ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 763 สถานะล้ำเลิศ (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter บทที่ 763 สถานะล้ำเลิศ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 763 สถานะล้ำเลิศ (1)

“นายท่าน ติดตั้งผลึกพลังงานแล้วเจ้าค่ะ” ทัวหลันปาเฮ่อเดินเข้ามาเตือนเสียงนอบน้อม

ลู่เซิ่งได้สติกลับมา ในค่ายกลมีแสงสีแดงจำนวนมากรวมตัวกันแล้ว

‘ระดับพลังงานของโลกที่เราจะจุติสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ทำให้ผลึกพลังงานสีดำเริ่มจะไม่พอใช้ จำเป็นต้องเปลี่ยนก้อนพลังงานที่มีระดับสูงกว่าเดิมและแข็งแกร่งกว่าเดิม…แต่ก้อนพลังงานที่ดีที่สุดที่หาซื้อได้ในตลาดคือผลึกดำ…รอบนี้ถ้ากลับมาค่อยไปดูที่สำนักนทีครามว่าจะหาทรัพยากรพลังงานะระดับสูงได้หรือไม่…’

ความคิดหนึ่งแวบขึ้นในใจของลู่เซิ่ง จากนั้นเขาก็สะกิดปลายเท้ากับอากาศ ทะยานไปอยู่กลางค่ายกลอย่างแผ่วเบา

แสงสีแดงจำนวนมากรวมตัวกันด้วยความเร็วสูง ก่อนที่ร่องแยกสีเทาสายหนึ่งจะเปิดออกเหนือศีรษะของลู่เซิ่งดังแกร๊ก

ลู่เซิ่งไม่ได้รีบร้อนเข้าไป หากแต่งอนิ้วดีดจุดแสงสีเหลืองอ่อนสองกลุ่มออกมา

จุดแสงหายเข้าไปในหน้าผากของบันไซกับทัวหลันปาเฮ่อดุจสายฟ้าฟาด

“ตั้งใจฝึกฝนให้ดี ข้ามอบวรยุทธ์ที่ข้าสร้างขึ้น มอบให้กับพวกเจ้าสองคนโดยเฉพาะ รอข้ากลับมาแล้วจะตรวจสอบพลังฝึกปรือ ห้ามเกียจคร้านเล่า!” หลังกำชับเป็นครั้งสุดท้าย ลู่เซิ่งก็กระโดดขึ้นอย่างแผ่วเบา ร่างกลายเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่งมุดหายเข้าไปในร่องแยกทันที

ค่ายกลโคลงเคลงอย่างรุนแรง จากนั้นก็สั่นสะเทือนทีหนึ่ง ผลึกดำระเบิดเป็นผงดังกร๊อบ

“แย่แล้ว!” บันไซตกใจสะดุ้งโหยง “รีบเติมผลึกพลังงานเร็ว ไม่อย่างนั้นหากค่ายกลพังทลาย นายท่านอาจจะหลงทางในกระแสวังวนมิติเวลาก็ได้!”

เขาพุ่งไปถึงช่องลับบนกำแพง แล้วรีบอุ้มผลึกสีดำด้านในออกมา

ทัวหลันปาเฮ่อตกใจเช่นกัน รีบเข้าไปช่วยเหลือ ทั้งสองรีบเสียบผลึกชิ้นใหม่เข้าไปในช่องเสียบค่ายกลบนพื้นด้วยมือไม้ที่ปั่นป่วน พอเห็นร่องแยกสีเทาที่โคลงเคลงกลับมาเสถียรเหมือนเดิม จึงค่อยระบายลมหายใจอย่างแรง

“ดูเหมือนผลึกสีดำจะตอบสนองความต้องการไม่ไหวแล้ว…” บันไซถอนใจ

“รอนายท่านกลับมาค่อยว่ากัน ช่วงนี้พวกเราได้แต่ฝึกฝนไปก่อน หวังว่าต่อจากนี้ผลึกสีดำพวกนี้จะประคับประคองไหว” ทัวหลันปาเฮ่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว

“ลมสารทพัดหวิ้ว อากาศเย็นขึ้นอีกแล้ว…”

ด้านในเรือนโบราณแห่งหนึ่ง หญิงรับใช้หลายคนโบกพัดไปทางคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางอย่างระมัดระวัง

คนผู้นี้อ้วนฉุสุดขีด สูงสองหมี่กว่าๆ กว้างหนึ่งหมี่กว่าๆ ยามนั่งบนเก้าอี้เหมือนกับภูเขาเนื้อลูกย่อมๆ

“มา ช่วยพลิกตัวข้าที” คนร่างอ้วนยกมืออวบขึ้นหลังจากสั่ง เพื่อให้หญิงรับใช้ที่อยู่ด้านข้างจับตัวไว้

“คุณชายระวังด้วยเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้สี่คนร่วมมือออกแรง ส่งเสียงร้องพร้อมกัน จึงค่อยพลิกตัวคนร่างอ้วนได้

“เฮ้อ…” คนร่างอ้วนถอนใจอีกรอบ “พวกเจ้าว่า บิดาข้าเป็นถึงประมุขแท่นบูชาใหญ่แห่งแท่นน้ำค้างครามและเป็นอันดับหนึ่งแห่งโลกใต้ดินในสามมณฑล มารดาข้าคือผู้งดงามแห่งยุค สิบปีก่อนว่ากันว่ามีคนตามเกี้ยวนางมากมายราวกับปลาหลีฮื้อข้ามทะเลสาบ ข้าที่พวกเขาให้กำเนิดมาเหตุใดจึงเติบใหญ่มามีสารรูปเช่นนี้”

หญิงรับใช้คนอื่นๆ ก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียง เพียงแต่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนตัวไม่หยุด

พวกนางได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้มีหญิงรับใช้คนหนึ่งตอบรับคุณชายร่างอ้วนผู้นี้ สุดท้ายทำให้คนคนนี้ไม่พอใจ ผลคือ…ไม่มีใครพบเห็นนางอีก

“เฮ้อ…ไม่รู้ว่าตอนนี้มารดาข้าไปอยู่ไหน…” คนร่างอ้วนชินกับความเงียบของหญิงรับใช้แล้ว ดวงตาเล็กสองข้างมองท้องฟ้าไกลๆ พร้อมกับตกอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าจนถอนตัวไม่ขึ้น

“ถ้าข้าผอมได้อีกหน่อยคงดี…ตอนนั้นต้องฝึกฝนวรยุทธ์ได้แน่ วันหน้าจะได้ช่วยท่านพ่อตามหาท่านแม่…” คนร่างอ้วนบีบใบหน้าอวบ รู้สึกโศกเศร้ากว่าเดิม

เขากลับไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีร่องแยกเล็กๆ สายหนึ่งเปิดออกกลางอากาศด้านหลังตนเอง แสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวสูญหาย ก่อนจะมุดเข้าไปในท้ายทอยของเขา หายไปในพริบตา

หลังจากแสงสีเหลืองหายไป ร่องแยกเล็กๆ ก็จางหายตามไปด้วย เหมือนไม่เคยปรากฏมาก่อน

“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากจะพักผ่อนสักหน่อย” คนร่างอ้วนกล่าวพลางโบกมือ

“เจ้าค่ะ”

หญิงรับใช้ทั้งสี่คนคุกเข่าคารวะ แล้วรีบเดินเรียงแถวออกจากลานเรือนไปอย่างเป็นระเบียบ ทิ้งคนร่างอ้วนที่นอนหลับตาเหมือนกับกำลังทำสมาธิอยู่กลางตัวลานเพียงคนเดียว

แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่า ส่วนลึกในวิญญาณของคนร่างอ้วนมีประกายวิญญาณสีเหลืองที่ล้ำลึกกลุ่มหนึ่ง กำลังหลอมรวมกับวิญญาณของคนร่างอ้วนด้วยความเร็วสูง

ไม่ใช่กัดกิน และไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านใดๆ วิญญาณสองกลุ่มหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกับน้ำผสมกับนม

ไม่นานนัก คนร่างอ้วนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาสาดประกายสีเหลืองแวบหนึ่ง

‘ผังซือเฉิงหรือ บุตรคนเดียวของประมุขแท่นบูชาใหญ่แห่งแท่นน้ำค้างคราม บิดามีตำแหน่งโดดเด่น มารดาหายสาบสูญ ไม่ทราบไปอยู่ไหน โลกใบนี้…โลกใบนี้มันยังไงกันแน่!’

ลู่เซิ่งเพิ่งจะหลอมรวมเข้ากับความทรงจำของผังซือเฉิงก็หนักใจทันที

ไม่พูดถึงว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล ในอาณาเขตที่เขาอยู่ไม่มีแนวคิดเรื่องประเทศ ผู้ปกครองแบ่งเป็นขุมกำลังของสำนักและค่ายพรรคขนาดต่างๆ

และผู้ปกครองของเขตที่เขาอาศัยอยู่คือแท่นน้ำค้างครามที่มีพลังแข็งแกร่ง ประมุขแท่นบูชาแห่งแท่นน้ำค้างครามผังหยวนจวิน เป็นบิดาของร่างกายร่างนี้

ดังนั้นชาตินี้เขาจึงเป็นลูกคนใหญ่คนโตอย่างแท้จริง รวมความเป็นลูกหลานรุ่นสองเอาไว้ในคนคนเดียว

สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งปวดหัวมากที่สุดก็คือ ระบบพลังยุทธ์ของโลกนี้หยาบกระด้างถึงขีดสุด สิ่งที่ทุกคนฝึกฝนคือวรยุทธ์เสริมพละกำลัง

จอมยุทธ์ในช่วงขอบเขตต่างๆ ล้วนแล้วแต่ใช้คำว่าน้ำหนักและแรงมากะเกณฑ์

ในการฝึกฝนมรรคายุทธ์ จอมยุทธ์อย่างเป็นทางการจะแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ระดับที่ต่ำที่สุดคือจอมพลัง มีพลังเท่ากระทิงตัวหนึ่ง

จากนั้นจึงเป็นจอมยุทธ์ ผู้มีพลังเท่ากระทิงสิบตัว ถัดมาเป็นมหาจอมยุทธ์ ยอดวรยุทธ์ ราชาวรยุทธ์ เจ้าวรยุทธ์ รวมถึงจักรพรรดิวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด

ขอบเขตถูกแบ่งอย่างหยาบๆ ทุกคนต่างก็ฝึกฝนพลังของเลือดลม และพลังของเลือดลมของที่นี่ก็ถูกฝึกถึงขั้นอลังการ

“เฮ้อ…” ลู่เซิ่งเคยอ่านนิยายออนไลน์สมัยยังอยู่บนโลกเดิมมาไม่น้อย ตอนนี้นึกทบทวนดู พลันรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม นี่มันเป็นการแบ่งขอบเขตในนิยายพวกนั้นไม่ใช่หรือ

ตอนแรกเขานึกว่าเป็นแค่สิ่งที่คนอื่นๆ แต่งขึ้นเอง ตอนนี้ดูเหมือนจะมีโลกแบบนี้อยู่จริงๆ

เขาเคลื่อนย้ายตำแหน่งอย่างอุ้ยอ้ายเพื่อให้ตัวเองนอนสบายขึ้นอีกนิด

‘ขอดูหน่อยซิว่าผลกรรมความปรารถนาของผังซือเฉิงผู้นี้คืออะไร’

ลู่เซิ่งดำดิ่งจิตวิญญาณไปถึงส่วนลึกของจิตใจ ครั้งนี้เป็นโลกที่มีความเร็วของเวลาเป็นหนึ่งต่อสิบ จะเห็นได้ว่าระดับพลังของโลกใบนี้เป็นระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุดท่ามกลางโลกทุกใบที่เขาเคยจุติ

‘นอกจากโลกตี้วาแล้ว เกรงว่าโลกใบนี้จะเป็นพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับโลกมารสวรรค์อย่างแท้จริง…’ ลู่เซิ่งตั้งสมาธิอ่านผลกรรมของผังซือเฉิง

ผลกรรมเรียบง่ายยิ่ง มีแค่ข้อเดียว

ตามหามารดาให้เจอเพื่อที่ครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้า

ผังซือเฉิงที่เป็นแหล่งรวมความเป็นลูกหลานรุ่นที่สองมีทุกอย่างทั้งเสื้อผ้าอาหาร ความหรูหราฟุ่มเฟือย ต่อให้อยากจะฝึกมรรคายุทธ์ ก็มีท่านพ่อคอยชี้แนะ

ดังนั้นสิ่งที่เขาอยากทำเพียงหนึ่งเดียวคือการตามหามารดากลับมา เพื่อที่ครอบครัวสามคนจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน

สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือ บิดาของร่างร่างนี้เป็นจอมอหังการที่ปกครองสามมณฑล ปัจจุบันตระเวนลงมือไปทั่วเพื่อยึดครองใต้หล้า หมายจะควบรวมยุทธจักรเป็นหนึ่ง

ยุทธจักรที่ว่าก็คือพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์โดยทางตะวันออกยาวไปจรดด่านถังเหมินกวน ทางตะวันตกยาวไปจรดเทือกเขาเก้าประสาน

พื้นที่แห่งนี้มีขุมกำลังขนาดต่างๆ ตั้งอยู่ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในนี้มีสามพรรคสิบหกสำนัก

ส่วนแท่นน้ำค้างครามอยู่ในตำแหน่งกลางๆ ของสิบหกสำนัก

ผังหยวนจวินผู้เป็นบิดาคือผู้โดดเด่นท่ามกลางผู้เข้มแข็งระดับเจ้าวรยุทธ์ กระบวนท่าสิบทัพสังหารร้ายกาจสุดเปรียบปราน ลงมือเมื่อไหร่ต้องเห็นเลือดเมื่อนั้น

‘น่าเสียดาย เป็นเพราะผิงซือเฉิงกลัวเจ็บ จึงไม่เลือกฝึกฝนสิบทัพสังหารที่โหดเหี้ยมอำมหิต หากแต่ฝึกฝนวิชาคางคกดาราเคลื่อนแทน แม้จะเป็นมรรคายุทธ์ระดับเจ้าวรยุทธ์เหมือนกัน แต่วิชานี้ด้อยกว่าสิบทัพสังหารไม่น้อย…’

ลู่เซิ่งเสียดายอยู่บ้าง หลังสัมผัสเล็กน้อย เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เหมือนกับเส้นด้ายหลายสายซึ่งไหลเวียนอยู่ในร่างกาย พลังนี้จับต้องไม่ได้ ไม่เหมือนกับพลังงานบริสุทธิ์อย่างพลังวิญญาณที่มองเห็นสภาพได้

มันเป็นเพียงพลังไร้รูปร่างที่หมุนเวียนและสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องขณะเกาะติดกับกล้ามเนื้อเท่านั้น

“คุณชาย” อยู่ๆ ก็มีบุรุษสวมชุดทะมัดทะแมงสีเขียวโผล่ขึ้นตรงปากประตูของเรือน เขาคุกเข่าข้างหนึ่งและกล่าวด้วยเสียงเคารพ

“มีอะไรหรือ” ลู่เซิ่งใช้น้ำเสียงของผังซือเฉิงเอ่ยอย่างเกียจคร้าน

“เจ้าเมืองน้อยแห่งเมืองเจ็ดยอดได้มาถึงแล้วขอรับ”

เจ้าเมืองน้อยเจ็ดยอดจงซิ่ว เป็นศิษย์ที่ผังหยวนจวินผู้เป็นบิดาถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง ปกติแล้วเป็นพี่ใหญ่ที่คอยดูแลร่างกายนี้อย่างใส่ใจที่สุด แต่สถานะเร้นลับอยู่บ้าง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

“เชิญพี่ใหญ่จงเข้ามาเถอะ” ลู่เซิ่งพยายามจะลุกขึ้น แต่เพราะตัวหนักเกินไป ต่อให้เป็นเขาก็ยังค่อนข้างกินแรงอยู่ดี

แม้จะฝึกฝนจนมีพลังยุทธ์ทางมรรคายุทธ์นิดหน่อย แต่ผังซือเฉิงก็ขี้เกียจเกินไปจริงๆ ทำให้พลังยุทธ์น้อยนิดนั้นรับน้ำหนักไม่อยู่

บุรุษสวมชุดทะมัดทะแมงขานรับ ก่อนจะหายไปในพริบตา

ไม่นานบุรุษร่างผอมสูงก็เดินเข้ามาในตัวลานขณะไพล่มือขวาไว้ด้านหลัง

เขามีใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา บนตัวมีความเรียบเฉยและเย็นยะเยียบตามธรรมชาติ มือขวาของเขาเคยได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงชอบไพล่ไว้ด้านหลังตัว

ลู่เซิ่งเงยหน้ามองคนผู้นี้

“ท่านพ่อไม่ยอมกลับบ้านอีกแล้วหรือ” ลู่เซิ่งสรุปความทรงจำเสร็จแล้ว พลันนึกถึงความเคยชินเมื่อก่อนหน้า

“ประมุขแท่นบูชากำลังรุมโจมตีคฤหาสน์ตระกูลเฟิงอยู่ ราชาดาบอุดรดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ เลยยังกลับมาไม่ได้ ท่านผู้เฒ่าฝากคำพูดมาให้เจ้าผ่านข้าว่า อีกสักพักให้เจ้าไปคฤหาสน์ตระกูลเฟิง ทางนั้นมีของบางอย่างจะให้เจ้า”

“ไม่ไป” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างแน่วแน่

ผังซือเฉิงกับผังหยวนจวินไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก ผังหยวนจวินชอบบีบบังคับ ต่อให้อยู่ต่อหน้าบุตรคนเดียวของตัวเอง ก็ยังคงทำทุกอย่างตามใจ ไม่สนใจความรู้สึกของบุตรชายแม้แต่น้อย

ที่ผังซือเฉิงปฏิเสธการฝึกวรยุทธ์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากจะต่อต้าน เนื่องจากผังหยวนจวินในตอนนั้นบีบบังคับเขาเกินไป

“เจ้านี่นะ” จงซิ่วแสดงความจนปัญญาก่อนจะส่ายหน้า “นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องสั่งเจ้า ช่วงนี้ถ้าหากเจอคนที่มีชื่อว่าจวงเซี่ยเชิงใกล้ๆ เมืองน้ำค้างคราม ให้พยายามหลีกเลี่ยงเขาไว้”

“หือ?” ลู่เซิ่งงุนงง เท่าที่จำความได้ เขาเพิ่งจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ครั้งแรก

ถ้าเป็นเมื่อก่อน หากว่าไปไหน คนอื่นย่อมต้องหลบเลี่ยงเขา ครั้งนี้เขาต้องเป็นฝ่ายหลบคนอื่นเสียเอง

“ทำไมกันเล่า” พอลู่เซิ่งนึกได้ก็ถามตามตรงผังซือเฉิงเมื่อก่อนหน้านี้ก็มีนิสัยแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กริ่งเกรง

จงซิ่วนิ่งไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยช้าๆ

“อาจารย์ย่อมมีเหตุผล เจ้าจำไว้ก็พอ นี่ไม่มีผลเสียต่อตัวเจ้า”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด