ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 949 พลังภูตผี (3)
ในตึกสำนักงานสีขาวอันกว้างใหญ่ พอลู่เซิ่งเข้ามา ก็วิ่งไปหาเจ้าหน้าที่หญิงคนสวยหลังเคาน์เตอร์ทันที
“สวัสดีครับ สินเชื่อทรีเพาเวอร์อยู่ชั้นไหนเหรอครับ”
หญิงสาวหลังเคาน์เตอร์งุนงงเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างรวดเร็ว
“อยู่บนชั้นสี่ทางซ้ายค่ะ”
เธอพิจารณาเสื้อผ้าของลู่เซิ่ง เสื้อผ้าทั้งหมดรวมกันเหมือนจะไม่เกินสามร้อยหยวน แสดงเจตนาของเขาออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
คนคนนี้มาขอสินเชื่อนั่นเอง
เธอได้ยินมาว่าสินเชื่อทรีเพาเวอร์บนชั้นสี่ทำธุรกิจโมไครเครดิต ทั้งยังมีฉากหลังเป็นมาเฟียด้วย
น่าเสียดาย
เธอมองออกว่าลู่เซิ่งยังป็นนักเรียน อายุขนาดนี้ หากไม่ระวังนิดเดียว เกรงว่าจะถลำลึกจนถอนตัวไม่ขึ้น
“ขอบคุณครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าลิฟต์และกดชั้นสี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ลิฟต์ค่อยๆ ปิดลงภายใต้สายตาที่มองมาอย่างสงสารของหญิงสาวที่เคาน์เตอร์
สักพักหนึ่ง ลิฟต์ก็ขึ้นไปหยุดที่ชั้นสี่ ประตูค่อยๆ เปิดออก
หน้าลิฟต์คือห้องสำนักงานกว้างขวาง หนุ่มสาวหลายคนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกำลังคุยโวและด่าทอกัน
คนหัวล้านสองคนที่มีรอยสักบนแขนพิงอยู่ที่ประตู กำลังสูบบุหรี่ควันโขมง
ลู่เซิ่งเหลียวมองรอบๆ ก่อนจะเห็นชายร่างผอมสูงสวมแว่นตาคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“ไอ้หนู มาขอสินเชื่อเหรอ พวกเราให้สินเชื่อไม่ต้องวางหลักประกัน อย่างมากสุดห้าหมื่น ไม่ต้องใช้บัตรประชาชน เข้าบัญชีในหนึ่งชั่วโมง เครดิตติดอันดับท็อปของธนาคาร คุ้มค่าให้เชื่อถือแน่!”
“ครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “พี่ชาย ผมอยากสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลย…” เขาแสดงสีหน้าแน่วแน่เชื่อมั่น
“แต่ผมมั่นใจว่าคืนให้ได้ภายในหนึ่งเดือน! เพียงแค่ยืมไปหมุนก่อนเท่านั้น…ยืมได้เยอะสุดเท่าไรเหรอครับ”
คนสวมแว่น ตาเป็นประกาย
“มาๆ พวกเรานั่งลงคุยกันก่อน” เขาลากลู่เซิ่งเดินเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งภายใต้สายตาของเจ้าหน้าที่
“มากสุดคือห้าหมื่น แต่เธอก็รู้ว่าสมัยนี้น่ะ ไอ้ของพวกนี้ต้องขึ้นอยู่กับสถานะกับหลักประกันของเธอด้วย”
“ผมวางหลักประกันไม่ได้ก็เลย…” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างลำบากใจ
“แล้วมีเครื่องยืนยันอะไรไหมล่ะ ไม่ต้องใช้บัตรประชาชนก็ได้ แต่ใช้พวกบัตรนักเรียนได้นะ” คนสวมแว่นเอ่ยด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“มีบัตรนักเรียนครับ” ลู่เซิ่งหยิบบัตรนักเรียนของตนออกมาส่งให้อีกฝ่าย
“ขอดูหน่อยซิ…หวังตง ประเทศหลันเก๋อหลั่งหนีเหรอ...โรงเรียนมัธยมสวีรื่อ นักเรียน ม.ปลาย ปีสอง…”
เขาขมวดคิ้ว นี่มันข้ามประเทศแล้ว ทำให้ไม่ได้
“นี่พี่ชาย ยืมไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ” ลู่เซิ่งถามอย่างระมัดระวัง
“ไอ้ยืมมันก็ได้อยู่ แต่เธอจะต้องวางพาสปอร์ตตัวเองไว้ที่นี่” คนสวมแว่นตาใคร่ครวญ ก่อนจะเสนอ
“ไม่มีปัญหา!” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “งั้นผมขอยืมเยอะหน่อยสิ ยังไงผมก็เอาพาสปอร์ตให้พวกคุณแล้ว หนีไม่ได้หรอก ผมจำเป็นต้องสร้างเนื้อสร้างตัวที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น หลังกลับบ้านจะได้มีเงินเก็บ”
“น้องชาย ไม่ต้องพูดแล้ว มายืมเงินที่นี่ ส่วนใหญ่ก็มีความลับที่พูดยากกันทั้งนั้น ความลำบากของเธอ พวกเราเข้าใจได้ ไม่ต้องห่วง เอาพาสปอร์ตมาลงทะเบียน ในเวลาสองชั่วโมง เงินต้องโอนถึงบัญชีแน่” คนสวมแว่นตาตบบ่าลู่เซิ่ง สมัยนี้ดำเนินการด้วยเครือข่ายทั่วโลกอยู่แล้ว
“เธอมาเซ็นชื่อก่อน เขียนเลขบัญชีธนาคารลงไป แล้วพวกเราจะโอนเงินให้ ไม่ต้องห่วง ทรีเพาเวอร์ของพวกเราขึ้นชื่อเรื่องความใจป้ำอยู่แล้ว! โอนให้ทันทีแน่นอน!”
“ผมชอบความใจกว้างของพวกคุณจัง!” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าปลาบปลื้ม
ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาสองนาทีก็เซ็นสัญญาขอสินเชื่ออย่างง่ายๆ เรียบร้อย ยืมมาแสนห้า ดอกเบี้ยสามเท่า ถือว่ายังยุติธรรม
ส่วนที่ว่าทำไมต้องเขียนแสนห้า คนสวมแว่นกำลังจะอธิบายความลำบากใจของพวกเขาให้ลู่เซิ่งฟัง แต่ลู่เซิ่งกลับโบกมือ
“ผมเชื่อพี่ชาย ไม่ต้องพูดหรอก พวกคุณมีความลำบากของพวกคุณ ผมเข้าใจ”
คนสวมแว่นอ้าปากตาข้าง สมัยนี้ยังเจอคนขอสินเชื่อที่คิดเผื่อพวกเขาอย่างนี้ได้ด้วยเหรอเนี่ย
แต่เขาไม่รู้หรอกว่าลู่เซิ่งไม่สนใจว่าเขาจะเขียนกี่หมื่นกี่แสน ขอแค่มีเงิน ทุกอย่างก็ไม่สำคัญ
เงินที่มาอยู่ในมือเขา คิดจะขูดรีดออกไป เกรงว่าจะฝันไปล่ะมั้ง
อะไรกัน คุณมีเงื่อนไขหรือ
ไอ้นั่นไม่สำคัญหรอกน่า จะให้ฉันเท่าไรคุณเขียนเลย ไม่ต้องห่วงหรอก คืนแน่ เพียงแค่อาจช้าไปหน่อย
‘รอผมใช้เสร็จแล้วจะคืนให้’
ลู่เซิ่งคิดวาทศิลป์ไว้แล้ว
จากนั้นเขาก็ออกจากสินเชื่อทรีเพาเวอร์ แล้วเช่ารถหรูราคาสามล้านคันหนึ่งในที่เช่ารถที่อยู่ไม่ไกลออกไปซึ่งคนสวมแว่นตาแนะนำให้ ราคาเช่าแต่ละวันคือห้าพันหยวน
เช่าสี่วัน
ว่ากันว่าเจ้าของธุรกิจเช่ารถนี้ก็คือเจ้าของทรีเพาเวอร์นั่นเอง
ลู่เซิ่งขับรถออกจากที่เช่ารถอย่างดีอกดีใจ ไม่นานก็ไปถึงบริษัทขอสินเชื่อแห่งที่สอง
ระหว่างทางเขายังแอบถอดทะเบียนรถออกด้วย จากนั้นก็หาบริษัทที่สาม หลังจากใช้ทักษะทางจิตวิทยาเล็กน้อย ก่อนจะวางรถเป็นหลักประกัน
บัญชีเขามีเงินสดเพิ่มมาหนึ่งล้าน
รถหรูราคาสามล้าน วางเป็นหลักประกันไว้หนึ่งล้าน นับว่าไม่เลว ดอกเบี้ยห้าเท่า หากคืนในหนึ่งเดือนเอาแค่สามเท่า
พอได้ลิ้มลองรสหวาน ลู่เซิ่งก็ไปที่เช่ารถอีกรอบ แล้วใช้สารพัดวิธีเช่ารถหรูราคาล้านหนึ่งมาได้สามคัน
บอกกับแต่ละที่ว่าจะเอาไปให้เพื่อนขับ เป็นคนในชั้นเรียน กับคนในครอบครัว พวกคนระดับพนักงานของที่เช่ารถไม่เข้าใจสาเหตุ อย่างไรขอแค่เงินพอ หลักประกันก็อยู่นี่ คนไม่มีทางหนีได้
ผ่านไปสามชั่วโมง
ลู่เซิ่งนำบัตรธนาคารที่มีเงินฝากอยู่สี่ล้านกว่าๆ กลับโรงแรมอย่างสบายอารมณ์
เพื่อนคนอื่นๆ กลับมาจากการไปท่องเที่ยวชมวิวตัวเมืองรอบๆ ว่ากันว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่นักกวีเหอเหวยฉีผู้โด่งดังเคยอาศัยอยู่
ลู่เซิ่งอ้างว่าเจ็บท้องไม่อยากไปไหน พอดีที่เขากลับมาโรงแรมได้ไม่นาน คนส่วนใหญ่ก็กลับมาแล้ว
ผู้นำกลุ่มรู้ว่าไวไฟติดตัวของเขาถูกลูกผู้พี่จางฉีซวนเอาไป เลยได้แต่ให้ยืมไวไฟที่เตรียมไว้ใช้ให้เขาอย่างจนใจ
พอกินข้าวในภัตตาคารของโรงแรมเสร็จ ลู่เซิ่งก็กลับห้องอย่างไม่รีบร้อน เริ่มการเพิ่มความแข็งแกร่งของอัคคีจิตหงส์เพลิงต่อ จนถึงตอนบ่าย คุณสมบัติร่างกายของเขาก็ยกระดับเป็นสองเท่ากว่าๆ ของคนธรรมดาแล้ว
อย่างไรการที่ร่างกายของนักเรียนมัธยมธรรมดาที่ค่อนข้างอ่อนแอ ยกระดับได้เร็วขนาดนี้ ก็พิสดารสุดๆ แล้ว
ลู่เซิ่งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงออกไปกินข้าวมื้อดึกอีกมื้อ ก่อนกลับมาพักที่ห้อง
ตอนนี้ยังไม่พูดถึงพลัง ประสาทสัมผัสเองก็ยังทื่อถึงขีดสุด
เรื่องอะไรก็ทำไม่ได้ และไม่มีเป้าหมายอะไร ลู่เซิ่งจึงถือโอกาสดูทีวีในห้อง เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์โดยรอบ
เช้าตรู่วันต่อมา เขาแวะไปยังร้ายขายโทรศัพท์ร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ซื้อมือถือมาเครื่องหนึ่ง พร้อมกับเปิดซิมโทรศัพท์ชั่วคราว
จากนั้นก็เดินเตร่อยู่รอบๆ ดูว่าจะหาร่องรอยของพลังแห่งความว่างเปล่าที่สัมผัสได้เมื่อก่อนหน้านี้เจอหรือไม่
ระดับพลังของพลังแห่งความว่างเปล่าสูงสุดขีดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่อยู่ที่นี่เป็นเวอร์ชั่นเจือจาง มิหนำซ้ำยังเป็นอนุภาคเล็กๆ ของเวอร์ชั่นเจือจางด้วย
ดังนั้นจึงไม่ต้องเร่งรีบ อนุภาคแค่นี้ แม้ว่าลู่เซิ่งยังมีคุณสมบัติร่างกายแข็งแกร่งเป็นสามเท่าของคนธรรมดาเท่านั้น เมื่อใช้กับทักษะการต่อสู้ระดับปรมาจารย์ ก็จัดการได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
ว่ากันตามจริง เขาไม่รู้ว่าอัคคีจิตหงส์เพลิงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อได้ถึงระดับไหน แต่ก็รู้สึกไม่เลว
เดินเล่นตอนเช้าตรู่สักพัก ความเร็วของร่างกายที่มีคุณสมบัติแข็งแกร่งเป็นสามเท่าของคนธรรมดา ไม่ค่อยต่างไปจากเดิมเท่าไร
นี่ทำให้เขานึกถึงวิชาวิญญาณสีชาด วิชาที่พัฒนาจากพื้นฐานในการถ่ายทอดหงส์เพลิง
วิชานี้เป็นการพัฒนาพรสวรรค์ใช้ท่วงทำนองเพิ่มความแข็งแกร่งที่หงส์เพลิงครอบครองให้ไปถึงขีดสูงสุด ว่ากันว่าการสั่นสะเทือนเพิ่มความแข็งแกร่งของอัคคีจิตหงส์เพลิงได้แต่ไปถึงระดับขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ทว่าเมื่อใช้วิชานี้ร่วมด้วย จะทะลวงขีดจำกัดไปถึงระดับที่สูงกว่าเดิมได้อย่างง่ายดาย
เดิมทีวิชานี้สร้างขึ้นเพื่อสายรองที่มีสายเลือดหงส์เพลิงเจือจาง สายรองเช่นพวกเขาไม่อาจปล่อยอัคคีจิตหงส์เพลิงใส่ศัตรูอย่างเป็นสัดส่วนได้ ได้แต่ใช้อัคคีจิตจำนวนน้อยในตัวเป็นปราณภายในเท่านั้น
เพื่อขุดค้นศักยภาพทุกส่วนของอัคคีจิตหงส์เพลิง วิชานี้จึงถือกำเนิดขึ้น
‘พูดถึงที่สุด วิชาวิญญาณสีชาดจะใช้อัคคีจิตหงส์เพลิงเป็นพลังงาน วางไว้ด้านในตัว สนับสนุนกายเนื้อในการต่อสู้ เป็นวิชาทางกายภาพล้วนๆ ส่วนหงส์เพลิงธรรมดาจะปล่อยอัคคีจิตหงส์เพลิงออกมาได้ตามใจชอบ’
ลู่เซิ่งวางแผนไว้ว่าหลังจากอัคคีจิตหงส์เพลิงยกระดับถึงขีดจำกัดแล้ว จะใช้วิชาวิญญาณสีชาดพัฒนาต่อ ถึงอย่างไรไม่ว่าอยู่บนโลกใบไหน การเพิ่มความแข็งแกร่งให้กายเนื้อล้วนไม่มีปัญหาอะไรมากนัก
ก่อนที่จะเห็นระบบเหนือธรรมชาติบนโลกใบนี้ ตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
หลังจากเดินเล่นช่วงเช้าเสร็จ ลู่เซิ่งก็กลับโรงแรมโดยไร้ผลลัพธ์ ในที่สุดตอนบ่ายก็ถูกผู้นำกลุ่มสวี่ฟานลากเข้าไปร่วมกิจกรรมส่วนรวมด้วยกัน
ทุกคนนั่งรถไปซื้อของและชมวิวที่เมืองแอนวีลาที่อยู่ใกล้ๆ
เพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็ตื่นเต้นกันมาก เพราะนอกจากสถานที่ชมวิวที่มีชื่อเสียงแล้ว เมืองแองวีลายังผลิตอัญมณีทางธรรมชาติที่ชื่อกรีนสโตนอีกด้วย อัญมณีชนิดนี้มีราคาไม่แพง นักเรียนซื้อได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความงดงาม
หลังจากนั่งรถเป็นเวลายี่สิบนาทีอย่างราบรื่น รถก็ไปถึงที่หมาย ตอนลงรถ ลู่เซิ่งเห็นจ้าวจ้งจวินกับหวงย่าถลึงตามองกัน ไม่มีใครยอมใครเหมือนไก่ชน
จางฉีซวนไปซื้อของกับเพื่อนคนอื่นๆ อย่างเบิกบาน หยวนซวงซวงกระซิบกระซาบกับเพื่อนสองคน เหมือนกำลังคุยกันว่าจะซื้ออะไรดี
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้ารถ เห็นไกด์นำกลุ่มสวี่ฟานกำลังจัดการขยะและถุงของกินบนรถ
‘ต้องหาโอกาสอยู่กับจางฉีซวนตามลำพังเพื่อจัดการจุดอ่อน’ ลู่เซิ่งล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง ตามพวกจางฉีซวนไป
อย่างไรก็ไม่มีธุระ ลองตามพวกเธอไปดูว่าจะมีโอกาสจัดการปัญหาได้หรือไม่ เขาไม่อยากให้ลูกผู้พี่คนนี้ป่าวประกาศเรื่องน่าเกลียดของตัวเองไปทั่ว
…
ในห้างสรรพสินค้า
“สวัสดีค่ะๆ พวกเราต้องการไอ้นี่ ไอ้นี่ๆ นี่อีก แยกจ่ายนะคะ!” จางฉีซวนวางตะกร้าซื้อของของตนลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน
พร้อมกับมองพนักงานที่หยิบเครื่องสำอางสำหรับแต่งหน้าขึ้นมาแสกนด้วยใบหน้ากระวนกระวาย
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอคือพวกเพื่อนสนิท กำลังรอคิดเงินอยู่
พนักงานพยักหน้า หยิบของขึ้นมาแสกน
หนึ่งอย่าง สองอย่าง สามอย่าง ตู้ดๆ…
ทันใดนั้นเครื่องคิดเงินก็ส่งเสียงเตือนมาเบาๆ
พนักงานขมวดคิ้ว
“&*¥@#!%”
“หา? คุณพูดอะไรน่ะ” จางฉีซวนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงง ฟังความหมายไม่ออก
พนักงานขมวดคิ้ว ลดความเร็วลง และพูดอีกรอบ
“กูลี…..กูลู….”
““&am… p;*… ¥@#…!%…”
จางฉีซวนทำหน้างง ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
พนักงานทำหน้าปวดหัว ชี้ไปที่ป้ายโฆษณาด้านข้าง จากนั้นก็ยกขวดเล็กๆ สีแดงขวดหนึ่งขึ้นมา
“&…! ¥@…p;*! &¥@!”
“…”
หญิงสาวทั้งกลุ่มผุดสีหน้าอึ้งงัน ก่อนหน้านี้ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไร พวกเธอจะแค่จ่ายเงิน แล้วเอาของไปเท่านั้น
สถานการณ์อย่างนี้เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก
……………………………………….
Comments