ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 511 พลังใหม่ (1)
บทที่ 511 พลังใหม่ (1)
หมอกควันสีขาวเทาพลิกม้วนใต้แสงตะเกียงยามราตรี
บนท้องถนนขมุกขมัว เงาร่างกำยำสูงใหญ่กำลังเดินลากโซ่เหล็กเส้นหนาอยู่บนถนนปูหิน
เงาร่างนั้นไม่ได้หายใจ และไม่มีเสียงเต้นของหัวใจ มันสวมเกราะอ่อนสีดำสนิทที่เย็นเยียบไว้ทั่วร่าง ดูไม่ต่างจากอัศวินผู้คลั่งไคล้เกราะทั่วไป เกราะอันหนักอึ้งนั้นสามารถกดทับบุรุษวัยฉกรรจ์ที่ออกกำลังกายเป็นประจำได้อย่างสบายๆ
ทว่าเงาร่างตัวสูงใหญ่ที่สวมเกราะนั้นกลับไม่มีความรู้สึกเชื่องช้าแม้แต่น้อย
“สวรรค์! นั่นเพชฌฆาตนี่!” ในม่านหมอกมีเสียงร้องดังออกมาเบาๆ
“เจ้าโง่! หุบปาก!”
แต่ก็สายไปเสียแล้ว
เงาคนสูงใหญ่ที่ตอนแรกย่างก้าวอย่างเชื่องช้าพลันหยุดชะงัก คล้ายกับกำลังเงี่ยหูฟัง
แก๊ง!
จากนั้นมันพลันกระชากโซ่และก้าวเท้ายาวๆ พุ่งไปทางต้นเสียงทันที
“ไม่!”
“รีบเปิดกับดักเร็ว! อย่าให้มันพุ่งเข้ามาได้!”
“เร็วๆ เข้า!”
“อย่าเข้าไป! ถ่วงเวลามันไว้! เพชฌฆาตเป็นอมตะ พวกเราได้แต่ถ่วงเวลา! อันนาก้มหัวลง!”
เปรี้ยง!
ในม่านหมอกมีเสียงระเบิดที่ทึบหนักดังออกมา
“ทางนี้! ล่อมันมาทางนี้เร็ว!” ชายคนหนึ่งสั่งการด้วยเสียงอันดังและเร่งร้อน
สวบ!
“สยองขวัญ! ไม่! พระเจ้าช่วย!”
“อย่าลนลาน! พวกเราทำสำเร็จแล้ว!”
ตูม!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นออกมา
“ในที่สุดก็จบสักที มันจะไม่ออกมาในเร็วๆ นี้ พวกเราต้องรีบไปทันที!”
“แยกย้ายกันไปดีไหม”
“ไม่ได้ ไปไม่ได้ จะไปเจอเพชฌฆาตที่กระจายตัวกันอยู่ พวกเราจะสู้ยากกว่าเดิม มีวิธีเดียวคือถ่วงเวลาไว้ จะหนีไม่ได้ ถ้าอยู่ห่างกัน พวกมันจะติดตามมาทันในพริบตาผ่านหมอกที่หนาทึบ พวกเราหนีไม่พ้นหรอก”
“แต่ว่า…”
“หุบปาก! ถ้าไม่อยากตายก็จงฟังข้า!”
ตูม!
ทันใดนั้นเกิดเสียงระเบิดดังมา
“พระเจ้า! มันออกมาแล้ว! ทำไมเร็วแบบนี้ หนี รีบหนี! เร็วเข้า!”
เสียงร้องเสียดหูดังขึ้น มีเสียงร้องด้วยความตกใจที่อัดอั้นหลายเสียงดังขึ้นตามมา ม่านราตรีตกสู่ความเงียบสงัดอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักหมอกหนาก็เริ่มกระจายหายไป
…
เขตไวท์โอ๊ค
บนท้องถนนที่มีผู้คนคับคั่ง โรดี้สวมเสื้อกันลมสีเทาตัวหนา สะพายดาบตรงที่ห่อด้วยผ้าไว้ด้านหลัง สวมใส่หมวกทรงกลมขนาดใหญ่ขอบกว้าง ดูเหมือนกับช่างฝีมือที่เร่ร่อนอยู่ด้านนอก
เขาเดินไปตามฟุตบาทริมถนน เบียดฝูงชนที่แออัดเล็กน้อยออกไป ไม่นานก็เข้าไปในตรอกลาดชันทางขวา เด็กตัวมอมแมมหลายคนกำลังเตะฟุตบอลในตรอก วิ่งเหยียบน้ำโคลนที่เต็มอยู่ในแอ่งไปมา
โรดี้เดินตัดทะลุตรอกมาถึงข้างกำแพงแห่งหนึ่งที่มีหน้ากระดานข่าวติดอยู่ ก่อนจะเงยหน้ามองป้ายประกาศมากมายหลากหลายด้านบนอย่างละเอียด
แล้วเขาก็เจอข่าวที่ตนเองต้องการตรงมุมหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ข่าวนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ประกาศรับสมัครงานธรรมดาๆ แต่โรดี้ย่อมมีวิธีการแก้รหัสของตัวเอง
เขาก้มหน้าหยิบสมุดเล่มเล็กออกมา แล้วถอดรหัสเนื้อหาเบื้องหลังที่แท้จริงตามวิธีการแก้รหัสที่จดบันทึกเอาไว้
‘เพชฌฆาต…ปรากฏตัว…พวกชอร์แมนสี่คนหายสาปสูญ’
หลังจากอ่านเนื้อหาที่ถอดรหัสจบแล้ว โรดี้ก็เงียบงันเล็กน้อย ในดวงตาที่ตอนแรกเคร่งขรึมอยู่บ้างปรากฏความปวดร้าวขึ้น
“แม้แต่ชอร์แมนก็ตายแล้วเหรอเนี่ย” เขาพึมพำเบาๆ
เก็บสมุดเล่มเล็กไว้ เขาเดินออกจากตรอก ก่อนจะมาถึงหน้าโรงเหล้าเล็กๆ ชื่อเหยี่ยวขาวซึ่งตั้งอยู่ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าประตูโรงเหล้ามีป้ายไม้เขียนว่าหยุดปรับปรุงกิจการตั้งอยู่ แต่ด้านในกลับสว่างไสว
โรดี้ผลักประตูไม้เดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มีคนโต้เถียงกันอยู่ด้านใน เสียงไม่ดังมาก แต่น้ำเสียงแสดงถึงความหวาดกลัวและเจ็บปวด
ชาย หญิง คนชราและเด็กสิบกว่าคนแยกกันนั่งบนเก้าอี้โรงเหล้า เงาร่างแข็งแกร่งของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกันอย่างไม่ยอมลดราวาศอกเหมือนไก่ชนอยู่ตรงกลาง
ผู้ชายกำลังร้องไห้ มือจับคอเสื้อของผู้หญิงร่างแกร่งพลางตวาดด่าด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา
ส่วนผู้หญิงคนนั้น เป็นผู้หญิงร่างแกร่งที่แค่มองดูก็ทำให้คนนึกถึงนักเพาะกาย ตะโกนเสียงดังและคำรามอย่างโมโห พร้อมกับใช้มือบีบคอผู้ชายไว้เช่นกัน
ทั้งสองคนกำลังวัดกำลังกัน เห็นได้ชัดว่านางมีแรงเยอะกว่าชายที่อยู่ด้านหน้ามาก จึงดันจนชนะอีกฝ่ายได้
“ถ้าหากไม่ใช่เพราะคำสั่งของเจ้า! พวกอันนาคงไม่ตาย! ไม่มีทางตาย!” ผู้ชายตะโกน
“คนที่อยู่ที่นี่เป็นคนที่ถูกสาปทั้งนั้น พวกเรามีตราประทับของเซลลา! ไม่ว่าใครก็ต้องตาย! เจ้า! เจ้า! เจ้า! เจ้า! ทุกๆ คน! ล้วนต้องตาย! อย่ามาพูดเรื่องโชคชะตากับข้า! ข้าไม่เชื่อ ข้าเป็นคนออกคำสั่งแล้วยังไงล่ะ!? ข้าให้พวกเขาถอยทันที ผลลัพธ์ล่ะ?!” นางตะโกน “คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูดกับข้า ถอยไปซะ!”
นางหิ้วตัวผู้ชายด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะเหวี่ยงไปยังสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล ผู้ชายเสียสมดุล ล้มลงกับพื้นและร้องไห้น้ำตาไหลพรากเหมือนกับเด็กๆ
“โรดี้ เจ้ามาแล้ว” มีคนทักทายโรดี้
“พวกชอร์แมนตายหมดแล้วค่ะ ดันไปเจอเพชฌฆาตเข้า” เด็กผู้หญิงผมทองคนหนึ่งเข้ามากล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
โรดี้ผุดสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาฉายแววรวดร้าว “ข้ารู้แล้ว” เขาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้ามองเมราหญิงร่างแกร่งที่กำลังพูดอยู่ตรงกลาง
ในกลุ่มเล็กๆ อย่างเหยี่ยวขาว ทุกคนเป็นคนที่ถูกเมืองแห่งนั้นลงตราประทับเอาไว้ เดิมทีพวกเขาควรตายไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว น่าเสียดายที่ความแค้นกับความต้องการมีชีวิตรอดทำให้พวกเขาหาวิธียืดลมหายใจมาได้
พวกเขาเดินทางไปทั่วทุกหนแห่งเพื่อหาวิธีช่วยเหลือตัวเอง แต่ก็ไม่ประสบผล ในทางตรงกันข้าม เป็นเพราะเดินทางไปทั่ว พวกเขาจึงรวบรวมผู้บริสุทธิ์ที่ประสบชะตากรรมเดียวกันได้จากทั่วทุกสารทิศ
พวกเขาเป็นสหายกัน เป็นผู้รอดชีวิตที่กำลังดิ้นรนเป็นเฮือกสุดท้าย พวกเขามีทั้งคนที่มีผมสีทองตาสีเขียว มีผมสีดำตาสีดำ มีผิวสีดำ ขาว และเหลือง
พวกเขาทุกคนมีจุดร่วมเดียวกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเคยสัมผัสกับเมืองที่น่ากลัวแห่งนั้นมาก่อน
เมรา เป็นคนที่อยู่มานานที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา
“โรดี้เจ้ามาพอดี เจ้าลองบอกดูหน่อยว่าตอนนั้นเจ้าหนีพ้นจากเพชฌฆาตได้อย่างไร” ตอนนี้เมราเห็นโรดี้แล้วเช่นกัน ทั้งสองเป็นคนเก่าคนแก่ที่มีความอาวุโสมากที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเหยี่ยวขาว ผ่านการไล่ล่ามาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง จึงเปี่ยมด้วยประสบการณ์ เวลานี้ให้โรดี้พูดเพื่อเปลี่ยนมุมมองดู อาจจะช่วยคลายความหวาดกลัวในใจทุกคนได้มากกว่าเดิม
โรดี้เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงกลาง
เขากวาดตามองรอบๆ จ้องมองคนของเหยี่ยวขาวที่มองมายังเขา จนกระทั่งพวกเขาเงียบเสียงลงโดยสมบูรณ์
ไม่นานนัก โถงใหญ่ที่ตอนแรกอึกทึกก็ค่อยๆ เงียบสงัดลง
“ความจริงไม่มีประสบการณ์อะไรให้เล่าหรอก หากเจอเพชฌฆาตเข้า สิ่งที่พวกเราทำได้เพียงอย่างเดียวคือหนี” โรดี้เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้าเคยศึกษาเพชฌฆาตมาอย่างละเอียด พวกมันมีพละกำลังแข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทาน และมีร่างกายที่ทนทานจนไม่อาจถูกทำลาย ทั้งยังไม่มีจุดอ่อน ไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกมันเป็นสัตว์ประหลาดที่ฆ่าไม่ตาย พวกเราได้แต่ทำให้พวกมันช้าลง หากจะทำให้ได้ บางทียาลื่นไหลที่ข้าปรุงมาอาจจะมีผล นอกจากนี้ ขอบอกทุกคนเรื่องหนึ่ง คนที่ต้องเผชิญกับเพชฌฆาต ไม่ใช่แค่พวกชอร์แมนเท่านั้น ยังมีข้าอีกคน”
ตอนแรกทุกคนค่อยๆ เยือกเย็นลงตามเสียงของโรดี้ แต่พอเขากล่าวประโยคสุดท้ายออกไป บรรยากาศของโถงใหญ่ทั้งโถงพลันกลายเป็นหวั่นสะพรึงขึ้นมา
“โรดี้เจ้า…” เมรามองเขาอย่างกังวลเล็กน้อย
“ข้าจะจากไปในอีกไม่นาน ไปใช้ชีวิตตามลำพังสักพักหนึ่ง ก่อนที่ข้าจะโผล่กลับมาใหม่ ห้ามพวกเจ้าตามหาข้า” โรดี้กล่าวเสียงราบเรียบ “เวลาจะอยู่ระหว่างสามเดือนถึงห้าเดือน” เขามองไปทางเมราทันที
“รับทราบแล้ว กฎเดิม” เมราพยักหน้า ในเหยี่ยวขาว นางกับโรดี้เคยทำข้อตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า หากใครตายไปแล้วอีกฝ่ายยังอยู่ จะต้องดูแลลูกหลานของอีกฝ่าย
“อย่าตายล่ะ” นางเสริมมาหนึ่งประโยค
โรดี้ตวัดมุมปาก เผยรอยยิ้มแข็งทื่อ “ความจริงตามการคำนวณของข้าต่อแบบแผนของพวกมัน อีกไม่นานจะเป็นรอบของข้าที่ต้องเผชิญกับแดนมรณะแล้ว”
เมราสีหน้าแข็งทื่อ ในฐานะผู้มีตราประทับที่มีศักดิ์อาวุโสเหมือนกัน นางจึงรู้ว่าแดนมรณะหมายถึงสิ่งใด
นั่นคือสภาพจนตรอกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นท่าไม้ตายที่ไม่มีโอกาสรอดชีวิตเด็ดขาดซึ่งเมืองแห่งนั้นใช้กับคนหลบหนี
“ต้องมีความหวังแน่…ขอแค่พวกเราไม่ยอมแพ้” นางสูดลมหายใจ
“ถูกต้อง…ถึงเวลาข้าจะกลับไป” โรดี้หัวเราะเอื่อยเฉื่อย “ลูกข้าเป็นแค่ผู้ปนเปื้อนตราประทับเท่านั้น ขอแค่หลีกหนีไกลพอ ไม่มีข้าเป็นตัวถ่วง เขาอาจจะมีโอกาสใช้ชีวิตต่อไปได้”
“เขาไม่มีทางยอมรับได้ ถ้าเขารู้ความจริงทั้งหมด” เมราส่ายหน้า
“เขาทำได้แน่” โรดี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าสำเร็จ ข้าจะไม่บอกความจริงกับเขา”
ไม่มีใครเอาชนะสัตว์ประหลาดได้ อย่าว่าแต่เพชฌฆาตที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่า ต่อให้เป็นตัวโรดี้เองก็ไม่แน่ใจว่าจะหนีรอดจากเงื้อมมือของพวกมัน ยิ่งอย่าว่าแต่ภายหลังจะมีแดนมรณะที่น่าหวั่นสะพรึงมาถึงอีก
เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว
…
เขตอาทิตย์ตก
‘ยกระดับประสิทธิภาพดูก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งยืนอยู่บนที่ว่างที่โรดี้ใช้ฝึกดาบในยามปกติ มือถือยาเม็ดเล็กๆ ขวดหนึ่งที่เคยกินก่อนหน้านี้เอาไว้
‘สำนักดาบอะไรนี่ใช้แค่การกินยาเพื่อยกระดับความแข็งแกร่ง หากไม่โดนพิษในยาเม็ดกัดกินร่างกายในยามแก่ตัวก็นับว่าร้ายกาจแล้ว’
ลู่เซิ่งตรวจสอบรอบๆ หลังยืนยันได้ว่าไม่มีใครซ่อนตัวเพื่อจับตาดูตนเอง จึงค่อยเทยาเม็ดสีดำเม็ดหนึ่งออกมา แล้วโยนเข้าปากก่อนจะกลืนลงไป
‘ดีปบลู’ เขาเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนดีปบูลออกมาตรวจดูการเปลี่ยนแปลงสภาพด้านในกรอบ
หลังจากยาเม็ดลงท้อง จิตวิญญาณปรับปรุงระบบย่อยอาหาร เพื่อย่อยสลายและดูดซับสรรพคุณยา รวมถึงกำจัดพิษและของเสียทิ้งอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่เกินหนึ่งนาที ฤทธิ์ยาก็เริ่มแสดงให้เห็น ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นเล็กน้อย
แต่ว่าลู่เซิ่งไม่ได้หยุด หากแต่กินยาเม็ดแล้วเม็ดเล่า
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ยาขวดเล็กๆ ก็ถูกเขากินจนหมด นี่เป็นปริมาณให้คนธรรมดาพอกินไปห้าปี
แต่เขากลับกินจนหมดในคราวเดียว
ร่างกายของเขาร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อเริ่มบวมพอง โครงกระดูกคันมากขึ้น กระเพาะส่งความหิวโหยที่รุนแรงออกมา ยาเม็ดจำนวนมากเริ่มออกฤทธิ์ ยาที่ยากจะย่อยสลายชนิดนี้ทำให้กายเนื้อของลู่เซิ่งทนไม่ไหวอยู่บ้างเพราะกินมากเกินไปในคราวเดียว
ลู่เซิ่งหยิบเนื้อแห้งและคุกกี้ออกมาจากในถุงย่ามบนพื้นด้านข้าง จากนั้นก็กินอาหารอย่างตะกละตะกลามพร้อมกับน้ำในกา
‘เงื่อนไขหลักในการยกระดับสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้ถึงเวลาใช้ดีปบลูสักที’
‘การยกระดับใช้สารอาหารระดับพื้นฐานเท่านั้น เดิมทีสามารถใช้แก่นหยางแทนที่ได้ น่าเสียดายที่ยังไม่เข้าใจกฎพื้นฐานของที่นี่ แก่นหยางถึงเลียนแบบสัดส่วนสารอาหารของโลกนี้ไม่ได้…ได้แต่ใช้พลังอาวรณ์ไปก่อนชั่วคราว สิ้นเปลืองจริงๆ’
ลู่เซิ่งจนใจเล็กน้อย สายตาหยุดบนอินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยน จากนั้นสายตาก็จับอยู่ตรงกรอบของวิชาดาบอย่างรวดเร็ว
……………………………………….
Comments