ยอดนักรบจอมราชัน 543 ไล่ต้อน

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 543 ไล่ต้อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 543 ไล่ต้อน

แน่นอนว่าเย่เชียนนั้นไม่รู้จริงๆ ว่าเหล่ยเจียงจะมาหาเขาและยังใช้หลินโรวโร่วเป็นเหยื่อล่ออีกด้วยและยิ่งไปกว่านั้นเหล่ยเจียงก็อยากจะชี้แจงว่าเขากับหลินโรวโร่วนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีมากและหวังว่าเย่เชียนนั้นจะร่วมมือกับเขาแต่ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่ร่วมมือด้วยแต่อย่างน้อยๆ เย่เชียนก็จะไม่สามารถร่วมมือกับฮัวซงเจี๋ยได้

อย่างไรก็ตามเหล่ยเจียงก็ไม่ได้รู้จักเย่เชียนมากพอส่วนหลินหลินโรวโร่วกับเหล่ยเจียงนั้นก็เป็นเพียงคนรู้จักและถึงแม้ว่าพวกเขาจะเพื่อนที่ดีต่อกันก็ตามแต่ถึงยังไงเย่เชียนก็ไม่คิดที่จะล้มเลิกแผนการจัดการกับเหล่ยเจียง

เมื่อได้ยินเย่เชียนพูดอย่างนั้นเหล่ยเจียงก็ไม่ได้โกรธและเขาก็ยังคงยิ้มอย่างแผ่วเบาและพูดว่า “ผมขอถามคุณเย่หน่อยว่าคุณเย่วางแผนทที่จะต่อสู้กับผมอย่างงั้นหรอ..เพราะสำหรับผมแล้วดูเหมือนว่าฮัวซงเจี๋ยและคุณเย่จะคุยกันนานเลยเมื่อคืนนี้ผมจึงสันนิษฐานว่าฮัวซงเจี๋ยต้องการทาบทามคุณเย่เพื่อร่วมมือกันใช่ไหม? ”

เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคุณถึงจับตามองผมทั้งๆ ที่ธุรกิจของผมกับของคุณมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยและผมก็ไม่ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจนี้จริงๆ เพราะมันไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาดนัก”

เหล่ยเจียงก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คำพูดของคุณเย่ผมน่ะฉันเข้าใจ..แต่คุณเย่ควรจะปฏิเสธที่จะร่วมมือกับฮัวซงเจี๋ยนะ”

“จริงๆ แล้วผมไม่เห็นด้วยกับคำขอของฮัวซงเจี๋ยเลย” เย่เชียนพูด “อย่างไรก็ตามผมคิดว่าคุณเหล่ยก็น่าจะรู้ว่าธุรกิจในเมืองเจิ้งโจวของผมมันไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผมแต่เพียงผู้เดียว..เพราะมีอีกหนึ่งคนที่เป็นผู้ให้ความร่วมมือและยิ่งไปกว่านั้นเขาคนนั้นก็จัดการเกือบทุกอย่างที่นี่..เพราะงั้นผมก็ไม่รู้เลยว่าฮัวซงเจี๋ยต้องการอะไร”

“คุณเย่หมายถึงหลี่จื้อเทียนหรือเปล่า” เหล่ยเจียงพูด “แล้วถ้าหากคุณหลี่ตกลงที่จะร่วมมือกับฮัวซงเจี๋ยล่ะคุณเย่จะทำยังไง? ”

“แม้ว่าหลี่จื้อเทียนกับผมจะเป็นหุ้นส่วนกันแต่เขากำลังประสานงานทางธุรกิจที่นี่และผมก็แค่ให้ทุนบางส่วน..ดังนั้นหากหลี่ตื้อเทียนตกลงแบบนั้นผมก็ทำได้แค่ฟังเขา” เย่เชียนพูดอย่างไม่แยแส

เย่เชียนรู้นิสัยของหลี่จื้อเทียนเป็นอย่างดีเพราะไม่ว่าจะเป็เหล่ยเจียงหรือฮัวซงเจี๋ยล่ะก็ถ้าหากพวกเขาต้องการคุยกับหลี่จื้อเทียนเกี่ยวกับความร่วมมือแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนเพราะหลี่จื้อเทียนสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่ในปัจจุบันได้เพราะวิสัยทัศน์และไหวพริบของเขาที่แม่นยำมาก ดังนั้นเขาจะลดตัวไปร่วมมือกับเหล่ยเจียงและฮัวซงเจี๋ยในธุรกิจประเภทนี้ได้อย่างไร? ซึ่งมันมีแนวโน้มมากที่ทั้งสองคนนี้จะหักหลังหลี่จื้อเทียน

ยิ่งไปกว่านั้นหลี่จื้อเทียนจะถามความเห็นของเย่เชียนก่อนที่จะตัดสินใจอะไรพำราะเมื่อหลี่จื้อเทียนเลือกที่จะร่วมมือกับเย่เชียนแล้วนั่นก็เป็นที่ชัดเจนว่าเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาธุรกิจในเชิงบวกเท่านั้นส่วนสำหรับอุปสรรคอื่นๆ จะเป็นหน้าที่เย่เชียนที่ต้องแก้ไข

เหล่ยเจียงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิดในใจอย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อันที่จริงผมมีจุดประสงค์เดียวที่จะถามคุณเย่ในครั้งนี้นั่นก็คือผมหวังว่าคุณเย่จะรักษาความเป็นกลางเอาไว้ได้เพราะผมเชื่อว่าตราบใดที่คุณเย่ไม่เข้ามาแทรกแซงผมก็มั่นใจ 100% เลยที่จะเอาชนะฮัวซงเจี๋ยได้”

“ผมไม่เคยคิดจะเข้าไปแทรกแซงเลยเพราะผมชอบชมอะไรที่มันน่าตื่นเต้นผมก็เลยอยากจะเติมไฟให้คุณแต่ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรน่าสนใจให้ติดตามเลย” เย่เชียนแสยะยิ้มเบาๆ และพูด

แน่นอนว่าเหล่ยเจียงจะไม่เชื่อคำพูดของเย่เชียนอย่างง่ายดายเพราะอันที่จริงข้อเท็จจริงนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเย่เชียนกำลังยุยงให้เหล่ยเจียงกับฮัวซงเจี๋ยเกิดความขัดแย้งกันและจุดประสงค์ก็คือเย่เชียนต้องการได้รับผลประโยชน์จากสิ่งนี้ อย่างไรก็ตามเหล่ยเจียงก็ยังรู้ว่าความขัดแย้งระหว่างเขากับฮัวซงเจี๋ยได้ดำเนินมาถึงจุดที่ไม่สามารถถอยกลับได้และมันก็ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เหล่ยเจียงกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือไม่ใช่การที่เย่เชียนต้องการผลประโยชน์จากสถานการณ์นี้แต่เป็นการที่เย่เชียนจะไปร่วมมือกับฮัวซงเจี๋ยและถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้รายละเอียดของเย่เชียนมากนักแต่เพราะความไม่รู้มันจึงเป็นสิ่งที่เขากังวลและกลัวอย่างยิ่ง

ตราบใดที่เหล่ยเจียงจัดการฮัวซงเจี๋ยได้แล้วแน่นอนว่าเขาก็จะจัดการเย่เชียนต่อหลังจากนั้น เนื่องจากเครือน่านฟ้ากรุ๊ปเป็นบริษัทใหญ่และมีเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เป็ยถึงหนึ่งใน 20 บริษัทชั้นนำของโลกดังนั้นเหล่ยเจียงจึงคิดที่จะถอนรากถอนโคนเย่เชียนและธุรกิจของเขาออกไปจากมณฑลเหอหนานแห่งนี้

อย่างไรก็ตามเนื่องจากเย่เชียนพูดอย่างนั้นเหล่ยเจียงก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เขาเพียงยิ้มแล้วพูดว่า “ผมรู้สึกโล่งใจกับคำพูดของคุณเย่และผมก็หวังว่าคุณเย่จะจำคำที่คุณพูดในวันนี้ได้”

“แน่นอนผมจะจำคำที่ผมพูดเอาไว้” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ผมก็มีคำเตือนคุณเหล่ยเช่นกัน..คุณอย่าทำแบบนี้อีกไม่งั้นมันคงจะดูไม่ดีถ้าผมต้องฉีกหน้าคุณ”

“คุณเย่สามารถมั่นใจได้ตราบใดที่คุณเย่รักษาสัญญาผมก็จะรักษาสัญญาของผมอย่างแน่นอน” เหล่ยเจียงพูด

เย่เชียนก็ยิ้มและยักไหล่และไม่ได้พูดอะไรต่อ

หลินโรวโร่วนั้นไม่เคยขัดจังหวะพวกเขาเลยและถึงแม้ว่าเย่เชียนกับเหล่ยเจียงจะดูเหมือนขัดแย้งกันเล็กน้อยก็ตามแต่หลินโรวโร่วก็ยังคงฟังพวกเขา ซึ่งในความคิดของเธอเหล่ยเจียงเป็นชายหนุ่มที่ดีและอ่อนโยนและเอาใจใส่เด็กที่ยากไร้และเธอก็ยังคงหวังว่าเย่เชียนจะสามารถช่วยสนับสนุนเขาได้ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็มีการตัดสินใจของตัวเองดังนั้นหลินโรวโร่วจึงไม่เคยคิดที่จะขัดขวางการตัดสินใจของเย่เชียนเลย

อันที่จริงแล้วถ้าหากฮัวซงเจี๋ยและเหล่ยเจียงไม่คิดจะคุกคามเย่เชียนเช่นนั้นเย่เชียนก็ไม่ได้คิดที่จะเข้ามาพัวพันกับพวกเขาเลยเพราะท้ายที่สุดแล้วการพัฒนาในมณฑลล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ถูกต้องและเย่เชียนก็ไม่ต้องการเคลื่อนไหวอะไรมากจนเกินไป นอกจากนี้ถึงแม้ว่ามณฑลเหอหนานจะอยู่ในการควบคุมของเขาแล้วถึงยังไงก็ยังไม่มีใครเข้ามาช่วยดูแลได้เพราะมันยังคงเป็นประโยคเดิมว่าพลังและอำนาจของเขี้ยวหมาป่านั้นพัฒนาเร็วเกินไปจนจัดเตรียมบุคลากรไม่ทันดังนั้นเย่เชียนจึงต้องชะลอสิ่งต่างๆ ลง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอะไรบางอย่างที่อันซือแม่ของเย่เชียนทำให้เขาสงสัยอย่างมากซึ่งถ้าหากผลการสืบค้นออกมาว่าอันซือไม่ใช่แม่ของเขาจริงๆ ล่ะก็เย่เชียนจะต้องคิดว่ามณฑลเหอหนานแห่งนี้ไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าเมืองปักกิ่งเลย

เมื่อมื้ออาหารกลางวันกำลังจะสิ้นสุดลงจู่ๆ เสียงกริ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านนอกและแม่บ้านก็เดินไปเปิดประตูและเห็นตำรวจกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาโดยมีจื้อจุนและเซียวหวันอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย คนที่เดินนำมาเป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งเครื่องแบบตำรวจซึ่งค่อนข้างดูดีและเคร่งขรึมอย่างมาก

“เรามาจากหน่วยสืบสวนอาชญากรรมเชิงพาณิชย์..ไม่ทราบว่าคุณเหล่ยอยู่หรือเปล่าเราต้องการสอบปากคำคุณเหล่ยในการสืบสวนคดี” หญิงวัยกลางคนพูด

“ขอโทษค่ะเจ้านายกำลังรับประทานอาหารอยู่กรุณารอข้างนอกสักครู่เดี๋ยวฉันจะไปบอกเขาให้” แม่บ้านพูด

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคุณเหล่ย?” หญิงวัยกลางคนถาม

“ฉันเป็นแม่บ้านของคุณเหล่ยค่ะ” แม่บ้านตอบ

“หืม…” เซียวหวันดึงเสียงยาวแล้วพูดว่า “ก็แค่แม่บ้านที่ไม่รู้จักคิด..คุณคิดว่าคุณมีตำแหน่งใหญ่กว่าเหล่ยเจียงอย่างงั้นเหรอ..เรามาที่นี่เพื่อควบคุมตัวเหล่ยเจียงแต่ถ้าคุณยังพูดพล่ามและอ้างนู่นอ้างนี้ต่อล่ะก็ฉันจะจับคุณกลับไปพร้อมกับเขา”

“คุณขู่ฉันเหรอ..ประเทศจีนเป็นที่ที่กฎหมายแล้วคุณรู้ไหมว่าคุณพูดอะไรออกมาฉันสามารถฟ้องคุณได้ในข้อหาดูหมิ่นและข่มขู่..ฉันน่ะรู้จักหัวหน้าของพวกคุณเป็นอย่างดี” แม่บ้านพูด

“อะไรนะ? ..คุณพูดอะไรของคุณหลีกไป!” เซียวหวันจ้องไปที่แม่บ้านและยื่นมือออกไป

“หยิ่งผยองดีนัก” เซียวหวันตะคอกแล้วพูดว่า “ถ้าไม่ถอยไปก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”

“ถ้ากล้าก็ลองดูสิ” แม่บ้านพูดอย่างหยิ่งผยอง

“อย่ามาโทษว่าฉันโหดร้ายก็แล้วกัน! ” ทันทีที่เสียงของเซียวหวันจบลงเธอก็กำลังจะตบแม่บ้าน “เซียวหวัน! ” จื้อจุนตะคอกเพื่อรีบหยุดเซียวหวันแล้วพูดว่า “อย่าไปสนใจสุนัขเฝ้าบ้านแบบนี้เลย”

ปากของแม่บ้านกระตุกสองสามครั้งแต่เธอก็ยังคงระงับความโกรธเอาไว้ ในฉากนี้เย่เชียนซึ่งอยู่ไม่ไกลก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนในดวงตาของเขาเพราะเมื่อเซียวหวันกำลังจะตบแม่บ้านเมื่อครู่นี้แต่ทว่าแม่บ้านคนนี้กลับแอบยื่นนิ้วออกมา ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะการห้ามอย่างรวดเร็วของจื้อจุนแล้วล่ะก็เกรงว่าเซียวหวันคงจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของแม่บ้านก็ทำให้เย่เชียนประหลาดใจเพราะดูเหมือนว่าเธออาจจะเป็นปรมาจารย์และเธอก็มั่นใจมากว่าเธอสามารถจัดการกับเซียวหวันได้ด้วยเพียงนิ้วเดียว ซึ่งเธออาจจะเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้โบราณด้วยใช่หรือไม่?

“แม่บ้าน! ..ใครเสียงดังเอะอะอยู่ข้างนอก? ” เหล่ยเจียงถาม

“เจ้านายคะ..พวกเขามาจากหน่วยสืบสวนอาชญากรรมเชิงพาณิชย์..พวกเขาบอกว่าต้องการให้คุณกลับไปให้ปากคำในการสอบสวนกับพวกเขา” แม่บ้านตอบ

“หน่วยสืบสวนอาชญากรรมเชิงพาณิชย์? ” เหล่ยเจียงอดไม่ได้ที่จะผงะและเขาก็คิดไม่ออกว่าพวกเขาเหล่านี้มาที่นี่เพื่ออะไรและหลังจากหยุดไปชั่วขณะเหล่ยเจียงก็พูดว่า “ให้พวกเขาเข้ามา! ”

“เจ้านายของเราเชิญพวกคุณเข้าไป! ” แม่บ้านพูด “ทุกคนเชิญ! ”

เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งก็เดินไปในห้องอาหารและหญิงวัยกลางคนก็หยิบบัตรประจำตัวของเธอออกมาและโชว์ให้ดูแล้วพูดว่า “คุณเหล่ยเรามาจากหน่วยสืบสวนอาชญากรรมเชิงพาณิชย์และมีคดีหนึ่งที่ต้องให้คุณเหล่ยกลับไปช่วยให้ปากคำในการสืบสวนค่ะ”

หญิงวัยกลางคนสุภาพมากและไม่ใช่ว่าเธอพูดถึงกฎหมายและหลักการจริงๆ แต่ตัวตนของเหล่ยเจียงนั้นค่อนข้างยุ่งยากดังนั้นเธอจึงต้องจัดการด้วยความสุภาพ ไม่เช่นนั้นหากเธอทำให้เหล่ยเจียงขุ่นเคืองมากเกินไปมันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวเธอเอง

“ทำไมผมต้องกลับไปกับพวกคุณด้วย..ถ้าคุณมีหลักฐานอะไรคุณก็แค่ออกหมายจับ..ว่าแต่พวกคุณรู้ไหมว่าเวลาของผมน่ะมีค่ามากแค่ไหนเพราะในหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะมีมูลค่าหลายล้านหยวนแล้วเพราะงั้นพวกคุณจะชดใช้กันไหวเหรอ..พวกคุณสามารถรับผิดชอบได้หรือเปล่า?” เหล่ยเจียงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก

“ประธานเหล่ยโปรดให้ความร่วมมือกับหน้าที่ของพวกเราด้วยค่ะ” หญิงวัยกลางคนพูดอย่างเรียบเฉย

“ร่วมมือกับพวกคุณเหรอ..มันไม่ใช่ธุระของผมหนิ” เหล่ยเจียงพูด “อย่ามาอ้างอะไรเลยเพราะถ้าพวกคุณไม่มีหมายจับก็ออกไปซะ!”

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด