ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 583 จัดการ (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter บทที่ 583 จัดการ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 583 จัดการ (1)

“รอเดี๋ยว! พวกคุณไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างเหรอ” ในหอพัก นักท่องราตรีพลันชะงักฝีเท้า

ทูตสวรรค์ทมิฬกับคนของม่านเหล็กไม่สนใจ สองฝ่ายยังคงคุมเชิงกันต่อหลังจากพังกลอนประตู ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปก่อน เพราะท่าทางของคนแรกที่พุ่งเข้าไปจะเป็นการหันหลังให้กับคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายถึงชีวิตสำหรับนักฆ่า

ต่อให้เป็นทูตสวรรค์ทมิฬระดับที่ปรึกษา ก็ไม่มีทางทำข้อผิดพลาดต่ำๆ แบบนี้

นักท่องราตรีค่อยๆ ถอยหลังเพื่อแสดงเจตนาว่าตนไม่คิดเข้าร่วมศึกแย่งชิงในครั้งนี้

ถึงแม้อวี๋ชาจะมีความสำคัญมาก แต่เขาสังหรณ์ว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้ในห้องนี้

ด้านหลังประตูบานนั้นเงียบเกินไป พวกเขาต่อสู้กันด้านนอกมาสักพักหนึ่งแล้ว ต่อให้เป็นคนที่ซื่อบื้ออย่างไรก็คงไม่ถึงกับไม่ส่งเสียงอะไรเลย

พอนักท่องราตรีฉุกใจนึกได้ ก็อดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้

ขณะที่มองสองฝ่ายที่กำลังคุมเชิงกันอยู่ ในที่สุดเขาก็เลือกเชื่อลางสังหรณ์ หมุนตัวเตรียมจะลงจากหอพัก

อยู่ๆ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังมาจากบันได

‘หรือว่า?!’ นักท่องราตรีเกิดความฮึกเหิม ค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้น

เขาพุ่งไปถึงบันได แล้วเห็นชายกระโปรงของเดรสสีดำที่อวี๋ชาใส่ตรงด้านล่างแวบหนึ่ง

‘ที่แท้ก็หนีออกมาตั้งแต่แรกแล้วนี่เอง!’ นักท่องราตรีดีใจ รีบติดตามไป

เขาพยายามย่องให้เงียบที่สุด อาศัยแสงไฟที่อยู่ไกลๆ จนเห็นดวงหน้าที่หวาดผวาของอวี๋ชาที่อยู่ด้านหน้า

ระยะห่างชิดใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นักท่องราตรีรู้สึกว่าบางทีภารกิจครั้งนี้อาจจะสำเร็จได้ง่ายๆ

ตอนที่เข้าใกล้ได้สักสองสามเมตร เขาพลันรู้สึกถึงความผิดปกติ แม้เด็กสาวตรงหน้าจะมีใบหน้าของอวี๋ชา แต่ตรงจุดอื่น…

พอเขาเข้าใกล้ถึงค่อยค้นพบอย่างงุนงงว่า เด็กสาวคนนี้เหมือนกับกำลังลากอะไรบางอย่างไว้กับพื้น

เนื่องจากแสงไฟมืดสลัว ทำให้เขามองไม่ออกอยู่ชั่วขณะ

ระยะห่างใกล้มากขึ้น เขาลงมือจับอีกฝ่ายในระยะห่างเท่านี้ได้แล้ว นักท่องจึงราตรีโล่งอก

ฟ้าว!

ใบหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นใบหน้าที่สุกงอมงดงามแต่กลับแฝงความบ้าคลั่งเย็นชาเอาไว้

ครั้นเข้าใกล้ นักท่องราตรีจึงค่อยค้นพบว่า สิ่งที่ ‘อวี๋ชา’ กำลังลากอยู่ไม่ใช่สิ่งของ

หากเป็นศพที่ขาดครึ่งท่อน

นักท่องราตรีตื่นตระหนก ฝีเท้าชะงักเล็กน้อย

“หนุ่มน้อย เธอกำลังตามหาฉันอยู่เหรอ” ‘อวี๋ชา’ อุ้มศพในมือขึ้น พร้อมกับหมุนตัวมามองนักท่องราตรี

ศีรษะของศพในมือเธอเอียงเล็กน้อย เป็นที่ปรึกษาของนักท่องราตรีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกนั่นเอง!

“ท่าน…ที่ปรึกษา…!?” นักท่องราตรีงงงัน รู้สึกเจ็บปวดและตื่นตระหนก

ฉัวะ!

ประกายเลือดสาดกระจาย เลื่อยที่เปื้อนเลือดตัดผ่านร่างของเขาด้วยความเร็วสูง

ชั้นบนสุดของตึกเรียนในโรงเรียนแพลตินัม

ห้องทำงานของผู้อำนวยการ

เฉวียนสือฮุยนั่งบนโต๊ะทำงานอย่างสบายอารมณ์ ขางามเรียวยาวที่สวมถุงน่องถูกผู้อำนวยการอ้วนที่อยู่ด้านหลังเอื้อมมือมาลูบไล้อย่างแผ่วเบา

ผู้อำนวยการเพลลา เพเจต์นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน ร่างใหญ่โตมีไขมันเกินเกณฑ์เล็กน้อย เขาไว้หนวดจิ๋มและผิวขาวเสียจนเหมือนหนังหมูที่ผ่านการแช่น้ำมา

มือของเขาลูบไล้เบาๆ ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่เขาคิดจะยื่นมือไปใต้กระโปรง เฉวียนสือฮุยจะส่งสายตาคมกริบใส่ จึงต้องหยุดความคิดที่ไม่ควรเกิดนี้เอาไว้

“คุณลุง เตรียมตัวพร้อมหรือยังคะ” เฉวียนสือฮุยปัดมือบนน่องขาทิ้งและลุกขึ้นเดินไปถึงหน้าตู้หนังสือ ก่อนจะยื่นมือไปลูบหนังสือเล่มหนาที่จัดอย่างเป็นระเบียบในตู้

“ปล่อยให้พวกผู้ร้ายน่ากลัวที่ชั่วช้าสารเลวพวกนั้นเข้ามาในโรงเรียน ตอนนี้ควรจะลงมือได้แล้วมั้ง”

“โฮ่ๆๆ…ทัพปีกขาวเข้าประจำตำแหน่งแล้ว พวกที่ปรึกษาก็เข้าประจำตำแหน่งแล้วเหมือนกัน” เพลลา เพเจต์ชักมือกลับ มองดูหลานสาวที่เผยความอันตรายออกมาอย่างละโมบ เขาคิดจะจัดการอีกฝ่ายมานานแล้ว น่าเสียดายที่ตั้งแต่เขารับเลี้ยงเธอไว้ตอนอายุสิบเอ็ดขวบ เธอก็รู้ว่าจะปกป้องตัวเองอย่างแน่วแน่ได้อย่างไรมาโดยตลอด

“แล้วจะยังรออะไรอยู่อีกล่ะคะ” เฉวียนสือฮุยเอ่ย “ผู้เฝ้าระวังของสหพันธรัฐ หรือ”

“ไม่…ผู้เฝ้าระวังมอบอำนาจทั้งหมดให้ทางเราจัดการเรียบร้อยแล้ว ลุงกำลังรอคนที่แข็งแกร่งที่สุดของโรงเรียนแพลตินัมอยู่” ผู้อำนวยการเพลลา เพเจต์อธิบายอย่างอ่อนโยนและอดทน

“คนที่แข็งแกร่งที่สุดหรือ ลุงหมายถึง…” เฉวียนสือฮุยพลันนึกถึงอะไรบางอย่าง หน้างามเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

“แล้วพวกหลานล่ะ คิดจะทำยังไง” เพลลามองดูหลานสาวของตนอย่างอ่อนโยน “เป็นยังไง ขอแค่หลานยอมกลายเป็นทาสของลุง ครั้งนี้ลุงจะพิจารณาปล่อยพวกหลานไปสักครั้ง”

“คุณลุงก็ยังคงชั่วช้าเหมือนเดิม” เฉวียนสือฮุยเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ นับตั้งแต่เธอค้นพบสันดานวิปริตของคุณลุงตอนอายุสิบสอง เธอก็สิ้นหวังกับเรื่องครอบครัวโดยสิ้นเชิง

“ลองคิดดูสักหน่อยเถอะ” เพลลาไม่สนใจคำวิจารณ์แบบนี้แม้แต่น้อย

“ต่อให้เป็นคนคนนั้น ฉันก็เชื่อว่าพี่ใหญ่ไม่มีทางแพ้ง่ายๆ” เฉวียนสือฮุยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แสงแห่งสุสานเหนือผู้คุมม่านน่ะหรือ…ลุงยอมรับว่าเขาแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าหากบวกนักฆ่าระดับรอยจันทราของตระกูลไป๋เข้าไปด้วยล่ะ” เพลลายิ้มกว้างกว่าเดิม

ในที่สุดสีหน้าของเฉวียนสือฮุยก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

“สามอันดับแรกของสหพันธรัฐ…นึกไม่ถึงว่าจะมาพร้อมกันในวันเดียว…” น้ำเสียงของเธอเย็นชาขึ้นเล็กน้อย

“อย่าคิดจับลุงเป็นตัวประกันดีกว่านะ หลานสาวที่รักของลุง” เพลลา เพเจต์หัวเราะเหอะๆ

“งั้นเหรอ” เฉวียนสือฮุยถอยหลังก้าวหนึ่ง “ในเมื่อลุงคิดว่าตัวเองกำชัยชนะไว้ในมือแล้ว อย่างนั้นก็คอยดูต่อไปเถอะ” จากนั้นเธอก็หมุนตัวออกจากห้องทำงาน

ชุดเกราะสีขาวจำนวนมากล้อมโรงเรียนแพลตินัมไว้หลายชั้น

บนไหล่ขวาของชุดเกราะขาวทุกชุดติดผ้าคลุมเล็กๆ ที่งามประณีตเอาไว้

ผู้นำเป็นชายสวมชุดเกราะร่างสูงใหญ่ที่ติดผ้าคลุมสีดำผืนกว้างเอาไว้ มองเห็นผ่านหน้ากากโลหะได้ว่า นี่เป็นชายวัยกลางคนที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิง และดูเหมือนอายุจะอยู่ในช่วงราวๆ สามสิบกว่าปีคนหนึ่ง

เวลาสามสิบกว่าปี จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ถ้าหากคนคนหนึ่งทุ่มเทเวลาทั้งหมดกับเรื่องเรื่องหนึ่ง เรื่องนั้นก็จะน่ากลัวถึงขีดสุดภายใต้ความหมกมุ่นที่กินเวลายาวนาน

มังกรพิษแกล แคนดี้เป็นเช่นนี้ เขาใช้เวลาสามสิบปีกับชุดเกราะต่อสู้ระยะประชิด คนที่มีอายุหกสิบสี่ปีในตอนนี้กลับดูหนุ่มแน่นอย่างน่าประหลาดเพราะให้ความสนใจกับเรื่องเรื่องเดียวเป็นเวลานาน

“เตรียมตัวกันเรียบร้อยแล้วหรือยัง” เขาถามผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้าง

“เตรียมทุกอย่างเสร็จแล้วครับ”

คำตอบของผู้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเขา

มังกรพิษยกมือซ้ายขึ้น ด้านนอกแขนซ้ายมีเลื่อยคมกริบแถวหนึ่งดีดออกมา

“เป้าหมาย โถงประชุมของตึกเรียนหมายเลขสอง ทุกคนเตรียมลงมือ” เขายกแขนขึ้น

ฟิ้ว!

เลื่อยท่อนหนึ่งบนแขนพุ่งออกไปอย่างฉับพลัน กลายเป็นชิ้นส่วนสีขาวมากมาย ก่อนจะลอยเฉียงๆ ไปทั่วทิศ

มันเหมือนกับเป็นสัญญาณ ชุดเกราะหลายกลุ่มที่ล้อมอยู่รอบโรงเรียนพากันเคลื่อนทัพเข้าไปในโรงเรียน

“คืนนี้จะกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของพวกเรา” มังกรพิษนั่งบนรถสี่ล้อขนาดใหญ่สีขาวที่เหมือนกับรถจักรยานยนต์ เพียงแค่บนรถติดตั้งที่นั่งไว้ที่เดียว ทำให้เขาที่นั่งลงหงายหลังเล็กน้อย และสองมือวางราบบนที่พักแขนสองข้างราวกับนั่งลงบนบัลลังก์

“เกราะจักรพรรดิทั้งเจ็ด การรวมตัวแบบนี้อันตรายเกินไปจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังใดก็ไม่ทางยอมให้พวกร้ายกาจแบบนี้โผล่ขึ้นมาในพื้นที่ของสหพันธรัฐ เด็ดขาด” เสียงที่แก่ชราอยู่บ้างตอบกลับมาจากความมืดอย่างรวดเร็ว

“ชนวนดูเหมือนจะเป็นนักเรียนปีสองของโรงเรียนสินะ” มังกรพิษถามอย่างกะทันหัน

“ดูเหมือนจะใช่ครับ”

“น่าสนใจดี”

ตอนที่ตัดผ่านประตูโรงเรียน มังกรพิษแกลแคนดี้เงยหน้ามองดวงดาวกลางท้องฟ้ายามราตรี สิ่งที่น่าเสียดายก็คือตอนนี้มีดวงดาวแค่ไม่กี่ดวงเท่านั้นที่เผยโฉม

ชุดเกราะทั้งหมดกรูเข้าหาตึกเรียนหมายเลขสอง ชุดเกราะสีขาวที่ติดผ้าคลุมสีทองอ่อนและมีสภาพแตกต่างกันออกไปสี่ชุดในนี้ ค่อยๆ เดินไปรอบๆ เพื่อปิดเส้นทางหลบหนีที่เป็นไปได้ทั้งหมด

“พวกเราโดนล้อมแล้ว เป็นทัพปีกขาวของมังกรพิษแกลแคนดี้…”

ในโถงประชุม ฮาล์ฟเฟซยืนมองชุดเกราะสีขาวที่ล้อมด้านนอกเอาไว้อยู่ข้างหน้าต่าง

“แล้วจะรออะไรอีก พุ่งทะลวงออกไปก็พอแล้วไม่ใช่เหรอไง” มันโดเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “หรือจะรอให้พวกมันจัดขบวนเสร็จ จากนั้นพวกเราค่อยยิงปืนใหญ่ใส่หรือ”

“ฉันมีของเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะรับมือเกราะทหารทั่วไปได้ แต่คงใช้กับเกราะขุนพลที่แข็งแกร่งกว่าได้ไม่ดีเท่าไหร่” ดอกเตอร์เคลเลอร์ไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากกล่าว

“ไม่เป็นไรหรอก” ลู่เซิ่งยิ้ม “พวกเราออกไปพบปะพวกมันสักหน่อย มังกรพิษแกล แคนดี้ปรมาจารย์ระดับรอยจันทราอันดับหนึ่งของสหพันธรัฐ ขอดูหน่อยเถอะว่าจะมีพลังขนาดไหน”

“ใครจะไปบ้าง” เขากวาดตามองทุกคนที่อยู่รอบๆ

“ฉันไป” ฮาล์ฟเฟซลุกขึ้น ถึงจะโดนล้อมเอาไว้ แต่ทุกคนกลับไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย

“ขุนพลของม่านเหล็กมาถึงแล้วเหมือนกัน ครบทั้งสี่คน” ประตูใหญ่ของโถงประชุมค่อยๆ เปิดออก เบเลย์ที่ร่างอาบเลือดยืนถือเลื่อยที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้ออยู่ตรงประตู

“พวกเราเจ็ดคนอยู่นี่ ทั่วทั้งสหพันธ์ไม่มีศัตรูที่พวกเราล้มไม่ได้ จะกลัวอีกทำไม!? ต่อให้เป็นมังกรพิษแล้วยังไง พวกเราร่วมมือกัน ไม่แน่ว่าจะทำให้มันลิ้มรสความพ่ายแพ้ไม่ได้” มันโดขู่คำราม

ลู่เซิ่งมองดู ความจริงเกราะจักรพรรดิที่อยู่ที่นี่เป็นสุดยอดชุดเกราะรัดรูปที่แข็งแกร่งกว่าเดิม แถมยังมีพลังป้องกันและความเร็วดีกว่าเดิม แกร่งกว่าเกราะทหารประมาณห้าถึงสิบเท่า และแกร่งกว่าเกราะขุนพลสองเท่า

ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าเอาชนะไม่ได้ ขอแค่เกราะทหารมีจำนวนเกินสามสิบ ก็สร้างการคุกคามที่เห็นได้ชัดต่อพวกเขาได้แล้ว ส่วนถ้าเกราะขุนพลมีจำนวนเกินแปดชุด และประสานงานกันได้ดี ก็จะรุมเกราะจักรพรรดิจนตายได้

เดิมทีโลกใบนี้มีไว้เพื่อสะสางผลกรรมเท่านั้น ลู่เซิ่งจึงไม่คิดจะเสียเวลาอีก

เขาเดินออกจากโถงประชุม แล้วหยุดยืนอยู่บนระเบียง พลางมองดูชุดเกราะของทัพปีกขาวที่ล้อมที่นี่เอาไว้ข้างล่าง

“อย่างน้อยมีหนึ่งพันกว่าคน เยอะกว่าตอนที่เจอกันครั้งล่าสุดไม่น้อย”

“เพื่อแผนผังแสงดาวล่ะมั้ง” ดอกเตอร์เคลเลอร์ว่า

“แผนผังแสงดาวหรือ” ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก

“แผนผังการออกแบบของสุดยอดชุดเกราะสายยุทธวิธี ว่ากันว่ามันใช้ความรู้ต้องห้ามไม่น้อยทีเดียว” เคลเลอร์อธิบายอย่างละเอียด

“ผู้คุมม่านของม่านเหล็กก็มาถึงแล้วเหมือนกัน แสงแห่งสุสานเหนือ หมายเลขสองของสหพันธรัฐ” มิสซิสเบเลย์มองชั้นบนสุดของหอพักที่อยู่ข้างๆ ชุดเกราะพิเศษที่เป็นสีขาวอมเทาชุดหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น

ชุดเกราะชุดนั้นสูงชะลูดทรงพลัง หางยาวเส้นหนึ่งติดอยู่บนศีรษะและห้อยไปด้านหลัง

“ไปเถอะ ทำให้พวกมันได้เห็นพลังของพวกคุณซะ” ลู่เซิ่งเห็นชุดเกราะสีขาวอมเทาที่นั่งอยู่ด้านข้างแล้วเช่นกัน

“ทางด้านแสงแห่งสุสานเหนือนั่น เคลเลอร์ พวกเราร่วมมือกันเป็นไง” มิสซิสเบเลย์ถาม

“ดีเหมือนกัน” ดอกเตอร์เคลเลอร์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองทยอยลงตึกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็หายไปในความมืด

“พวกเราก็ไปเถอะ รอบๆ มีชุดเกราะมีฉายาของทัพปีกขาวกับม่านเหล็กเฝ้าอยู่ ถ้าไม่ลงทุนสักหน่อย ครั้งนี้คงจะทำลายอุปสรรคไม่ไหวจริงๆ” ฮาล์ฟเฟซเอ่ยเสียงแหบพร่า

มันโดแค่นเสียง แล้วโดดออกไปจากหน้าต่างทีอยู่ใกล้ๆ

เหลือแค่บั๊ค เฮนรี่กับเงาคนสูงใหญ่ที่สวมโค้ทสีดำอีกสาย

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด