ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 778 เบาะแส (2)
บทที่ 778 เบาะแส (2)
ทุกอย่างถูกจัดการอย่างมีลำดับขั้นตอน ลู่เซิ่งไม่มีห่วงอะไรอีกแล้ว
เขามองดูโลกสีเทารอบข้างเป็นครั้งสุดท้าย ขณะกำลังจะนั่งลงบนค่ายกลเพื่อจากไป ก็พลันสัมผัสอะไรบางอย่างได้ จึงชะงักเล็กน้อย
‘อย่างไรก็ใกล้จะจากไปแล้ว เกรงว่าต่อจากนี้จะไม่มีโอกาสมาที่นี่อีก…ถ้าอย่างนั้น…’ เขาใคร่ครวญพร้อมกับค่อยๆ หันไปมองส่วนลึกของโลกสีเทา
‘ลองดูก็แล้วกัน…’
ลู่เซิ่งนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเก็บค่ายกลและเอื้อมมือออกมาอย่างฉับพลัน
ตึก ตึก
เสียงหัวใจเต้นทุ้มหนักพลันดังออกมาจากตัวเขา
เสียงหัวใจเต้นนี้สั่นสะเทือนให้อากาศรอบตัวเขากระเพื่อมเป็นลูกคลื่นเล็กน้อย คลื่นเสียงแผ่วต่ำแผ่ขยายไปยังพื้นกระดูกโดยรอบด้วยความเร็วสูง
เพียงแค่ชั่วขณะนั้น กระดูกทั้งหมดที่อยู่ในรัศมีหลายหมื่นลี้ก็สั่นสะเทือน
ตึก ตึก
มีเสียงหัวใจเต้นดังมาเป็นรอบที่สอง
ร่างกายของลู่เซิ่งในตอนนี้เริ่มพองขยายและเปลี่ยนรูปร่างแล้ว
กายเนื้อที่ไปถึงระดับจักรพรรดิวรยุทธ์แล้วของเขากำลังถูกปราณปฐพีจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไป พลังอันน่า สะพรึงมหาศาลเสียจนเกินจินตนาการสายนั้นไหลทะลักเข้าไปในร่างกายของเขาด้วยความเร็วราวกับน้ำทะเลสาดซัด
“ด้วยนามของข้า หมื่นปราณจงสยบ” มือลู่เซิ่งเอื้อมออกไปพลันระเบิดกลายเป็นเศษเลือดเนื้อดังโผละ ปราณปฐพีที่น่ากลัวเหลือประมาณทำให้กายเนื้อของเขาระเบิดด้วยไม่อาจยันรับไหว
ต่อจากแขนก็คือสองขา จากนั้นก็เป็นลำคอและท้ายทอย
สุดท้ายค่อยเป็นกะโหลก
เปรี้ยง!
ไม่เกินสิบกว่าอึดใจ ร่างกายที่เดิมมีชื่อว่าผังซือเฉิงก็แหลกสลายโดยสมบูรณ์ กลายเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์สีแดงเข้มที่ขยับขยุกขยิบก้อนหนึ่ง
ก้อนเนื้อเต้นช้าๆ เหมือนกับหัวใจเต้น
เงาสีดำผืนใหญ่ราวกับน้ำหมึกเริ่มแผ่ขยายออกไป โดยมีก้อนเนื้อเป็นศูนย์กลาง เงามืดดุจน้ำหมึกพวกนี้ราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง ปกคลุมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระดูกหรือศพแมลงวัน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกย้อมเป็นสีดำจนหมด
‘ขอดูหน่อยเถอะว่าความจริงแท้ของโลกใบนี้คืออะไรกันแน่…’ ก้อนเนื้อที่เปลี่ยนมาจากลู่เซิ่งแยกออกอย่างฉับพลัน
ด้านในมีสัตว์ประหลาดสามหน้ามีหางยาวขนาดยักษ์ขดตัวอยู่
เนื้อเชื่อมติดกันดังแหมะๆ เลือดเนื้อจำนวนมากปรากฏขึ้นกลางอากาศ ผสมกับเลือดเนื้อที่คงอยู่ของก้อนเนื้อ ก่อนจะกลายเป็นจานเลือดเนื้อหมุนวนอย่างช้าๆ ด้านหลังเขา
“อ๊าก!”
ลู่เซิ่งเงยหน้ากรีดร้อง
คลื่นเสียงที่น่ากลัวกลายเป็นคลื่นสั่นสะเทือนกึ่งโปร่งแสงที่จับต้องได้ แล้วระเบิดไปทั่วอย่างบ้าคลั่งโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
คลื่นเหมือนกับคลื่นน้ำกลุ่มใหญ่บดขยี้กระดูกทั้งหมดบนพื้นโดยรอบจนแหลกลาญ จากนั้นก็แผ่ขยายไปยังที่ไกลแสนไกลด้วยความเร็วสูง
เลือดเนื้อจำนวนมากรวมตัวด้านหลังลู่เซิ่ง ปีกเนื้อขนาดยักษ์คู่หนึ่งงอกออกมาอย่างรวดเร็ว เขากระพือปีกเบาๆ และพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะโถมตัวเข้าไปยังส่วนลึกของโลกสีเทา
เขารวดเร็วเป็นอย่างมาก แม้จะไม่เร็วเท่าแสง แต่ก็เร็วถึงวินาทีละหลายสิบกงหลี่
ความเร็วนี้มากพอที่จะสลัดหลุดจากแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ได้แล้ว
นี่เป็นหนึ่งในความสามารถเหาะเหินขั้นพื้นฐานของผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวง
คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงระดับที่ถูกเรียกว่าผู้ทำลายดวงดาวได้ ล้วนระเบิดความเร็วที่น่ากลัวระดับนี้ออกมาได้ทั้งสิ้น
ยิ่งอย่าว่าแต่มารสวรรค์มายาพิศวงอย่างลู่เซิ่ง ความเร็วนี้ถึงขึ้นเหนือกว่าขีดจำกัดของตัวเขาไปแล้ว
แค่กระพือปีกครั้งเดียว ทิวทัศน์ด้านหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลง ก้าวข้ามระยะห่างหลายหมื่นหมี่ในชั่วอึดใจ
ทว่าโลกสีเทาในอีกหลายหมื่นหมี่ยังคงเป็นกระดูกที่ไร้สิ้นสุดอยู่ดี
‘โลกเริ่มกีดกันแล้ว…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วฉับ สัมผัสได้แล้วว่าโลกใบนี้เริ่มปฏิเสธตัวตนที่น่ากลัวซึ่งไม่ได้เป็นของที่นี่แล้ว
‘นี่คือปัญหาในการใช้พลังที่ไม่ใช่ของที่นี่…แต่การใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดมาค้นที่นี่ก็อาจทำให้ได้รับเบาะแสส่วนหนึ่งเหมือนกัน’
ลางสังหรณ์บอกเขาว่า เป็นไปได้อย่างยิ่งที่โลกสีเทาใบนี้จะไม่ธรรมดาสามัญ
ในเมื่อยืนยันเป้าหมายได้แล้ว ลู่เซิ่งก็กระพือปีกเคลื่อนไหวเร็วดั่งสายฟ้าแลบ
เขาบินไปยังส่วนลึกอย่างบ้าคลั่งโดยไม่หยุดยั้ง แต่นอกจากกระดูกแล้ว ด้านหน้าก็มีแต่กระดูก ท้องทะเลกระดูกสีขาวอมเทาไม่มีขอบเขตราวกับไร้ที่สิ้นสุด
ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ลึกลงไประหว่างกระดูก จะเจอสัตว์ประหลาดที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าเดิมได้ส่วนหนึ่ง
แต่สำหรับลู่เซิ่งร่างหลักแล้ว สัตว์ประหลาดพวกนี้เป็นเพียงหนอนแมลงไร้ค่า ยังไม่ทันเข้าใกล้สนามพลังคุ้มกันของเขา พวกมันก็ถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ แล้ว
บินอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าๆ การสะกดและการกีดกันของโลกเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ความเร็วของลู่เซิ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง มิติรอบตัวปรากฏการบิดเบี้ยวอย่างฉับพลันตลอดเวลา
‘น่าเสียดาย…ได้เวลาแล้ว…’ ลู่เซิ่งมองทะเลกระดูกไร้ขอบเขตอย่างค่อนข้างเสียดาย โลกใบนี้ไม่ธรรมดาเหมือนที่คิดไว้จริงๆ เมื่อครู่เขาบินวนโดยรอบ ซึ่งหากเป็นโลกใบอื่นคงจะบินครบรอบไปแล้ว แต่ที่นี่กลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
‘ต้องกลับแล้ว’ ลู่เซิ่งมองร่องแยกสีดำที่ค่อยๆ เปิดออกด้านหน้าตน เขากางค่ายกลอีกรอบ และตั้งพิกัดกลับไป
ไม่นานค่ายกลหวนกลับก็เสร็จสมบูรณ์
ลู่เซิ่งที่นั่งในค่ายกลเริ่มการข้ามมิติโดยใช้ร่างหลักเป็นแกนกลางครั้งแรก
แสงสีแดงที่เหมือนกับเลือดจำนวนมากกระจายออกมาตามลวดลายค่ายกล พวกมันสาดแสงขึ้นตามลวดลายหลายสายแล้วรวมตัวกันด้านหน้าลู่เซิ่ง
ซู่!
แสงสีแดงพุ่งขึ้นด้านบน แล้วกวาดช่องช่องหนึ่งกลางอากาศเหมือนกับหอกยาว กลายเป็นร่องแยกสีเทาเส้นหนึ่ง
ลู่เซิ่งกลายร่างเป็นแสงสีเทากลุ่มหนึ่งพุ่งหายเข้าไปในร่องแยกอย่างฉับพลันโดยไม่ลังเล
…
ณ โลกมารสวรรค์ ดาวเงาพริบตา
ด้านในถ้ำใต้ดินขนาดมหึมา
ใจกลางค่ายกลที่หนาแน่นและซับซ้อนผืนหนึ่ง ลำแสงสีแดงไหลเวียนดุจสายฟ้าฟาด ตามมาด้วยเสียงอัสนีบาตและเสียงระเบิดดังเปรี๊ยะๆ ร่องแยกสีเทาเหนือค่ายกลขยายตัวออกโดยพลัน
แสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในดุจสายฟ้าแลบ แล้วทิ้งตัวลงบนพื้น กลายเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีหางยาวสามหน้า
สัตว์ประหลาดตัวนี้หลอมละลายร่างอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับกลายเป็นรูปลักษณ์ปกติของลู่เซิ่ง
‘อืม…ความรู้สึกนี้…อึดอัดมาก…รู้สึกไม่สบายตัวสุดๆ ถูกบังคับดีดออกมา ร่างกายติดขัดชอบกล’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วขณะสัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกบังคับให้ออกมา
ไม่นานบันไซ่กับทัวหลันปาเฮ่อที่ได้ยินเสียงก็วิ่งมาจากด้านในตำหนักใต้ดิน พวกเขาผลักประตูเปิด พอบันไซเห็นลู่เซิ่งกลับมาอย่างปลอดภัย ใบหน้าที่เคร่งเครียดก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
“อันตรายจริงเชียว!” เขาพูดเสียงดังอย่างดีใจ
ลู่เซิ่งงงงวย มองตามสายตาของบันไซ่ พลันพบว่าศิลาแหล่งพลังงานที่เป็นผลึกสีดำเหลือเพียงขนาดเท่ากำปั้นเท่านั้น
ผลึกสีดำหลายแท่งที่สูงครึ่งกว่าหมี่ ถึงกับถูกผลาญพลังงานจนเหลือแค่นี้ เห็นได้ชัดว่าค่ายกลจุติครั้งนี้สิ้นเปลืองแหล่งพลังงานขนาดไหน
พอเห็นภาพนี้ ลู่เซิ่งก็หวาดเสียวขึ้นมาบ้างแล้ว
อันตรายจริงๆ ถ้าหากผลึกหมดพลัง เขาจะต้องค้นหาอยู่ในกระแสวังวนมิติเวลานานเท่าไรไม่ทราบกว่าจะกลับมายังโลกมารสวรรค์ได้
หลังจากสูญเสียพิกัด ต่อให้เป็นเขา ก็ได้แต่สุ่มเดาในกระแสวังวนมิติเวลาเช่นกัน
“ข้าไปกี่วัน” พอลู่เซิ่งเห็นบันไซกับทัวหลันปาเฮ่อมาก็รีบถาม
“ยังไม่ถึงสามวันเลยขอรับใต้เท้า” บันไซรีบตอบ สำหรับลู่เซิ่งคือไปมานาน แต่สำหรับพวกเขาเพิ่งได้เจอนายท่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ย่อมไม่ได้รำพึงรำพันอะไร
“แต่ว่ากันตามจริง พวกเราต้องการผลึกพลังงานที่ดีกว่าเดิมแล้ว” เขาชี้ผลึกดำที่หลงเหลืออยู่ไม่มาก แล้วบอกเป็นนัยๆ
“ผลึกพลังงาน…” ลู่เซิ่งวางแผนว่าจะหาซื้อจากสำนักนทีครามก่อน อาจจะหาผลึกจำนวนมากพอจากพวกเขาได้
“นี่เป็นผลึกคุณภาพดีที่สุดที่พวกเราหาซื้อได้จากในตลาดแล้ว ต่อจากนี้เราจะยื่นเรื่องกับสำนักนทีคราม จะว่าไปข้ายังไม่ได้ไปเอาเงินเดือนผู้อาวุโสนอกเลย เปลี่ยนเนื้อหาที่จะยื่นเรื่องได้พอดี”
ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงต่ำ
จากนั้นเขาก็เดินลงจากค่ายกล ผลึกดำด้านหลังพลันส่งเสียงโผละระเบิดแหลกลาญจนหมด
ลู่เซิ่งพาทั้งสองคนมานั่งในโถงพักผ่อน
“สองสามวันมานี้มีระดับสูงของสำนักนทีครามมาหาข้าไหม”
“ไม่มีเจ้าค่ะ แต่ว่ากันว่าสำนักวิญญาณไตรอริยะกับมารดาแห่งความเจ็บปวดทำสงครามกันย่อมๆ ต่างบาดเจ็บล้มตายกันทั้งสองฝ่ายเจ้าค่ะ”
ทัวหลันปาเฮ่อตอบ “นอกจากนี้ ไม่ทราบว่ามารดาแห่งความเจ็บปวดไปหาทัพสนับสนุนมากมายมาจากไหน ศพจากทัพสนับสนุนพวกนั้นถูกส่งมาที่นี่ส่วนหนึ่งเพื่อให้ท่านตรวจสอบด้วยเจ้าค่ะ”
บันไซอดสอดปากขึ้นไม่ได้ “ไม่มีคำอนุญาตจากใต้เท้าท่าน ข้าก็ไม่กล้าชันสูตรศพเหล่านั้น ได้แต่ดูเปลือกนอก ตามรูปลักษณ์ภายนอกและประเภทพลังงานที่กะพริบแล้ว ใต้เท้า ข้าว่าศพพวกนั้นเหมือนกับผลิตผลระหว่างวิญญาณร้ายและเลือดเนื้อมากเลย”
“วิญญาณร้ายหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว
จักรวาลวิญญาณร้ายคือมิติเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกับโลกมารสวรรค์ จึงมักมีวิญญาณร้ายบุกรุกมาจากทางด้านนั้น หมายจะกินชีวิตจำนวนมากของที่นี่อยู่เสมอ
แม้เขาจะไม่ได้ต่อสู้กับจักรพรรดิรัตติกาลตรงๆ แต่ก็ทราบว่าการดำรงอยู่พวกนี้ไม่ได้อ่อนแอ
ต่อให้ตอนนี้เขาจะสำเร็จเป็นมารสวรรค์ และยืนอยู่ในระดับชั้นสูงสุดของเขตดาวนี้แล้วก็ตาม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับวิญญาณร้าย ก็ยังคงไม่แน่ใจว่าจะเอาอยู่
“อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องพวกนี้ เจ้าศึกษาสัมผัสตราประทับมิติเวลาต่อครอบครัวข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว นอกจากนี้ข้ายังได้บอกก่อนไปว่าจะตรวจสอบพลังฝึกปรือของพวกเจ้า สองเรื่องนี้จัดการแล้วใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งถาม
แม้เป้าหมายของเขาจะเป็นการกำจัดมารดาแห่งความเจ็บปวด แต่การตามหาครอบครัว ตามหาลู่หนิง ก็เป็นอีกหนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของเขาเช่นกัน
“จริงสิ จะว่าไป ตราประทับครอบครัวของท่านพอจะมีเบาะแสด้านทิศทางมิติเวลาคร่าวๆ แล้วขอรับ” พอบันไซพูดถึงเรื่องนี้ก็ตบศีรษะ ในฐานะนักวิจัย เขายึดติดถึงขั้นเกือบลุ่มหลงในระบบพลังงานของค่ายกลและลวดลายอักขระ
และภารกิจที่ลู่เซิ่งมอบให้กับเขา ก็คือการตามหาครอบครัวที่พลัดหลงหายสาบสูญไปในกระแสวังวนมิติเวลาอันกว้างใหญ่ไพศาล
เรื่องนี้กระตุ้นความสนใจในการวิจัยของเขาอย่างใหญ่หลวง ในฐานะสุดยอดอัจฉริยะที่แม้แต่ดีปบลูก็ไม่อาจสร้างพรสวรรค์ซ้ำได้ บันไซมีความสามารถที่น่ากลัวในด้านนี้
“มีเบาะแสแล้วหรือ!?” เดิมทีลู่เซิ่งเพียงถามไปอย่างนั้น ไม่ได้คาดหวังใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้กลับได้ยินบันไซตอบว่า มีเบาะแสแล้ว
ร่างของเขาสั่นไหว สองตาสาดแสงสีทองเล็กๆ ขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมกับเพ่งมองบันไซ พลังสยบที่ยิ่งใหญ่ไพศาลสายหนึ่งกระจายไปโดยรอบทันที พริบตาเดียวก็แผ่ขยายไปเป็นรัศมีหลายหมื่นลี้
พลังสยบอันน่ากลัวทำให้สิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ในรัศมีหลายหมื่นลี้พากันเป็นอัมพาต
เสือดาวสีทองที่กำลังล่าเหยื่อโซเซ จากวิ่งสุดฝีเท้าด้วยความเร็วสูงพลันกลายเป็นกลิ้งหลายสิบตลบ
ละมั่งที่กำลังหนีอยู่ด้านหน้าควรจะฉวยโอกาสหนีไป แต่ตอนนี้กลับเป็นอัมพาตล้มลงกับพื้น ส่งเสียงครวญครางโหยหวน ขยับเขยื้อนไม่ได้
ห่านตัวใหญ่จำนวนมากที่กำลังบินอยู่กลางท้องฟ้ากำลังเรียงแถวเป็นสัญลักษณ์หัวลูกศรพร้อมบินไปยังที่ไกล จู่ๆ ก็มีคลื่นพลังสยบกึ่งโปร่งแสงพุ่งผ่าน
ปีกของห่านหลายสิบตัวหยุดนิ่ง พวกมันร่วงจากท้องฟ้า ตกลงไปในทะเลสาบด้านล่างอย่างเหม่อลอย
ตัวนิ่มที่กำลังขุดถ้ำอยู่ใต้ดินเพียงพริบตาถูกคลื่นสยบกวาดผ่านก็พลันขดตัวอย่างรวดเร็ว
……………………………………….
Comments