ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 561 โกรธเกรี้ยว (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter บทที่ 561 โกรธเกรี้ยว (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 561 โกรธเกรี้ยว (1)

แคว้นนวกระจ่าง เขตกระสาขาว

ลู่หนิงที่สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัวเดินไปตามริมแม่น้ำที่โล่งกว้าง ลัดเลาะผ่านต้นหลิวหลายต้น ไม่นานก็หยุดยืนหน้าประตูคฤหาสน์เก่าแก่ที่แขวนป้ายอันประณีตไว้

ชุดคลุมสีดำบนตัวเขามีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไปมาก ทั้งๆ ที่ลู่หนิงอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น แต่ชุดคลุมสีดำกลับเหมือนมีอะไรดันอยู่ ทำให้ร่างของเขาสูงถึงระดับผู้ใหญ่ กอปรกับใส่หน้ากากสีขาวอีกใบ จึงกลายเป็นลักษณะของคนลึกลับที่ท่องเที่ยวไปทั่ว

“จัตุรัสสูงกระจ่าง ที่นี่นี่แหละ” ในห้วงสมองของลู่หนิงมีเสียงชายชราดังมา

“ท่านอาจารย์ ต่อจากนี้พวกเราจะทำอะไร” ลู่หนิงถามอย่างใสซื่อ

“ต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย ทั้งหมดให้ข้าจัดการ เหมือนกับเมื่อก่อนหน้านี้”

“ขอรับ”

ลู่หนิงเงยหน้ามองอาคารทั้งหมด ลักษณะของอาคารดูเหมือนกังหันลมที่วางราบอยู่บนพื้น

เขาค่อยๆ ผลักประตูเดินเข้าไป พนักงานของร้านสองคนรีบเข้ามาต้อนรับ ก่อนจะชักนำเขาไปตรวจสอบยาพอกและผงยาหลากหลายชนิดด้านในร้าน

“มีปัญหาอะไรหรือไม่ จงหรูหั่วผู้นี้ดูเหมือนกับหมอยาธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีความพิเศษตรงไหน”

ทางขวามือของร้านยาเป็นเหลาสุราสูงสามชั้นที่มีพื้นที่ค่อนข้างเล็กแห่งหนึ่ง บนชั้นที่สาม บุรษสตรีสวมชุดทะมัดทะแมงสีขาวหลายคนกำลังยืนอยู่ด้านหน้าคันฉ่องบานใหญ่ที่สูงจากเพดานจรดพ้น กำลังมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างในคันฉ่องอยู่

“นี่คือจงหรูหั่วหรือ เพื่อยืนยันว่าเขาเป็นลู่หนิง พวกเราจะต้องทดสอบพฤติกรรมดูก่อน” บุรุษสูงใหญ่ผู้หนึ่งที่ใส่หน้ากากสีเงินครึ่งใบกล่าวเสียงทุ้ม

“วิธีการทดสอบเล่า อีกฝ่ายเป็นคุณชายเล็กของสำนักมารกำเนิด ต้องระวังผลกระทบด้วย” สตรีอีกคนถามเสียงหวาน

“ใช้พิษเหมันต์เป็นอย่างไร”

“พิษแห่งจิตวิญญาณหรือ ก็ได้ ปล่อยตัวทดสอบเถอะ”

“ตกลง ลองใช้สักสองคนดูก่อน”

ไม่นานลู่หนิงก็เดินออกจากอาคาร คล้ายกับได้กำไรอู้ฟู่นัก หลังจากเขาออกจากร้านแล้วก็ตรงดิ่งไปยังนอกเมืองทันที

แต่ว่าอยู่ๆ ระหว่างทางก็มีเด็กสาวน่าสงสารโผล่มาแล้วล้มลงหมดสติอย่างกะทันหัน จนดึงดูดความสนใจของคนไม่น้อยที่อยู่รอบๆ

ลู่หนิงสังเกตเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน เขาชะงักฝีเท้า สุดท้ายก็เข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ด้วย

แล้วเขาก็จดจำชนิดของพิษที่อยู่บนร่างของเด็กสาวฝาแฝดได้อย่างรวดเร็ว

“เหตุใดพิษชนิดนี้ถึงได้มาโผล่ในสถานที่แห่งนี้กัน” ในห้วงสมองของลู่หนิงมีเสียงสงสัยของชายชราดังมา

“เป็นอย่างไร ต้องช่วยไหม” ลู่หนิงเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม พอเห็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันทนทรมาน ก็อดส่งเสียงถามไม่ได้

“เจ้าอยากช่วยพวกนางหรือไม่เล่า เด็กสาวสองคนนี้เป็นคุณสมบัติร่างไร้ขอบเขตที่หายาก เข้ากับวิชาที่เจ้าฝึกฝนได้ดี ถ้าหากชุบเลี้ยงได้ จะมีส่วนช่วยที่ไม่เลวต่อพัฒนาการในอนาคตของเจ้า” ชายชรากล่าวอย่างราบเรียบ

“เช่นนั้นก็ช่วยพวกนางเถอะ” ลู่หนิงตัดสินใจ

เขาเดินไปถึงด้านข้างเด็กสาวฝาแฝดด้วยความเร็วที่ว่องไวถึงขีดสุด หลังสอบถามดูแล้ว รอบๆ ไม่มีคนในครอบครัว พอรู้ว่าพวกนางไม่มีครอบครัว ก็มองเสื้อผ้าเก่าขาดบนร่างเด็กสาว พลันทราบว่าเด็กสาวสองคนนี้เป็นเด็กข้างถนนธรรมดาๆ ที่อยู่ในละแวกนี้

การอาละวาดของวิญญาณร้ายได้ทำให้ครอบครัวมากมายบ้านแตกสาแหรกขาดและพัดพรากจากกัน สถานการณ์เหมือนเด็กสาวสองคนนี้เกิดขึ้นทั่วไป

“กินยาสิ” ลู่หนิงยื่นนิ้วที่สวมแหวนสีดำออกมาจากใต้ชุดคลุมดำ ก่อนจะดีดนิ้วเบาๆ จากนั้นเม็ดยาสีแดงเม็ดเล็กๆ สองเม็ดก็พุ่งออกมาแล้วดีดเข้าไปในปากของเด็กสาวทั้งสองคนอย่างแม่นยำ

กล่าวไปก็ประหลาด หลังจากยาเม็ดเข้าไปในปาก เด็กสาวทั้งสองคนก็ฟื้นคืนสติกลับมาในเวลาเพียงแค่สิบอึดใจเท่านั้น

“ขอบคุณคุณชายที่ลงมือช่วยเหลือ”

หลังจากขอบคุณเป็นพันครั้ง เด็กสาวทั้งสองคนก็ติดตามอยู่ด้านหลังลู่หนิง ปะปนอยู่ข้างกายเขาได้อย่างราบรื่น

“สำเร็จแล้ว”

คนสวมอาภรณ์ขาวหลายคนบนชั้นสามของเหลาสุรายิ้มจาง

ลู่หนิงกลับคืนสู่ลักษณะเดิม เพิ่งกลับมาถึงบ้าน ก็มีคนมาเรียกทันที

“คุณชายหนิง นายท่านเรียกพบเจ้าค่ะ”

“ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือ” ลู่เซิ่งพลันยินดี รีบวิ่งออกจากห้องนอนตุเลงๆ หลังจากตัดผ่านสวนหย่อม ไม่นานก็เจอลู่เซิ่งที่กำลังวางหมากกับคนอื่นอยู่ในศาลาวางหมากด้านในคฤหาสน์ลู่

“ท่านพ่อ” ลู่หนิงร้องเรียกพร้อมกับพุ่งเข้าใส่อ้อมอกของลู่เซิ่ง

“เด็กดี” ลู่เซิ่งยิ้มพลางกอดบุตรชายไว้ จากนั้นก็บุ้ยใบ้ให้มือวางหมากที่อยู่อีกด้านออกไปก่อน พร้อมกับส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ที่อยู่รอบๆ แยกย้าย ไม่นานในรัศมีหลายร้อยหมี่รอบๆ ก็เหลือแค่สองพ่อลูกเท่านั้น

“หนิงหนิง พ่อมีเรื่องจะถามเจ้า เจ้าจะต้องตอบตามจริง เข้าใจไหม” ลู่เซิ่งดันลู่หนิงออกจากอ้อมอกอย่างสงบนิ่ง ก่อนถามเสียงจริงจัง

“ท่านพ่อท่านถามเถอะ หนิงหนิงจะตั้งใจตอบ” ลู่หนิงรีบพยักหน้า

ลู่เซิ่งมองดูบุตรชายที่อ้วนกลมเหมือนลูกหนัง ก่อนจะนิ่งไปเล็กน้อย ครู่ต่อมาจึงค่อยหยิบกระดาษหนังสีเหลืองม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วกางออกเบาๆ

“หนิงหนิง เจ้ารู้จักสิ่งนี้ไหม” ลู่เซิ่งวางกระดาษหนังลงด้านหน้าลู่หนิง คอยสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วย

ลู่หนิงอ่านเนื้อหาบนกระดาษอย่างงุนงง

[โอสถหยกม่วงหทัยลี้ลับ: ตำรายาได้รับการปรับปรุงดังนี้ นมโลหิตสองตำลึง, หนอนเส้นแดงสิบตำลึง, เห็ดฟูเหลืองสามชั่งแปดตำลึง, แมงร่างกล่วงสามตัว, แมลงปอทานตะวันสี่ตัว…]

นี่เป็นตำรายาที่ดูเหมือนมีราคาสูงมาก ลู่หนิงกวาดตาดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่ายหน้า

“หนิงหนิงไม่รู้จัก นี่คืออะไรหรือท่านพ่อ”

“นี่เป็นตำรับยา” ลู่เซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าแน่ใจหรือ ลองดูดีๆ อีกทีสิ ไม่รู้จักจริงๆ หรือ”

“ไม่รู้จักขอรับ” ลู่หนิงส่ายหน้าด้วยใบหน้าตาน่าเอ็นดู

“ดี” ลู่เซิ่งเก็บตำรายาแล้วลูบผมของลู่หนิง “ช่วงนี้เจ้าเข้าไปในเขตแถวๆ นี้หรือไม่”

“ไม่ได้ไปขอรับ ที่ที่หนิงหนิงไปล้วนมีพวกพี่ใหญ่อาใหญ่ในคฤหาสน์จัดการไว้ให้ จะไปไหนท่านพ่อก็รู้หมดไม่ใช่หรือ” ลู่หนิงเอ่ยอย่างไร้เดียงสา

“จริงๆ หรือ” ลู่เซิ่งมองดวงตาของบุตรชาย

“จริงขอรับ หนิงหนิงไม่กล้าหลอกท่านพ่อหรอก” ลู่หนิงพูดอย่างน้อยใจเล็กน้อย

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตำรายาตำรับนั้นเป็นชายชราควบคุมร่างกายของเขาเพื่อปรับปรุง เขายังมาไม่ถึงขอบเขตขั้นนี้ ย่อมไม่รู้อะไรเลย

ส่วนการไปด้านนอก เขาก็ไม่มีความคิดระดับพื้นฐานเลย สถานที่ด้านนอกกับพื้นที่ความจริงไม่มีข้อแตกต่างสำหรับเขา แต่ภายใต้การควบคุมของชายชราและเพราะความเร็วที่ว่องไวจนน่าทึ่ง ตอนเช้าเขาสามารถอยู่ในเขตจันทราสารท และตอนบ่ายสามารถไปถึงเขตที่อยู่ไกลมากกว่าหมื่นลี้ได้

ลู่หนิงไม่ทราบถึงความสุดยอดนี้ เพียงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนไม่ได้เดินไปไหนไกล เพียงครู่เดียวก็ไปไกลหมื่นลี้แล้ว แถมระหว่างสองสถานที่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรนัก นี่ทำให้เขานึกว่าตัวเองไม่ได้ไปไหนเลย

“หนิงหนิง เรื่องนี้สำคัญมาก อย่าหลอกพ่อเด็ดขาดนะ” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

ลู่หนิงพยักหน้า “อย่างมากสุดก็แค่ไปที่อื่นตอนบ่ายเท่านั้น แต่ไม่ได้ไปไกลนะขอรับ” เขาเสริมอย่างลังเลเล็กน้อย

“ดี” ลู่เซิ่งไม่แสดงสีหน้า แต่ในใจมีคำตอบแล้ว ต่อจากนั้นก็เล่นเป็นเพื่อนลู่หนิง หรือไม่ก็ควบคุมไฟหยินให้เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ เพื่อแสดงให้ลู่หนิงดู

รอลู่หนิงเล่นจนเบื่อแล้ว ลู่เซิ่งค่อยปล่อยเขาให้กลับไปอาบน้ำพักผ่อน

จนกระทั่งเจ้าอ้วนน้อยวิ่งหายไป ลู่เซิ่งยังคงนั่งรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ในศาลาตามลำพัง

ไม่นานนัก เงาคนสวมชุดทะมัดทะแมงสีขาว ตรงหน้าอกปักคำว่าอริยะไว้ตัวเล็กๆ ก็เร่งฝีเท้าเข้ามาในศาลาวางหมาก

ผู้นำเป็นบุรุษหล่อเหลาที่มีสายตาคมกริบ สตรีที่ติดตามเขาอยู่มีรูปร่างยั่วยวน แต่กลับตัดผมจนโล้นเหมือนกับแม่ชี

“จือเหิงจื่อกับหงเหมยจื่อแห่งหน่วยตรวจสอบคารวะอริยะเจ้าลู่” ครั้นทั้งสองคนมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง ก็โค้งตัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ

“ข้อมูลของท่านได้ส่งมาแล้ว นอกจากนี้สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคุณชาย ไม่ทราบว่าอริยะเจ้าลู่สัมผัสอะไรได้บ้าง” แม้บุรุษจะดูเคารพ แต่ก็กล่าวด้วยท่าทีเยาะเย้ยอยู่บ้าง

“พวกเจ้าจะตรวจสอบก็ได้ แต่จงอย่าสร้างผลกระทบทางลบให้แก่ลูกชายข้า นี่เป็นข้อตกลงที่พวกเราได้คุยกันไว้แล้ว ไม่มีปัญหากระมัง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ

“ย่อมได้” จือเหิงจื่อพยักหน้า

“นอกจากนี้ ข้าขอฉบับคัดลอกของผลลัพธ์หลังจากการตรวจสอบด้วย นี่ไม่มีปัญหากระมัง” ลู่เซิ่งถามอีก

“ได้แน่นอน” จือเหิงจื่อยิ้ม

ลู่เซิ่งพยักหน้า “สรุปข้าจะพยายามให้บริวารของสำนักและคฤหาสน์ร่วมมือกับพวกเจ้าเท่าที่จะทำได้”

“ขอขอบคุณอริยะเจ้าที่อนุญาต พวกเราซาบซึ้งใจมาก” จือเหิงจื่อค่อนข้างพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราไม่รบกวนการพักผ่อนของอริยะเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน”

“ตามสบาย” ลู่เซิ่งค่อยๆ ยกจอกชาตรงหน้าขึ้นจิบเบาๆ

หลังจากหน่วยตรวจสอบของราชาอริยะองค์ที่หนึ่งเข้าพักในเขตจันทราสรท ก็ใช้เวลาทั้งหมดสองเดือนกว่าๆ

พวกเขาดำเนินการตรวจสอบและจับตาดูชีวิตทุกด้านของลู่หนิงอย่างละเอียดยิบ และพวกเขาก็ค้นพบเบาะแสร่องรอยไม่น้อยจริงๆ

ลู่เซิ่งไม่ได้ก้าวก่ายการปฏิบัติการใดๆ ของพวกเขา เขาได้คุยกับจือเหิงจื่อนั่นมาหลายครั้งแล้ว จนพบว่าสถานะของอีกฝ่ายแปลกประหลาดเล็กน้อย ไม่ได้เหมือนผู้เข้มแข็งในต้าอิน หากเหมือนกับผู้ใช้วิชาชั่วร้ายในโลกแห่งความเจ็บปวดมากกว่า แต่ก็อ่อนแอกว่าผู้ใช้วิชาชั่วร้าย

กระนั้นเมื่อพิจารณาว่าสำนักไตรอริยะควบคุมพลังของประตูพิภพสามบาน การที่ชักนำผู้ใช้วิชาชั่วร้ายให้เข้าร่วมได้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เขาเทียบสถานการณ์ของตัวเองตามเนื้อหาส่วนหนึ่งในข้อมูลไปพลาง คอยสังเกตท่าทีของหน่วยตรวจสอบเช่นจือเหิงจื่อไปพลาง ความจริงแล้วเขาเองก็สงสัยในสถานการณ์บางอย่างของลู่หนิงเช่นกัน

ข้อมูลเป็นเพียงการบรรยายทั่วๆ ไปเท่านั้น แทบไม่มีส่วนช่วยต่อลู่เซิ่ง มันบันทึกไว้ว่าคล้ายขอแค่ก้าวสู่ระดับเจ้าแห่งอาวุธได้ ก็จะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงพิเศษโดยธรรมชาติเอง

ลู่เซิ่งไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติเกิดขึ้นบนร่าง สิ่งที่เขารู้สึกได้เพียงอย่างเดียวก็คือจิตวิญญาณ

ก่อนที่จะได้ข้อมูลมา ลู่เซิ่งเกิดความรู้สึกแต่แรกแล้วว่า จิตวิญญาณคล้ายเริ่มเกิดปรากฏการหลอมรวมเข้ากับไฟหยินส่วนหนึ่งแล้ว ในระหว่างที่ให้ความร่วมมือกับหน่วยตรวจสอบในการตรวจสอบลู่หนิง ความเร็วของการหลอมรวมนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าการหลอมรวมนี้จะนำอะไรมา แต่จากบันทึกในข้อมูลทำให้เขาคาดเดาว่า บางทีการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติที่แท้จริงของเจ้าแห่งอาวุธอาจจะเพิ่งเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ก็ได้

การหลอมรวมจิตวิญญาณกับไฟหยินใช้เวลาทั้งหมดสามเดือน จากนั้นจิตวิญญาณก็จะหลอมรวมเข้ากับร่างกายอีกครั้ง ใช้เวลาแค่สองวันก็เรียบร้อยแล้ว

หลังการหลอมรวมลู่เซิ่งไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงรวบรวมสมาธิหลักไว้ที่หน่วยตรวจสอบ เขาสงสัยมากกว่าว่า หน่วยตรวจสอบของราชาอริยะองค์ที่หนึ่งแห่งสำนักไตรอริยะจะตรวจเจอสิ่งใดจากตัวลู่หนิง

ในตอนที่ลู่เซิ่งรอจนเริ่มหงุดหงิด หน่วยตรวจสอบก็มาหาเขาอีกครั้ง หวังว่าจะดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดในระดับที่ลึกกว่าเดิมต่อลู่หนิงได้

“การทดสอบคุณสมบัติร่างกาย” ในโถงรับแขก ลู่เซิ่งนั่งบนที่นั่งประธาน ก้มมองพวกจือเหิงจื่อที่อยู่ด้านล่าง ไฟสีฟ้าที่เย็นเยียบลุกไหม้บนผนังสองฟากข้างอย่างไร้เสียง และปล่อยเส้นแสงที่เย็นยะเยือกออกมา

“ถูกต้อง ดำเนินการตรวจสอบทุกด้าน ถือเป็นการรับประกันระดับลึกต่อคุณชายหนิงเช่นกัน” จือเหิงจื่อยังคงยิ้มกริ่มอย่างเคย

“ข้าไม่อนุญาต” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ

“เหตุใดอริยะเจ้าไม่ลองพิจารณาดูอีกครั้ง เกิดว่าในร่างกายของคุณชายหนิงมีสิ่งไม่ดีซุกซ่อนอยู่ล่ะก็…”

“ข้าไม่อยากยอมรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เรื่องนี้ขอให้จบเท่านี้” ลู่เซิ่งนิ่วหน้า ช่วงนี้จิตวิญญาณของเขาปรากฏคลื่นพิเศษขึ้น เขาที่ความรู้สึกรับรู้ไม่นับว่าแข็งแกร่งอยู่แล้ว ตอนนี้ระดับยิ่งตกต่ำลงไปไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่อยากให้เกิดเหตุแทรกซ้อน หากมีปัญหาอะไรขึ้นมาจะไม่เป็นผลดีแล้ว

“…ก็ได้ ในเมื่ออริยะเจ้ายืนกราน อย่างนั้นพวกเราก็ได้แต่รายงานระดับบนตามจริงแล้ว” จือเหิงจื่อยักไหล่อย่างจนใจ

“ตามใจพวกเจ้าเถอะ สำนักเราให้ความร่วมมือกับพวกเจ้าในการตรวจสอบมานานขนาดนี้ กลับไม่มีผลลัพธ์อะไรแม้แต่น้อย นี่เป็นเพราะพวกเจ้าไม่มีความสามารถเอง โทษใครไม่ได้หรอก” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ

“อริยะเจ้าสั่งสอนได้ถูกต้อง” จือเหิงจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้โกรธเคือง “อย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อน”

“ไปเถอะ ฝากทักทายฝ่าบาทราชาอริยะแทนข้าด้วย” ลู่เซิ่งค่อยๆ หลับตาลง การเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณทำให้ช่วงนี้เขาเหนื่อยง่ายมาก

“แน่นอน” จือเหิงจื่อพาหงเหมยจื่อออกจากโถงประชุมและลานเรือน ก่อนจะหันไปมองโถงใหญ่

ตอนนี้เขายิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม

“ทุกอย่างราบรื่นดี” จือเหิงจื่อยื่นมือไปตบบ่าหงเหมยจื่อเบาๆ “ไปเถอะ ถึงเวลาพวกเราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้ว”

“ตอนนี้สับตัวคนเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ใช้คือจิตวิญญาณของคนอายุเท่ากันที่มีความคล้ายกันเก้าสิบห้าส่วนจากร้อยส่วน นอกจากนี้ความทรงจำปลอมก็ได้ปลูกถ่ายสำเร็จแล้วเช่นกัน” หงเหมยจื่อส่งกระแสเสียงด้วยใบหน้าเย็นชา

“ถูกต้อง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าหนูนั่นจะมีสมบัติที่ล้ำค่าแบบนี้อยู่ในตัว นี่เหมือนกับสุภาษิตที่ว่ามีความผิดเพราะครอบครองหยกจริงๆ” จือเหิงจื่อหัวเราะ แล้วเหินร่างขึ้นเพื่อบินไปยังที่ไกลพร้อมกับหงเหมยจื่อ

‘ที่นี่…คือที่ไหน’ ลู่หนิงจ้องมองห้องที่ทรุดโทรมรอบๆ อย่างระมัดระวัง

เขาอยู่ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ลู่แท้ๆ เพียงแต่แค่พริบตาที่ก้าวเข้าคฤหาสน์ลู่ ทุกสิ่งตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด