ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 938 เผาไหม้ (2)
ลู่เซิ่งวางจอกลง ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองตวนฟางที่อยู่ด้านหลังไป๋เจ๋ออย่างเรียบนิ่ง
“เร็วกว่าที่ข้าคาดไว้ในทีแรกมาก ดูเหมือนสาเหตุจะเป็นเจ้ากระมัง”
ตวนฟางที่ถูกสายตาของเขาจ้องมองราวกับร่างถูกเพลิงแผดเผา เพียงแค่โดนกวาดสายตาผ่าน บนร่างก็ร้อนลวกและแดงขึ้น เหมือนถูกตราเหล็กร้อนนาบใส่
เขาอดที่จะถอยหลังไปก้าวหนึ่งไม่ได้ หมายจะซ่อนตัวหลังไป๋เจ๋อให้มิดชิดกว่าเดิม
“เป็นเด็กที่น่าสนใจดี” ลู่เซิ่งหัวเราะ
คำพูดสองสามประโยคของเขาเท่ากับยอมรับคำถามของเหล่าเทพปีศาจอย่างไป๋เจ๋อ
บรรยากาศในตำหนักใหญ่พลันเปลี่ยนไป กลิ่นอายจิตปฐมอันยิ่งใหญ่ของเทพปีศาจหลายสายพากันระเหยออกมาจากร่างพวกเขา
ตำหนักเล็กๆ รองรับความขัดแย้งของกลิ่นอายจากเทพปีศาจมากมายขนาดนี้ไม่ไหว
ผนังรอบข้างและเพดาน ปรากฏรอยร้าว
สายตาอันตรายของเทพปีศาจที่มีไป๋เจ๋อเป็นผู้นำหยุดบนร่างลู่เซิ่ง แต่เขากลับเหมือนสัมผัสไม่ได้
อวี่ซวนผุดสีหน้าตื่นตระหนก แต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว ต่อให้นางเป็นเทพปีศาจ แต่อยู่ในบรรยากาศที่เกร็งทะมึนเช่นนี้ ก็ไม่กล้าขยับตัววู่วาม ไม่อย่างนั้นหากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียว สภาวะและกลิ่นอายที่ถูกเหนี่ยวรั้งไว้เหล่านั้นจะโจมตีใส่ตัวนางทันที
กลิ่นอายเทพปีศาจมากมายขนาดนี้มากพอจะทำให้นางบาดเจ็บสาหัสภายในพริบตา
เพียงแต่เทียบกับกายที่สั่นเทาแล้ว ความสั่นสะท้านนใจกลับทำให้นางต้องทนทรมานมากกว่า
นางมองลู่เซิ่งอย่างงุนงง ไม่ทราบควรใช้ท่าทีแบบไหนกับเขาดี ชายที่ตนพามาจากโลกเบื้องล่างผู้นี้ เวลานี้กลับก่อภัยพิบัติใหญ่โตปานนี้
จิตใจของอวี่ซวนปั่นป่วนอยู่ชั่วขณะ ในห้วงสมองยังคงมีเหตุการณ์ที่เคยตรวจสอบสายเลือดลู่เซิ่งเล่นย้อนไปย้อนมา
ในคันฉ่องสืบทอด เงาของหงส์เพลิงที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ตัวนั้นไม่มีทางเป็นของปลอม
แต่…แต่ว่า…เหตุการณ์นี้ควรอธิบายอย่างไร
เขาเป็นใครกันแน่!? มีสถานะอะไรกันแน่ ทั้งหมดนี้คือเรื่องอะไรกันแน่
อวี่ซวนรู้สึกว่าข้อสงสัยมากมายในสมองสับสนปนเปไปหมด
เผ่าหงส์เพลิงคนอื่นๆ ก็อยู่ในอาการตื่นตระหนกและงงงวยเฉกเช่นเดียวกับนาง
เสี่ยวหนิงนั่งตัวสั่นบนพื้น มองลู่เซิ่งที่มีสีหน้าเรียบเฉย รู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ทำให้นางรู้สึกแปลกหน้าและอันตรายอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“ตอนนี้ควรทำอย่างไร” เทพปีศาจตนหนึ่งด้านหลังไป๋เจ๋อถามเสียงทุ้ม เขาชื่อมู่จุย เป็นคนที่มีพลังฝึกปรือแข็งแกร่งที่สุดในหมู่เทพปีศาจที่เพิ่งเข้าร่วม ทั้งยังเป็นเซียนทองคำขั้นสูงที่แท้จริง จึงมีพลังต่อสู้กล้าแข็ง
สีหน้าไป๋เจ๋อไร้อารมณ์ กวาดจิตปฐมไปรอบๆ หมายจะหากับดักและอันตรายที่เป็นไปได้ แต่อาจเป็นเพราะพวกเขามาเร็วเกินไป ทำให้อีกฝ่ายทำอะไรไม่ทัน
วังหงส์เพลิงแห่งนี้ไม่มีการคุกคามใดๆ ที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น
“ว่ามา เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงทำเช่นนี้” ไป๋เจ่อมองลู่เซิ่งตาเขม็ง ถามเสียงเย็นเยียบ
เขากับอิงเจาเป็นสหายที่สนิทที่สุด และตอนนี้ก็เป็นไปได้สูงมากว่าสหายสนิทผู้นี้ตายด้วยมือของคนลึกลับตรงหน้านี้
การที่เขาข่มเพลิงโทสะไม่ลงมือทันที ถือว่าหายากถึงขีดสุดแล้ว
“ทำไมถึงทำแบบนี้หรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีความงามอย่างน่าประหลาด คล้ายกับไม่แตกตื่นหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ตรงหน้าแม้แต่น้อยนิด
“สังหารอิงเจา ควบคุมเทพปีศาจของอุทยานปีศาจตั้งมากมาย เจ้ามีแผนการอะไรกันแน่!?” ไป๋เจ๋อเอ่ยเสียงเย็น
“ยังไปพูดกับมันทำไมอีก ทำให้พิการก่อนค่อยว่ากัน ทำลายกายเนื้อ แล้วจับวิญญาณไว้” คุนเผิงกล่าวเสียงเย็นขึ้นด้านข้าง
สำหรับเขา นี่คือเรื่องขำขันเรื่องหนึ่ง
ลู่เซิ่งกวาดตาผ่านร่างคุนเผิง ไป๋เจ๋อ ตวนฟาง และมู่จุย ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ
“ลงมือ!” ทันทีที่ไป๋เจ๋อเห็นรอยยิ้ม พลันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่อีกต่อไป ยกมือขึ้น จานค่ายกลที่เหมือนกับจันทร์เพ็ญสีขาวปรากฏกลางฝ่ามือ
เทพปีศาจทั้งหมดพากันใช้จิตปฐมโคจรของวิเศษเชื่อมจิตของตัวเอง แสงสีรุ้งหลายสายพุ่งขึ้นฟ้า พลังงานที่ราวกับจับต้องได้ซึ่งยิ่งใหญ่จนบิดเบี้ยวระเบิดในตำหนักใหญ่เหมือนฟ้าร้อง
“ฆ่า!”
มู่จุยที่อยู่ด้านหลังไป๋เจ๋อยกของวิเศษที่เป็นค้อนไม้ในมือขึ้น กำลังจะกลายเป็นหมอกควันพุ่งใส่ลู่เซิ่ง
ตูม!
ทันใดนั้นมีเสียงทึบดังมาจากในตำหนักใหญ่
อวี่ซวนหน้าซีด อดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ปิดปากจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสั่นสะท้าน
ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น เผ่าหงส์เพลิงคนอื่นก็เช่นเดียวกัน ใบหน้าที่เดิมหวาดกลัวกลายเป็นตกตะลึงพรึงเพริด
ไป๋เจ่อเพิ่งพุ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว รอบตัวมีของวิเศษในลักษณะต่างๆ โผล่มาหลายชิ้น ขังเขาไว้ด้านในอย่างแน่นหนา
เขาต้านดาบยาวเล่มหนึ่งที่ฟันมา หันไปมองดู เวลานี้พวกคุนเผิงและตวนฟางถูกเทพปีศาจอย่างพวกมู่จุยล้อมเอาไว้ แสงวิเศษและอิทธิฤทธิ์หลายสายกลายเป็นค่ายกล โอบล้อมพวกเขา
การโจมตีหลายสิบสายพุ่งใส่ร่างคุนเผิงจนอีกฝ่ายรับมือไม่ทัน มุมปากมีเลือดไหล สีหน้าฉายแววตกใจและโมโห
“ตอนนี้ควรจัดการอุปสรรคสุดท้ายได้แล้ว” ลู่เซิ่งลุกขึ้น สายตาจับจ้องที่ไป๋เจ๋อ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม
เขาลุกออกจากที่นั่งเดินไปหาสามคนที่ถูกรุมจู่โจม
ย่างก้าวของเขาเชื่องช้า ถึงขั้นกล่าวได้ว่าผ่อนคลาย
เวลานี้พวกไป๋เจ๋อและคุนเผิงผิดหวังจนอยากกระอักเลือด พลังของเทพปีศาจที่พวกเขาพามากลุ่มนี้เหมือนกับผนึกรวมกัน ทุกๆ ครั้งที่ลงมือจะทำให้พลังปีศาจของพวกเขาสลายไป ไม่อาจต้านทานซึ่งหน้าได้
ถ้าไม่ใช่ตัวคุนเผิงมีพลังปีศาจแทบไร้สิ้นสุด และยังมีกฎของจอมอริยะคอยเพิ่มอานุภาพ เกรงว่าพวกเขาจะถูกจัดการในทันทีที่ลงมือแล้ว
มู่จุยมีสีหน้าไร้อารมณ์ หนวดหลายเส้นมุดอยู่ในเจ็ดทวาร ร่วมมือกับเทพปีศาจยี่สิบกว่าตน แสงวิเศษกับอิทธิฤทธิ์ผสมกันกลายเป็นลำแสงหลายสาย เข้าปะทะกับไป๋เจ๋อและคุนเผิง
พลังของพวกเขาเหมือนรวมกันเป็นหนึ่ง แข็งแกร่งหาใดเทียม
ลู่เซิ่งเดินถึงหน้าตวนฟาง มองดูบุรุษหนุ่มที่ตกใจจนไร้เรี่ยวแรง
“ได้ยินมาว่าเจ้าเคยลิ้มลองเปลวไฟที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าหรือ”
ในม่านตาของตวนฟางเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว
ลู่เซิ่งกลับไม่สนใจสภาพของเขา เอ่ยถามเสียงเบา
“อย่างนั้นเจ้าบอกข้าทีว่า อัคคีที่แข็งแกร่งที่สุดในฟ้าดินคืออะไร”
“…เป็น…เป็นอัคคีอาทิตย์…!” เสียงของตวนฟางสั่นเครืออยู่บ้าง เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจร่างคนที่ไม่นับว่าสูงใหญ่ตนนี้ แรงกดดันกับความกลัวที่เขาเผชิญในใจแทบจะถึงจุดวิกฤต
“อัคคีอาทิตย์หรือ” ลู่เซิ่งหัวเราะ “อีกเดี๋ยวก็จะไม่ใช่แล้ว”
“หมาย…หมายความว่าอย่างไร!?” ตวนฟางถามเสียงสั่น เขาอยากถอยหลังเพื่ออยู่ให้ไกลจากลู่เซิ่ง แต่ไม่มีประโยชน์ ร่างกายเหมือนถูกอะไรสักอย่างตรึงไว้ สองขาอ่อนระทวย เขาไม่อาจผละหนีไปได้
ลู่เซิ่งยื่นมือออกมา เปลวไฟสีขาวกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ขึ้นบนนิ้วชี้อย่างช้าๆ เปลวไฟนั้นสว่างไสวแยงตานัก ได้ก้าวข้ามนิยามของสีขาวไปแล้ว แต่เหมือนเป็นแสงกลุ่มหนึ่งที่สว่างไสวถึงขีดสุด
เขาค่อยๆ ยื่นเปลวไฟบนนิ้วชี้เข้าหาหว่างคิ้วของตวนฟาง ความหวาดกลัวกระวนกระวายบังเกิดขึ้นในใจบุรุษหนุ่ม
เขาเริ่มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจหยุดยั้งการเข้ามาของนิ้วชี้นิ้วนั้นได้
“จงรับรู้เถอะ”
เปลวไฟสีขาวแทงเข้าหว่างคิ้วตวนฟางเบาๆ
ฟ้าว!
พริบตานั้นเส้นสายสีทองสายหนึ่งพุ่งมาจากด้านนอกตำหนักใหญ่ดุจสายฟ้าฟาด แทงใสนิ้วชี้ของลู่เซิ่งด้วยความเร็วที่ไร้สิ่งใดเทียบเคียง
พรึ่บ!
เส้นสีทองกับไฟสีขาวปะทะกันในพริบตา จากนั้นก็ดับสูญหายไปพร้อมกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าลู่เซิ่งหายไป เขาหมุนตัวมา ไม่ได้มองตวนฟางอีก แต่มองไปยังทิศทางที่เส้นสีทองเมื่อครู่พุ่งมา
ตรงนั้นคือประตูตำหนักใหญ่
เวลานี้บุรุษหล่อเหลาที่สูงใหญ่และมีผมยาวสยายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น กลางหว่างคิ้วเขามีสัญลักษณ์สีแดงทอง อาภรณ์ปีกสีทองบนร่างไม่เพียงไม่มีตราตามประเพณีเก่าๆ กลับให้ความรู้สึกสูงส่งศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามแก่ผู้คน
บุรุษถือไม้เท้าสีดำท่อนหนึ่ง อีกมือค่อยๆ ลดลง ปลายนิ้วยังคงเห็นสะเก็ดไฟสีทองหลายกลุ่มวนเวียนอยู่รอบฝ่ามือของเขาเหมือนกับสิ่งมีชีวิต
“ที่แท้ก็เป็นฝ่าบาทตี้ซวิน” ลู่เซิ่งชักนิ้วกลับ “พบเจอกันครั้งแรก พระองค์เรียกข้าว่าลู่เซิ่ง หรือราชาหงส์เพลิงก็ได้”
ตี้ซวินขยับฝ่ามือ อัคคีอาทิตย์กลุ่มใหญ่ลุกไหม้และฟุ้งกระจายออกมาจากด้านหลัง
“จัดการมัน!”
ดวงตาของเขาเป็นประกายสีทอง ถอยไปด้านหลัง หายเข้าไปในกองทัพปีศาจของอุทยานปีศาจจำนวนมากผ่านร่องแยกสองด้าน
อุทยานปีศาจหยุดนิ่งลงพริบตาหนึ่ง จานศิลาทรงกลมวงหนึ่งค่อยๆ ปรากฏเหนือตำหนักนับไม่ถ้วน บนนั้นบันทึกสัญลักษณ์ลวดลายหลายกลุ่มเหมือนกับแสงดาวเอาไว้
ทัพปีศาจจำนวนหลายร้อยล้านโอบล้อมวังหงส์เพลิงไว้เป็นชั้นๆ พวกเขาดาหน้าพุ่งเข้าตำหนักภายใต้การเสริมพลังจากค่ายกลจัตุรัสเหอถูลั่วซู
แสงไฟสีทองกะพริบกลางอากาศ ตี้ซวินพาพวกคุนเผิง ไป๋เจ๋อ และตวนฟางไปปรากฏด้านนอกวังหงส์เพลิง มองดูกลุ่มตำหนักที่โดนรุมล้อมไว้หลายชั้น
“เปลี่ยนฟ้าแปลงดิน” ตี้ซวินยื่นมือออกมา เงาคัมภีร์ที่ลวงตาพร่ามัวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ คัมภีร์พลิกเปิดหน้ากระดาษส่งเสียงพึ่บพั่บเบาๆ
ค่ายกลบนวังหงส์เพลิงพลันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง คัมภีร์ยักษ์ที่เหมือนกันเล่มหนึ่งปรากฏเหนือกลุ่มตำหนักอย่างช้าๆ
“สรรพสิ่งสิ้นสูญ!” ทันใดนั้รตี้ซวินกำมือ สะเก็ดไฟสีทองระเบิดบนมือเขา
แกร๊ก...
รอยร้าวสีทองเล็กๆ เริ่มโผล่กลางวังหงส์เพลิง มิติตรงนั้นเหมือนกับต้านทานแรงกดดันสองชั้นจากค่ายกลและอัคคีอาทิตย์ไม่ไหว พากันแตกร้าว
ในตัวตำหนัก
ภายใต้ผลของค่ายกล เปลวไฟสีทองลุกไหม้ขึ้นบนตัวทหารปีศาจนับไม่ถ้วน พวกเขาคำรามและกลายเป็นอีกาอัคคีทองหลายตัว กระโจนเข้าใส่ลู่เซิ่งกลางตำหนักใหญ่
แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งก็ลอยขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน
“อัคคีสวรรค์ดับแสง สิบทิศระเหยหาย…”
ลู่เซิ่งค่อยๆ หลับตา ลวดลายสีแดงฉานนับไม่ถ้วนไต่ขึ้นบนแก้มเขา
“หงส์เพลิง!”
เขาลืมตาในทันใด แสงสีขาวไร้สิ้นสุดระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
ส่วนลึกของแสงสีขาว หงส์เพลิงยักษ์ที่ตัวใหญ่สุดขีดตัวหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น แกว๊ก!
เปลวไฟสีทองขาวนับไม่ถ้วนที่มากพอจะทำลายทุกสิ่งทะลักไปทั่วราวกับคลื่นยักษ์
…
บนผืนดิน
เผ่าเวท
จู๋จิ่วอินถือไม้เท้า ยืนอยู่บนผืนดินแห้งผาก พลันเงยหน้ามองท้องฟ้า
“นั่นคืออะไร…!?” เขาสีหน้าแปรเปลี่ยน จ้องมองทิวทัศน์ประหลาดที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า
ตอนนี้กลุ่มตำหนักของอุทยานปีศาจที่อยู่บนท้องฟ้าถูกนกเพลิงสีขาวที่ตัวใหญ่มโหฬารตัวหนึ่ง โอบล้อมไว้ตรงกลางเบาๆ
อุทยานปีศาจกำลังลุกไหม้
ไฟสีทองกับสีขาวเกี่ยวกระหวัดกัน เผาไหม้ และสูญสิ้น
นกเพลิงสีทองตัวนั้นดูเหมือนกับ…
“นั่นคือ…หงส์เพลิงหรือ” จู๋จิ่วอินกำไม้เท้าแน่นโดยไม่รู้ตัว
……………………………………….
Comments