ยอดนักรบจอมราชัน 621 ความลำบากใจของม่อหลง

Now you are reading ยอดนักรบจอมราชัน Chapter 621 ความลำบากใจของม่อหลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 621 ความลำบากใจของม่อหลง

แท้จริงแล้วหลินเฟิงนั้นไม่มีอาการอะไรเลยเมื่อเผชิญหน้ากับเซี่ยตงไป่และไม่มีความขุ่นเคืองใดๆ อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพราะหลินเฟิงไม่เคยยอมแพ้ง่ายขนาดนี้มาก่อนเพราะทั้ฝชีวิตเขาได้ลิ้มรสความยากลำบากมากมายก่อนมาถึงวันนี้และเมื่อรู้ว่าตนกำลังจะสำเร็จการศึกษาเขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้อย่างแน่นอน

“พ่อคะ…” เซี่ยจือยี่คร่ำครวญ “พ่อพูดแบบนี้ได้ยังไง?..พ่อลืมไปหรอว่ากว่าพ่อจะมีสถานะในปัจจุบันแบบนี้พ่อก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืนไม่ใช่หรอ..พ่อเองก็เคยเป็นแค่เด็กขัดรองเท้าข้างถนนเลี้ยงชีพ..ลูกผู้ชายถ้าไม่ตายก็สามารถพิชิตได้ ท้องฟ้าได้..พ่อเองก็มักจะคิดแบบนี้ไม่ใช่หรอ?”

“เจ้าลูกไม่รักดี..ลูกจะเอาพ่อไปเปรียบเทียบกับคนอย่างเขาได้ยังไง?” เซี่ยตงไป่ขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ดูเหมือนคนสมัยก่อนมักจะมีปัญหาแบบนี้ทุกคนและเขาก็คิดเสมอว่าไม่มีใครสามารถกลับไปสู่เส้นทางเดิมเพื่อประสบความสำเร็จได้ และเขามักจะรู้สึกเสมอว่าทุกสิ่งที่เขาได้ประสบมานั้นไม่เหมือนใครและไม่มีใครเลียนแบบได้ อย่างไรก็ตามความสำเร็จที่รุ่งโรจน์มักจะเกิดขึ้นหลังจากความยากลำบากและเมื่อใดที่พวกเขาสำเร็จพวกเขาก็จะปลดปล่อยอดีตของพวกเขาโดยไม่สนใจว่าพวกเขาเคยประสบกับความทุกข์ยากเช่นนี้มาก่อน

“ทำไมจะเปรียบเทียบไม่ได้เพราะถ้าพ่อทำได้แล้วทำไมหลินเฟิงจะทำไม่ได้ล่ะ..พ่อไม่สามารถตัดสินคนแบบนี้ได้..หนูเชื่อในตัวหลินเฟิงหนูเชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้หนูผิดหวัง” เซี่ยจือยี่พูดอย่างหนักแน่น “ตอนนี้หลินเฟิงขาดโอกาสแต่ถ้าเขามีโอกาสเขาจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อย่างแน่นอน..พ่อ..ทำไมพ่อถึงไม่ให้โอกาสเขาล่ะ..ตราบใดที่พ่อให้โอกาสหลินเฟิงก็จะประสบความสำเร็จได้”

“ให้โอกาสเขาทำไม..เขามีคุณสมบัติพองั้นเหรอ..พ่อมองไม่เห็นคุณสมบัติของเขาที่พ่อสมควรจะช่วยเขาเลย” เซี่ยตงไป่พูดอย่างดูถูก

หลินเฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและใบหน้าของเขาก็มืดมนลง ซึ่งคนที่มีปมด้อยมักจะมีความนับถือตนเองอย่างมากยิ่งไปกว่านั้นหลินเฟิงก็ยังเป็นคนที่ดื้อรั้นเพราะถึงแม้ว่าเซี่ยตงไป่จะต้องการช่วยเขาก็ตามแต่เขาจะไม่มีวันยอมรับมันอย่างแน่นอน “อย่ากังวลไปเลยครับ..ผมจะไม่ขอความช่วยเหลือจากคุณหรอก..ผมเชื่อว่าวันหนึ่งผมจะเดินตรงไปข้างหน้าคุณและผมจะต้องลบคำดูถูกของคุณให้ได้” หลินเฟิงพูดอย่างดื้อรั้น

“เหรอ?..ฉันจะรอวันนั้นก็แล้วกัน” เซี่ยตงไป่พูดอย่างเย้ยหยัน

นี่เป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากสำหรับเซี่ยจือยี่เพราะเธอไม่สามารถเลือกทั้งสองฝ่ายได้และเธอก็ไม่ต้องการเสียหลินเฟิงหรือพ่อของเธอไปได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อเห็นหลินเฟิงหันหลังเดินจากไปอย่างดื้อรั้นแล้วเซี่ยจือยี่ก็รีบวิ่งไล่ตามเขาไปแต่เธอกลับเห็นหลินเฟิงโบกแท็กซี่และนั่งออกไปเสียแล้วและมันก็สายเกินไปที่จะตามเขาทัน

เมื่อมองรถแท็กซี่ที่ขับออกไปเซี่ยจือยี่ก็ถอนหายใจเบาๆแล้วหันกลับเข้าไปข้างใน ตั้งแต่เด็กๆเซี่ยจือยี่นั้นไม่เคยพูดเสียงดังกับพ่อของเธอเลยแต่ในขณะนั้นเธอโกรธจนเธอทะเลาะกับพ่อของเธอ ซึ่งเธอได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าต่อให้เซี่ยตงไป่จะคัดค้านอย่างไรแต่ถึงยังเธอก็จะไม่ทอดทิ้งหลินเฟิงและเธอก็จะอยู่กับหลินเฟิงเพราะเธอรักหลินเฟิงมาก ซึ่งเธอก็เชื่อว่าหลินเฟิงสามารถทำในสิ่งที่เขาพูดได้และสักวันหนึ่งเขาจะสามารถพิชิตท้องฟ้าได้

อย่างไรก็ตามการพัฒนาของโลกมักจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของมนุษย์

อยู่มาวันหนึ่งหลินเฟิงก็โทรไปหาเซี่ยจือยี่และบอกเลิกกับเธอเพราะหลินเฟิงรู้ดีว่าเขาไม่สามารถพึ่งพาเซี่ยจือยี่ไปตลอดได้และด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขาแล้วเขาก็ไม่สามารถทำให้เซี่ยจือยี่มีความสุขได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรักเซี่ยจือยี่ก็ตามแต่มันก็เป็นอย่างที่เซี่ยตงไป่พูดว่าเขาไม่สามารถมอบชีวิตที่เซี่ยจือยี่ต้องการได้ บางครั้งการปล่อยวางมันก็เป็นความรักชนิดหนึ่งเช่นกัน

เซี่ยจือยี่นั้นก็ไม่สามารถถามหลินเฟิงถึงเหตุผลต่างๆด้วยความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตามหลินเฟิงก็พูดอย่างเด็ดขาดมากโดยไม่ลังเลใดๆเพราะบางครั้งเมื่อคนสองคนเลิกกันมันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นความเจ็บปวดเพราะการเลิกราเสมอไปแต่มักจะเป็นความเจ็บปวดเพราะฝืนทนเสียมากกว่า

หลังจากบอกเลิกเซี่ยจือยี่แล้วหลินเฟิงก็ลาออกจากโรงเรียนไปและกลับไปที่ประเทศจีนและตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีข่าวใดๆเกี่ยวกับหลินเฟิงเลยและไม่ว่าเซี่ยจือยี่จะพยายามอย่างหนักหน่วงแค่ไหนแต่เธอก็ไม่สามารถติดต่อหลินเฟิงได้เลย

ในเวลาต่อมาหลินเฟิงได้เข้าร่วมองค์กรเซเว่นคิลโดยบังเอิญและเปลี่ยนชะตากรรมของเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยความอุตสาหะและสติปัญญาของเขาในที่สุดหลินเฟิงก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำขององค์กรเซเว่นคิลและค่อยๆนำองค์กรเซเว่นคิลไปสู่ความรุ่งโรจน์ อย่างไรก็ตามปมในใจของหลินเฟิงนั้นก็ยังฝังใจเขาอยู่เสมอและนั่นคือเขาเป็นหนี้เซี่ยจือยี่ที่เขาจะไม่มีวันชดใช้ได้

เมื่อเย่เชียนเชิญหลินเฟิงให้มาที่ประเทศญี่ปุ่นก่อนหน้านี้หลินเฟิงก็พูดออกมาว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณใครบางคนในประเทศญี่ปุ่นและแล้วคนที่หลินเฟิงหมายถึงก็คือเซี่ยจือยี่นั่นเอง

ในร้านนั่งดื่มเมื่อเย่เชียนได้ฟังเรื่องราวของหลินเฟิงจบแล้วดังนั้นในที่สุดเย่เชียนก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมการแสดงออกของเซี่ยตงไป่จึงรู้สึกขมขื่นเมื่อเห็นหลินเฟิงและไม่เพียงแค่นั้นเพราะคนอื่นๆก็มีสีหน้าแบบเดียวกันกับเซี่ยตงไป่อย่างเห็นได้ชัด นั่นเป็นเพราะคนที่เซี่ยตงไป่เคยดูถูกได้หวนกลับมาหาเขาแล้วและยิ่งไปกว่านั้นคนคนนั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปและตรงกันข้ามอย่างที่คนคนนั้นได้พูดเอาไว้ก่อนที่จะจากไป ดังนั้นเซี่ยตงไป่จะไม่รู้สึกสูญเสียอาการและละอายใจไปกับสิ่งที่เขาเคยพูดได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเกี่ยวกับการกระทำเมื่อก่อนของเซี่ยตงไป่เพราะเย่เชียนคิดว่ามันเป็นการกระและการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลและมันไม่ใช่ความผิดของเซี่ยตงไป่ที่เขาไม่เชื่อว่าหลินเฟิงจะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆไปได้เพราะเขามีสิทธิ์ที่จะเป็นห่วงลูกสาวของเขาอย่างเซี่ยจือยี่ ซึ่งบางอย่างอาจจะดูไม่เหมาะสมแต่มันก็สามารถเข้าใจได้ที่เซี่ยตงไป่เลือกทำแบบนั้น

หลินเฟิงก็ถอนหายใจเบาๆแล้วพูดว่า “น้องเย่ไม่คิดว่ามันไร้สาระไปหน่อยหรอ?”

เย่เชียนก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผมไม่คิดว่าพี่หลินจะมีอดีตแบบนี้” เย่เชียนพูดและเหลือบมองไปที่ม่อหลงข้างๆเขา ซึ่งการที่หลินเฟิงเล่าถึงอดีตกับเซี่ยจือยี่นั้นถึงแม้ว่ามันจะเป็นอดีตไปแล้วก็ตามแต่ม่อหลงนั้นก็มีความรู้สึกดีๆต่อเซี่ยจือยี่เพราะงั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายจะไม่คิดหรือรู้สึกอะไรเลยเมื่อเขารู้เรื่องของผู้หญิงที่ตนชอบและแฟนเก่าของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายคนนั้นยังเคยพูดถึงความรักที่เขาเคยมีกับผู้หญิงคนนั้นมาก่อน

อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่เห็นอาการหรือท่าทางแปลกๆบนใบหน้าของม่อหลงเลยเพราะการแสดงออกของม่อหลงนั้นดูสงบมากราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็รู้สึกได้ว่าม่อหลงกำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้ในหัวใจของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงความรักในครั้งนี้เมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าวมันก็จะยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น

“ยังไงก็เถอะฉันเป็นหนี้จือยี่จริงๆ..เพราะงั้นเรื่องที่พ่อของเธอทำกับฉันก่อนหน้านี้มันก็ดูสมเหตุสมผลจริงๆ..ฉันเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก” หลินเฟิง “ตั้งแต่น้องเย่เด็ดหัวผู้นำทั้งสามของแก๊งยามากุจิในครั้งนั้นแก๊งฝูชิงเลยใช้โอกาสนั้นโจมตีแก๊งยามากุจิแต่พวกเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะถูกแก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่าร่วมมือกันโจมตี..ด้วยเหตุผลนี้ที่ฉันเป็นหนี้จือยี่ตลอดไปฉันจึงต้องทำแบบนั้น”

เย่เชียนก็พยักหน้าและเข้าใจในทันใด ซึ่งเย่เชียนก็เคยสงสัยอยู่เสมอว่าทำไมแก๊งฝูงชิงถึงสูญเสียเพียงเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับการโจมตีร่วมกันโดยทั้งสองแก๊งอย่างแก๊งอินาดะและแก๊งโยชิคาว่าเพราะปรากฏว่าหลินเฟิงคอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่อย่างลับๆเพราะความหมายในคำพูดของหลินเฟิงก็ชัดเจนอย่างมากว่าเขาแอบช่วยเหลือแก๊งเจ้าพ่อฝูชิงอยู่

อย่างไรก็ตามหลินเฟิงนั้นช่วยเซี่ยจือยี่ไม่ใช่ช่วยเซี่ยตงไป่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เกลียดเซี่ยตงไป่ก็ตามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถยกโทษให้เซี่ยตงไป่ที่ดูถูกเขาได้

“ผมรู้ว่าพี่หลินน่ะใจดี” เย่เชียนพูด “ว่าแต่พี่หลินเคยคิดไหมว่าเซี่ยจือยี่ได้ทิ้งอดีตระหว่างพวกพี่ไปแล้ว..แต่พี่ยังไม่ลืมมันและรู้สึกว่าพี่เป็นหนี้เธออยู่เสมอ..นั่นมันหมายความว่าพี่หลินยังรักเซี่ยจือยี่อยู่หรือเปล่า..ทำไมพี่หลินถึงไม่ปล่อยวางไปเพราะถ้าพี่เอาแต่นึกถึงว่าพี่เป็นหนี้เซี่ยจือยี่อยู่แบบนี้ต่อไปมันจะทำให้พี่หลินทุกข์ทรมานนะ”

หลินเฟิงก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “พูดตามตรงว่าจือยี่น่ะครอบครองช่องว่างที่สำคัญที่สุดในใจของฉัน..แต่มันเป็นความฝันที่น่าเศร้าสำหรับฉัน..แต่ถึงยังไงทั้งหมดมันก็เป็นแค่อดีตและฉันก็ปล่อยวางมันไปแล้วฉันแค่อยากจะช่วยเท่าที่ฉันทำได้..ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่ต้องการให้แก๊งฝูชิงถูกทำลายไปแบบนั้น..อีกอย่างฉันเองก็เห็นว่าจือยี่น่ะปล่อยวางและลืมมันไปหมดแล้วฉันเห็นได้จากรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอมันบ่งบอกชัดเจนว่าเธอมีคนที่เธอรักอยู่แล้ว” ในขณะที่พูดหลินเฟิงก็หันไปมองม่อหลง “น้องม่อฉันน่ะรู้ดีว่าตอนนี้จือยี่ชอบนายมาก..เธอเป็นคนดีจริงๆเพราะงั้นฉันก็หวังว่านายจะรักษามันเอาไว้ได้..ฉันก็เป็นแค่คนนอกฉันพูดอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว..แต่ฉันก็หวังว่าพวกนายจะใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขได้นะ”

เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เพราะหลินเฟิงนั้นคิดง่ายเกินไปเพราะตั้งแต่ที่เขาอยู่ในบ้านของเซี่ยตงไป่ ซึ่งแน่นอนว่าหลินเฟิงสามารถเห็นทุกอย่างเกี่ยวกับเซี่ยจือยี่และม่อหลงได้อย่างชัดเจนเพราะหลินเฟิงนั้นทั้งฉลาดและมีไหวพริบดังนั้นเขาจะไม่เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยจือยี่กับม่อหลงได้อย่างไร?

การแสดงออกของม่อหลงนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปราวกับว่าสิ่งที่หลินเฟิงพูดไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นม่อหลงก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผมรู้ว่าเธอเป็นเด็กดีแต่ผมไม่เหมาะสมกับเธอเหมือนกับคุณ..ผมไม่สามารถมอบชีวิตที่เธอต้องการได้และไม่สามารถที่จะพึ่งพาเธออย่างเดียวได้..เพราะงั้นในเมื่อผมไม่สามารถทำมันได้ก็อย่าเริ่มเลยซะดีกว่า..ผมเกรงว่าสักวันหนึ่งผมอาจจะจากโลกนี้ไปแล้วต้องทำร้ายเธอโดยการทิ้งให้เธออยู่คนเดียวคุณคิดว่ายังไงบ้าง”

ความคิดเช่นนี้ของม่อหลงนั้นเย่เชียนสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดีเพราะในหัวใจของม่อหลงนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่ถูกระงับและต้องยับยั้งเอาไว้เพราะการตายของพ่อแม่และปู่ของเขาและถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้ทุกอย่างแล้วก็ตามแต่ลัทธิและสำนักม่อจื๊อนั้นยังคงดำเนินต่อไปและเขาก็ไม่รู้เลยว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไรเพราะบางทีสักวันหนึ่งเขาอาจจะพ่ายแพ้โดยศิษย์ของสาวกแห่งความมืดและถูกฆ่าตายแต่เขาไม่ได้กลัวความตายเขาแค่กลัวว่าเซี่ยจือยี่อาจจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวและเขาจะไม่สามารถมอบอนาคตที่ดีให้เธอได้ ดังนั้นมันคงเป็นการดีกว่าที่จะไม่เริ่มต้นสิ่งนี้

.

.

.

.

.

.

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด