ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 946 สภาพการณ์ (2)
ตามการสังเกตของลู่เซิ่ง ความสามารถทางร่างกายของหวังตงถูกจัดอยู่ในอันดับแรกๆ นับจากด้านท้ายของรถคันนี้
เขาแต่งตัวเชยสะบัด แขวนหูฟังขนาดใหญ่สีดำไว้บนคอ ยิ่งทำให้คอที่บอบบางของเขาดูเหมือนกับแขวนห่วงโซ่ น่าขำอยู่บ้าง
รูปร่างหน้าตากลับพอใช้ได้ ถ้าแต่งตัวให้ดีอาจจะพอช่วยได้
ถ้ามีแค่นี้ก็คงเป็นนักเรียนธรรมดาที่สงวนถ้อยที แต่ว่าความปรารถนาในใจสุดเพ้อเจ้อนี้กลับทำให้เขาตกใจอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งไม่คิดว่าตัวเองจะมีสัดส่วนจิตวิญญาณแบบนี้ แสดงว่านี่จะต้องเป็นสิ่งที่โลกใบนี้จงใจทำให้เกิดขึ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา
ได้สติกลับมา เขาก็เริ่มพิจารณาคนอื่นบนรถ
จางฉีซวนที่นั่งอยู่ด้านหน้าฝั่งขวามือสวมเสื้อยืดสีขาว กระโปรงจีบรอบเอวสั้นสีดำ ขาที่เรียวยาวและขาวผ่องเป็นประกายใต้แสงแดด เส้นโค้งของขาที่สมส่วนกลมกลึงทำให้นักเรียนชายที่อยู่รอบๆ ละสายตาไม่ได้
บวกกับใบหน้าที่งดงามของเธอ ผิวที่แต่งหน้าบางๆ บอบบางและไร้รอยตำหนิ ผมยาวประบ่ากระจายกลิ่นหอมของผลไม้ออกมาจางๆ
ในรถคันนี้ เธอถือว่าเป็นหนึ่งในนักเรียนหญิงสามคนที่มีหน้าตาดีที่สุด ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้อย่างดี
ลู่เซิ่งพลิกหาจากในความทรงจำของหวังตง จำได้ว่าลูกผู้พี่คนนี้ได้รับคำสั่งจากคนในบ้านมาว่าให้ดูแลเขาด้วย
ทว่าตั้งแต่ขึ้นรถจนถึงตอนนี้ เด็กสาวคนนี้กลับไม่มีความคิดจะดูแลเขาเลย แม้แต่ทักทายยังไม่ทักทาย อย่างกับคนแปลกหน้า
แสดงให้เห็นชัดว่า ภาพลักษณ์และการแต่งตัวของหวังตงทำให้เด็กสาวคนนี้เสียหน้า จนไม่อยากจะพูดด้วย
ลู่เซิ่งได้รับผลสรุปต่อภาพประทับใจที่หวังตงมีต่อลูกผู้พี่อย่างรวดเร็ว
เขาเลื่อนสายตา กวาดมองนักเรียนคนอื่นๆ ในรถ แม้จะจำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัวกับกฎเกณฑ์ของที่นี่เพราะพึ่งจุติมา แต่ไม่ได้หมายความว่าสายตาอันเฉียบคมกับประสบการณ์ที่ผ่านมาร้อยศึกจะไม่มีผล
ต่อให้ดูแค่รายละเอียดภายนอก เขาก็ยังได้ข้อมูลมามากมาย
ตั้งแต่ผู้นำกลุ่ม ถึงนักเรียนทุกคน ลู่เซิ่งก็ค้นพบคนที่ทำอะไรไม่เหมือนใครสองคน
นั่นคือนักเรียนสองคนที่นั่งอยู่ท้ายรถ
คนหนึ่งเป็นผู้ชายผมสั้นสีดำ จมูกโด่งมาก ปากซีดอยู่บ้าง เหมือนว่าสุขภาพไม่ดีนัก
อีกคนเป็นเด็กสาวไว้ผมสั้นเสมอหูสีดำ ใบหน้าหมดจด บุคลิกเย็นชา พลิกอ่านหนังสือสีน้ำตาลเข้มในมือช้าๆ
ลู่เซิ่งทราบจากความทรงจำของหวังตงว่า สองคนนี้ผู้ชายชื่อจ้าวจ้งจวิน ผู้หญิงชื่อหวงย่า เป็นนักเรียนหัวกะทิที่อยู่ในแถวหน้าของชั้นเรียน
แต่เพราะนิสัยมีปัญหา ทั้งสองจึงไม่ได้คบหากับเพื่อนคนอื่นๆ ในห้อง รอบๆ ตัวเองก็ไม่มีเพื่อนเช่นกัน
“เด็กสองคนนี้ดูเหมือนจะมีความลับ” ลู่เซิ่งมองแวบเดียวก็เห็นความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างสองคนนี้กับนักเรียนคนอื่นๆ
บนตัวพวกเขามีบุคลิกเฉียบขาดแบบพิเศษที่มีเฉพาะในตัวคนที่เคยเห็นเลือดมาก่อนเท่านั้น
นั่นไม่ใช่กลิ่นอายที่นักเรียนซึ่งถูกกฎทางสังคมกับกฎหมายผูกมัดอย่างระมัดระวัง จะแสดงออกมาให้เห็นได้
“อีกสิบสามนาทีพวกเราจะไปถึงสนามบินเป่าไหล ขอให้นักเรียนทุกคนเตรียมตัว อย่าลืมสัมภาระ” เสียงอันหยาดเยิ้มของผู้นำกลุ่มสวี่ฟานส่งมาจากลำโพงกระจายเสียง
แม้ชื่อจะไม่หญิงไม่ชาย แต่ผู้นำกลุ่มคนนี้เป็นหญิงสาวสูงหนึ่งเมตรสี่สิบเซนติเมตร ที่ตัวเล็กน่ารัก เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง
เธอที่ลุกขึ้นยืน ยังสูงสู้นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ บวกกับสวมเดรสสีขาว ชายกระโปรงยังมีลูกไม้แบบเจ้าหญิงติดอยู่ สองขาที่เล็กสวมถุงน่องสีขาวผืนหนาที่มีแต่เด็กผู้หญิงเท่านั้นที่ใส่ และใส่รองเท้าหนังสีดำคู่เล็ก จึงเป็นเด็กผู้หญิงที่ยังไม่โต
“ดีใจมากที่ได้มาเจอกับทุกคนในการเดินทางครั้งนี้” สวี่ฟานเริ่มแนะนำรายการเดินทางอย่างจริงจัง
“จากแผนการเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ คืนนี้จะไปที่โรงแรม เข้าพักอย่างปลอดภัย พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปยังเขตโพโดย่าที่อยู่ทางใต้ของเกาส์ ที่นั่นมีเทือกเขาฟูลาลีมที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เมื่อไปถึงแล้ว พวกเราจะได้ชมภูเขาไฟมีชีวิตแห่งแรกของโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด…”
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา พิงกับเก้าอี้อีกครั้ง แล้วค่อยๆ หลับตาพักผ่อน
เขาไม่ทราบว่าเหตุใดเส้นโลกาจึงชี้ให้เขามายังโลกใบนี้ แต่ในเมื่อคำนวณได้แล้วว่าเป็นไปได้มากที่สุดที่สถานที่แห่งนี้จะมีที่อยู่ของดวงตาแห่งความเลวทราม อย่างนั้นเขาจะรีบค้นหาให้เร็วที่สุด
ขณะฟังเสียงเล็กๆ อันหยาดเยิ้มของสวี่ฟานผู้เป็นผู้นำกลุ่ม ลู่เซิ่งก็หลับตา ใช้จิตปฐมในร่างกระตุ้นอัคคีเทพหงส์เพลิงหลายสาย เพื่อให้หลอมรวมเข้ากับส่วนลึกของร่างกายร่างนี้
เทียบกับปราณปฐพีกับอัคคีอนธการของร่างหลักแล้ว แม้อัคคีเทพหงส์เพลิงจะมีความร้อนสูงมาก แต่ความจริงไม่สร้างความเสียหายให้แก่สิ่งมีชีวิตมากนัก อย่างมากสุดก็เน้นที่ร่างวิญญาณเท่านั้น
บวกกับภายใต้การควบคุมอย่างละเอียดอ่อนของจักรพรรดิสวรรค์คนปัจจุบันอย่างลู่เซิ่ง อัคคีจิตหงส์เพลิงจำนวนน้อยนิดจึงค่อยๆ ซึมเข้าไปในกายเนื้อและจิตวิญญาณ ปรับเปลี่ยนคุณสมบัติร่างกายของร่างนี้อย่างรวดเร็ว
อัคคีจิตหงส์เพลิงเป็นสิ่งที่หงส์เพลิงผู้ควบคุมท่วงทำนองดนตรีครอบครองอยู่แล้ว เมื่อเอามาปรับปรุงกายเนื้อ หลักๆ แล้วจะดำเนินการผ่านการสั่นสะเทือนจำนวนน้อยๆ อย่างบทเพลง
การสั่นสะเทือนนี้อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายทุกด้านได้อย่างผ่อนคลาย
ลู่เซิ่งนั่งพิงอยู่บนที่นั่งอย่างสบายอารมณ์ หลับตาเหมือนพักผ่อนทำสมาธิ
เขารับภาษาของที่นี่จากความทรงจำของหวังตงอย่างสมบูรณ์แบบ จึงไม่มีอุปสรรคด้านการสื่อสาร เพียงแต่หวังตงไม่ได้สนิทกับเพื่อนๆ ที่อยู่รอบๆ มากนัก จึงลดปฏิสัมพันธ์อันไร้ค่าลงไปได้
นานแล้วที่ไม่ได้พักผ่อนในโลกที่ไร้การคุกคามแบบนี้ ลู่เซิ่งนั่งโคลงเคลงอยู่ในรถ ไม่นานก็ไปถึงสนามบินเป่าไหล
ผู้นำกลุ่มกับพนักงานสนามบินพานักเรียนลงจากรถด้วยกัน
ลู่เซิ่งเอากระเป๋าสัมภาระสีดำของตนลงจากชั้นวางของเหนือที่นั่ง พอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นลูกผู้พี่จางฉีซวนคุยเล่นกับเพื่อนผู้หญิงอีกสองคนพอดี ไม่ได้มองมาทางด้านนี้เลย
ทำเหมือนกับไม่รู้จักลูกผู้น้องอย่างเขา
เขาพ่นลมหายใจ พร้อมกับลากกระเป๋าลงรถอย่างเนิบนาบ ก่อนจะตามกลุ่มเข้าไปรวมตัวในสนามบิน
สวี่ฟานกำลังคุยกับเจ้าหน้าที่สนามบินอย่างหยาดเยิ้ม คนสวยๆ ไปถึงไหนก็ได้เปรียบ คำพูดนี้ไม่ผิดเลย
เจ้าหน้าที่สนามบินผู้มากน้ำใจคนนั้นไม่เพียงพาสวี่ฟานไปยังเคาท์เตอร์จัดการตั๋วเท่านั้น ยังคอยคุ้มครอง กำชับ และช่วยเหลือระเบียบของพวกนักเรียนด้วย
อยู่กับกลุ่มเป็นเวลาเกือบสิบกว่านาที เขาที่ถือข้อมูลการติดต่อผละจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์
ลู่เซิ่งรอรับตั๋วกับส่งสัมภาระขึ้นเครื่องอยู่ในแถว พลางถอนหายใจ ที่นี่เหมือนกับโลกใบเดิมจริงๆ นอกจากลักษณะคน ประเทศ และภูมิประเทศที่แตกต่างกันแล้ว สถานที่อื่นๆ ก็มีระดับอารยธรรมใกล้เคียงกัน
จัดการตั๋วเครื่องบินเสร็จ ตรวจสอบความปลอดภัย และขึ้นเครื่องอย่างราบรื่น ขั้นตอนพวกนี้ชวนให้ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนยังอาศัยอยู่บนโลกใบเดิม
โลกใบนี้ให้ความรู้สึกสงบสุขที่ไม่อาจบรรยายแก่เขา อนุภาคพลังงานที่แผ่ในอากาศน้อยจนน่าโมโห ซ้ำร้ายยังมีความเฉื่อยเยอะถึงขีดสุด
ความเข้มข้นกับความเฉื่อยสุดขีดชนิดนี้ ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญจากโลกบรรพกาลในช่วงแปลงจิต เมื่อมาถึงที่นี่ก็ใช้อาคมของตัวเองจุดฟืนได้เท่านั้น
แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เพราะเขามีพลังเป็นหลายเท่าตัวของผู้บำเพ็ญช่วงแปลงจิต สำหรับโลกใบนี้ การทำลายหนึ่งครั้งกับการทำลายนับครั้งไม่ถ้วนไม่มีความแตกต่างกันนัก
พอขึ้นเครื่องบินระหว่างประเทศ ตอนกำลังหาที่นั่ง ลู่เซิ่งก็เห็นลูกผู้พี่จางฉีซวนกำลังลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างเปลืองแรง คิดจะวางมันไว้บนตู้เก็บสัมภาระ
“รีบมาช่วยหน่อยสิ ยืนทำอะไรอยู่น่ะ” จางฉีซวนเห็นลู่เซิ่งกำลังมองอยู่ ก็พลันเรียกอย่างหงุดหงิด
ลู่เซิ่งหมดคำพูด เดินเข้าไปช่วยยัดกระเป๋าเดินทางเข้าไปในที่ว่างเบาๆ
“เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ตามกลุ่มให้ดีๆ ล่ะ อย่าเที่ยวเพ่นพ่าน ทำให้ฉันเป็นห่วง ได้ยินไหม” จางฉีซวนหยิบผ้าเปียกผืนหนึ่งออกมาเช็ดมือพลางกำชับ
“อืม” ลู่เซิ่งรับคำ นี่เป็นการแสดงออกตามปกติของหวังตงคนเดิม ตอนนี้เขาไม่อยากจะแสดงท่าทีพิรุธเกินไป
พอกลับถึงที่นั่งของตัวเอง ลู่เซิ่งก็ใช้อัคคีจิตหงส์เพลิงส่งคลื่นเสียงออกมา เพื่อสั่นสะเทือนเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายต่อ
ไม่นานนักด้านข้างก็มีนักเรียนมานั่ง
เขาลืมตามองดู เป็นเด็กสาวคนหนึ่งในชั้นเรียนที่ชื่อหยวนซวงซวง
เธอไว้ผมหน้าม้า บนแก้มมีลักยิ้มเล็กๆ ชอบยิ้มเป็นพิเศษ ตาโตเป็นประกาย ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตาเหมือนกับจางฉีซวน แต่เป็นประเภทน่ารักว่านอนสอนง่าย
“เธอคือ…หวังตงนั่นเอง ระหว่างทางช่วยดูแลกันหน่อยนะ” หยวนซวงซวงยื่นมือออกมาตรงหน้าลู่เซิ่ง
“คิดซะว่าฉันไม่มีตัวตน” ลู่เซิ่งตอบก่อนจะยื่นมือออกไปจับมือเธอ
เขาคำนวณคร่าวๆ ว่าเวลาการหล่อเลี้ยงเพื่อสร้างรากฐานให้ร่างกายร่างนี้คือสามวัน จากนั้นค่อยใช้ปราณปฐพีเพิ่มความแข็งแกร่งขั้นต่อไปได้
ส่วนพลังเทพนอกรีต ที่เป็นอาวุธทำลายล้างสำหรับโลกทุกใบ แม้แต่โลกบรรพกาลก็เอาไม่อยู่ ยิ่งอย่าว่าแต่ที่นี่ เขายังไม่คิดจะปล่อยออกมา
เขาคำนวณความเร็วของเวลาในโลกใบนี้แล้วเช่นกัน เป็นหนึ่งในสามสิบส่วนของโลกมารสวรรค์และโลกบรรพกาล
หมายความว่า ที่นี่สามสิบวันเท่ากับที่นั่นหนึ่งวัน
ดังนั้นเวลาจึงเพียงพอ ค่อยๆ ตามหาได้
หยวนซวงซวงงุนงงเล็กน้อย ยังไม่ทันตอบสนอง ก็เห็นลู่เซิ่งชักมือกลับ ไปพิงหลังหลับตาทำสมาธิต่อ
เธอลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“ฉันจะพยายามนะ”
เครื่องบินเร่งความเร็วออกตัวท่ามกลางเสียงดังสนั่น ก่อนจะทะยานขึ้นเหมือนนกยักษ์ที่กำลังวิ่งตะบึง
สักพักหนึ่ง หลังจากเครื่องบินปรับระดับความสูงได้แล้ว
หยวนซวงซวงกับนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านนอกสุดก็คุยกันคิกคักๆ สินค้ามียี่ห้อและชื่อขนมที่ฟังไม่เข้าใจดังออกมาจากปากของพวกเธอ
ลู่เซิ่งไม่สนใจ หลังจากหลับไปงีบหนึ่ง พอลืมตาขึ้น ก้เห็นจ้าวจ้งจวินกับหวงย่าสองคนยืนกระซิบคุยกันอยู่บนที่ว่างด้านข้างห้องน้ำด้านหน้า
แต่ทั้งสองคนผุดสีหน้าเคร่งขรึม ถึงขั้นกล่าวได้ว่าเฉียบขาด
ลู่เซิ่งเพิ่มความสนใจในตัวพวกเขามากขึ้นในฐานะผู้มีความพิเศษเพียงสองคนในชั้นเรียน
ทั้งสองคุยกันสักพัก ต่างก็แยกย้ายกลับที่นั่งของตัวเองด้วยใบหน้าเย็นชา
“นี่ๆ หวังตงเธอรู้จักจางฉีซวนไหม” เวลานี้ด้านข้างมีเสียงของหยวนซวงซวงดังมา
“ลูกผู้พี่ฉันเอง” ลู่เซิ่งตอบ
“จริงเหรอเนี่ย” หยวนซวงซวงกับนักเรียนหญิงอีกคนเริ่มอุทานเบาๆ
ลู่เซิ่งหลับตา คร้านจะสนใจพวกเธอ เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่รากฐานต่อไป
ครั้งนี้เขาไม่ต้องการตามหาพลังอาวรณ์ ขอแค่เจอดวงตาแห่งความเลวทรามก็พอ
ไม่สนใจหญิงสาวทั้งสอง ไม่นานลู่เซิ่งก็เริ่มเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายอีกครั้ง
แม้ว่าอัคคีจิตหงส์เพลิงจะมีผลต่อตนเองเช่นกัน แต่เขาก็ยังรวบรวมสมาธิทำให้มันเร่งความเร็วขึ้นช้าๆ
จางฉีซวนที่อยู่ไกลออกไปมีสีหน้าหงุดหงิดอยู่บ้าง
เดิมทีการออกมาเที่ยวในครั้งนี้เธอวางแผนกับเพื่อนสนิทไว้แล้วว่าจะเที่ยวกันให้สุดเหวี่ยงไปเลย ทั้งยังเตรียมเงินต่างประเทศมามากพอ หวังว่าจะซื้อของดีที่ตัวเองอยากได้มานาน
แต่ก่อนมา กลับถูกสั่งให้อยู่กับลูกผู้น้อง อย่าไปเที่ยวคนเดียว ให้พาลูกผู้น้องไปด้วย
ตามที่พ่อบอก หวังตงลูกผู้น้องเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่บ้าง เธอในฐานะลูกผู้พี่ ควรจะคอยดูแลน้องชายตัวเอง อย่าห่วงเที่ยวอย่างเดียว
แต่เธอไม่ชอบลูกผู้น้องคนนี้
ก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้ เวลาไปไหนก็ทำท่ากล้าๆ กลัวๆ นั่นก็ไม่ไป นี่ก็ไม่ไป ทั้งยังแต่งตัวเชยจนน่าเกลียด เวลาพูดด้วย พูดไม่กี่ประโยคก็เงียบไปจนกระอักกระอ่วน
ตัวเองยังต้องมาเปลืองสมองเปลืองแรงชวนคุยอีก น่ารำคาญตายชัก!
……………………………………….
Comments