ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 782 ความแปลกประหลาด (2)
รอลู่เซิ่งเล่าข้อมูลที่ตัวเองได้พบมาจนหมดแล้ว
หยวนชิงลี่ก็เงียบงันไปเล็กน้อย
“ความจริง…ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยรวบรวมข้อมูลที่รายละเอียดไม่ชัดเจนมาส่วนหนึ่งเหมือนกัน เป็นเรื่องใหญ่ระหว่างวิญญาณดวงดาวกับสัตว์โบราณ”
“วิญญาณดวงดาวกับสัตว์โบราณหรือ” ลู่เซิ่งเคยได้ยินเรื่องสัตว์โบราณมาก่อน แต่เพิ่งได้ยินชื่อวิญญาณดวงดาวเป็นครั้งแรก “วิญญาณดวงดาวคือสิ่งใดกัน”
“วิญญาณดวงดาว…เป็นจิตของพวกดาวฤกษ์และดวงอาทิตย์” หยวนชิงลี่ตอบเสียงทุ้ม “พวกมันคือปฐมของทุกชีวิต เป็นเจ้าผู้ปกครองดาวเคราะห์ทั้งมวล ขณะเดียวกันก็เป็นศัตรูของสัตว์โบราณด้วย”
“หรือว่ากองกำลังสายนี้จะเป็นสิ่งที่พวกมันสร้างขึ้น” ลู่เซิ่งถามกลับ เขาตัดสินใจแล้วว่าต่อจากนี้จะไปตรวจสอบเสียหน่อยว่าวิญญาณดวงดาวคือสิ่งใด
“เป็นไปได้ นอกจากวิญญาณดวงดาว ก็ไม่มีตัวตนไหนที่กำจัดมายาพิศวงได้มากมายขนาดนี้อีก” หยวนชิงลี่คาดเดา
“ช่างเถิด ในเมื่อสืบประวัติของอีกฝ่ายไม่ออก พวกเราก็สะกดทัพไม่เคลื่อนไหวไว้อย่างที่นางว่าไปก่อนก็แล้วกัน แค่หนึ่งถึงสองร้อยปี พริบตาเดียวก็ถึง ไม่นับว่ายาวนาน” หยวนชิงลี่ไม่คิดจะเสี่ยงอันตรายแล้ว
“ตกลง หวังว่าจะไม่ใช่แค่การขู่ให้กลัว ไม่อย่างนั้นถ้าหากต้องมากลัวพวกหลอกลวงไม่กี่ตัว นั่นเป็นเรื่องน่าหัวเราะอย่างแท้จริงแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยพลางส่ายหน้า
หยวนชิงลี่หัวเราะ ใบหน้าที่ไม่มีเครื่องหน้าแสดงรอยยิ้มอย่างไร ลู่เซิ่งไม่ทราบเช่นกัน แต่เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่
กระจกน้ำแข็งบันทึกสถานการณ์ของป้อมรบส่งออกไป จากนั้นลู่เซิ่งก็เหินออกจากอาณาเขตนี้ แล้วมอบกระจกน้ำแข็งที่บันทึกเนื้อหาไว้ให้กับผู้บัญชาการใหญ่ที่รอคอยอยู่ด้านนอก
ถัดมาก็หมุนตัวเหินร่างจากไปเพราะคร้านจะสนใจเรื่องหยุมหยิมอีก
ในเมื่อยังทำอะไรทางมารดาแห่งความเจ็บปวดไม่ได้ อย่างนั้นการเพิ่มพลังก็ถือว่าไม่เลว หนำซ้ำตอนนี้ไม่เพียงแต่มีเงื่อนไขที่ต้องเพิ่มพลังเท่านั้น ยังมีเป้าหมายที่จะต้องไปค้นหาดวงตาแห่งความเลวทรามที่โลกใบอื่นด้วย
เขาจะหาที่อยู่ของครอบครัวและลู่หนิงมาได้ก็ต่อเมื่อตามหาดวงตาแห่งความเลวทรามเจอเท่านั้น
แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเบาะแสอะไรเลย
หลังจากทำภารกิจเสร็จ ลู่เซิ่งก็มุ่งหน้าไปยังศูนย์หลักของสำนักนทีคราม แล้วแลกเปลี่ยนทรัพยากรประจำปีที่ตนเองควรจะได้รับเป็นผลึกแหล่งพลังงานทั้งหมด
ตอนแรกเขาสามารถขอผลึกสายฟ้ามาได้สิบแท่ง ตอนนี้เมื่อเปลี่ยนทรัพยากรอย่างอื่นเป็นผลึกสายฟ้าด้วย เขาก็สามารถขอผลึกสายฟ้ามาได้สามสิบกว่าแท่ง
ลู่เซิ่งนำผลึกสายฟ้ากองใหญ่กลับดาวเงาพริบตา แล้วเริ่มสั่งให้บันไซจัดวางค่ายกลจุติอันใหม่
ขณะเดียวกัน อริยะเจ้าทงเซิงกับหลี่ซุ่นซีก็มีผลลัพธ์ที่แน่นอนจากการวิจัยความประหลาดลี้ลับแล้วเช่นกัน
…
ณ ตำหนักหลักดวงดาวบนดาวเงาพริบตา
ด้านในโถงใหญ่กว้างขวางแห่งหนึ่ง
สองฟากของโถงใหญ่คือพื้นที่ที่ถูกม่านแสงสีขาวหลายผืนแยกออกเป็นช่องๆ
ในพื้นที่ว่างทุกช่องฉายภาพในลักษณะแตกต่างกันไป เหมือนรูปจำลองทิวทัศน์ที่นำกลับมาจากสถานที่มากมาย
หลี่ซุ่นซีกับอริยะเจ้าทงเซิงกำลังเดินอยู่กลางม่านแสงที่อยู่สองฟากพร้อมกับลู่เซิ่ง
“ทิวทัศน์ที่ฉายในม่านแสงทั้งหมดของที่นี่ ล้วนเป็นปรากฏการณ์จากจุดที่มีความประหลาดลี้ลับป้อนกลับมาจากแต่ละเขตแดน” หลี่ซุ่นซีพูดกับลู่เซิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง “จากสถิติการสังเกตของพวกเราจะพบว่า แม้ว่าความประหลาดลี้ลับจะเป็นอมตะทั้งหมด แต่พวกเราได้แบ่งการประสานความเร็วและความแข็งแกร่งในการฟื้นคืนชีพออกเป็นหลายระดับ”
“ระดับอะไรบ้าง” ลู่เซิ่งสนใจ
เขากลับนึกไม่ถึงว่าทงเซิงกับหลี่ซุ่นซีจะสร้างของเล่นมากมายปานนี้ขึ้นได้ในเวลาสั้นๆ
“ระดับธรรมดา ระดับภูตผี ระดับปฐม ระดับทำลาย” หลี่ซุ่นซีตอบอย่างรวดเร็ว
“มีแค่สี่ระดับหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง
“ถูกต้อง เป็นเพราะพวกเราแบ่งคร่าวๆ ตามระดับการคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้” ทงเซิงเอ่ยแทรกขึ้นด้านข้าง “ระดับธรรมดาเป็นสัตว์ประหลาดที่มีระดับการคุกคามต่อมนุษย์ธรรมดาทั่วไปสุด ระดับผีร้ายเป็นความประหลาดลี้ลับที่มีการคุกคามเป็นรองจากระดับอริยะเจ้า”
“ระดับปฐมเป็นผู้เข้มแข็งที่บรรลุปฐมพลัง เป็นความประหลาดลี้ลับที่มีการคุกคามเช่นกัน ความประหลาดลี้ลับชนิดนี้มีจำนวนไม่มาก แต่พวกเราเจอสิบกว่าตัวแล้ว” หลี่ซุ่นซีกล่าวเสริม
“สุดท้ายคือระดับทำลาย…” พอพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย “สิ่งนี้คือแดนมรณะและแดนต้องห้าม อยู่ในระดับที่ถ้าเข้าไปแล้วก็อย่าคิดออกมา แต่เนื่องจากตอนที่ข้อมูลมีไม่เพียงพอ พวกเราเลยได้แต่แบ่งเป็นสี่ระดับคร่าวๆ บางทีถ้าหลังจากนี้มีข้อมูลและกรณีตัวอย่างมากขึ้น อาจจะแบ่งได้ละเอียดกว่าเดิม”
ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ ทำได้ถึงจุดนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
ความประหลาดลี้ลับไม่มีร่องรอยให้สืบสาว ไม่ว่าจะรวบรวมข้อมูลข่าวสาร หรือประเมินระดับการคุกคาม ล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายดายทั้งสิ้น
“เช่นนั้นเรื่องขยายบุคลากรรอบนอก พวกเราเริ่มลงมือหรือยัง ใช้ชื่อของข้าประกาศออกไปก็ได้” เขาเตือน
“พวกเราประกาศรับสมัครแล้ว แต่พอได้ยินว่าจะวิจัยความประหลาดลี้ลับ ก็มีไม่กี่คนที่กล้ามา” เฒ่าชราทงเซิงตอบด้วยรอยยิ้มหนักใจ
“ยังไม่ต้องรีบร้อน คนส่วนใหญ่น่าจะคอยสังเกตการณ์อยู่ อย่างไรช่วงเวลานี้ พวกเราเองก็ยืนยันไม่ได้เหมือนกันว่าพวกเราเกิดความคิดชั่ววูบหรือไม่”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น…” ทั้งสองคนต่างยิ้มขื่นขม แม้จะไม่ขาดเงินและสามารถรับสมัครคนจากบนดาวเคราะห์ได้ แต่สมาชิกแกนกลางมีแค่พวกเขาสองคน ขาดแคลนขุมกำลังระดับสูงอย่างหนัก คงจะให้พวกเขาออกไปทำงานตลอดทุกครั้งที่เจอความประหลาดลี้ลับที่มีปัญหาเล็กน้อยไม่ได้กระมัง
“ไปหาเด็กกำพร้าที่ถูกความประหลาดลี้ลับฆ่าครอบครัวฆ่าสหายมาสิ ถ้าหาไม่เจอพวกเราก็เลี้ยงเอง” ลู่เซิ่งเตือน
“หวังว่าจะไปไม่ถึงขั้นนั้น” หลี่ซุนซีเอ่ยอย่างจนปัญญา
“เอาเถอะ ข้ามีเรื่องของตัวเองต้องทำ เจอกันครั้งหน้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเพิ่มบุคลากรได้ และมีผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอันกว่าเดิม” ลู่เซิ่งเตือน “เป้าหมายของพวกเราคือการทำความเข้าใจว่าความประหลาดลี้ลับคือสิ่งใดกันแน่ ประเภทของพวกมัน ขีดจำกัดของพลัง หลักการในการปรากฏ และหลักการในการสลาย”
“แน่นอน”
หลังบอกลาคนทั้งสอง ลู่เซิ่งไม่ได้เสียเวลาอีก เริ่มศึกษาดวงตาแห่งความเลวทรามนี้อย่างจริงจังทันที
ในกระบวนการศึกษาของบันไซต่อดวงตาแห่งความเลวทราม มีพลังรบกวนมิติเวลาซึ่งอยู่ๆ ก็โผล่มาอย่างกะทันหัน พลังเหล่านี้ถูกลู่เซิ่งขจัดทิ้งราวกับไม่มีอยู่จริง
ในความเป็นจริง ตอนที่ลู่เซิ่งควบคุมและศึกษาค่ายกล เขามั่นใจว่าสามารถทำให้การรบกวนเหล่านี้ไม่คงอยู่ได้จริงๆ
ทว่าแม้ลู่เซิ่งจะมองข้ามได้ บันไซกับทัวหลันกลับมองเมินไม่ได้ ทั้งสองต่างจัดการตามแนวทางของตน บันไซก็ยังใช้ของขลังที่ตัวเองประดิษฐ์ขึ้น ดำเนินการคำนวณและอนุมานอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนัก ผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ ค่ายกลใหม่ที่ใช้ผลึกสายฟ้าเป็นระบบจ่ายพลังงานก็ถูกปรับปรุงโดยสมบูรณ์ หลังจากบันไซจัดการค่ายกลเสร็จสิ้น ก็ส่งข่าวบอกลู่เซิ่งทันที
“ความเร็วของเวลายังคงเป็นสิบต่อหนึ่งโดยประมาณ ระดับคือระดับห้าที่เป็นระดับสูงสุด!”
ด้านในถ้ำใต้ดิน บันไซกับลู่เซิ่งยืนเคียงข้างกันขณะมองค่ายกลจุติที่กำลังดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดเป็นครั้งที่สามอยู่ในโถงใหญ่เบื้องหน้า
ด้านในโถงใหญ่มีค่ายกลที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวสิบกว่าหมี่อยู่บนพื้น คนสิบกว่าคนยืนกระจายกันอยู่บนค่ายกล กำลังก้มหน้าตรวจสอบอย่างละเอียดว่าอักขระค่ายกลและสัญลักษณ์ทุกอย่างบนค่ายกลถูกต้องหรือไม่
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วกล่าวอย่างลังเล “ยืนยันได้อย่างละเอียดหรือไม่ว่าโลกต่อไปมีสภาพแวดล้อมแบบไหน”
“ทำไม่ได้ขอรับ…” บันไซตอบอย่างจนปัญญา “ข้ายืนยันได้เพียงทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น ทว่าถ้าไม่เชื่อมต่อกับโลกแต่ละใบในกระแสวังวนมิติเวลาที่อันตรายสุดขีดอย่างแม่นยำ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลที่เก่งกาจกว่านี้ ก็ไม่มีความสามารถทะลวงเยื่อกั้นของโลกได้อยู่ดี”
“ไม่เป็นไร…เจ้าแค่ต้องเตรียมตรวจสอบเบาะแสต่อไปให้พร้อมก็พอ” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“นายท่านต้องระวังตัวด้วยนะขอรับ ตั้งแต่เปลี่ยนผลึก ระดับของโลกที่ท่านจุติก็สูงกว่าก่อนหน้ามาก เมื่อเป็นแบบนี้ อันตรายที่แฝงอยู่ด้านในอาจจะเยอะกว่าเดิมตามไปด้วย” บันไซกำชับ
“อือ ข้าเข้าใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขามองดูนักวิจัยจำนวนมากที่ตรวจสอบเสร็จแล้วและกำลังแยกย้าย “เตรียมเริ่มได้แล้ว ข้าต้องไปยังโลกเล็กๆ อีกใบหนึ่งก่อนเวลา”
“รับทราบ พร้อมรับคำสั่งทุกเวลาขอรับ” บันไซรีบตอบ
ลู่เซิ่งรออยู่สักพัก รอจนนักวิจัยถอยห่างออกไปหมด เขาก็มองไปยังบันไซ
ฝ่ายหลังพยักหน้าน้อยๆ และยกแขนขวาขึ้น
ฟ้าว!
ลำแสงสีทองอ่อนหลายสายทะลักออกมาจากในผลึกสายฟ้ารอบๆ แล้วไหลไปตามลวดลายค่ายกลบนพื้นอย่างรวดเร็วเหมือนกับของเหลวเหนียวเหนอะ
คลื่นพลังงานของค่ายกลทั้งหมดแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก จนทำให้แม้แต่การควบคุมค่ายกลก็มีความยากเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเช่นกัน
เป็นเพราะสุดยอดพรสวรรค์ของบันไซ ถึงสร้างค่ายกลจุติที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ในเวลาอันสั้น หากเปลี่ยนเป็นตัวลู่เซิ่ง เกรงว่าจะต้องใช้เวลานานกว่านี้
อย่างไรเขาก็ไม่อาจทุ่มเทแรงกายแรงใจทำแค่เรื่องเรื่องเดียวได้
ซู่ๆๆๆ…!
ของเหลวสีทองหลายสายไหลไปตามลวดลายค่ายกล แล้วรวมตัวกันตรงกลางอย่างช้าๆ คลื่นพลังงานที่บ้าคลั่งกระตุ้นให้สภาพแวดล้อมรอบข้างเกิดความปรวนแปรของพลังงานขนาดเล็ก
แสงสีรุ้งจำนวนมากกระเพื่อมขึ้นรอบค่ายกลอยางต่อเนื่อง เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวสลาย
ผ่านไปสิบนาที ของเหลวสีทองทั้งหมดก็รวมตัวกันตรงกลางของค่ายกล
แกร๊ก!
หลังเกิดเสียงทึบหนัก อากาศเหนือค่ายกลก็ถูกเจาะทะลวง วาดเป็นร่องแยกรูปดวงตาสีเทาอ่อนสายหนึ่ง
ลู่เซิ่งพยักหน้าน้อยๆ
“กระบวนการเสถียรมาก ดูเหมือนเจ้าจะทำสำเร็จแล้ว” เขามองบันไซที่อยู่ด้านข้าง
“เป็นเพราะนายท่านขอรับ!” บันไซกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้าขอล่วงหน้าไปก่อน” ลู่เซิ่งยิ้ม “รอข้ากลับมา จะพาเจ้ากลับบ้านด้วยตัวเอง สู้เข้าล่ะ!” เขายื่นมือไปตบบ่าของบันไซ จากนั้นก็กระโดดขึ้นกลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งเข้าไปในร่องแยกสายนั้น
บันไซกัดฟัน ดวงตาฉายแววคาดหวัง
เขาถูกนายท่านจับตัวมานานขนาดนี้ ย่อมอยากกลับบ้านเหมือนกัน ตอนนี้ได้รับคำอนุญาตจากปากของลู่เซิ่งแล้ว จิตใจที่เดิมทีเยือกเย็นของเขาพลันปั่นป่วนไปหมด
‘บางทีจนกระทั่งถึงตอนนี้ ท่านแม่อาจนึกว่าเราแค่หนีออกจากบ้าน แอบไปใช้ชีวิตอยู่บนเรือเหาะในมุมใดสักมุมหนึ่งกระมัง…’ บันไซนึกถึงมารดาผู้เข้มงวดกวดขันของตัวเอง ก่อนจะมองดูค่ายกลใหญ่อันแข็งแกร่งที่ปล่อยพลังงานยิ่งใหญ่ออกมาด้านหน้าอีกครั้ง
ความภาคภูมิใจและความทะนงตนจางๆ พลันปรากฏขึ้น
“ข้าไม่ใช่ตัวข้าคนเดิมอีกแล้ว…” หวนนึกถึงการชี้แนะและคำสั่งสอนที่นายท่านลู่เซิ่งมอบให้ตัวเองตลอดเวลาที่ผ่านมา การมีผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงคอยชี้แนะตัวต่อตัว สำหรับผู้บำเพ็ญคนไหนๆ นี่ก็เป็นวาสนายิ่งใหญ่ที่ยากจะจินตนาการ
และในช่วงเวลานี้เขาก็ได้รับวาสนาแบบนี้ทุกวี่วัน
‘ท่านแม่…รอข้าก่อนเถอะ ข้า…ไม่ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว…’ บันไซเกิดความคาดหวังอยู่ชั่วขณะ
พรึบ!
ตอนนี้แสงสีเหลืองที่เปลี่ยนมาจากลู่เซิ่งได้พุ่งหายเข้าไปในร่องแยกแล้ว ร่องแยกหดเล็กลงกลายเป็นแสงกลุ่มหนึ่งลอยตกลงมา แล้วถูกค่ายกลใหญ่ห่อหุ้มเอาไว้
ความปรวนแปรของพลังงานอันรุนแรงเมื่อก่อนหน้านี้เบาบางลงด้วยความเร็วสูง ไม่นานก็ลดลงอยู่ในระดับค่ายกลป้องกันธรรมดาเพียงแค่รักษาพิกัดมิติเวลาไว้ก็เพียงพอแล้ว
……………………………………….
Comments