ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 752 คืนกลับ (2)
บทที่ 752 คืนกลับ (2)
สำนักนทีคราม ภูเขาหมื่นโยชน์
ลู่เซิ่งกับสวีฮ่าวไป่ยืนเคียงไหล่กันอยู่ด้านหน้าแผนที่การโคจรของดวงดาวที่สูงหนึ่งหมี่กว่าๆ
แผนที่ดวงดาวเป็นทรงกลม เปล่งแสงสีเงินอ่อนๆ ด้านในมีดาวนับไม่ถ้วนกำลังกะพริบอยู่ บรรจุอาณาเขตหลักๆ ทั้งหมดของเขตดาวแถบนี้เอาไว้
มุมขวาบนของแผนที่ดวงดาวระบุอาณาเขตสีแดงอ่อนไว้กลุ่มเล็กๆ โดยทำสัญลักษณ์เป็นอักขระสามเหลี่ยม สีแดงของมารดาแห่งความเจ็บปวด
“การลงมือของสหายร่วมเส้นทางก่อนหน้านี้กล่าวได้ว่าจับใจผู้คนยิ่งนัก ทั้งยังสถาปนาอาณาเขตกว้างใหญ่ของดาวดวงที่ห้าของสำนักเราขึ้น สมดั่งคำว่าเด็ดเดี่ยวปานอสนีเคลื่อนไหวราวพายุ ไม่ธรรมดาจริงๆ” สวีฮ่าวไป่ยิ้มพลางกล่าวชม
“ไม่เลย เพียงแค่อยู่เหนือความคาดหมายเท่านั้น ครั้งหน้าคงไม่ได้ผลลัพธ์เช่นนี้แล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้พวกมันเพียงคาดไม่ถึงความสามารถปกปิดกลิ่นอายของมารสวรรค์เท่านั้น เลยโดนข้าทะลวงไปถึงแนวหลังและทำสำเร็จในครั้งเดียว นอกจากนี้พวกเจ้าสำนักก็อยู่ในสายตาของพวกเขามาโดยตลอด พวกเขาคงนึกไม่ถึงว่าข้าจะกล้าขนาดบุกไปถึงแนวหลังได้”
“ถึงจะพูดเช่นนี้ก็ตามเถิด แต่ผลงานอย่างไรก็ยังเป็นผลงาน สหายร่วมเส้นทางชุ่นอิงไม่ต้องถ่อมตนไป ผลงานใหญ่ระดับนี้ หน่วยคุณูปการได้บันทึกเอาไว้แล้ว” สวีฮ่าวไป่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กลับมาเข้าประเด็นกันเถิด สถานที่แห่งนี้คือหน่วยหลักอันเป็นศูนย์กลางของสำนักเรา มีชื่อเรียกภายนอกว่าเขาหมื่นโยชน์ สหายร่วมเส้นทางน่าจะเคยมาเป็นครั้งแรก หลังจากเจอเจ้าสำนักแล้ว ลองเยี่ยมชมดูเสียหน่อย”
“ต้องตั้งใจเรียนรู้เสียหน่อยแล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มอ่อนพลางพยักหน้า
“สหายร่วมเส้นทางตามข้ามา” สวีฮ่าวไป่พูดจบ ข้างใต้เท้าก็มีเมฆสีขาวแผ่พุ่งออกมายกตัวเขาลอยขึ้น ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอารามสีขาวราวหิมะกลุ่มใหญ่ภายในเขาหมื่นโยชน์
ข้างใต้ฝ่าเท้าลู่เซิ่งก็มีปราณปฐพีสีเหลืองผุดขึ้นมา จากนั้นก็ตามหลังเขาไปติดๆ
เห็นมีศิษย์จำนวนมากตัดทะลุไปมาระหว่างอารามด้านล่างได้ตลอดเวลา ทั้งยังมีเสียงร้องของอาชามีปีกดังขึ้นสลับกัน คอยลากดึงรถแต่ละชนิดขึ้นฟ้าหรือลงจอดอยู่
ไม่ว่าทั้งสองคนจะไปถึงตรงไหน ศิษย์ทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างล้วนพากันก้มหัวแสดงความเคารพต่อจอมมรรคาทั้งสิ้น
สิงโตสีดำที่กำลังขัดขืนอย่างโมโหเพราะถูกกระตุ้นกำลังจะเงยหน้าร้องคำราม พอพวกลู่เซิ่งบินผ่านหัวมันไปสิงโตดำพลันสะดุ้งโหยง รีบหมอบลงบนพื้น ไม่กล้าขยับอีก
จนกระทั่งจอมมรรคาทั้งสองคนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอานุภาพยิ่งใหญ่ หายเข้าไปในอารามตรงกลางที่อยู่ไกลออกไป สิงโตดำจึงค่อยๆ ลุกขึ้น ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ อีก
ทั้งสองทิ้งตัวลงด้านหน้าอารามทรงกลมที่ใหญ่ที่สุดตรงกลาง ศิษย์หลายคนพากันคุกเข่าคารวะ
นักพรตร่างผอมสูงที่ไว้เคราแพะคนหนึ่งกลับเพียงแค่ค้อมเอวเท่านั้น
“หมิงจิ่วจื่อคำนับเจ้าสำนักสวี คำนับผู้อาวุโสนอกลู่”
“คนผู้นี้ชื่อหมิงจิ่วจื่อ เป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนัก ปัจจุบันอยู่ในขอบเขตลวงตาระดับสูงสุด พร้อมก้าวเข้าสู่ระดับสุดท้ายได้ตลอดเวลา แต่ก้าวนี้กลับไม่ทราบว่าต้องใช้วันเวลานานเท่าใด…” สวีฮ่าวไป่ชี้คนผู้นี้พร้อมกับแนะนำ
ลู่เซิ่งพยักหน้าให้คนผู้นี้น้อยๆ
“เอาล่ะ รีบพาพวกเราไปพบชิงลี่เถอะ” สวีฮ่าวไป่เร่ง
“ขอรับ อาจารย์รอมานานแล้ว ทั้งยังเชิญผู้อาวุโสนอกลู่ไปด้วย” นักพรตหมิงจิ่วจื่อกล่าวอย่างนอบน้อม
ลู่เซิ่งผงกศีรษะ แล้วก้าวเข้าประตูอารามพร้อมสวีฮ่าวไป่ เดินบนอิฐสีขาวแวววาวดุจกระจก สองฟากมีเสาศิลาหยาบใหญ่มากมายตั้งตระหง่านตระการตาถึงขีดสุด
เสาศิลาทุกต้นใหญ่อย่างน้อยห้าหมี่ หนำซ้ำบนเสายังมีมังกรเจียวสีดำมีชีวิตหลายตัวเกี่ยวพันอยู่ด้วย
ส่วนหัวและลำตัวของมังกรเจียวเหล่านี้ถูกของขลังที่เหมือนกับตะปูตรึงไว้จึงขยับไม่ได้ ถึงขั้นไม่อาจส่งเสียงได้เช่นกัน
มีแต่ไอแค้นที่เข้มข้นหลายสายกระเพื่อมอยู่ในปราณกำเนิดอันเหนียวหนืดอย่างต่อเนื่องเท่านั้น
‘ร้ายกาจจริงๆ’ ลู่เซิ่งเห็นดังนั้นก็ตกใจเล็กน้อย
พลังของมังกรเจียวเป็นอย่างไรเขาไม่ทราบ เนื่องจากไม่เคยสู้ด้วยมาก่อน เพียงแต่ว่าพวกมันมีจำนวนน้อยนิดนัก การที่จับมังกรเจียวมากมายขนาดนี้มาตกแต่งได้ ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงพลัง แค่ทรัพย์สมบัติก็เป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนทั้งหมดที่เขาเคยเจอมาแล้ว
ทั้งสามคนทยอยตัดผ่านเสาศิลามังกรเจียว ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูตำหนักศิลาแห่งหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของอาราม
ด้านในตำหนักศิลามีบุปผาหลากสีผลิบาน ทั้งๆ ที่พื้นเป็นแผ่นศิลาแวววาว ดอกไม้หลากสีเหล่านี้กลับบานสะพรั่งงดงามเป็นพิเศษราวกับฝังรากไว้ด้านใน
ดอกไม้บางส่วนถึงขั้นคลานไต่อยู่บนผนังรอบๆ ส่วนรากก็เหยียดยื่นออกมากลางอากาศอย่างเต็มที่ เหมือนกับหยั่งรากอยู่ในอากาศอย่างไรอย่างนั้น
นักพรตในเสื้อคลุมเขียวที่มีรูปร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่งนั่งอยู่กลางพุ่มดอกไม้
นักพรตผู้นั้นหันหลังให้คนทั้งสอง มวยผมยาวสีดำบางส่วนตกระลงบนสองไหล่
สามารถมองเห็นผิวพรรณนวลเนียนขาวผ่องและใสกระจ่างได้ระหว่างเสื้อคลุมสีเขียวกับเส้นผม
“ชิงลี่ ข้าพาผู้อาวุโสนอกลู่มาแล้ว” สวีฮ่าวไป่ยิ้มแฉ่งขณะเดินเข้าตำหนักศิลา แล้วหาตำแหน่งที่มีดอกไม้ขึ้นน้อยนั่งลงอย่างคุ้นเคยดี
“คนผู้นี้คือเจ้าสำนักของสำนักเรา วาณิชขจีโลกอุดร หยวนชิงลี่”
“รบกวนศิษย์พี่แล้ว ก่อนหน้านี้กักตนรักษาอาการบาดเจ็บ จึงต้อนรับไม่ทัน ขอสหายร่วมเส้นทางลู่อย่าได้ถือสา” เจ้าสำนักหยวนชิงลี่กล่าวช้าๆ น้ำเสียงไพเราะเพราะพริ้ง ไม่มีสิ่งใดเจือปนราวกับเสียงปักษายามอรุณ ลำธารในขุนเขา
ลู่เซิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักนทีครามเก่งกาจเจ้าแผนการและมีจิตใจทะเยอทะยาน ต้องการขยับขยายอาณาเขตของสำนักนทีคราม รวมถึงสร้างผลงานบันลือโลก นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีนางหนึ่ง
แต่โลกการบำเพ็ญไม่มีแบ่งแยกชายหญิง มีแค่แข็งแกร่งอ่อนแอ เขาจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว
“ไม่เลยๆ เจ้าสำนักรักษาตัวสำคัญกว่า ในเมื่อเข้าร่วมสำนักนทีครามแล้ว ในช่วงหลังการศึกควรจะฟื้นฟูพลังเสียก่อน”
“ผู้อาวุโสนอกลู่เป็นคนมีเหตุมีผลจริงๆ โปรดนั่งลงก่อน”
เวลานี้ในที่สุดเจ้าสำนักนทีครามก็ค่อยๆ หมุนตัวมา
ตำแหน่งที่ควรจะมีเครื่องหน้ากลับราบเรียบเกลี้ยงเกลา ไม่มีตา หู จมูก ปาก มีแต่ผิวพรรณเรียบๆ เท่านั้น
ลู่เซิ่งถือเป็นคนมีประสบการณ์มาก พอเห็นดังนั้นก็ไม่แสดงท่าทาง ก่อนจะหาที่ว่างแห่งหนึ่งนั่งลงเลียนแบบ สวีฮ่าวไป่
นึกเชื่อมโยงถึงรูปสลักจอมมรรคาไร้หน้าองค์นั้นในตอนพบสวีฮ่าวไป่เมื่อก่อนหน้านี้ ลู่เซิ่งก็รู้แล้วว่าผู้ที่สักการะคือผู้ใด
หลังจากเขานั่งลงแล้ว หยวนชิงลี่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอีก หากรออีกสักพักหนึ่ง
ไม่นานนักก็มีบุรุษรูปหล่อที่สวมเสื้อขนสัตว์สีขาวลอยเข้ามาในตำหนักศิลา ก่อนจะนั่งลงกลางดงดอกไม้
“ข้าฮัวอวิ๋นจื่อ คำนับสหายร่วมเส้นทางชุ่นอิ่ง”
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าสำนักฮัวอวิ๋นจื่อ” ลู่เซิ่งคำนับกลับ
รอคนมาถึงครบ หยวนชิงลี่จึงส่งเสียงอีกรอบ
“ครั้งนี้ที่เรียกรวมทุกคนมา หลักๆ มีเรื่องสองประการ เรื่องแรก ต้องการให้ฮัวอวิ๋นจื่อพบผู้อาวุโสนอกลู่ จะได้ทำความรู้จักกัน”
ลู่เซิ่งได้ยินก็ยิ้มให้กับฮัวอวิ๋นจื่ออีกรอบ
“เรื่องที่สอง คือข่าวที่ส่งมาจากหอสังเกตการณ์ รอบๆ ระบบดาวปรภพปรากฏการบิดเบี้ยวของมิติเวลา มีผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมในระบบดาวหลบหนีออกจากดาวปรภพสำเร็จ กำลังเจอการไล่ล่าจากทัพของโลกแห่งความเจ็บปวดอยู่ แม้พวกเราจะเจอคดีแบบนี้ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน พวกเรามีผู้อาวุโสนอกลู่เข้าร่วมด้วย บางทีอาจใช้เรื่องนี้ในการฝ่าด่านได้”
“ถ้าจะฝ่าด่านล่ะก็…ข้าไม่มีอะไรโต้แย้ง อย่างไรข้าก็มาจากดาวปรภพ” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ตอนนี้มีผู้อาวุโสนอกลู่เข้าร่วมด้วย พลังระดับบนของพวกเราจึงเพิ่มขั้นอีกหนึ่งเท่าตัว บางทีอาจจะลอบโจมตีกองบัญชาการในดาวปรภพได้” ฮัวอวิ๋นจื่อเสนอ
“ลอบโจมตีกองบัญชาการหรือ” หยวนชิงลี่ใคร่ครวญ “ทางเจ้าแม่แห่งความเจ็บปวดกับยอดฝีมือลึกลับพวกนั้นเปลือกนอกร่วมมือกันแต่ภายในกลับแตกแยก ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส…”
“มาวางแผนการคร่าวๆ กันเถิด” สวีฮ่าวไป่เสนอ
“ขอแค่พวกเราลงมือทันเวลา ใช่ว่าจะไม่สำเร็จ ดาวปรภพคือรากฐานที่ใช้ก่อสร้างโลกแห่งความเจ็บปวด หากเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น โลกแห่งความเจ็บปวดจะสั่นคลอนทันที” เสียงของหยวนชิงลี่ค่อยๆ เบาลง แสดงให้เห็นว่าเริ่มวางแผนจริงจังแล้ว
“ตามที่ข้ารู้ บนดาวปรภพมีสายลับที่สำนักวิญญาณไตรอริยะวางตัวไว้ บางทีพวกเราอาจจะติดต่อกับสำนักวิญญาณไตรอริยะเพื่อร่วมมือกันได้ ส่วนเหตุผลในการลงมือก็อ้างผลประโยชน์เป็นหลักแทน” ลู่เซิ่งพลันโพล่งขึ้น
“อ้อ? วาจานี้เป็นจริงหรือ!” สีหน้าของเจ้าสำนักหยวนชิงลี่เคร่งขรึมขึ้นทันที
“จริงแท้แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“อย่างนั้นจะมีพื้นที่ควบคุมเพิ่มขึ้นแล้ว” ชั่วขณะนั้นบนใบหน้าทุกคนเผยความยินดีอย่างเป็นธรรมชาติออกมา
“ข้าจะติดต่อกับเจ้าสำนักหลี่แห่งสำนักวิญญาณไตรอริยะทันที ถ้าหากสถานการณ์เป็นไปได้ ผู้อาวุโสนอกลู่จะสร้างผลงานใหญ่อีกครั้ง”
“มิกล้าๆ ต่อให้จะเป็นจริง ก็ต้องให้เจ้าสำนักออกโรงเกลี้ยกล่อมสำนักวิญญาณไตรอริยะอยู่ดี” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
…
ณ ต้าซ่ง
ภัยพิบัติมารผ่านพ้นไปร้อยกว่าปี ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ในอดีตไปแล้ว
ราชวงศ์แห่งต้าซ่งชูธงตีกลองศึก นำพาเก้าตระกูลจงหยวนรุ่นใหม่กำหนดกฎเกณฑ์และสร้างระเบียบในใต้หล้าใหม่อีกครั้ง
หลังจากฟื้นตัวเป็นเวลาเกือบร้อยปี เก้าตระกูลจงหยวนก็กลายเป็นเสาค้ำแห่งราชวงศ์ ตระกูลซั่งหยาง ตระกูลหลิน ตระกูลสวีเป็นหนึ่งในเก้าตระกูลจงหยวนรุ่นก่อน ต่างฝ่าภัยพิบัติมาได้และสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
ส่วนตระกูลหู ตระกูลตวนมู่และอีกหกตระกูลใหญ่ที่เหลือ เป็นระดับสองที่อาศัยสภาวะกลียุคผงาดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางซากปรักหักพัง
รอบนอกมีแม่ทัพและขุนนางบุ๋นจำนวนมากรวมกลุ่มกันเป็นหลัก กลายเป็นตระกูลชั้นที่สาม
ประตูพิภพมารปิดลง ต้าซ่งกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
…
“ขนมอบไส้หวานจ้า ขนมอบไส้หวานชิ้นละห้าเหวิน ไม่อร่อยไม่เอาเงิน! ขนมอบไส้หวานสักชิ้นไหมจ๊ะ!”
“ขอชิ้นหนึ่ง นี่เงิน”
“ได้เลยเจ้าค่ะ นายท่าน!”
บนท้องถนนที่คึกคัก บุรุษหนุ่มร่างบึกบึนที่มีใบหน้าเย็นชาหล่อเหลาคนหนึ่งสวมเกราะหนังตัวสั้นสีน้ำตาล กำลังควักเงินออกมาซื้อขนมอบไส้หวานสีเกาลัดจากแม่ค้า
เครื่องหน้าของเขานับว่าองอาจ หุ่นกำยำจนเตะตาไปบ้าง ชวนให้รู้สึกถึงบุคลิกเย็นชาที่เหี้ยมเกรียม เป็นลู่เซิ่งที่เพิ่งแอบลอบเข้ามาผ่านตาข่ายดำกฎเกณฑ์นั่นเอง
ลู่เซิ่งที่ถือขนมไส้หวานมองดูท้องถนนของเมืองเล็กที่มีกลิ่นอายโบราณคล้ายๆ เมืองเก้าประสานที่เขาเคยอยู่ตอนยังหนุ่มๆ
ในใจเกิดความคิดคำนึง
“นายท่าน ตอนนี้พวกเราต้องทำอะไรหรือ” มีบุรุษร่างคล้ำที่ตัวสูงใหญ่เหมือนกันสองคนติดตามอยู่ด้านหลังเขา
สองคนนี้เป็นยอดฝีมือขอบเขตลวงตาที่สำนักนทีครามคัดเลือกให้ติดตามมา ตอนนี้ชื่อของพวกเขาคือหลี่ตงและหลี่ซี
ชื่อตั้งขึ้นอย่างขอไปที รูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงอย่างหยาบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการสังเกตการณ์จาก ตาข่ายดำกฎเกณฑ์
ลู่เซิ่งเป็นมารสวรรค์ พอใช้ความสามารถปลอมแปลง การข้ามตาข่ายดำกฎเกณฑ์นั้นง่ายดายยิ่งกว่าออกแรงเป่าลมด้วยซ้ำ
“เดินดูรอบๆ ก่อน อย่างไรพวกเราก็มีเวลาถมเถ” ลู่เซิ่งยิ้มและส่งกระแสเสียง “เป้าหมายหลักของพวกเราคือการตามหารหัสลับของสำนักไตรอริยะ จากนั้นใช้รหัสลับกับของขลังสำหรับสื่อสารที่ได้จากสำนักวิญญาณไตรอริยะติดต่อกับพวกเขาเพื่อสร้างปัญหาให้กับมารดาแห่งความเจ็บปวดร่วมกัน ส่วนสายลับของสำนักวิญญาณไตรอริยะนั้น พวกเขาบอกว่า ได้หลุดออกจากสำนักใหญ่มาหลายปีแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้คือการตามหาสำนักไตรอริยะก่อน”
บริวารระดับลวงตาทั้งสองพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ลู่เซิ่งว่าต่อ “ไม่ต้องรีบร้อน ที่นี่เป็นบ้านเกิดของข้า ไม่ได้กลับมาเสียนาน คิดถึงเสียจริง…ขอข้าเดินดูตามใจเสียหน่อยเถิด”
เขาไม่ได้รีบร้อน สำนักไตรอริยะในเขตต้าซ่งของดาวปรภพนั้นลึกลับถึงขีดสุด นอกเสียจากจะติดต่อกับความประหลาดลี้ลับ ไม่อย่างนั้นอย่าคิดหาที่อยู่ของพวกเขาเจอเลย
ต่อให้เป็นสำนักไตรอริยะที่อยู่ทางต้าอินก็ไม่อาจติดต่อได้ดั่งตอนนี้เช่นกัน
……………………………………….
Comments