ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 672 แสดง (2)
บทที่ 672 แสดง (2)
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าๆ
ลู่เซิ่งฉวยโอกาสตอนที่เยวี่ยอ๋องยังไม่กลับมา ขอยื่นเรื่องเข้าไปในสำนักอีกครั้ง แล้วเริ่มเส้นทางการเลี้ยงกระเรียนที่ศิษย์ทุกคนต้องผ่าน
วิชาทั้งหมดของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์ที่เป็นสำนักเต๋าสำหรับเพาะเลี้ยงกระเรียนเซียน ย่อมพัฒนาขึ้นเพื่อเลี้ยงดูกระเรียนเซียน
หลังจากศิษย์ทั้งหมดเข้าสำนักแล้ว ก็จะถูกขอให้ไปอยู่กับฝูงกระเรียนในเขาตามลำพัง นี่ก็คือการเลี้ยงกระเรียน
พูดถึงที่สุดก็คือไปเป็นแรงงานเลี้ยงกระเรียนขาวฝูงใหญ่ที่มีจำนวนเยอะสุดขีดของสำนักโดยไม่ได้อะไรตอบแทน
ศิษย์ทั่วไปไม่อยากทำหน้าที่นี้ แต่ลู่เซิ่งกลับสร้างความงุนงงให้แก่หลงเหอจื้อผู้เป็นเจ้าสำนัก โดยขอยื่นเรื่องไปเลี้ยงกระเรียนเอง
“หลังจากศิษย์ฝึกฝนอย่างหนักมาระยะหนึ่ง ก็ได้ค้นพบว่ามีวาสนากับกระเรียน ทุกครั้งที่เห็นกระเรียนขาวบินผ่านข้างตัวไป จะเกิดความรู้สึกปลาบปลื้มที่อธิบายไม่ได้อยู่ลึกๆ” ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหน้าหลงเหอจื้อและบอกเล่าเหตุผลที่ตัวเองขอสมัครไปเลี้ยงกระเรียนอย่างเคารพ
“เหมือนกับเสี่ยวอวิ๋น ข้าเพิ่งเลี้ยงมันมาหนึ่งเดือนกว่าๆ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากลับล้ำลึกถึงขั้นที่ไม่อาจบรรยายได้แล้ว”
ลู่เซิ่งควบคุมให้กระเรียนขาวเข้ามาคลอเคลียตนเองอย่างสนิทสนม
“ท่านอาจารย์โปรดดูเองเถอะ นับตั้งแต่ศิษย์ฝึกฝนสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์ ก็ค้นพบอย่างฉับพลันว่า ข้ามีความรู้สึกสนิทสนมที่บรรยายไม่ได้กับกระเรียนขาว”
หลงเหอจื้อขมวดคิ้วมองกระเรียนขาวเสี่ยวอวิ๋น กระเรียนตัวนี้เป็นกระเรียนที่เขาช่วยเลือกให้ ทำไมเพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งเดือนกลับเติบโตจนมีขนาดสองสามขวบแล้ว ไปกินสมบัติฟ้าวัตถุดินดีๆ อะไรเข้าหรืออย่างไร
เขาจำได้ว่าไม่ว่าจะเป็นสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์หรือคัมภีร์ปีกขาว วิชาควบคุมกระเรียนที่อยู่ในนั้นก็ทำให้กระเรียนขาวใกล้ชิดกับตัวเองได้จริงๆ แต่ไม่ได้ถึงขั้นอลังการขนาดนี้
“ดูท่าจะเลี้ยงได้ไม่เลวทีเดียว” อาจารย์อาป๋อหรูชิงพยักหน้าเห็นด้วยจากด้านข้าง
หลงเหอจื้อไตร่ตรองดูครู่หนึ่ง
“เจ้าอยากจะไปเลี้ยงกระเรียนก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ฝูงกระเรียนที่ว่างอยู่แถวนี้มีแค่ฝูงเดียว ฝูงกระเรียนนี้มีจำนวนมากอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าเจ้าจะรับมือไหวหรือไม่”
ลู่เซิ่งรู้สึกยินดี ถ้าจำนวนเยอะก็ดีสิ จึงรีบกล่าวว่า
“อาจารย์ไม่ต้องห่วง ศิษย์ขอไปลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวเปลี่ยนใจก็ยังไม่สาย”
“อืม…ก็ได้” หลงเหอจื้อพยักหน้าช้าๆ
ลู่เซิ่งที่บรรลุเป้าหมายยิ้มน้อยๆ
ก่อนหน้านี้เขาหยั่งเชิงอู๋โยวจื่อจนค้นพบว่า แม้ด้านในสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์กับคัมภีร์ปีกขาวดั้งเดิมจะมีวิชาควบคุมกระเรียนอยู่ แต่ว่าวิชาควบคุมกระเรียนของพวกเขากับวิชาควบคุมกระเรียนของตนเป็นคนละอย่างกันโดยสมบูรณ์
วิชาควบคุมกระเรียนของพวกเขาเหมือนกับความสามารถติดตัวที่ใช้เพิ่มความสนิมสนมมากกว่า ไม่จำเป็นต้องโคจรก็สามารถใช้ได้
ทว่าวิชาควบคุมกระเรียนในสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ที่ลู่เซิ่งปรับปรุงแล้วร้ายกาจสุดแสน สามารถควบคุมร่างของกระเรียนขาวน้อยได้โดยตรง แถมยังได้รับความสนิทสนมอย่างสมบูรณ์แบบด้วย
ลู่เซิ่งยังค้นพบปรากฏการณ์หนึ่ง นั่นก็คือยิ่งสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ของเขามีพลังยุทธ์ล้ำลึกเท่าไหร่ ขนาดของเสี่ยวอวิ๋นก็ยิ่งเติบโตเร็วขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น
ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าๆ สัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ในเวลานี้ของเขาสั่งสมจนมีพลังยุทธ์หกร้อยกว่าปีแล้ว
ปราณจริงแท้ที่ล้ำลึกขนาดนี้ไหลเวียนและพลิกม้วนอย่างช้าๆ อยู่ในตัวเขาในสภาพหมอกข้นหรือกึ่งของเหลว
วิชาควบคุมกระเรียนที่ใช้พลังยุทธ์ระดับนี้โคจรก็มีอานุภาพสูงส่งจนน่าตกใจเช่นกัน
แม้ว่าขนาดตัวของกระเรียนขาวจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีการต่อต้านภายใต้การควบคุมของลู่เซิ่งแม้แต่น้อย
ถึงขั้นที่ลู่เซิ่งยังควบคุมให้มันระเบิดพลังแฝงในตัวหรือผลาญพลังชีวิตเพื่อเสริมคุณสมบัติร่างกายได้ด้วย
นี่ไม่ใช่ผลของการควบคุมทางจิตเท่านั้น แม้แต่เซลล์ทั้งหมดในตัวก็ถูกควบคุมด้วยเช่นกัน
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า หลายส่วนของสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์เรียนรู้ปรับปรุงแล้ว ก็หลอมรวมเข้ากับทักษะประสบการณ์ในวิชาจิตโน้มนำอันล้ำลึกของตัวเอง ดังนั้นจึงมีประสิทธิผลที่ร้ายกาจปานนี้
หลงเหอจื้อขมวดคิ้วใคร่ครวญพร้อมกับพิจารณาลู่เซิ่งในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า เทียบกับหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านี้ ลู่เซิ่งในตอนนี้มีบุคลิกเยือกเย็นที่อธิบายไม่ได้ของกระเรียนเซียนเพิ่มมา
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อฝึกฝนสัจวิชากระเรียนพิสุทธิ์จนสำเร็จ นี่เพิ่งฝึกไปแค่เดือนเดียวเอง แต่กลับมีบรรยากาศแบบนี้แล้ว…
หลงเหอจื้อรู้สึกเหมือนกับว่าศิษย์ที่ตนรับในครั้งนี้จะมีคุณสมบัติเหนือจินตนาการของตัวเอง จึงอารมณ์ดีทันที
“ก็ได้ อย่างนั้นเจ้าไปลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยกลับมาให้พวกเราเปลี่ยนที่ให้”
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์!” ลู่เซิ่งพลันประสานมือคำนับ
ปัจจุบันเขามีพลังยุทธ์ล้ำลึกสุดเปรียบปาน หลังจากใช้ทักษะซ่อนเร้นพลังฝึกปรือที่เรียบง่ายบางส่วนเมื่อก่อนหน้านี้ ยอดฝีมือสำนักกระเรียนพิสุทธิ์สองคนตรงหน้าก็สัมผัสไม่ได้แล้ว
ทว่าเขากลับสัมผัสและแยกแยะระดับพลังยุทธ์ของสองคนตรงหน้าได้
หลงเหอจื้อน่าจะมีพลังยุทธ์ราวครึ่งหนึ่งของเขา ส่วนป๋อหรูชิงยังไม่ถึงหนึ่งในสามของเขาด้วยซ้ำ
คนทั้งสองคือคนชราที่อายุเลยสองร้อยปีเป็นอย่างต่ำ แต่เปลือกนอกกลับมองไม่ออก โดยเฉพาะป๋อหรูชิงซึ่งดูไม่ต่างจากผู้ใหญ่วัยกลางคนธรรมดาๆ เท่าไหร่
“จริงสิ ห่างออกไปร้อยลี้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสำนักกระเรียนพิสุทธิ์เป็นที่เร้นกายของจอมภูผาอวี้หงซึ่งเป็นผู้อาวุโสของสำนัก เวลาที่เสี่ยวจิ่งเจ้าเลี้ยงกระเรียนอย่าเผลอไปรบกวนการบำเพ็ญของผู้อาวุโสเข้าเล่า” ป๋อหรูชิงเตือนอย่างระวัง
“จอมภูผาอวี้หงหรือ ศิษย์เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งกำลังกังวลอยู่ว่าจะหายอดคนสำนักเต๋าตัวจริงไม่เจอ ครั้งนี้ลองไปหยั่งเชิงได้แล้ว
“จริงสิ หลังจากเสี่ยวจิ่งเข้าสำนักแล้วข้ายังไม่ได้ตั้งฉายาเต๋าให้กระมัง” หลงเหอจื้อพลันพูดกับป๋อหรูชิง
“ข้าคือหลงเหอ (ธารมังกร) เจ้าคือหรูชิง (ดั่งวิสุทธิ์) ส่วนเสี่ยวจิ่ง เขาเป็นซื่อจื้อของเยวี่ยอ๋อง มีวาสนากับฝูงกระเรียนตั้งแต่เกิด ให้ชื่อว่าเทียนหลงเต้าหยิน (มังกรฟ้า) ก็แล้วกัน!” หลงเหอจื้อเสนอแนะ
“เอ่อ…ศิษย์พี่ เทียนหลงนี้มาจากไหนกัน ซื่อจื่อของเยวี่ยอ๋องกับฝูงกระเรียนไปเกี่ยวกับมังกรฟ้าได้อย่างไร” ป๋อหรูชิงโต้แย้งอย่างเอือมระอา “ในความเห็นข้า ใช้ชื่อว่ากุ่ยหลงเต้าหยิน (มังกรเต่า) ดีกว่า!”
ลู่เซิ่ง “…”
ความสามารถในการตั้งชื่อของทั้งสองห่วยแตกสิ้นดี กุ่ยหลงที่ป๋อหรูชิงตั้งมาจากไหน ยังมีหน้าไปว่าเทียนหลงของคนอื่นอีก
“เรียกเทียนหลงนั่นแหละ ข้าตั้งชื่อนี้ตอนที่อาจารย์ตั้งฉายาเต๋าให้ แต่น่าเสียดาย…” หลงเหอจื้อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“กุ่ยหลงดีกว่า! กระเรียนกับเต่าอายุยืน ตั้งเป็นชื่อนำ บวกกับมังกรในหมู่กระเรียนมันพ้องกับวลีมังกรในหมู่คนด้วยไม่ใช่หรือ ดีกว่าเยอะเลยนะ!?” ป๋อหรูชิงไม่ยอมลดราวาศอก
“เอาเทียนหลง ความหมายล้ำลึกกว่า!”
“กุ่ยหลงหนักแน่นกว่า!”
“เทียนหลงเหมาะกับสถานะของซื่อจื่อของเยวี่ยอ๋องมากกว่า!”
“กุ๋ยหลงสุขุมสง่างามกว่า”
มันสง่างามตรงไหนกัน
ลู่เซิ่งเอือมระอา
ทั้งสองเถียงกันอยู่ครึ่งวัน ไม่มีใครยอมใคร เลยให้แต่ละคนตั้งหนึ่งตัวอักษร
เทียนกุ่ย (เต่าสวรรค์)!
ลู่เซิ่งแทบจะเสียสติ
ฉายาเต๋าแบบนี้ไม่ตั้งยังจะดีกว่า!
เกิดเดินออกไปมีคนกราบกรานแล้วถามว่าเป็นใคร เทียนกุ่ยเต้าหยินไง! ฉายาเต๋าบัดซบนี้ทำให้คนได้ยินครั้งหนึ่งเลื่อมใส ได้ยินสองครั้งกังวลใจ ได้ยินสามครั้งแล้วอยากจะฟันคน
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงเข้าแทรกแซงการคัดเลือกฉายาเต๋าของทั้งสองโดยไม่สนใจมารยาท
สุดท้ายโต้เถียงอยู่นานสองนาน ในที่สุดทั้งสามก็ได้ชื่อฉายาเต๋าว่า เฮ่อเจิน (กระเรียนจริงแท้)
เจินเฮ่อเต้าหยิน บอกออกไปอย่างไรก็ให้ความรู้สึกเคร่งขรึมเป็นทางการอยู่
ลู่เซิ่งที่โล่งใจรีบนำกล่องสานไม้ไผ่เลี้ยงกระเรียนออกจากอารามด้วยการนำทางของนักพรตธรรมดาคนหนึ่ง
ทั้งสองคนเดินอ้อมป่าเขาสองรอบ ในที่สุดก็เจอฝูงกระเรียนสีขาวที่กำลังกินน้ำอยู่ริมลำธารเล็ก
กระเรียนสีขาวฝูงใหญ่ยืดขายาวเดินไปมาอยู่ในเขตน้ำตื้นข้างลำธารเล็กใสที่ไร้รูปทรง
บางครั้งจะมีกระเรียนขาวบางตัวทิ่มจะงอยแหลมยาวเข้าไปใต้น้ำ แล้วคาบปลาตัวเล็กตัวหนึ่งขึ้นมาอย่างแม่นยำ ก่อนจะกลืนลงไป
บางครั้งมีสัตว์ชนิดอื่นอยากจะดื่มน้ำ แต่ก็ถูกฝูงกระเรียนที่ดุร้ายไล่ไปที่อื่นทันที
กระเรียนที่เป็นผู้นำในการไล่สัตว์ชนิดอื่น เป็นกระเรียนขาวตัวผู้ที่สูงเกือบสามหมี่กว่าๆ
“นั่นคือเจ้าสนขาว เป็นหัวหน้ากระเรียนของที่นี่ ขอแค่เจ้าอยู่กับมันดีๆ กระเรียนขาวตัวอื่นก็จะไม่มีปัญหาอะไร” นักพรตผู้นำทางลู่เซิ่งยืนอยู่ห่างออกไปร้อยหมี่ พร้อมทั้งชี้มาทางด้านนี้
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งยัดแท่งเงินให้แก่นักพรต “ขอบคุณศิษย์พี่ที่นำทาง”
“เกรงใจแล้วๆ” นักพรตพลันยินดี เห็นแก่แท่งเงิน เขาเลยเตือนอีกประโยคว่า “เจ้าสนขาวมีคุณสมบัติไม่ธรรมดา เกือบจะกลายเป็นพาหนะของยอดคนสำนักเต๋าเมื่อนานมาแล้ว ภายหลังปีกพิการเพราะอุบัติเหตุ เจ้าสำนักของพวกเราช่วยเหลือโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เลยอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ศิษย์น้องต้องระวังไว้หน่อย อย่าไปยั่วโมโหเจ้าสนขาวเข้า หากโดนจิกจนมีแผลทั่วตัวจะแย่เอา
“ขอบคุณๆ” ลู่เซิ่งขอบคุณติดต่อกัน สิ่งของกับข้อมูลเบื้องหลังเหล่านี้ หากไม่มีนักพรตธรรมดาแบบนี้อยู่ด้วย เขาก็สืบไม่สะดวกจริงๆ
“เอาล่ะ ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว ข้าขอไปก่อน รอบๆ ฝูงกระเรียนมีคนเลี้ยงกระเรียนได้แค่คนเดียว ไม่อย่างนั้นถ้ามีคนมากเข้า หรือมีคนคอยคุมเป็นเวลานาน อาจจะทำให้ฝูงกระเรียนเครียดจนโจมตีใส่ได้ ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากอาราม แต่อารามมีค่ายกล ที่นี่เองก็มีค่ายกลเช่นกัน ทำให้ตัดขาดกัน บ้านไม้ใกล้ๆ นี้เตรียมน้ำอาหารไว้หมดแล้ว เรื่องกินเรื่องดื่มเจ้าจัดการเอง อีกสิบวันข้าจะมาใหม่ ถ้าหากเจ้าเข้ากับฝูงกระเรียนได้ พวกมันก็จะยอมให้เจ้าเลี้ยงเอง”
นักพรตพูดจบก็หมุนตัวเร่งรุดไปยังอาราม ก่อนจะหายไปกลางป่าเขาอันล้ำลึกโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบอึดใจ
ลู่เซิ่งที่ได้สติกลับมามองดูกระเรียนขาวขนาดต่างๆ ที่มีมากกว่าร้อยตัว
“เสี่ยวอวิ๋น!” เขาตะโกน “มาทำความรู้จักกับทุกคนหน่อย”
กระเรียนเซียนสีขาวหิมะที่ใหญ่เกือบสองหมี่ตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากป่าที่อยู่ไกลออกไป
กระเรียนเซียนมองลู่เซิ่งแวบหนึ่ง จากนั้นก็เข้าร่วมกับฝูงกระเรียน ก้มหน้าดื่มน้ำและเดินไปเดินมาด้วยกันอย่างรวดเร็วเหมือนกับกระเรียนเซียนตัวอื่นๆ
ลู่เซิ่งผงกศีรษะน้อยๆ การหลอมรวมเข้ากับฝูงได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เขามองออกว่าเจ้าสนขาวเป็นกระเรียนวิเศษที่มีสติปัญญาสูงเหมือนกับกระเรียนเซียนที่มอบขนปีกให้แก่เขาเมื่อก่อนหน้านี้ ดังนั้นเกิดเจอหน้าแล้วใช้วิธีบังคับทันที ก็อาจจะทำให้ความแตกและเกิดผลตรงกันข้ามได้ อย่างไรวิชาควบคุมกระเรียนก็ได้แต่ควบคุมกายเนื้อเท่านั้น คิดจะทำให้ยอมรับต้องค่อยเป็นค่อยไป
เวลาหนึ่งวันผ่านไปท่ามกลางการสังเกตของลู่เซิ่ง เขายกระดับพลังยุทธ์ของสัจวิชามหากระเรียนพิสุทธิ์ไปพลาง วางแผนการในภายหลังอย่างตั้งใจไปพลาง
หนึ่งวันผ่านไป…
เสี่ยวอวิ๋นที่ตัวใหญ่เท่าหนึ่งคนครึ่งส่งเสียงร้องพร้อมกับคาบปลาตัวหนึ่งออกมาจากในลำธาร ก่อนจะเงยหน้ากลืนปลาลงไปและร้องเสียงใสกระจ่าง
เจ้าสนขาวที่อยู่ด้านข้างก้มหน้ามองมัน ทำเป็นไม่สนใจ
สองวันต่อมา…
เสี่ยวอวิ๋นที่ตัวใหญ่เท่าสองคนครึ่งส่งเสียงร้องพร้อมกับคาบปลาตัวหนึ่งออกมาจากในลำธาร ก่อนจะเงยหน้ากลืนปลาและร้องเสียงใสกระจ่าง
เจ้าสนขาวก้มหน้าดื่มน้ำอยู่ด้านข้าง
สามวันต่อมา…
เสี่ยวอวิ๋นที่ตัวใหญ่เท่าสามคนครึ่งส่งเสียงร้องพร้อมกับคาบปลาตัวหนึ่งออกมาจากในลำธาร ก่อนจะเงยหน้ากลืนปลาและร้องร้องเสียงใสกระจ่าง
เจ้าสนขาวเงยหน้ามองเจ้าตัวใหญ่ด้านข้าง รู้สึกว่ามีตรงไหนผิดปกติสักที่หนึ่ง
สี่วันต่อมา…
เสี่ยวอวิ๋นถีบกระเรียนขาวหลายตัวที่อยู่รอบๆ จนล้มกับพื้น คาบปลาตัวหนึ่งออกมาจากในลำธาร ก่อนจะเงยหน้ากลืนปลาและร้องเสียงใสกระจ่างเจ้าสนขาวเงยหน้ามองกระเรียนขาวร่างยักษ์ที่ใหญ่เกือบสิบหมี่ด้านข้าง สองตาตะลึงงัน ไม่ทราบจะทำตัวอย่างไรโดยสิ้นเชิง
“เห็นหรือยัง ความจริงคุณสมบัติของเสี่ยวอวิ๋นสู้เจ้าไม่ได้ แต่ข้าที่เป็นซื่อจื่อของเยวี่ยอ๋องได้รวบรวมวัตถุฟ้าสมบัติดินในตำนานให้มัน หลังจากป้อนโอสถลึกลับที่ทำให้เผ่ากระเรียนขาวถอดเส้นเอ็นเปลี่ยนกระดูกได้ลงไป ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นนี่เอง”
ทันใดนั้นเอง ลู่เซิ่งเดินออกมา
………………………………………
Comments