้สึกได้ถึงความตายรอบๆตัวเธอ เห้อ..ฉันจะเชื่อเธอได้อย่างไร? มีเพียงแค่คนที่เดินบนเส้นทางสายมรณะเท่านั้นที่จะมีบรรยากาศแบบนี้ได้” ฉินหยูพูดอย่างจริงจัง

เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อยเขาไม่ได้คาดหวังว่าฉินหยูจะมีสัญชาตญาณที่ดีเช่นนี้ ถ้าจะบอกว่ามันเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงเขาก็คงไม่เชื่อ เย่เชียนคิดว่าหากฉินหยูสามารถรับรู้และสัมผัสเกี่ยวกับตัวตนของเขาได้นั้นก็เป็นไปได้อยู่อย่างเดียวคือเธอมักจะติดต่อกับคนแบบเขาอยู่บ่อยครั้งมิเช่นนั้นจะสามารถรู้สึกได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขายิ่งอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของฉินหยูอย่างมาก

หลังจากที่ทั้งสองต่างก็เงียบกันไปสักพักจู่ๆเย่เชียนก็พูดขึ้นมาว่า “ที่จริงแล้วผมเป็นบอดี้การ์ด!..ผมได้รับการว่าจ้างจากพ่อของจ้าวหยาและให้ไปมหาวิทยาลัยเพื่อปกป้องเธอน่ะ!” เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดต่ออีกว่า “แต่ว่าสาวน้อยคนนั้นเธอไม่รู้..เพราะผมบอกเธอไปว่าผมเป็นคู่หมั้นของเธอ!..ฮ่าฮ่า”

ฉินหยูตกตะลึงไปชั่วขณะจากนั้นเธอก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “หยาเอ๋อ..เด็กคนนั้นก็ไม่เลวนะ..ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีทัศนคติแบบลูกคุณหนู..แต่เธอเป็นสาวน้อยที่จิตใจดีนะ ถ้าเธอจีบหยาเอ๋อได้ก็ไม่เลวเลยนะเธอสองคนน่าจะเข้ากันดี”

“คุณนี่ใจกว้างมากเลยนะที่ปล่อยให้แฟนของตัวเองไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนอื่นได้น่ะ!” เย่เชียนหยอกล้อเธออย่างเฉียบขาด

ฉินหยูไม่ได้หยอกล้อกลับแต่เธอถามว่า “เธอเป็นบอดี้การ์ดที่ขาดความรับผิดชอบมาก ตอนนี้เธอทิ้งให้หยาเอ๋ออยู่บ้านคนเดียว..เธอไม่กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหยาเอ๋อหรอ..ห๊ะ”

“ก็เพราะว่าผมมาเดทกับคุณไง!..ในใจของผมนั้นเดทนี้สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด!” เย่เชียนพูดอย่างปากหวาน

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดนักรบจอมราชัน 53 บอดี้การ์ด

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 53 บอดี้การ์ด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในขณะที่หวังยู่กำลังอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรู้สึกที่หลากหลายจู่ๆหยางเหว่ยก็มาขัดจังหว่ะและดึงเธอกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง สิ่งนี้ทำให้เธอไม่สบอารมณ์และจ้องมองหยางเหว่ยอย่างโกรธเคืองและพูดว่า “หยางเหว่ย! ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปฏิบัติการในครั้งนี้ หน้าที่ของคุณคือรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่เพื่อเป็นผู้ช่วยฉันเท่านั้น คุณมีคุณสมบัติอะไรถึงได้มาบอกให้ฉันทำนู่นทำนี่?”

หยางเหว่ยจ้องไปที่หวังยู่ด้วยความประหลาดใจเขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆผู้หญิงคนนี้ถึงได้โกรธจัดขนาดนี้ และคิดในใจว่าเธอเกลียดเย่เชียนไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมเธอถึงช่วยเขาในตอนนี้? อย่างไรก็ตามเขารู้ตัวดีว่าตอนนี้เขาไม่ควรพูดอะไรที่เป็นการยั่วยุหวังยู่อีก เขาได้แต่สาปแช่งเธอในใจว่า ‘ยัยผู้หญิงอวดดีถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเธอที่มีอำนาจฉันก็จะไม่ทนเธออีกต่อไป’

อาจเป็นไปได้ว่าคนที่สะกดรอยตามพวกเขานั้นหนีไปแล้ว? เมื่อเย่เชียนไปถึงตรอกมืดๆมันก็ว่างเปล่าไร้สิ่งใด แต่เมื่อเขาเห็นร่องรอยของหลักฐานที่ทำให้รู้ว่าเคยมีคนอยู่ที่นั่น ซอยนี้มันห่างไกลและมืดมากและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยเข้าไป แต่ทว่าเย่เชียนสามารถตรวจจับกลิ่นของน้ำหอมได้ ถึงกลิ่นจะไม่แรงมากและจัดได้ว่าเป็นกลิ่นชนิดของดอกไม้ จึงอาจเป็นไปได้ว่าคนที่มีจิตสังหารเหล่านั้นเป็นผู้หญิง สิ่งนี้ทำให้เย่เชียนมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าบุคคลนั้นไม่ได้มาจากองค์กรเซเว่นคิล นั่นก็เพราะสมาชิกทั้งหมดขององค์กรเซเว่นคิลล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งหมด

เย่เชียนไม่ใช่ตำแหน่งไล่ล่าโดยตรงของหน่วยเขี้ยวหมาป่าและเนื่องจากศัตรูได้หนีไปแล้วและเย่เชียนก็ไม่สามารถที่จะตามรอยได้ เขาจึงยักไหล่และเดินออกจากตรอกมา เย่เชียนยังไม่รู้ว่าเป้าหมายของเธอคือใครกันแน่ แต่เขาเดาว่าน่าจะเป็นฉินหยู ถ้าเขาต้องการหาสาเหตุจริงๆก่อนอื่นเลยเขาต้องหาตัวตนที่แท้จริงของฉินหยูก่อนและอย่างไรก็ตามฉินหยูเองเธอก็ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่อยากถามเธอเช่นกัน ถ้าเย่เชียนอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของครอบครัวของฉินยูสิ่งที่เขาทำได้ก็คือต้องส่งคนไปสืบเท่านั้น ด้วยความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อเธอแล้วเขาไม่ควรไปขุดขุ้ยหรือดื้อดึงเพื่อหาข้อมูลจากเธอโดยตรงและสิ่งที่ดีที่สุดคือต้องรอฉินหยูบอกเขาด้วยความสมัครใจของเธอเองในสักวันหนึ่ง

เมื่อเขาเดินกลับมาที่ด้านข้างของหวังยู่แล้วเธอถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เย่เชียนยิ้มเล็กน้อยและตอบว่า “ไม่มีอะไรเขาหายไปแล้ว”

หวังยู่พยักหน้าและพูดว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว..โปรดมากับฉันด้วย”

“ผมจะนั่งไปกับฉินหยู..ผมจะไปรถของเธอ..คุณไม่ต้องกังวลนะผมจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อน” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูจริงใจ

ในระหว่างทางไปยังสถานีตำรวจอยู่ๆฉินหยูก็ถามขึ้นมาว่า “เย่เชียน แม่สาวตำรวจคนนั้นดูเหมือนจะชอบเธอนะ ความสัมพันธ์ของพวกเธอสองเป็นยังไง?”

เย่เชียนหัวเราะเบาๆและตอบว่า “คุณหึงหรอ?”

“หึงเหรอ?” ฉินหยูพูดอย่างฉุนเฉียวและตอกกลับไปว่า “ฉันจะหึงทำไม? ฉันเป็นอาจารย์ของเธอและเธอก็เป็นนักเรียนของฉัน!”

เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและไม่ได้เถียงฉินหยูกลับ เมืองเซี่ยงไฮ้นั้นเป็นสถานที่ที่น่าเหลือเชื่อเมืองแห่งนี้ให้ความสนใจแก่เย่เชียนยิ่งนัก หากคิดที่จะขยายกองกำลังหน่วยรบหทารรับจ้างเขี้ยวมาป่าในประเทศจีนแล้วล่ะก็เมืองเซี่ยงไฮ้นี่แหละตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่เป็นหัวใจทางการเงินของประเทศจีนแล้วเมืองนี้ยังใกล้กับเมืองหลวงศูนย์กลางของประเทศนี้อีก เมื่อถึงเวลาที่ NSB ‘สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ’ จะสามารถค้นพบหน่วยเขี้ยวหมาป่าได้แล้ว กองกำลังของพวกเขาก็คงจะเติบโตยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ทางการจะรับมือได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่ารัฐบาลต่างๆต้องการที่จะยุบหรือกำจัดหน่วยเขี้ยวหมาป่าแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้แล้ว

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยทำงานร่วมกันกับกองทัพของจีนและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติมาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างโดยเฉพาะข้อตกลงทางธุรกิจนั้นรวมทั้งการปฏิบัติภารกิจนอกดินแดนของประเทศจีน ผู้นำของประเทศจีนไม่ได้โง่พวกเขามีไฟล์และแฟ้มลับของบุคลอันตรายระดับชาติอยู่ในคลังของพวกเขาและแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีของเย่เชียนด้วยเช่นกัน บุคลอันตรายระดับแนวหน้าของชาติต่างก็ต้องหวั่นเกรงหากรู้ว่าเย่เชียนอยู่ที่ประเทศจีน

ฉินหยูก็ตกใจกับความเงียบงันของเย่เชียนเมื่อเธอคิดว่ามันแปลกที่เขาไม่โต้เถียงกับเธอเหมือนทุกครั้งเธอจึงอยากชวนเขาคุยโดยพูดขึ้นมาว่า “เป็นอะไรไป? เธอรู้มั้ยว่าใครเป็นคนสะกดรอยตามพวกเรา?”

เย่เชียนส่ายหัวและตอบว่า “เขาหนีไปแล้ว อาจเป็นเพราะพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจมามมันจึงไม่ใช่เวลาที่พอเหมาะพอควรที่จะทำการเคลื่อนไหวใดๆอย่างโจ่งแจ้ง และผมก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายของคนๆนั้นคือคุณหรือผม แต่ผมที่เพิ่งกลับมาที่ประเทศนี้ความเป็นไปได้ที่จะเป็นผมนั้นมีน้อยมาก ดังนั้นคุณควรระมัดระวังให้มากขึ้นนะในครั้งต่อๆไป”

“เธอไงปกป้องฉันได้” ฉินหยูพูดพร้อมยิ้มอ่อนๆ

“การปกป้องคุณมันไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ผมไม่สามารถอยู่ข้างๆคุณได้ตลอดทั้งวัน24ชั่วโมง ดังนั้นคุณควรระมัดระวังให้มากขึ้นนะ” เย่เชียนพูดตรงไปตรงมาอย่างจริงจัง

ฉินหยูยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนั้นแต่เธอกลับพูดว่า “เธอคงสงสัยสินะว่าฉันคงไม่ใช่ครูบาอาจารย์ธรรมดา..เธอไม่อยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันหรอ?”

“ถ้าคุณเต็มใจที่จะพูดคุณก็พูด แต่ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะพูดผมก็จะไม่รั้นให้คุณต้องพูดมัน” เย่เชียนพูดอย่างแผ่วเบา

“เธอนี่เป็นคนแปลกจริงๆ เธอไม่อยากรู้อยากเห็นสิ่งที่เกี่ยวกับฉันบ้างเลยหรอ?” ฉินหยูตอบอย่างสงสัยและขุ่นเคืองเล็กน้อย

เย่เชียนยิ้มอย่างเฉยเมยและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาพ่อของเขาและบอกว่าตนจะไปพักที่บ้านเพื่อนในคืนนี้และจะไม่กลับไปบ้านเพื่อให้พ่อไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเขา พ่อก็ไม่ได้ถามคำถามใดๆเขาเพียงบอกให้เย่เชียนประพฤติตัวดีๆจากนั้นก็วางสายไป

“เย่เชียนฉันอยากรู้มากๆเลยว่าจริงๆแล้วเธอกำลังทำอะไรอยู่” ฉินหยูถามอย่างคาดหวัง

“ผมเป็นนักศึกษา” เย่เชียนตอบอย่างเฉยเมย

“เธอโกหก!..เธอไม่เหมือนนักเรียนหรือนักศึกษาธรรมดาทั่วๆไป เธอบอกว่าตัวเองจะอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ไม่นานนัก และแม้ว่าเธอจะบอกว่าเธอแค่อยากใช้เวลาที่ขาดหายไปในชีวิตเธอแต่ฉันก็ไม่เชื่อเธอหรอก!..ฉันรู้สึกได้ถึงความตายรอบๆตัวเธอ เห้อ..ฉันจะเชื่อเธอได้อย่างไร? มีเพียงแค่คนที่เดินบนเส้นทางสายมรณะเท่านั้นที่จะมีบรรยากาศแบบนี้ได้” ฉินหยูพูดอย่างจริงจัง

เย่เชียนตกตะลึงเล็กน้อยเขาไม่ได้คาดหวังว่าฉินหยูจะมีสัญชาตญาณที่ดีเช่นนี้ ถ้าจะบอกว่ามันเป็นสัญชาตญาณของผู้หญิงเขาก็คงไม่เชื่อ เย่เชียนคิดว่าหากฉินหยูสามารถรับรู้และสัมผัสเกี่ยวกับตัวตนของเขาได้นั้นก็เป็นไปได้อยู่อย่างเดียวคือเธอมักจะติดต่อกับคนแบบเขาอยู่บ่อยครั้งมิเช่นนั้นจะสามารถรู้สึกได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขายิ่งอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนของฉินหยูอย่างมาก

หลังจากที่ทั้งสองต่างก็เงียบกันไปสักพักจู่ๆเย่เชียนก็พูดขึ้นมาว่า “ที่จริงแล้วผมเป็นบอดี้การ์ด!..ผมได้รับการว่าจ้างจากพ่อของจ้าวหยาและให้ไปมหาวิทยาลัยเพื่อปกป้องเธอน่ะ!” เย่เชียนยิ้มเล็กยิ้มน้อยและพูดต่ออีกว่า “แต่ว่าสาวน้อยคนนั้นเธอไม่รู้..เพราะผมบอกเธอไปว่าผมเป็นคู่หมั้นของเธอ!..ฮ่าฮ่า”

ฉินหยูตกตะลึงไปชั่วขณะจากนั้นเธอก็ฉีกยิ้มและพูดว่า “หยาเอ๋อ..เด็กคนนั้นก็ไม่เลวนะ..ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีทัศนคติแบบลูกคุณหนู..แต่เธอเป็นสาวน้อยที่จิตใจดีนะ ถ้าเธอจีบหยาเอ๋อได้ก็ไม่เลวเลยนะเธอสองคนน่าจะเข้ากันดี”

“คุณนี่ใจกว้างมากเลยนะที่ปล่อยให้แฟนของตัวเองไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนอื่นได้น่ะ!” เย่เชียนหยอกล้อเธออย่างเฉียบขาด

ฉินหยูไม่ได้หยอกล้อกลับแต่เธอถามว่า “เธอเป็นบอดี้การ์ดที่ขาดความรับผิดชอบมาก ตอนนี้เธอทิ้งให้หยาเอ๋ออยู่บ้านคนเดียว..เธอไม่กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับหยาเอ๋อหรอ..ห๊ะ”

“ก็เพราะว่าผมมาเดทกับคุณไง!..ในใจของผมนั้นเดทนี้สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด!” เย่เชียนพูดอย่างปากหวาน

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+