ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 945 สภาพการณ์ (1)
“เจ้าบอกว่าจะเชิญข้าไปคุ้มครองอุทยานสวรรค์หรือ” หงอวิ๋นสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือไม่
เขามองลู่เซิ่งด้วยสีหน้างงงวย
“แน่นอน ข้าเชื่อมั่นในความจริงใจกับนิสัยของท่าน ตอนนี้อุทยานปีศาจเพิ่งเริ่มก่อตั้ง ข้าต้องใช้เวลากักตนฝึกฝน แต่พลังก็ดี ชื่อเสียงก็ดี ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดก็คือท่าน ดังนั้นข้าจึงหวังว่าท่านจะช่วยดูแลอุทยานปีศาจในเวลาที่ข้าฝึกฝน” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงใจอย่างยิ่ง
หงอวิ๋นผุดสีหน้างุนงง
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้…ข้าหมายถึง อุทยานปีศาจ…ไม่ใช่มหาเทพตงหวง…”
“พวกเขาเป็นอดีตไปแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“…” หงอวิ๋นพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ แม้ในยันต์ข้อความเมื่อก่อนหน้านี้จะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่น่าตกตะลึงเท่าตอนนี้
“สรรพสิ่งในโลกมีขึ้นมีลง มหาเทพกับตี้ซวินออกจากอุทยานสวรรค์ ยกอุทยานปีศาจให้ข้า โดยที่ข้าเป็นจักรพรรดิสวรรค์ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเป็นผู้ปกครอง” ลู่เซิ่งแนะนำอย่างรวบรัด
“…” หงอวิ๋นผุดสีหน้างงงัน
ลู่เซิ่งที่เขาเคยเจอเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานยังเป็นแค่จอมปีศาจธรรมดา ตั้งตัวเป็นราชาในป่า ตอนนี้กักตนไปพริบตาเดียว หงส์เพลิงตัวนี้ก็สะบัดตัวกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์แล้วหรือ
“…ช่วงนี้…เจ้าไปสู้กับใครมาหรือไม่” ขณะมองสีหน้าแน่วแน่ของลู่เซิ่ง หงอวิ๋นก็ถามอย่างระมัดระวัง
“ถูกต้อง ท่านอยากพูดอะไร” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงสัย
“อาการบาดเจ็บตรงนี้ รักษาไม่ได้หรือ” หงอวิ๋นชี้ศีรษะ เผยสีหน้าสงสาร
“…สมองข้าไม่มีปัญหา” ลู่เซิ่งหมดคำพูด
แน่นอนว่าเขาเข้าใจความคิดนี้ของอีกฝ่าย อันที่จริงถ้าเขาเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็เกรงว่าจะแสดงออกแบบนี้เหมือนกัน
“เรื่องนี้หากจะพิสูจน์ ความจริงง่ายดายมาก แต่ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว” ลู่เซิ่งยื่นนิ้วชี้ออกมา อัคคีสีขาวสายหนึ่งผุดขึ้นบนปลายนิ้ว
เขางอนิ้วดีดอัคคีใส่หงอวิ๋นเบาๆ
พอเห็นอัคคีกลุ่มนี้ สีหน้าของหงอวิ๋นก็เปลี่ยนไปทันที จากความสงสัยกลายเป็นกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
เขายี่นมือไปรับอัคคี ใช้พลังปีศาจส่วนหนึ่งถึงจะดับได้
“อย่างนั้นขอฝากทุกอย่างกับท่านด้วย” ลู่เซิ่งโยนหยกหรูอี้อันหนึ่งออกมา “นี่เป็นกุญแจเข้าออกของวังเทพอาทิตย์”
หงอวิ๋นรับหยกหรูอี้ สองมือรู้สึกหนักเล็กน้อย เกือบจะทำตกพื้น
น้ำหนักของมันเหมือนกับของวิเศษย่อส่วนหลังจากกดอัดมวลสาร ของเล็กๆ ชิ้นนี้หนักอย่างน้อยหลายแสนตุน
ลู่เซิ่งเชิญหงอวิ๋นออกจากภูเขาเพื่อหาผู้ตรวจสอบในนาม
อุทยานปีศาจมีเทพปีศาจมากมายที่เขาฝังกาฝากไว้คอยดูแล จึงไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดปัญหา ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ทางเผ่าเวทอาจจะก่อสงคราม ทว่าตอนนี้เผ่าเวทยุ่งกับการไล่แก้แค้นพวกมหาเทพ จึงไม่มีเวลามาสนใจพวกเขา
เทพปีศาจอย่างพวกไป๋เจ๋อก็อยู่ในรายชื่อไล่ล่าของเผ่าเวทเช่นกัน ดังนั้นต่อให้ต้องสู้ ก็ไม่ใช่เวลานี้
ลู่เซิ่งจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็เริ่มสร้างค่ายกลที่ส่วนลึกของวังจักรพรรดิสวรรค์ในอุทยานสวรรค์ พร้อมทั้งกำชับให้เทพปีศาจสิบกว่าตนที่เรียกตัวมาจากโลกเบื้องล่างคุ้มครอง จากนั้นจึงเริ่มใช้ค่ายกลข้ามมิติ มุดเข้ากระแสวังวนมิติเวลา
…
ฮึบ ฮึบ
ประสบการณ์ที่เข้ามาในธารมารดาอีกครั้ง แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
เขาค่อยๆ ขยับแขนขา สองแขนวาดผ่านน้ำในธารมารดาที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงสุดขีด แหวกว่ายไปยังทิศทางที่คำนวณไว้แล้ว
กระแสวังวนมิติเวลาสีรุ้งปะทะใส่ร่างเขาอย่างต่อเนื่อง เทียบกับความเร็วอันเนิบนาบเมื่อก่อนหน้า มาวันนี้เขาเหมือนกับปลากระโทงดาบที่ปราดเปรียว ว่ายไปยังทิศทางที่ทางศีรษะชี้ไปอย่างว่องไว
บนศีรษะของเขายังคงมีเส้นสีดำจากอินเอ้อร์สือเจียที่บันไซออกแบบคอยนำทาง
ลู่เซิ่งแหวกว่ายอย่างระมัดระวังไปพลาง ใช้มือสัมผัสกับเขตโลกาไปพลาง
“ได้ยินข้าหรือไม่ บันไซ” ลู่เซิ่งส่งจิตปฐมเข้าไปด้านใน เปลี่ยนเสียงให้กลายเป็นข้อมูลส่งออกไป
นี่เป็นเส้นโลกาที่อินเอ้อร์สือเจียสร้างออกมา ไม่เพียงชี้บอกทิศทางได้ ยังส่งข้อความสั้นๆ ได้ด้วย
ดีกว่าค่ายกลหยาบๆ เมื่อก่อนหน้านี้ของลู่เซิ่งไม่ทราบเท่าไร
ลู่เซิ่งสะท้อนใจถึงพรสวรรค์ของบันไซไปพลาง คอยฟังการเคลื่อนไหวที่อาจส่งกลับมาจากเส้นโลกาไปพลาง
ไม่นานนักก็มีเสียงดังมาจากด้านในเส้นโลกาเบาๆ
“นายท่าน! ในที่สุดท่านก็ตอบข้อความแล้ว! ความสามารถเปิดไว้ตั้งนานท่านถึงจะตอบ ช้าเกินไปหน่อยกระมัง” เสียงของบันไซพลุ่งพล่านอยู่บ้าง อย่างไรลู่เซิ่งก็ไปโลกบรรพกาลนานแล้ว สองฝั่งมีเวลาเป็นอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง และไม่เคยมีการตอบกลับเลย
ตอนนี้ในที่สุดลู่เซิ่งก็ส่งข้อความมาแล้ว เขาถึงขั้นได้ยินเสียงโห่ร้องจำนวนมากที่ดังมาจากเส้นโลกา คล้ายกับไม่ได้มีแค่บันไซเท่านั้นที่อยู่ ยังมีบริวารอีกไม่น้อย
หลังจากสำนักนทีครามในโลกมารสวรรค์ได้รับการปรับปรุง ก็ดูเหมือนว่าพื้นฐานจะมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่เซิ่งถามง่ายๆ
“ทุกอย่างปกติขอรับ สัตว์โบราณกับพันธมิตรดวงดาวทำศึกอีกรอบ ครั้งนี้เอาจริงกันแล้ว สองดาราจักรใกล้พวกเราถูกทำลายแล้ว…” บันไซพูดด้วยความผวา
“ดาวฤกษ์หลายพันล้านดวงระเบิดพร้อมกัน ภาพนั้น…ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์จำนวนไม่น้อยตาบอดเพราะแสงจ้า ร่างกายได้รับรังสีมากเกินไปจนเกิดโรครักษาไม่ได้นับไม่ถ้วน”
“แล้วสถานการณ์ของพวกเราเป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งรีบถาม ปัจจุบันโลกมารสวรรค์นับได้ว่าเป็นหนึ่งในฐานทัพของเขา
“ทุกอย่างปกติขอรับ ข้าได้ให้อินเอ้อร์สือเจียคำนวณปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเจอได้ไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงวางค่ายกลกรองแสงจ้าไว้แต่แรก ทางรังสีเองก็มีผู้ช่วยจำนวนไม่น้อยคอยช่วยเหลือ ไม่ได้มีปัญหาใหญ่โตนัก” บันไซอธิบาย
“ดีแล้ว ทางข้าได้เบาะแสสำคัญบางส่วน ยังไม่เจอดวงตาแห่งความเลวทราม แต่พบที่อยู่ของพวกเขาแล้ว” ลู่เซิ่งเริ่มบรรยายตำแหน่งอย่างเป็นรูปธรรม และวันเวลาที่ผ่านมาอย่างคร่าวๆ
บันไซถามรายละเอียดเพิ่มอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เป็นเวลารอคอยที่นานเล็กน้อย
“เรียบร้อย อินเอ้อร์สือเจียคำนวณทิศทางคร่าวๆ ออกมาแล้วขอรับ นายท่านมุ่งตรงไปเรื่อยๆ ติดตามเส้นโลกาไป”
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งมองเส้นสีดำเหนือศีรษะ ของสิ่งนี้หักเลี้ยวไปยังทางขวาด้านหน้า
ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อย แสงสีรุ้งพลันสว่างขึ้นรอบตัว ผลักเขาพุ่งไปยังที่ไกล ไม่นานก็หายไปในกระแสแห่งธารมารดา
…
ปิ๊นๆ…ปิ๊นๆ…
ท่ามกลางเสียงแตรรถหนวกหู ลู่เซิ่งค่อยๆ ตื่นจากการสลบไสลหลังจุติ
ด้านหน้าขมุกขมัวเล็กน้อย คล้ายกับขี้ตายึดขนตาเอาไว้ เขาขยี้ตาแล้วลุกขึ้น ก่อนจะเหลียวมองสภาพแวดล้อมรอบๆ
ร่างกายนี้นั่งอยู่บนรถโดยสารที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่คันหนึ่ง
นักเรียนหนุ่มสาวนั่งกันอย่างเป็นระเบียบบนที่นั่งแถวหน้า มีทั้งชายทั้งหญิง อายุยังไม่เกินสิบกว่าปี สวมใส่เสื้อผ้าแตกต่างกัน คล้ายกับส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้ายุคปัจจุบัน
อย่างนักเรียนชายผมสั้นที่นั่งเยื้องอยู่ด้านหน้าเขา สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขาสั้นสีขาว และใส่นาฬิกาไขลานอันวิจิตร กำลังคุยกับเด็กสาวผิวขาวที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้ม
บนที่นั่งทางขวาในแถวเดียวกัน มีเด็กมัดผมหางม้าสีดำถือคอมพิวเตอร์แบบพกพาเล่นเกมอย่างใจจดใจจ่อ ไม่สนใจอาการสั่นโคลงเคลงของรถ
มีเสียงเปียโนแทรกอยู่ในเสียงเครื่องยนต์ในรถเบาๆ แต่ว่าลู่เซิ่งไม่คุ้นกับเพลง เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน
เขานวดตาอีกครั้ง ก่อนจะมองเห็นว่าด้านหลังที่นั่งสองที่ด้านหน้ามีป้ายโฆษณาติดอยู่
“รถต้าเฉิง รับประกันความปลอดภัย”
ข้างใต้คือรูปรถบัสสีขาวใหม่เอี่ยม ด้านขวามีหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ไปรษณีย์
เขาพิจารณาร่างกายในเวลานี้
ผอมซูบ ไม่สูง ผิวขาวมาก สวมแว่นตา ใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงลำลองสีเหลืองน้ำนม สวมรองเท้ารัดส้นสีขาวอมเทา บนรองเท้ามีสัญลักษณ์รูปตัวแอลสีดำติดอยู่ เพียงแต่เมื่อดูผ่านขอบที่เก่าคร่ำคร่าและเหลืองซีดเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใส่มานานแล้ว
“หวังตง ป้ายเดินทางของนาย” นักเรียนชายตรงหน้าส่งป้ายความปลอดภัยที่บริษัทท่องเที่ยวแจกมาให้
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายยื่นของมาตรงหน้าตน ก็รีบรับเอาไว้
ในป้ายสีเขียวฝังกระดาษสีขาวไว้ด้านใน เขียนข้อความเอาไว้ว่า หวังตง เพศชาย อายุสิบหกปี ที่พักโรงแรมซิลเวอร์โกลด์เพลซ เบอร์โทรฉุกเฉิน 7734176
เขาพลิกดู ด้านหลังป้ายยังมีรูปแผนที่ง่ายๆ อยู่ด้วย สิ่งที่ระบุไว้คือตำแหน่งของโรงแรม
เวลานี้หัวสมองของลู่เซิ่งรีบหลอมรวมความทรงจำของหวังตงด้วยความเร็วสูง
ด้วยพลังของจิตปฐม ใช้เวลาชั่วครู่สั้นๆ ประสบการณ์ทั้งหมดตั้งแต่เล็กจนโตของหวังตงก็ประทับลงในสมองของเขาทั้งหมด
หวังตง นักเรียนมัธยมธรรมดา กำลังใช้เวลาช่วงปิดเทอม เข้าร่วมกับกรุ๊ปทัวร์ไปยังต่างประเทศ เป็นเพราะสมัครด้วยกัน ดังนั้นสมาชิกทั้งหมดจึงเป็นเพื่อนๆ ที่มาจากห้องเดียวกัน
ลู่เซิ่งพิจารณาข้อมูลของหวังตงผู้นี้
เป็นเด็กที่เก็บเนื้อเก็บตัวตั้งแต่เด็ก คอยฟังคำพูดของผู้ใหญ่ เรียนไม่ดีไม่แย่ ชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่สายแต่งตัว มีความสัมพันธ์กับเพื่อนในห้องแบบธรรมดา
ไม่มีเพื่อนที่สนิทเป็นพิเศษ เพียงแค่พยักหน้าทักทาย มีลูกผู้พี่จางฉีซวนอยู่ในห้องเดียวกัน นั่งอยู่ด้านหน้านี่เอง ทั้งยังเป็นสมาชิกที่ออกมาเที่ยวในช่วงปิดเทอมด้วยกันด้วย
ลู่เซิ่งคัดแยกข้อมูลอย่างตั้งใจ เลือกส่วนหนึ่งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและฉากหลักของโลกใบนี้ออกมาตรวจสอบ
“ไม่ค่อยแตกต่างกับโลกเดิมเท่าไรนัก…เพียงแต่คนในประเทศที่หวังตงอยู่มีสีผมแตกต่างกัน บ้างก็สีดำ บ้างก็สีน้ำตาล”
เขาคัดกรองอยู่สักพัก ทุกสิ่งที่หวังโตเจอมาตั้งแต่เด็กไม่มีความอัศจรรย์พันลึกใดๆ ต่างก็เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ธรรมดาสามัญ ไม่มีอะไรพิเศษ
เหมือนกับน้ำหยดหนึ่งในชั้นเรียน หลอมรวมจนไร้ตัวตน มองไม่เห็นตัว
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตรวจสอบความปรารถนาของหวังตง
แม้พลังอาวรณ์จะเยี่ยมยอด แต่การฝึกฝนไปตามลำดับกฎเกณฑ์จึงเป็นเส้นทางตามธรรมเนียม
ความปรารถนาของเด็กคนนี้เรียบง่ายมาก
“ฉันจะทำให้ทุกคนที่ดูถูกฉันเปลี่ยนความคิดใหม่ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!”
“เอ่อ…เป็นคำที่โคตรเพ้อเจ้อ...” ลู่เซิ่งผุดสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย อย่างไรร่างจุติในแต่ละโลกก็คือเขาที่มีชีวิตอยู่ในจักรวาลที่แตกต่างกัน
การที่มีความปรารถนาเพ้อเจ้อ แบบนี้ ก็หมายความว่าในจิตสำนึกของตัวเองก็มีสัดส่วนประเภทนี้อยู่เช่นกัน
“ไอ้คำพูดที่ทำให้คนกระดากแบบนี้…สมกับเป็นนักเรียนมัธยมจริงๆ” ลู่เซิ่งสัมผัสสภาพของร่างกายนี้อย่างหมดคำพูด
ไก่อ่อน
มือใหม่
ตลก
คำสามคำในโครงสร้างคู่ขนานได้รวมจุดเด่นทั้งหมดของเด็กชายที่ชื่อหวังตงไว้อย่างสมบูรณ์
……………………………………….
Comments